<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
2 มีนาคม 2553

ความรักของคนบ้า....บทที่ 2






คืนนั้นผมไม่สบาย

หัวของผมเหมือนถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มขนาดใหญ่และมันกำลังแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง โลกดูหมุนคว้างเป็นกังหันจนรุ่งเช้าอาการก็ไม่ทุเลา ทั้งจามทั้งไอและมีอาการเจ็บหน้าอก ทันทีเมื่อลุกจากเตียง แผ่นดินจะเอียงไหวไปมาจนต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้น แต่ก็ต้องไป เมื่อวานก็ไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน คิดถึงจนแทบขาดใจ

วันนี้บรรยากาศกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง บรรยากาศยิ่งสดชื่นเป็นพิเศษกว่าวันใด ๆ แล้วอย่างนี้จะพลาดได้อย่างไร กับตอนจบของเรื่องสั้นอันน่าพิศวงค้างคาอยู่ พยายามลุกขึ้นอีกครั้ง คว้าหนังสือบนหัวเตียง โผเผออกจากประตูห้อง แต่ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลยเมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งผ่านมาพอดี และคงสังเกตเห็นอาการผิดปกติของผมเข้าให้ แถมผมเองยังตอกย้ำความผิดปกติให้มากขึ้นด้วยอาการหัวทิ่มลงไปกับพื้นเหมือนสะดุดอากาศ เจ้าหน้าที่คนนั้นคว้าแขนผมทันก่อนหัวจะฟาดพื้น

“เอ๊ย...ตัวร้อนจี๋เลย แบบนี้ไม่สบายแน่”

“ปล่อย ผมจะออกไป..”

ผมพยายามฝืนตัวและสะบัดให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นกลับส่งเสียงโวยวาย และอีกไม่นานหลายคนก็มาสบทบ

“คนไข้อาการกำเริบ ตามหมอมาเร็ว ”

ให้ตายสิ.... พวกเขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าผมพยายามจะทำอะไร กลับมองไปว่านั่นเป็นอาการคุ้มคลั่งอันเป็นอาการปกติวิสัยอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ พวกเขาจะทำให้ผมผิดนัดและใกล้เวลาที่เธอจะมาแล้ว ผมดิ้นรนสุดชีวิต คนพวกนั้นมีประสบการณ์ในการจับตัวคนไข้ให้อยู่หมัดง่ายดาย แต่สิ่งน่ากลัวที่สุดคืออาการเจ็บตรงต้นแขน มันหมายถึงเข็มฉีดยาบรรจุยาระงับประสาทอย่างแรงนั่นเอง สิ่งสุดท้ายซึ่งกระโดดโลดเต้นในความคิดคือ เก้าอี้หินอ่อน เงาสนร่มเย็น และคนไข้สาวคนนั้นความรู้สึกดับวูบลงเหมือนเปลวไฟแห่งเทียนเล่มน้อยถูกแรงลม

ฤทธิ์ยาทำให้มีอาการสะลืมสะลือ คล้ายจริงคล้ายฝัน หลับบ้างตื่นบ้าง วันสองวันมานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองสับสนและมึนงงอย่างบอกไม่ถูก รับฟังเสียงของแพทย์พยาบาลอย่างไม่ใส่ใจว่าพวกเขาจะทำอะไรบ้าง คงไม่พ้นเข็มฉีดยา และการตอบคำถามโง่ ๆซ้ำ ๆ ซาก ๆ

คงจะเป็นช่วงบ่ายของวันหนึ่งผมได้สติขึ้นมา

พวกเขาเอาผมมารักษาตัวอยู่ในเรือนพยาบาล กลิ่นยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ยังคงเจือปนอยู่ในอณูอากาศ ผนังสีขาวแม้จะให้ความรู้สึกสะอาด แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกสบายใจเลยสักนิด ในห้องมีเตียงคนไข้เรียงกันเป็นตับ บรรดาคนเจ็บหลายสภาพมีให้เห็นเต็มไปหมด รวมทั้งแพทย์และพยาบาลกำลังง่วนอยู่กับคนไข้บางรายซึ่งท่าทางอาการหนัก

เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

นั่นเป็นคำถามแรกผุดขึ้นมาในความคิด ตลอดเวลาแห่งการพักรักษาตัวความฝันเต็มไปด้วยเรื่องราว และภาพของนางอันเป็นที่รัก วิ่งวนในหัวเหมือนภาพยนตร์ฉายซ้ำซากยังมีอาการอ่อนเพลีย ลำคอแห้งผาก แต่ก็พยายามลุกจากเตียงอย่างเงียบกริบ

“เฮ้ย...ผู้ร้ายกำลังจะแหกคุก”

ตาลุงคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่เตียงด้านข้าง จู่ ๆ ก็มองมายังผมพลางร้องเสียงลั่น ท่าทางแกจะอาการหนักเพราะอยู่ในชุดเสื้อคนบ้าแขนยาวพันรอบตัวตรึงกับเตียงอย่างแน่นหนา ผิดกับผมซึ่งอยู่ในชุดขาวเสื้อแขนยาวธรรมดาเท่านั้น ถ้าไม่คิดว่าเตะคนแก่บ้าเป็นบาป สงสัยวิ่งเตะไปแล้ว ฐานส่งเสียงดังจนแพทย์ซึ่งอยู่แถวนั้นหันมามอง กะว่าจะแอบกลับห้องไปเงียบ ๆ ตาแก่นี่ทำเสียเรื่องหมด

“เป็นไงบ้างครับ”
นายแพทย์หนุ่มทักทายพลางกวาดตามองผมอย่างพิจารณาอาการ เจ้าหน้าที่สองคนอยู่ด้านหลังทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าหาทันที ถ้ามีอะไรผิดปกติและน่าจะเป็นอันตราย

“ผมหายดีแล้ว จะขอกลับห้อง” ผมบอกเสียงราบเรียบพยายามทำหน้าตาท่าทางให้เป็นปกติ

“อืมม์ ...ท่าทางคุณดีขึ้นแล้วล่ะ ขอตรวจร่างกายอีกครั้งนะครับ ถ้าผ่านเกณฑ์เราจะส่งตัวคุณกลับตึก”

ผมรู้ว่าอาการขัดขืนแข็งข้อตอนนี้คงไม่แคล้วโดนยาระงับประสาทอีกหลายขนานจึงยินยอมกลับไปนอนบนเตียงตามเดิม ตาลุงคนนั้นยังคงหันหน้ามามองพลางหัวเราะเสียงดังพลางบอกว่า

“บอกแล้วว่าคุกที่นี่แหกยาก ยังจะหนีไปอีก”

แต่ในที่สุดผมก็ได้รับการส่งตัวกลับตึกเนื่องจากยังไม่เคยมีประวัติความรุนแรง ลุงคนนั้นเห็นผมถูกนำตัวออกมาแกทำหน้าเศร้า แถมร้องว่านั่นเป็นการนำตัวไปห้องรมแก๊ส มิน่า... ถึงถูกมัดอยู่กับเตียงแบบนั้น บ้าไร้ที่ติจริงๆ

-------

หนังสือเล่มนั้นหายไป

มันต้องหล่นลงในขณะพวกเจ้าหน้าที่จับตัวผม และคงไม่มีใครใส่ใจหนังสือของคนบ้าหรอก เพราะหาดูในห้องก็ไม่มี หรือบางทีพนักงานทำความสะอาดอาจโยนมันลงถังขยะไปแล้วก็เป็นได้ ผมจึงด้อม ๆ มอง ๆ คุ้ยเขี่ยอยู่ตามถังขยะหน้าตึกหาหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ

ผมอยากมีโอกาสเล่าตอนจบของเรื่องให้เธอฟัง แม้ไม่แน่ใจว่าเธอจะฟังหรือไม่ แต่มันเป็นหน้าที่ซึ่งจะต้องสานต่อให้จบแบบไม่ค้างคาใจ

ถังขยะเต็มไปด้วยเศษกระดาษ และเศษอาหาร แต่ไม่มีสิ่งต้องการ ผมพยายามเดินดูตามชั้นต่าง ๆ รื้อดูถังขยะหลายใบซึ่งต้องสงสัย ไหน ๆ ก็หาว่าบ้าแล้ว จะเป็นไรถ้าจะแสดงอาการของความบ้าออกมาให้ชาวโลกรู้บ้าง แต่ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี ทำเอาหมดอาลัยตายอยากไปพักหนึ่ง แต่อย่างไรก๋ต้องไป ผมรีบเผ่นลงมาจากตึก มุ่งหน้าไปแหล่งนัดพบทันที

ตอนบ่ายดงสนแห่งนั้นแม้ว่าจะมีแสงแดดสาดส่อง แต่ยังคงความร่มรื่นเหมือนเดิม ใบสนยังคงส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆผสานธรรมชาติของสายลม ราวกับอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากความวุ่นวายของผู้คน และเก้าอี้หินอ่อนนั่นก็ปราศจากคน

“คุณนั่นเอง หายไปไหนมาคะ ”

เหล่ากุหลาบสาว ร้องทักเสียงใสเกรียวกราวอย่างดีใจ ผมพยายามส่งยิ้มให้กุหลาบทุกแปลง ความรู้สึกอบอุ่นแห่งมิตรภาพอย่างไรก็รู้สึกดีเสมอ นั่งลงตรวจดูโดยรอบ ตรวจดูตามลำต้นและกิ่งก้านของพวกเธออย่างเป็นห่วง เกรงว่าพวกหนอนจะมาเกาะกัดกิน

“ผมไม่สบาย แต่ตอนนี้หายแล้วล่ะ”

“รู้ไหมคะว่าอะไรเกิดขึ้นที่นี่บ้าง”

คำถามนั่นทำให้รู้สึกใจหวิวไหวชอบกล เกรงว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็กลั้นใจฟังกุหลาบสาวต้นหนึ่งเล่าต่อไป

“นอกจากวันฝนตกหนักวันนั้นแล้ว เธอมานั่งที่นี่ประจำทุกเช้า แต่ว่าเธอนั่งนานมาก หลายชั่วโมงเชียวค่ะ จากเคยนั่งอยู่ประมาณวันละชั่วโมง กว่าพวกพยาบาลจะพาตัวเธอกลับได้ก็แทบแย่ นั่งเหมือนรอคอยใครบางคน คงจะรอคุณนั่นล่ะคะ น่าสงสารมาก”

รู้สึกใจหวิว ๆ ลงอีกแล้ว rพระเจ้า..ผมทำผิดต่อเธออีกแล้วแม้ว่าจะไม่ตั้งใจก็ตาม ความรู้สึกของการทำผิดต่อคนที่เรารักมันช่างเจ็บปวดทรมานใจเหลือเกิน ผมนิ่งอึ้งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ

“จริงๆนะคะ เธอรอคุณด้วยความรู้สึก ไม่ได้ชะเง้อชะแง้คอหาแต่รอด้วยจิตวิญญาณเลยทีเดียว พวกเราสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบนี้ อย่าดูถูกว่าเป็นกุหลาบแล้วจะไม่รู้เรื่องนะคะ”

เข่าทรุดลงข้างแปลงกุหลาบอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลอย่างไม่อายต้นไม้แถวนั้น ต้นกุหลาบไม่เคยโกหก ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น เก้าอี้หินอ่อนยังว่างเปล่าแต่พลันคล้ายเห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายกลางสายลมยามรุ่งอรุณ มีเพียงสายลมกระซิบปลอบ และเหล่ากุหลาบใจดีคอยดูแลในม่านปีกแห่งความร่มเย็นของดงสนช่างเป็นภาพรันทดหดหู่เหลือเกินสำหรับผม

“ผมผิดเอง ผมไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเจ็บป่วยเลย”

“วันนี้ตอนเช้าเธอก็มาอีก” น้ำเสียงของกุหลาบสาวแผ่วเบา
“เธอนั่งอยู่จนเกือบเที่ยงกว่าจะยอมกลับเข้าตึก พวกพยาบาลดูท่าทางโมโหมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ท่าทางของเธอคงเป็นคนสำคัญทีเดียวเชียวล่ะค่ะ นี่ถ้าคุณมาเร็วกว่านี้สักหน่อยคงได้เจอเธอแน่”

กุหลาบเอ่ยต่อไปด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นอกเห็นใจ
“พรุ่งนี้เธอคงต้องมาอีก อดทนไว้สักวันนะคะ เชื่อว่าเธอต้องมาอย่างแน่นอน”

ใช่แล้ว แค่วันพรุ่งนี้ ทำไมจะรอไม่ได้ กับคนรักจะต้องมีความอดทนรอ อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าความพยายามของผมไม่ได้สูญเปล่า

ต้นมะขามหนุ่มพยายามสืบหาหนังสือเล่มนั้นให้ผมเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบว่ามันอยู่แห่งไหน การรับรู้ของทุกสิ่งมีขีดจำกัดเช่นกันแต่เขาก็รับปากว่าถ้าได้ข่าวจะรีบบอกทันที และสิ่งควรทำสุดท้ายของวันนี้คือการเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อหลับพบเธอในความฝันและรอให้ถึงวันพรุ่งนี้

-----

เพราะนอนเร็วเกินไปจึงตื่นตั้งแต่ตี่สี่ ตื่นมาแล้วไม่ยอมหลับภาพของเธอวนเวียนอยู่ในความคิดตลอดเวลา ได้แต่เดินๆนั่งๆนอนๆ อยู่ในห้อง ไม่มีจิตใจทำอะไร นอกจากรอถึงเวลายามรักษาการณ์จะมาเปิดตึก อีกไม่นานแล้ว เราจะได้เจอกัน ป่านนี้เธอคงหลับแก้มแอบอิงพิงหมอน ความฝันของเธอจะเป็นอย่างไรกันอยากรู้จริง ๆ นอกหน้าต่างยังคงดูมืดทะมึน และบางครั้งได้ยินเสียงลมพัดอู้ๆมาแต่ไกล ทำไมบรรยากาศวันแปลกๆคล้ายจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างหรือพายุละลอกสองจะตามมาอีก ผมเฝ้าภาวนาถึงพระเจ้าหรือซาตานไหนก็ได้ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

นานแสนนานเหลือเกิน

เสียงเลื่อนประตูเหล็กทางออกชั้นล่างดังโครมครามได้ยินถนัด เจ็ดโมงเช้าเป็นเวลาปกติแห่งการเปิดทวารตึกสถานบำบัดคนไข้ทางจิต รออยู่พักหนึ่งกะว่าให้พวกยามไปก่อนจึงค่อยลงมาข้างล่างอย่างเงียบ ๆ อากาศวันนี้มันมัวหม่นเป็นลางไม่ดีเลย แม้ว่าจะไม่มีสายฝนกระหน่ำแต่ท้องฟ้าเช้าวันนี้กลับอึมครึมเต็มไปด้วยก้อนเมฆดำลอยเคลื่อนตัวอย่างน่ากลัว

ผมไปถึงแปลงกุหลาบช่วงฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ทักทายพวกเธอซึ่งเฝ้าเอาใจช่วยอยู่และเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ ทำไมเวลามันช้าอย่างนี้ ผมชะเง้อมองทางเดินอย่างกระวนกระวาย

ที่รัก ได้โปรดโผล่มาจากมุมทางเดินนั้นทีเถิด ผมกำลังรอคุณอยู่ รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน

ฝนยังไม่ตก เธอควรจะมาฟังตอนจบของเรื่องนี้
นานและเชื่องช้าเหลือเกิน เสียงสนเล่นลมทำไมดูวังเวงหดหู่ พวกเมฆยึดครองน่านฟ้าทางทิศตะวันออกไปจนหมดสิ้น ไม่ปล่อยให้แสงแห่งดวงตะวันโผล่มาเยือนเลยแม้สักน้อย แถมพวกเมฆตอนนี้ก่อตัวเป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือประมาณ

เธอยังไม่มา..น่าจะเลยเวลามากแล้ว หัวใจของผมพลอยแผ่วไหวระริกล้า ราวปลิดปลิวจากขั้วแตกมลายสลายไป พลันได้ยินเสียงของต้นมะม่วงหนุ่มร้องเรียกอย่างร้อนรนมาแต่ไกล

“แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

เสียงต้นมะขามหนุ่มตะโกนอะไรฟังไม่ได้ศัพท์แม้ในขณะผมวิ่งเข้าไปใกล้ ดูเขาร้อนรนเหลือเกินท่าทางสติแตก จนต้องจับกิ่งเขย่าแรง ๆ นั่นล่ะจึงค่อยพูดออกมาฟังรู้เรื่อง

"เธอกำลังจะลงมา แต่พวกแพทย์และพยาบาลขัดขวางไว้ กล้วยไม้ข้างหน้าต่างเพิ่งฝากข่าวบอกเมื่อครู่นี่เอง ผมว่าคุณควรไปดูเธอนะ"

นึกแล้วเชียว ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน เพราะว่าเธอไม่เคยผิดนัดแบบไม่มีเหตุผล นอกจากวันฝนตกหนักวันนั้น ต้นมะขามบอกหมายเลขห้องพักให้เสร็จสรรพ ผมออกวิ่งสุดชีวิตตรงไปยังจุดหมายด้วยหัวใจร้อนปานไฟลน รู้สึกเหมือนได้ยินเหล่ากุหลาบสาว ๆ ตะโกนเตือนอะไรโหวกเหวก แต่ไม่มีเวลารับฟัง

ตึกหลังนั้นเป็นเรือนคนไข้พิเศษหญิง ผมไม่สนใจเสียงร้องของเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่แถวนั้น วิ่งฝ่าเข้าไปดุจพายุ ขึ้นไปยังชั้นสองสายตามองหาหมายเลขหน้าห้องที่ต้นมะขามหนุ่มบอกเอาไว้ ซึ่งแทบไม่มีความจำเป็นเลย เพราะมีห้องหนึ่งทางช้ายมือของทางเดิน มีแพทย์และพยาบาลอยู่หน้าห้องสี่ห้าคน

นั่นไง... จริงอย่างต้นมะขามบอกไว้จริงๆ

คนไข้สาวนางฟ้าของผมกำลังดิ้นรนให้พ้นจากการจับยึดเหนี่ยวรั้งของพวกนางพยาบาลสองคน ซึ่งทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดกำลังเพื่อกดเธอให้นอนลงบนเตียง พวกแพทย์หลายคนยืนคุมเชิงอยู่ มีสีหน้าท่าทางเรียบเฉยเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ มือของพวกเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ซึ่งไม่ต้องทายก็รู้ว่ามีเข็มฉีดยาอยู่ข้างใน และพร้อมจะดึงออกมาได้ทุกขณะ พวกนี้เป็นจิตแพทย์มืออาชีพ ผ่านการฝึกปรือมาจนช่ำชอง สามารถชักเข็มฉีดยาออกมาปักลงบนร่างคนไข้ได้อย่างเฉียบขาดรวดเร็วแม่นยำปานประกายไฟ

"อยู่นิ่ง ๆ นะคะ" นางพยาบาลคนหนึ่งบอก
"เช้านี้ฝนทำท่าจะตก เดี๋ยวคุณไม่สบาย พวกเราจะถูกตำหนิว่าเอานะคะ"

นางพยาบาลพวกนั้นแต่ละคนผ่านการฝึกในด้านการจับล็อคคนไข้มาเป็นอย่างดี แต่คนถูกล็อคดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สายตาของเธอว่างเปล่าในขณะออกแรงดิ้นรนจนพวกนางพยาบาลหัวทิ่มหัวตำไปตามๆกัน

พวกนายแพทย์สบตากัน แล้วค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้าไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นทีท่าเรื่องจะไม่สงบลงง่าย ๆ มือพวกเขายังอยู่ในอกเสื้อ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในอกเสื้อของพวกหมอจะต้องมี “ซองเบรรจุข็มฉีดยา” อยู่อย่างแน่นอน ไม่ต่างจากซองปืนของมือสังหาร พวกเขามัวแต่สนใจผู้ซึ่งกำลังจะตกเป็นเหยื่อเข็ม ไม่ทันสนใจใครบางคนซึ่งโถมมาจากด้านข้าง และผลักพวกเขาเซถลาล้มลงไปคนละทิศละทาง

"พวกคุณจะทำอะไร จะฆ่าเธออย่างนั้นเหรอ"

ผมตวาดสุดเสียง คว้าเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ซึ่งวางอยู่ในห้องขึ้นมายกขึ้นสูง ทำท่าจะตีใส่พวกนางพยาบาล ได้ผลเกินคาด นางพยาบาลทั้งสองพากันร้องเสียงหลง วางมือออกจากการยื้อยุด เผ่นไปยืนมุมห้องอย่างตกใจกลัว

"แค่เธอจะลงไปเดินเล่นทำไมต้องห้ามต้องขัดขวางเธอด้วย พวกคุณไม่เข้าใจคนไข้ของคุณเลยหรือไง"

นายแพทย์คนหนึ่งยันตัวขึ้นมาจากพื้น มือข้างหนึ่งยังอยู่ในอกเสื้อในท่าเตรียมเพร้อม เขามองหน้าผมด้วยสายตาเย็นชาก่อนพูดว่า

“คุณทำแบบนี้เราต้องส่งคุณเข้าห้องสงบจิตเสียแล้ว อาการคุณกำเริบมากกว่าที่คิดและจัดเป็นคนไข้อันตรายแล้วตอนนี้รู้ไหม"

ห้องสงบจิต ก็คือห้องขังเดี่ยวนั่นเอง กับการมอมเมาด้วยยากล่อมประสาท เคยเห็นหลายคนถูกส่งเข้าไปและตอนกลับออกมาดูท่าทางแย่กว่าเก่าเสียอีก

“กำเริบบ้าบออะไรกัน พวกคุณต่างหากควรเข้าไปอยู่ในห้องนั้นเสียบ้าง นี่มันคุกหรือสถานบำบัดกันแน่"

"วางเก้าอี้ลงซะ"
เสียงของเขาเฉียบขาด แต่แล้วก็พลันมีสีหน้าตกใจ ก้มลงมองอกเสื้อตัวเองแล้วค่อย ๆ ดึงมือข้างขวาออกมา เข็มฉีดยานั่นเอง แต่ตอนนี้ไม่มียาเหลืออยู่เลย คงเป็นเพราะตอนล้มลงเมื่อครู่แล้วเข็มฉีดยาปักอกตัวเองเข้าให้ทำนองเดียวกับมือปืนซึ่งพลาดทำปืนลั่นใส่ตัวเอง

"นี่ล่ะ กรรมสนองกรรมล่ะ" ผมหัวเราะแค่น ๆ

แพทย์หนุ่มคนนั้นหันไปมองพวกพยาบาล เดินเซ ๆ ไปหาสองสามก้าว ท่าทางเหมือนเกิดอาการเหนื่อยอ่อนอย่างรวดเร็ว

"พวกคุณเอายาถอนฤทธิ์มาหรือเปล่า" ถามตะกุกตะกัก นางพยาบาลพากันแล้วส่ายหน้า นายแพทย์ผู้โชคร้ายหน้าซีดเผือดลง ก้าวต่อไปอีกสามสี่ก้าวแล้วทรุดลงนิ่งพิงผนังหลับไปอย่างหมดสภาพ ฤทธิ์ยาทำงานอย่างรวดเร็วและรุนแรง ลากเขาลงสู่ห้วงแห่งการหลับลึก ตอนนี้หลายคนเข้ามาในห้องและมีท่าทางจะเข้าเล่นงานผมทันทีถ้ามีโอกาส แต่เก้าอี้ในมือเป็นเครื่องมือป้องกันตัวเป็นอย่างดี

"พวกคุณทำอะไรลงไป " ผมต่อว่าด้วยเสียงอันดัง และสั่นไปด้วยความรู้สึก

"แค่เธอต้องการลงไปเดินเล่นนั่งเล่นเท่านั้น เธอไม่ได้ก่ออาชญากรรมรุนแรง ถึงขั้นต้องล้อมจับเหมือนจับผู้ร้ายแบบนี้ ผิดมากมายนักหรือไง"

"แต่ฝนกำลังจะตก"

นางพยาบาลคนหนึ่งอ้อมแอ้มตอบด้วยเสียงลั่นเหมือนไม่แน่ใจ
"ฝนจะตกเรอะ..." ผมย้อนคำแล้วหัวเราะใส่หน้า

“ต่อให้ตกลงมาจริงยังมีทางหลบฝน เธอเป็นคน ไม่ใช่กระดาษ ถูกน้ำฝนจะได้เปื่อยยุ่ย.. คนเรามีเท้าวิ่งหลบฝนได้และ.."

ยังไม่ทันจะพูดจบ พวกแพทย์พยาบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำตึก ซึ่งถือไม้ถูพื้นตามมาสบทบในตอนหลัง ต่างก็มีสีหน้าแปลกพิกลแบบบรรยายยาก

เธอ.. นางฟ้าในดวงใจของผมตอนนี้กลับสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่งลงบนเตียงมองตรงไปอย่างไร้จุดหมาย และมีเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากปาก

"ตอนจบ... ตอนจบ"

คุณพระช่วย..ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของเธอเป็นครั้งแรก และสิ่งสำคัญคือความพยายามของผมหลายเดือนผ่านมาไม่สูญเปล่า แม้ว่าเธอจะนิ่งเงียบตลอดเวลาแต่เสียงของผมดังทะลุเข้าไปในจิตใจของเธอ ความจริงวันนี้เป็นเพราะเธออยากฟังตอนจบนั่นเอง ถึงพยายามดิ้นรนไปยังลานดงสนให้ได้

เสียงหลายคนร้องอย่างแปลกใจตื่นเต้น เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอไม่เคยพูดแม้สักคำเดียว ราวกับอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่รับรู้ต่อการมีตัวตนของผู้อื่น

และเธอคงได้ยินเสียงของผม จึงได้สงบลงอย่างน่าประหลาด

คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้คนเกิดขวัญและกำลังใจขึ้นมาอย่างมหาศาล ความปลาบปลึ้มตื้นตันใจทำให้น้ำตาซึ่งคลอเบ้าแล้วหลั่งไหลอย่างไม่อายใคร และไม่มีอะไรจะอายอยู่แล้ว กับสถานที่ "ถูกปกติ” แบบนี้ ในที่สุดประตูใจของเธอก็เปิดออกจนได้

ผมวางเก้าอี้ลง นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ พยายามสะกดอารมณ์อันพลุ่งพล่าน แตะมือเธอแผ่วเบา มองหน้าและถามช้า ๆ ว่า

"คุณอยากฟังตอนจบเรื่องผมเล่าใช่ไหม"

เธอนิ่งอยู่ครู่นิ่ง และในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ยแผ่วเบาแต่กังวานไปทั่วโสตประสาท

“อยากฟัง”

"คุณพูดกับผมแล้ว "

ผมร้องสุดเสียง หัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตากำลังไหลพรากอย่างปลาบปลื้มดีใจสุดแสนก่อนหันไปหัวเราะใส่หน้าพวกหมอและพยาบาล

"พวกแพทย์และพยาบาลที่รักทั้งหลาย เห็นไหมว่าผมทำให้เธอพูดออกมาได้แล้ว ไม่ต้องพิ่งไฟฟ้าและเข็มฉีดยาบ้าบอคอแตกของพวกคุณก็ได้ เห็นไหม เธอพูดกับผมแล้ว พวกคุณดูไว้เป็นบุญตาซะ.."

เป็นเรื่องทำให้ดีใจสุขใจอย่างบอกไม่ถูก จนอยากจะโดดดบบ่าพวกแพทย์ และโดดกอดหอมแก้มสาวพยาบาลให้สาสมกับความปลาบปลื้ม แต่พวกนั้นพากันนิ่งอึ้ง หลายคนมีสีหน้าไม่เชื่อ และประหลาดใจ ความเชื่อมั่นของพวกเขาเหมือนพังทลายลงในอึดใจเดียว

ตอนนี้ผมไม่สนใจพวกเขาอีกแล้ว เธออยู่ที่นี่ทั้งคน ทำไมต้องไปสนใจคนอื่น

"อยากฟังตอนนี้ที่นี่เลยใช่ไหมครับ"
เธอส่ายหน้าปฏิเสธกับข้อเสนอ แสดงว่าเธอเข้าใจคำพูดของผมแล้ว

"งั้นคุณคงอยากไปที่ซึ่งคุณเคยนั่งฟังประจำ"

ทันใดนั้นเธอกลับเป็นฝ่ายฉวยข้อมือผมไว้อย่างไม่คาดฝัน แถมเป็นฝ่ายฉุดให้ผมเดินตามไปอีกต่างหาก ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงราวโดนผีหลอกของพวกแพทย์และพยาบาลบางคน

"เราไปกัน" เธอบอกกับผมโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ เลยสักนิด

พวกคนซึ่งยืนดูอยู่เงียบ ๆ พากันค่อยแยกออกเป็นทาง ในเมื่อเหตุการณ์มันออกมาในรูปแบบนี้พวกเขาก็ตั้งตัวไม่ถูก นายแพทย์คนซึ่งเสียท่าทำเข็มแทงตัวเองถูกนางพยาบาลสองคนหิ้วปีกออกไปแล้ว อีกคนยังยืนสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ความเป็นหมอมืออาชีพทำให้เห็น
เหตุการณ์ทุกอย่างธรรมดาสามัญไปหมด แต่ผมรู้ว่าผมชนะพวกเขาแล้ว

แต่ในขณะเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่ระวัง นายแพทย์คนนั้นก็กระชากมือพร้อมเข็มฉีดยาออกจากอกเสื้อ เงื้อขึ้นสูง

"มันก็อาการของคนบ้าเท่านั้นล่ะ" เขาคำราม

แต่ในจังหวะเข็มฉีดยาแทงลงมา ใครคนหนึ่งก็กระชากบ่าคุณหมออย่างแรง จนคุณหมอมือเข็มเซเสียหลักผวาหมุนออกไปด้านข้าง ปลายเข็มฉีดยาตวัดเฉียดผ่านผมไปอย่างหวุดหวิด

"เลิกบ้าเสียที คุณหมอ..!!!"

ปรากฏว่าเป็นการลงมือคนไข้หญิงคนหนึ่งซึ่งบังเอิญออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ คุณหมอพอดี เธอเป็นคนช่วยผมให้พ้นจากวิถีเข็มฉีดยาอย่างไม่คาดฝัน และผลักหมอไปกระแทกผนังด้วยพละกำลังของคนบ้า เข็มฉีดยาหลุดมือลงพื้นแตกกระจาย คุณหมอมองหน้าคนไข้อย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ความจริงเขายังสามารถลุกขึ้นได้ แต่ตอนนี้เหมือนเขาหมดแรงใจแรงกายไปเสียแล้ว ได้แต่นั่งพิงผนังอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดูเหมือนว่าคุณหมอจะแพ้คนบ้าทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว

"คุณจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน มันได้ประโยชน์อะไร บ้าชัดๆ "

คนไข้หญิงย้ำหัวตะปู ว่าพลางก็เดินไปหยิบเศษแก้วแถวนั้น เก็บไปทิ้งลงถังขยะด้วยท่าทางรังเกียจขยะแขยง ขณะเดียวกันก็ยังมีแก่ใจหันมายิ้มให้พวกเรา

"ไปเถอะ พวกคุณ ไม่มีใครขัดขวางแล้วล่ะ"

ไม่มีใครขัดขวางจริง ๆ ขณะเราเดินออกไปตามทางทางเดิน พวกคนไข้หลายห้องคงได้ยินเสียงเอะอะ แต่พวกเขา ก็เพียงแต่เปิดประตูออกมา ยืนมองพวกเราอย่างสงบ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในความเงียบนั้น ผมกลับรู้สึกอบอุ่นและเข้าใจอย่างประหลาดในบรรยากาศของคนบ้า

เจ้าหน้าที่เฝ้าตึกชั้นล่างเข้ามาหาขณะเราจะผ่านออกประตูไป ผมมองหน้าอย่างเอาเรื่อง แยกเขี้ยวแบบคนไข้อาการหนักซึ่งกำลังอยากงับคอหอยคนเล่น และในที่สุดเขาก็ฉลาดพอจะไม่ตอแยกับคนบ้าท่าทางกำเริบเกินพิกัด

สายลมยามเช้าแม้ว่าฟ้ามืดมัวแต่ยังคงเย็นฉ่ำ จากประสบการณ์ยาวนานทำให้พอเดาได้ว่าฝนคงไม่ตกลงมาในเวลานี้แน่นอน อย่างน้อยพวกกุหลาบก็รับรองแล้ว ผมมองหน้าเธอเงียบ ๆ ด้านข้าง ดูเส้นผมใยไหมเล่นลมคลอเคลียแก้มช่างเป็นเส้นโค้งเส้นสีแสงงดงาม

ขณะผ่านต้นมะขาม ดูเหมือนว่าเขาจะแกว่งไกวกิ่งก้านลำไปตามกระแสลม อย่างยินดีปรีดา

"ขอบใจมากนะครับ"
ผมบอกกับเขาอย่างสำนึกในไมตรีจิตซึ่งมีต่อกันอย่างดีเสมอมา
"ถ้าคุณไม่บอกไม่รุ้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ"

"ยินดีด้วยนะครับ แหม ผมล่ะอิจฉาคุณเลย เธอน่ารักจริง ๆ ไม่แพ้ต้นมะขามสาวแถวริมรั้วด้านหลังนี่เลย"

ผมยิ้ม ด้วยรู้ว่าต้นอย่างเขาไม่มีจิตใจอิจฉาริษยาใครหรอก หากเพียงแหย่ยั่วเย้าไปอย่างนั้นเอง

"มากันแล้ว"
บรรดากุหลาบสาว ๆ ทั้งหลายร้องทักกันเสียงแจ๋วระรื่นชียว พวกเธอคงรอคอยฟังข่าวอย่างตั้งตกตั้งใจ

"จับมือกันมาด้วย"

ได้ทีแล้วต่างพากันกระเซ้าเย้าแหย่อย่างมีความสุขสนุกสนาน พวกกุหลาบน่ารักเหล่านี้มักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ ถึงจะผลัดเปลี่ยนล้มหายตายจากไปบ้าง ก็ยังสืบทอดหมุนเวียนความมีชีวิตชีวาสดใสงดงามไว้ทุกรุ่น แม้แต่ต้นสนเงียบขรึมยังทำท่าเหมือนจะยิ้ม ๆ พวกต้นสนพูดน้อยมาก แต่รู้สึกว่าต้นสนแถวนี้จะใจดีเป็นพิเศษ ยอมให้พืชหลายอย่างขึ้นอยู่ใกล้ ๆได้อย่างไม่รังเกียจรังงอน กลัวแต่ว่าวันหนึ่งอาจมีคนฉุกใจคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ พวกเขาจะถูกหาว่าเป็นต้นไม้บ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันผิดปกติวิสัย มีอย่างที่ไหน ต้นสนยอมให้พืชชนิดอื่นขึ้นใต้ร่มเงาเต็มไปหมด

"นั่งแล้ว.. แน่ะ นั่งใกล้กันด้วย"

"จับมือไม่ปล่อย เลย"

พวกกุหลาบสาว ๆ ยังส่งเสียงต่อไปไม่หยุด ผมสะดุ้งเฮือก มองมือตัวเอง ตอนแรกเธอจับข้อมือผมเดินลงมาจากตึก ตอนนี้ทำไมกลายเป็นผมจับมือเธอไปได้ มันน่าสงสัย แต่ยังหาคำอธิบายชัดเจนไม่ได้ เลยปั้นหน้าพลางบอกเสียงดุว่า

"พูดมาก เดี๋ยวก็ถอนทิ้งซะหรอก"

"จ้างก็ไม่กลัว ถอนก็ถอนไปสิ เกิดใหม่ก็ได้”

เอาเข้าไป ผมนึกอย่างอ่อนใจ ... เราคบกันมานานจนรู้นิสัยกันทำให้การขู่ไม่ได้ผล แต่ก็ยังดีเป็นการแก้เขินอายอย่างหนึ่ง

"ตอนจบ."

เธอพูดเบา ๆ แม้ว่าสายตาเธอยังมองไปข้างหน้าแบบไร้จุดหมาย แต่ตอนนี้ถึงสายตาเธอจะไม่มอง หากรู้ว่าเรามองและเข้าใจกันด้วยใจ โดยไม่ต้องผ่านโสตประสาทภายนอก ให้บิดเบือนคลาดเคลื่อน

รู้ว่าเธอตั้งใจฟังอย่างเต็มที่

ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หนังสือเล่มนั้นมันหายไปเสียแล้ว หายไปพร้อมกับตอนจบซึ่งเธอกำลังตั้งใจรอฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

ทำอย่างไรดี ?

บรรดาเหล่ากุหลาบสาวเหมือนเอียงดอกเอียงใบ เตรียมฟังอย่างตั้งใจ พากันสงบปากสงบเสียงลง นางฟ้าของผมนั่งรออย่างตั้งใจเช่นกันภายใต้ท่าทางสงบเงียบ วินาทีนั้นเหมือนบรรยากาศมืดมิดโดยกะทันหัน

หางตามองเห็นนางพยาบาลสองคนซึ่งเคยติดตามคอยดูแลเธอตอนนี้ยืนลับ ๆ ล่อ ๆ สังเกตการณ์อยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ไม่ได้เดินไปคุยกันในบริเวณซึ่งเคยไปนั่งคุยกันตามปกติ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้พวกเธอวางตัวไม่ถูก

ทันใดนั้นเอง ความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในความคิด ประหนึ่งสายฟ้าแลบแทรกตัวออกมาตามมวลหมู่เมฆยามฟ้าคะนองฝน ทำไมต้องกังวลใจด้วยในเมื่อตอนนี้ผมกุมชะตากรรมของตอนจบไว้แล้วในมือ ตอนจบต้องดีที่สุดเมื่อมีทางเลือก เรื่องจะเริ่มต้นน่ากลัวปานใดแต่มันควรจะจบอย่างสวยงามดังฝัน คนบ้าก็มีสิทธิสร้างสานฝันเช่นกัน

ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องตอนจบแห่งนิยายเรื่องนี้แบบดำน้ำ สมองขบคิดทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อให้การมั่วนั้นมีระบบสมเหตุสมผลและไม่น่าเกลียดน่าชังเกินไป ตลอดเวลาทั้งคนทั้งเหล่ากุหลาบสาวพากันฟังโดยไม่ปริปากใด ๆ กระทั่งเรื่องจบลง

ความเงียบเข้ามาปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่งหลังเล่าเรื่องจบ ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องและรู้สึกผิดบาปอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกคงต้องทำแบบนี้

เธอยังคงนิ่งเงียบ จนในที่สุดกุหลาบต้นหนึ่งเอ่ยขึ้นเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจ

“ทำไมรู้สึกจบแปลก ๆ อย่างไรไม่รู้สิคะ”

ผมสะดุ้งเฮือก โธ่ ทำไมพูดตรงเหลือเกินก็ไม่รู้ พยายามฝืนยิ้มอธิบายข้าง ๆ คู ๆ

“มันเป็นเพียงนิยายนี่ครับ บางทีเราเดาใจคนแต่งไม่ถูกหรอกว่าจะจบแบบไหน จริงไหม… แต่ว่ามันก็จบลงดีมีความสุขนะ หยวนๆน่าคุณกุหลาบ”

“ใช่...แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้องอยู่นะคะ”
“อะไรอีกล่ะ” เริ่มเหงื่อตกแม้ว่าอากาศยังเย็นฉ่ำ

“แล้วหนังสือที่เคยถือมาอ่านเสมอตอนนี้ไปไหนคะ ทำไมมาเล่าแบบดำน้ำหน้าตาเฉยแบบนี้ล่ะคะ” กุหลาบสาวอีกต้นหนึ่งตั้งข้อสังเกต

รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในศาลและถูกซักฟอกอย่างไรอย่างนั้น โธ่... จะมาสงสัยอะไร แม่กุหลาบสาวช่างเจรจาพวกนี้น่าจะรู้กันอยู่ว่ากำลังมั่วตอนจบ แต่ช่างเถอะ ถึงพวกกุหลาบจะจับไต๋การหลอกลวงได้ แต่แม่สาวเทพธิดาประจำใจผมคงไม่รู้หรอก

“หรือว่าคุณทำหนังสือหายแล้วคะ”

ได้โปรด.. ผมครางในใจ แม่ดอกกุหลาบสาวพวกนี้ช่างซักช่างสงสัยแบบไม่ยอมเลิก แถมถามแบบจึ้ใจดำอีกด้วยทำเอาผวาแทบตกเก้าอี้

“เอ้อ...เช้านี้พวกคุณทานปุ๋ยทานน้ำหรือยังครับ” ผมเสเฉไฉถามไปเรื่องอื่น พยายามเบี่ยงเบนหัวข้อในการสนทนา

“เอ้ะ...ทำไมต้องเปลี่ยนเรื่องคุยด้วย แบบนี้มีเลศนัยนี่นา สงสัยคุณทำหนังสือหายไปแล้วแน่ ๆ”

“ใช่ ๆ ทำหายก็รับมาเสียดี ๆ”

ผมเอามือกุมหัวด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก พวกกุหลาบทั้งหลายพากันหัวเราะคิกคักชอบออกชอบใจเป็นการใหญ่

“พวกเราล้อคุณเล่นค่ะ” กุหลาบต้นหนึ่งบอกด้วยน้ำเสียงยิ้ม ๆ แบบดีใจที่สามารถแกล้งคนได้

“ต้นมะขามบอกความจริงพวกเราหมดแล้ว แต่แกล้งอำคุณเล่นสนุกไปอย่างนั้นเอง อย่าทำหน้าเครียดซีเรียสไปหน่อยเลยน่า หวานใจของคุณไม่ได้ยินพวกเราหรอก ไม่ต้องห่วงค่ะ”

ให้มันได้อย่างนี้สิ ต้นไม้แกล้งคน นี่ถ้าไปเล่าให้คนอื่นฟังไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน

หญิงสาวซึ่งนั่งเงียบมาตลอดค่อย ๆ ลุกขึ้น ผมใจหายวาบ หรือเธอสามารถจับได้ว่าผมเล่าแบบดำน้ำ และผลจะตามมาแบบไหนก็ไม่รู้ อาจจะโกรธจนไม่กลับมาอีกก็เป็นได้ ในนาทีนั้นผมรู้สึกตื่นตกใจ ทั้งหวาดกลัวอับอายสารพัดทั้งหลายทั้งมวล ผสมผสานกันเป็นรสชาดิยากต่อการบรรยาย

เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ การนิ่งเป็นวิธีการซึ่งตีความหมายได้มากมายหลายหลาก ตั้งแต่พอใจ ไม่พอใจ ยอมรับ ไม่ยอมรับ โกรธเกลียด ชอบ รัก สารพัด ตามแต่สถานการณ์ประกอบ แต่ตอนนี้เป็นความนิ่งอันน่ากลัวเหลือเกิน กลัวเธอจะพาลโกรธแล้วเราจะไม่ได้เจอกันอีก ทันใดนั้นผมรู้สึกใจหายวูบและรู้สึกเย็นยะเยือกไปในก้นบึ้งหัวใจ ผมทำพลาดอีกแล้วหรืออย่างไรทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เธอผิดหวังเสียใจเป็นอันขาด โลกทั้งโลกเหมือนหยุดนิ่งค้างคาไปในบัดดล




Create Date : 02 มีนาคม 2553
Last Update : 2 มีนาคม 2553 12:50:15 น. 8 comments
Counter : 693 Pageviews.  

 
จะตามอ่าน ตอนที่ 3 นะ


โดย: บ้านสามออ วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:15:25:48 น.  

 
^__________________^

แวะมาลงชื่อก่อนค่ะ หลังจากที่ตามอ่านบล็อคอย่างเงียบๆ มานาน


โดย: อินทรายุธ วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:15:30:54 น.  

 


โดย: Setakan วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:16:30:54 น.  

 
ผมเข้ามาอ่านเป็นครั้วที่สองแล้วครับ


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:18:47:33 น.  

 
ขอบคุณทั้งคุณ บ้านสามออ คุณอินทรายุทธ คุณSetakan และคุณเจียวต้ายครับ


โดย: Psycho man วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:7:46:00 น.  

 
"เก็บไปล้างซิ ฉันบอกให้คุณเก็บไปล้าง ได้ยินไหม แค่ถ้วยมะม่วงลูกเดียวปล่อยให้แห้งเกรอะกรังอยู่ได้ ทีกะเมียละกลัวหัวหด กางเกงในยังซักให้รีดให้ แน่ะ บอกแล้วยังทำเฉย.."

ถ้วยใส่มะม่วงตวาดใส่ผม ผมรีบเก็บไปแช่โครมในอ่างล้างถ้วยปนกับถ้วยที่กินเมื่อเช้า ด้วยต้องการรีบอ่านตอนต่อไป


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 7 มีนาคม 2553 เวลา:12:06:35 น.  

 
อ่านตอนนี้แล้วหลับคาคอม เพิ่งตื่น กู๊ดมอนิ่ง


โดย: มาโซคิส วันที่: 27 ตุลาคม 2555 เวลา:6:49:07 น.  

 
ทำให้นึกถึงหนังทดลองที่ถ่ายทำสมัยเรียนเป็นหนังสั้นเกี่ยวกับคนมีความสามารถแปลกๆไม่ธรรมดามาทำกิจกรรมต่างๆในห้องเดียวกัน ตอนจบเฉลยให้รู้ว่าเป็นมุมมองของคนบ้าในรพ ถ้าตอนนั้นได้อ่านเรื่องนี้อาจจะขอลิขสิทธิ์ไปถ่ายเป็นหนังสั้นเลยนะเนี่ย ชอบมาก


โดย: Ilsalaino วันที่: 5 มีนาคม 2556 เวลา:17:04:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Psycho man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add Psycho man's blog to your web]