Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
ยุโรปครั้งแรกในชีวิต : วันที่ 3 ปราก

8 เม.ย. 2549
ปราก




เรากลับมาเรื่องเที่ยวกันต่อดีกว่า เราถึงปรุงปราก หรือ Praha เวลา 8.00 น. ช้ากว่ากำหนดราว 3 ชั่วโมง เนื่องจากน้ำท่วม ซึ่งก็ดีสำหรับเรา เนื่องจากถ้าเราไปถึงแต่เช้ามืด เราก็ไม่สามารถไปไหนได้เลย เพราะที่นี้ไม่รับเงินสกุลอื่นนอกจากเงินของเชคคือ Koruna (Kc). 1Kc.ประมาณ 1.8 บาทไทย
ทันทีที่เรามาถึงสถานี Praha Hlavni เราก็ต้องพบกับความลำบากในการลากกระเป่าเดินทาง เนื่องจากถานีรถไฟไม่มีบันไดเลื่อน เราต้องแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นบันได แล้วก็ลงบันไดเพื่อไปต่อรถไฟฟ้า ดีนะที่พยายามไม่ซื้อของเยอะ หลังจากที่หาทางแลกเงินKcได้แล้ว เราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟใต้ตินเพื่อไปยังที่พัก โดยเริ่มจากสถานี Namesti Republiky ซึ่งก็คือที่สถานีรถไฟ นั่งไป 1 สถานี แล้วก็ต่อสายสีเขียวไปอีก 1 สถานี ก็ถึงสถานี Staromestska เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงที่พัก

ตั๋วรถไฟฟ้าของเชคมี 3 แบบคือ
- ตั๋ว ราคา 14Kc สำหรับใช้เดินทางภายใน 15 นาที
- ตั๋ว ราคา 20Kc สำหรับใช้เดินทางภายใน 75 นาที
- ตั๋ว ราคา 120Kc สำหรับใช้เดินทางภายใน 1วัน (นับ 24 ชั่วโมง=1วัน)
(จริง ๆ แล้วมีตั๋วหลายแบบ และมีกฎกติกาเพิ่มเติม เช่นไปโซนใดได้บ้าง หรือต่อสายอะไรไม่ได้ ฯลฯ โอ้ยปวดหัว ไม่ได้ใช้เลยอ่ะ ถ้าใครอยากศึกษาก็ลองเข้าไปดูเองนะที่นี่)
//www.ropid.cz/index-en.htm

เราเข้าพักที่ Ritchie’s Hostel เป็นโรงแรมที่อยู่ในทำเลดีมาก อยู่ในย่าน Old Town Square บนถนนที่จะเดินไปสะพาน Charles หรือ Karluv Most ค่าห้อง 3 เตียง+ห้องน้ำในตัวคืนละ 4,800 Kc แต่ทำสร้างความลำบากให้อีกรอบก็คือ โรงแรมอยู่ชั้น 2 และห้องของเราอยู่ชั้น 4 โดยที่ตึกไม่มีลิฟท์ เราต้องลากกระเป๋าขึ้นและลงบันไดชัน ๆแล้วก็เป็นบันไดวนด้วย กว่าจะขึ้นถึงก็หอบแฮ่ก ๆ และเราไม่สามารถเช็คอินได้ เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ล๊อคเกอร์ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ออกเที่ยวเลย โดยวันนี้เราจะเดินข้ามสะพาน Charls เพื่อไปเที่ยวปราสาทปราก เราเดินออกจากโรงแรมไปตามถนนเพียง 200 เมตรก็เห็นภาพของหอคอยที่เป็นสัญลักษณ์ของสะพานCharls อยู่ตรงหน้าแล้ว ตอนสาย ๆ แบบนี้ยังมีโต๊ะขายของไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเริ่มมากันเยอะแล้ว

ห้องพักของเรา



เดินจากที่พักไปประมาณ 200 เมตร ก็เจอสะพาน Charles แล้ว



อีกรูปนึงก่อนเดินข้ามสะพาน



รูปถ่ายระหว่างทาง





เห็นปราสาทปรากอยู่ลิบ ๆ



รูปปั้นอันนี้ก็เป็น Highlight อีกอันนึงเหมือนกัน จะมีคนมาลูบบริเวณรูปหล่อสัมฤทธิ์จนบริเวณนี้ยังเป็นสีทองเหลืองอร่าม



น้องหมาสีทอง เพราะถูกลูบตลอดเวลา



จบจากการเดินที่ยาวนานเพราะมัวแต่ถ่ายรูปไปตลอดทาง เราก็เดินมาถึง St Nicolas Church ตลอดทางก็เดินไปได้อย่างช้าๆ เพราะมีร้านขายของที่น่าสนใจอยู่ตลอดทาง ทำให้เราเสียเวลาหยุดดูตลอดเลย ตลอดทางที่เดินแดดร้อนมาก แต่เราไม่รู้สึกร้อนเลย เพราะอากาศหนาวและลมแรง พอได้ตากแดดแล้วรู้สึกดีจังเลย และก็แวะกินของว่างเป็นขนมปังหน้าสลัดต่าง ๆ รองท้องไปพลาง ๆ อร่อยดี อิ่มท้องแล้วก็ออกเดินต่อ ก็เดินไม่ค่อยได้ระยะทางเหมือนเดิมเพราะตลอดทางมีแต่สิ่งน่าสนใจชวนให้เดินเป๋ไปเป๋มาตลอดเวลา แล้วเราก็มาหยุดพักกินกาแฟกะไส้กรอกต่อที่ร้านกาแฟกลางแจ้งหน้าปราสาทปราก เฮ้อ เราใช้เวลาเดินตั้ง 3 ชั่วโมงแหน่ะ ระยะทางนิดเดียวเอง

กว่าจะจบเรื่องการเดินทางมาถึงปราสาทปราก ก็ได้เวลาเปลี่ยนกะทหารรักษาความปลอดภัยพอดี แต่ก่อนไปดูขอถ่ายรูปกะคุณทหารเฝ้าประตูสุดหล่อซักกะหน่อย หล่อจังเลย จนเป็นที่สนใจของสาวน้อยใหญ่มากมาย ทั้งถ่ายรูปคู่ทั้งยั่วยวนให้ตะบะแตก เพราะคุณทหารเหล่านี้ห้ามขยับเขยื่อนไปไหน ต้องยืนนิ่ง ๆ ดังนั้นถึงจะโดนยั่วยวนอย่างไรก็ต้องอดกลั้นไว้ ไม่ยิ้มไม่หัวเราะ ได้แต่มองเหล่สาว ๆ ทั้งหลาย(ฮิฮิ เราแอบดูอยู่นะว่าแอบเหล่)



แต่ในที่สุด เราก็ไม่ได้อยู่ดูสวนสนามจนเสร็จ เพราะคนเยอะมาก ขนาดว่าไปยืนบนเก้าอี้แล้วก็ยังมองไม่เห็น เข้าไปดูข้างในดีกว่า เพราะ ระหว่างช่วงที่รอสวนสนาม เราก็ไปซื้อตั๋วก่อน เราเลือกตั๋วแบบ B คือสามารถเข้าชม
- St Vitus’s Cathedral
- The Great Tower (อันนี้เกือบตาย )
- The Old Royal Palace
- Golden Lane
Package นี้ราคาคนละ 220 Kc และเสียค่าถ่ายรูปด้วยอีก 30 Kc (อันนี้เสียไปเถอะค่ะ เพื่อความสบายใจในการถ่ายรูป เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเป็นระยะ ๆ )

พอได้ตั๋วแล้ว เราก็เริ่มชมความอลังการของปราสาทปราก โดยเริ่มจาก St Vitus’s Cathedral ซึ่งเป็น Hi light ของปราสาทปราก (ในความคิดของเรา) อลังการปนน่ากลัวค่ะ เพราะมีสัตว์เฝ้าโบสถ์เป็นค้างคาวผี แล้วลักษณะของโบสถ์ก็เป็นคราบเหมือนคราบเขม่าสีดำ ดูแล้วเหมือนปราสาทผีดิบเลย ความรู้สึกที่เห็นก็คือสวยมาก แต่สวยแบบน่ากลัว เห็นแล้วนึกออกเลยว่าแดร๊กคิวล่ามีชีวิตเป็นยังไง ข้างในโบสถ์เปิดให้เข้าชมฟรี แต่ถ้าซื้อบัตรก็จะได้เข้าไปดูข้างในได้มากกว่า และก็จะได้ขึ้น The Great Tower ซึ่งเป็นหอคอยภายในโบสถ์แห่งนี้ด้วย




ตอนเดินเข้าประตูโบสถ์ แหงนหน้าขึ้นไปดู สวยจังเลย เป็นปูนปั้น แปะอยู่เหนือประตู มันจะหล่นลงมาบนหัวเรามั๊ยเนี่ย



รูปสวย ๆ ภายในโบสถ์



สำหรับ The Great Tower นั้น ตัวเราไม่อยากขึ้นเลย เพราะอ่านจากคนที่เคยมาแล้วว่า ทางขึ้นเป็นบันไดวน แคบและชันมาก มีจำนวนขั้นถึง 278 ขั้น ท่าจะไม่ไหว แต่คุณป้าเพื่อนร่วมทริปทั้ง 2 คนกลัวไม่คุ้มกะค่าตั๋วที่เสียไปก็เลยยืนยันแข็งขันว่าจะขึ้นไป เอ้า ตามใจ อยากขึ้นก็ขึ้น ก็เลยต้องขึ้นไปด้วย จะได้ช่วยพยุงป้า ๆ เวลาเป็นลม โอ้โห! พี่เค้าเขียนไว้ไม่เกินจริงเลย บันไดวนที่นี่แคบและชันมาก ขั้นบันไดก็เล็ก เหมือนไม่ได้สร้างไว้ให้ตัวเอง(ฝรั่ง) เดินเลย ไม่รู้วางฝ่าเท้าได้ยังไง แล้วเวลาเดินสวนกันเนี่ยนะ ไม่รู้จะหลบกันยังไงเลย พอดีเราได้สวนกะฝรั่งตัวใหญ่ แต่ขนาดมาตรฐานฝรั่งทั่วไป ยังสวนกันไม่ได้เลย ต้องยืนหลบทำตัวลีบ ๆ ไม่งั้นสวนไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างงี้ไปตลอดทางเลยหล่ะ ทำให้เราสามารถแวะพักขาเป็นระยะ ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียฟอร์มหยุดพักเหนื่อย อิ อิ ระหว่างทางเดินไปก็ถามฝรั่งที่เดินสวนลงมาว่าอีกไกลมั๊ย ๆ ก็จะได้รับคำตอบด้วยสีหน้ามีเลศนัยจากคนที่เดินสวนลงมาว่า อีกนิดเดียว ไม่กี่ขั้นแล้ว ไม่กี่ขั้นเองเนี่ยมันเกือบร้อยขั้นนะยะ สาวสวยเซ็งเลย ในที่สุด เราก็กระเสือกกระสนขึ้นมาถึงยอดหอคอยจนได้ แบบว่าหายเหนื่อยเลยอ่ะ วิวสวยจริง ๆ คุ้มกะที่อุตส่าห์กระย่องกระแย่งกันขึ้นมากับแม่อ่ะ ส่วนน้าเนี่ยเธอเป็นซุปเปอร์วูแมน เดินมาถึงก่อนเราแล้วก็เดินชมวิวรอบหอคอยไป 1 รอบแล้วระหว่างรอเราขึ้นมา จากมุมสูงนี้ ทำให้เราได้มุมมองของโบสถ์ St Vitus .ในมุมที่แปลกออกไป และมองเห็นเมืองปรากในมุมสูงด้วย



มุมนี้มองเห็นแม่น้ำวัลตาวาเป็นทางยาว มีกุ๊กไก่ด้วย



เมื่อชมวิวเสร็จจนฉ่ำตาแล้ว เราก็มาเริ่มวิบากกรรมขาลงกันต่อ มันไม่เหนื่อยเหมือนขาขึ้นหรอก แต่คุณรู้มั๊ยว่าการเดินลงบันไดเนี่ย มันทำให้หัวเข่าเราต้องเกร็งตลอดเวลา ปวดอยู่เหมือนกัน และก็เหมือนเดิม เราต้องสวนกะคนที่เดินขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แต่คราวนี้เราเริ่มยืนลำบาก เนื่องจากเป็นบันไดวน ความกว้างของบันไดมันไม่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อเดินชิดด้านขวา เวลาลงเราก็ต้องใช้บันไดด้านที่แคบ โอ้ว แทบจะวางขาไม่ได้แน่ะ ขนาดเท้าเล็ก ๆ นะ เริ่มสงสารฝรั่งที่เดินสวนลงมาแล้วหล่ะ

ต่อจากหอคอยแล้ว เราก็เดินมาชมพระราชวังต่อ ในความรู้สึกแล้ว เราคิดว่าเราได้ไปดูสิ่งที่สวยที่สุดคือโบสถ์ St. Vitus ดังนั้นจึงรู้สึกเฉย ๆ กับสถานทื่อื่น ๆ เพราะส่วนของพระราชวังก็เป็นห้องโถงกว้าง ๆ และในชั้น 2 ก็มีจัดแสดงของประดับต่าง ๆ ที่น่าสนใจคือฮีตเตอร์สมัยโบราณค่ะ แปลกสำหรับคนเมืองร้อนอย่างฉัน

ท้องพระโรง


หนึ่งในฮีทเตอร์แบบต่าง ๆ



จบจากพระราชวังแล้ว เราก็มาเดินเล่นที่ตรอก Golden lane เป็นที่สุดท้าย เหมือนเป็นของแถมใน Package ชมปราสาทเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเสียตังค์ซื้อตั๋วเข้ามาดูร้านขายของ ของที่ขายก็แพงเหลือเกิน มิน่าล่ะ ทุก Package ที่เข้าชม จะต้องมาที่ Golden Lane ทุกอันเลย แต่ว่าเป็นสถานที่ที่ควรมาเดินจริง ๆ นะ ร้านค้าเขาจัดได้น่ารักทุกร้านเลย

หน้าต่างสวย ๆ โชว์สินค้าของร้าน



หน้าร้านน่ารัก ๆ



อีกร้านนึง



เราเดินจนคิดว่าทั่วแล้ว จึงเดินออกมาอีกทางหนึ่งของปราสาทปราก เพื่อไปขึ้นรถใต้ดินกลับไปย่านที่พักของเรา ซึ่งก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั่นเอง แต่ว่าเราไม่ได้ไปเดินเที่ยวต่อหรอกค่ะ เรากลับไปอาบน้ำต่างหาก เพราะเราได้ดองเค็มตัวเองมาตั้งแต่ฮังการีแล้วเป็นเวลาเกินกว่า 24 ชั่วโมงแล้วน่ะสิ ดองเค็มกันแบบข้ามสามประเทศเลย ว่าเข้าไปนั่น ได้อาบน้ำครั้งสุดท้ายคือเช้าวันที่ 7 ไม่ไหวแล้วหละ ถึงอากาศจะหนาวยังไงเราก็ไม่ชินหรอกนะ(นาน ๆ ทีนะที่จะทำตัวเป็นคนสะอาด)

พอได้อาบน้ำสระผมแล้วค่อยสบายตัวออกมาซ่าต่อได้ เรากะว่าจะเดินเที่ยวรอบ ๆ ที่พัก คือย่าน Old Quarter :ซึ่งเดินลัดเลาะมานิดเดียวก็จะเป็น Old Town Square แล้วหล่ะ แถว ๆ นี้มีของกินขายเยอะแยะเลย เริ่มหิวแล้วอ่ะ แล้วก็รีบเดินไปหาร้านอาหารตามรายทาง ดีนะเขามีเมนูอาหารและบอกราคาไว้ให้เราตัดสินใจว่าจะกินดีมั๊ย เราก็ไม่กินสิ ราคาไม่สมฐานะเลย แบบว่ามันแพงจังเลย ใครฟะบอกว่าค่าครองชีพที่นี่ค่อนข้างถูก จริง ๆ มันก็ถูกอ่ะนะ แต่ว่ามันแพงสำหรับเราอยู่ดี อาหารขายเป็นชุดสำหรับ 1 คน ชุดละ ประมาณ 120 kc(ราคาจากร้านถูกที่สุดแถว ๆนั้นที่เห็นนะ คนอื่นอาจจะเห็นถูกกว่านี้ อันนี้แล้วแต่ความสามารถเฉพาะบุคคล) พอสำรวจราคาเสร็จเราก็สุมหัวปรึกษากันว่าจะเอาไงดี อาหารชุดสำหรับ 1 คนเนี่ย 3 คนจะสั่ง 2 ชุดได้ป่ะ แล้วก็ต้องสั่งน้ำเพิ่มด้วยอีกมั๊ย ราคามันรวมภาษีหรือยัง สารพัดปัญหาที่สร้างขึ้นมาเพื่อจะลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ขี้เกียจถาม กินตามบู้ธข้างทางเอาละกัน ราคารวมกัน 3 คน 140 kc ส่วนน้ำก็กินน้ำที่พกมาประหยัดกว่าเยอะเลย เราก็เลยเลือกกิน Hot dog มีไส้กรอกให้เลือกหลายแบบ ราคา 35 kc เวลาซื้อจะมีขนมปังห่อให้แล้วก็มีกะหล่ำปลีดองกะซอสแถมให้อีกอย่างละกองย่อม ๆ แล้วก็ยังไปกินเนื้อหมูย่าง ย่าง แบบสิงห็เบียร์เฮ้าส์ คือเอามาทั้งขาย่างขายไปเรื่อย ๆ ขายเป็นน้ำหนัก ซื้อแล้วก็จะแถมแตงกวาดอง พริกดอง และขนมปังกะซอสด้วย แค่นี้อิ่มแล้วหล่ะ เดินเที่ยวต่อได้แล้ว แต่เนื่องจากที่นี่เป็นประเทศที่ค่าครองชีพยังถูกอยู่ ดังนั้นเราจึงควรซื้อของฝากที่นี่ซะเลย เพราะถ้าเข้าออสเตรียแล้ว โอกาสในการซื้อจะลดลงเพราะมันแพง ยอมแบกเอาหน่อยละกัน เรารู้มาว่าที่นี่มีตลาดด้วย ชื่อตลาด Havelska ก็เดินลัดเลาะไปเรื่อย ๆ หลง ๆ เป๋ ๆ ไปมั่งจนเจอ เป็นตลาดนัดที่ขายผลไม้ ขนมแล้วก็ของที่ระลึกค่ะ คงมีนักท่องเที่ยวมาเดินกันเยอะ เพราะขายราคาค่อนข้างแพง

ร้านขายไส้กรอกข้างทาง อาหารหลักของเรา


มีคนบอกมาว่าขนมของฝากที่ขึ้นชื่อคือขนมเวเฟอร์ ดังนั้นซื้อเวเฟอร์เป็นของฝากนั่นแหละ ดีที่สุด ของขึ้นชื่อ อร่อย(อันนี้สอบผ่าน เพราะซื้อแล้วไม่มั่นใจก็เลยแกะชิมพิสูจน์รสชาติซะเลย) ราคาถูก(อืม มันถูกกว่าของที่ระลึก แล้วก็เครื่องแก้วเยอะมากเลย) แล้วก็มันน้ำหนักเบา (อันนี้เข้ากะสถานการณ์สุด ๆ ไม่อยากแบกของหนักอ่ะ) ถึงแม้ว่ามันจะกินที่มากไปหน่อย (ไม่เป็นไร เอากระเป๋าใบใหญ่มา กินที่ไปเยอะ ๆ จะได้เป็นข้ออ้างในการไม่ซื้อของเพิ่มอีก) ดังนั้นเราก็เลยกวาดซื้อกันซะประชากรชาวเช็คตื่นตะลึง ประหนึ่งว่าเวเฟอร์ยี่ห้อนี้กำลังลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี ก็ไม่เยอะเท่าไหร่หรอก แค่เกือบ ๆ 20 กล่องแค่นั้นเอง แล้วยังมีสารพัดขนมแปลก ๆ อีกหลายชนิด โดยซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ต 2 แห่งชื่อ Albert กะที่ Tesco (ที่ไม่มี Lotus ต่อท้าย) เผื่อเช็คราคาตามประสาแม่บ้านแสนดี แต่ก็เกือบไปหมดท่าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เนื่องจากตอนเดินผ่านทางเข้าห้างไปนั้น เหล็กที่ดักจับของขโมยดังขึ้น รปภ.ห้างก็รีบเดินมาเชียว ดีนะที่เพิ่งเดินเข้าห้าง ไม่ได้เดินออกจากห้าง ไม่งั้นโดนจับส่งตำรวจซะแล้ว แต่ก็ต้องโดนค้นอยู่ดี เพราะมันดังแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราอาจจะไปขโมยของมาจากห้างอื่นก็ได้ ค้นไปค้นมาก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย เขาก็ปล่อยตัวไป แต่เราก็อยากรู้ว่ามันดังเพราะอะไร ก็เลยขอรปภ.เช็คซะเลย ก็เลยค้นของออกมาทีละชิ้น เพื่อลองว่ามันดังมั๊ย ปรากฎว่าต้นเหตุของเสียงคือ หนังสือ Guide book เล่มเก่งนี่เอง พอเห็นสภาพของหนังสือที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน(ไปยืมเขามา)แล้ว ก็เลยหายคาใจกัน รปภ.ก็เลยสรุปว่าหนังสือเล่มนี้อาจขโมยมา หรือไม่ก็ไม่ได้ลบ barcode ออกตอนซื้อ การโดนตรวจครั้งนี้ก้เลยทำให้เริ่มหันมาสนใจเจ้าเสาเหล็กที่อยู่ เพราะว่าตอนอยู่เมืองไทย เราก้เห็นไอ้เสานี้อยู่ตลอด แต่มันก็ไม่เห็นเคยดังเลย เคยถึงกับขอพนักงานเขาเดินถือของที่ไม่ได้คิดเงินผ่านเครื่องนี้ก็ไม่มีเสียงดัง ก็เลยคิดเอาเองว่ามันคงเป็นเสาหลอกขโมยมั๊ง แต่พอมาเจอที่นี่แล้ว ก็ต้องบอกว่าจอของจริงแล้วแฮะ แล้วก็ไปเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกที่ทางเข้าห้าง Tesco แต่ว่าทำตัวเนียน เดินตามกลุ่มคนเข้าไป พอมันมีเสียงดังก้ทำไม่รู้ไม่ชี้ หันไปมองด้วยหน้าใสซื่อว่าของใครเอ่ย ทั้งขาเข้าและขาออก แต่ตอนออกก็เสียวสันหลังอยู่เหมือนกัน เพราะที่ยุโรปนี่เขาไม่มีที่ฝากกระเป๋า แล้วการซื้อของก็ไม่ให้ถุงหูหิ้วพลาสติก (ยกเว้นห้าง Tesco ที่เดียว) ถ้าต้องการถุง ต้องจ่ายตังคืค่าถุงเพิ่ม เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้ว ก็จะเอาของที่ซื้อมาลำเลียงเข้าเป้ หรือถงที่เตรียมมา เป็นความคิดที่ดีนะ จะได้ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม นำถุงพลาสติกเก่ามาใช้ หรือไม่ก็ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยการใช้ถุงผ้าแทน (สนับสนุนอย่างแรงเลยหล่ะ เพราะตอนี้เราก็พยายามทำอยู่) ทีนี้กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อว่า เราจะทำยังไงดีที่จะออกไปอย่างปลอดภัย ก้เลยตัดสินใจไม่เอาของใส่เป้เลย แล้วก็เดินฟ่านออกไปอย่างเนียน ๆ เหมือนตอนขาเข้า ก็มีเสียงดังอีกนั่นแหละ แล้วคนก้มองเหมือนเดิม แต่ว่าไม่ยักกะมียามมาตรวจแฮะ ก็เลยไปจากที่นี่ดีกว่าก่อนที่ยามจะเปลี่ยนใจ อิ อิ

มื้อเย็นวันนี้เมนูเดียวกะเมื่อตอนบ่ายเลย คือไส้กรอกกินกะขนมปัง แต่คราวนี้เปลี่ยนชนิดไส้กรอก จะได้ไม่เบื่อ แล้วก็หมูย่าง แถมด้วยอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต พอกินอิ่มพักเท้าดีแล้วก็ออกเดินเที่ยวชมสีสันตอนกลางคืนกันต่อ ช่างเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวจริง ๆ 4 ทุ่มแล้ว คนก็ยังเดินกันพลุกพล่านอยู่ เราเดินไปที่ Old town Square พอดีได้ดูนาฬิกาดาราศาสตร์ด้วย มีคนมารอดูกันเยอะมาก และพอนาฬิกาดังเสร็จ ก็จะสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว และสังเกตุได้ว่า จะมีการมาชุมนุนอย่างนี้ตลอดทั้งวันทุก ๆ 1 ชั่วโมง เพื่อรอดูนาฬิกาดัง พวกเราซื่งพักอยู่แถว ๆ นี้ก็เลยได้ดูนาฬิกาดังอยู่หลายหนเหมือนกัน

จบวันแรกในปราก







Create Date : 02 มกราคม 2550
Last Update : 27 มกราคม 2550 20:43:56 น. 4 comments
Counter : 1748 Pageviews.

 
เข้ามาชมค่ะ


โดย: กระพรวนน้อยเสียงใส วันที่: 3 มกราคม 2550 เวลา:1:10:32 น.  

 
แวะมาเที่ยวด้วยคนค่ะ
สวัสดีปีใหม่นะคะ


โดย: noojew วันที่: 4 มกราคม 2550 เวลา:21:17:16 น.  

 
อ่านแล้วเพลินจัง เหมือนได้ไปเอง เขียนเก่งมาก


โดย: อรพิณ อัครชัยวัฒน์ IP: 58.8.172.222 วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:13:10:34 น.  

 
ชอบมากๆๆเลยสวยจัง


โดย: มิ้นจังคะ จู๊ปๆๆ IP: 203.154.48.130 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:38:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.