[ หมิงกับพี่ปั้น พี่ทิพย์ สองสาวเป็นลูกของน้องสาวผมเองครับ]
วันก่อนนั่งอ่านสารคดีเรื่องการสอบ ‘ซูนึง’ (Suneung) ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยประเทศเกาหลีใต้ และจัดสอบขึ้นเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
(ใครสนใจอ่านรายละเอียดทั้งหมดตามลิ้งค์นี้ไปได้เลยครับ https://www.thepeople.co/read/social/50726?fbclid=IwAR3giaB43M5Hmja0qZcOZ-iE1S4HdsT6rzwxR9XJ6u0_9BdW0zEFB5vmTdI)
ผมนึกถึงเรื่องราวของตัวเองเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ผมถามอาจารย์แนะแนวที่โรงเรียนว่าถ้าผมไม่อยาก ‘เอนทรานซ์’ ผมสามารถเลือกเรียนในระบบอื่นได้หรือไม่ อาจารย์บอกว่า
“งั้นเธอต้องไปเรียนสายอาชีพ เรียน ปวช. ต่อ ปวส. จากนั้นหากอยากเรียน ป.ตรี ก็ค่อยว่ากันอีกที”
ผมจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะเลือกสอบเข้าเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ สาขาสถาปัตยกรรม
ทำไมผมจึงไม่อยากเอนทรานซ์ ?
เพราะผมเป็นเด็กนักเรียนที่ไม่ชอบการอ่านแบบท่องจำ ไม่ชอบการเรียนพิเศษ ไม่ชอบภาษาอังกฤษ ไม่ชอบวิชาวิทย์ คณิต ผมชอบอ่านหนังสือทุกชนิด ยกเว้นหนังสือเรียน
ผมเห็นว่าการคัดคนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษานั้นมีแต่ความกดดันและความเครียด กังวลตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่ามหาวิทยาลัยคือความหวังของพ่อแม่ ทุกบ้านล้วนคาดหวังว่าลูกของตนจะต้องเรียนเก่ง ได้เกรดคะแนนสูง ๆ มีผลงานต่าง ๆ ทั้งดนตรี กีฬา ต้องไปประกวดแข่งขันเยอะแยะมากมาย เพื่อจะใช้ประกอบการยื่นเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ผมไม่เคยถามลูกชายเลยว่าเขาอยากเรียนอะไร ? เราคุยกันเกือบทุกวันบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น ปกติก็นั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าหัวข้อที่คุยนั้นต้องถกกันเข้มข้นก็ลากยาวไปเกือบสองชั่วโมงก็มี
อาทิตย์นี้หัวข้อที่คุยกัน คือ หมิงกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้งในรอบหลายปี รอบนี้เจ้าตัวเกิดอยากอ่านวรรณกรรมรัซเซียและฝรั่งเศส ผมจึงมีหน้าที่ไปค้นหนังสือที่ตัวเองเคยอ่านมาให้ลูกอ่าน เล่มไหนไม่มีก็สั่งออนไลน์มาให้ แล้วเราก็นั่งคุยกันถึงเนื้อหาภายในเล่ม
อีกวันหมิงชวนคุยเรื่องปรัชญาอัตถิภาวนิยมซึ่งผมก็ลืมไปหมดแล้ว สิ่งที่ต้องทำ คือ ผมก็ต้องไปนั่งค้นคว้าหาอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อนี้
นี่คือ การเรียนรู้ที่ผมชอบ และผมคิดว่าลูกก็น่าจะชอบ เหมือนวันที่เรานั่งคุยกันสองชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์ว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม นั้นมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? หมิงดูคลิปภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผมใช้ประสบการณ์ตรงเท่าที่ผมมี ผมฟังลูก ลูกฟังผม ผมแย้งลูก ลูกแย้งผม การพูดคุยแบบนี้สนุกมาก สนุกจนหมิงบอกว่า
“ทำไมในโรงเรียนถึงไม่สอนศาสนาแบบที่ป่ะป๊าสอน ? ที่โรงเรียนสอนไม่สนุกเลย”
ผมบอกลูกว่ามันยากมาก เพราะอาจารย์ที่สอนอาจไม่ได้สนใจปรัชญาศาสนา เขาก็จะสอนไปตามหลักสูตรหรือแผนการสอนที่เตรียมไว้ แต่ผมสอนจากการปฏิบัติจริง เรียนรู้จากการศึกษาแบบนอกกรอบ
‘ซูนึง’ และ ‘เอนทรานซ์’ แทบจะไม่ต่างกันเลย มันตัดสินและพิพากษาเด็กคนหนึ่ง จากการสอบและผลสอบ การศึกษาและการเรียนรู้ที่เรามีอยู่ ไม่ได้สร้างเด็กที่รักในการเรียนรู้ ไม่ได้ทำให้ผู้เรียนมีความสุขและสนุกกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่รู้สึกบ้างหรือครับ ว่าเด็กไทยเรียนหนักมาก ทั้งเรียนในชั้นเรียน เรียนพิเศษ กวดวิชา บางคนเรียน 7 วันไม่มีวันหยุด แต่เราไม่เคยมีนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์โนเบลเลยสักคน เราแทบไม่เคยมีผลงานวิจัยระดับโลก ทั้ง ๆ ที่เด็กไทยนั้นสอบอะไรก็ชนะเลิศเกือบทุกรายการแข่งขัน
‘ชีวิต’ มันเป็นทั้งคำถามและคำตอบ ในบททดสอบเดียวกัน
ผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ไหลเลื่อนไปตามกฎและกรอบนั้น ผมเคยเป็นเด็กที่ไม่มีความสุขกับการเรียนรู้ในห้องเรียน เคยสอบได้เกือบที่โหล่ ไม่ใช่เพราะโง่ แต่ผมแค่ไม่มีความสุขกับวิชาที่ผมไม่ชอบ
30 ปีผ่านไป การศึกษาไทยแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน เรายังกลัว เหมือนที่เคยกลัว และพร้อมส่งต่อความกลัวให้ลูกของตัวเองต่อไป
เราต่างเดินเข้าสนามสอบแข่งขันทางการศึกษาด้วยความกลัว และเดินออกมาจากสนามสอบแห่งชีวิตด้วยความกลัว
Create Date : 17 มกราคม 2567 |
Last Update : 17 มกราคม 2567 7:54:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 92 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|