Don't Worry, Be Happy

<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
19 พฤษภาคม 2552
 

Title: เมื่อเวลาเดินช้าลงที่เชียงคาน (3)

ดูเรือ Drift ที่แก่งคุดคู้

เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านหน้าบ้านทำให้ผมตื่นจากนิทรา ผมจำได้ลางๆ ว่านาฬิกาปลุกมือถือได้ส่งเสียงสกาเร็กเก้ปลุกผมไปหนึ่งรอบแล้ว แต่...ครับผมนอนต่อตามฟอร์ม จนเวลาล่วงไปถึง 6 โมงผมถึงจะถีบตัวเองลุกจากที่นอนได้ และผมเพียงแค่เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน แล้วรีบออกไปยังสถานที่ที่ผมจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นทันที ซึ่งที่นั่นก็คือ แก่งคุดคู้ โดยนำมอเตอร์ไซค์คู่ใจยายศรีพรรณเป็นพาหนะพาผมไปที่นั่น (พวกเราเรียกมันว่าไอ้เขียว แต่คุณยายบอกให้เรียกคุณเขียวสิ) ซึ่งแก่งคุดคู้ที่ว่านั้นห่างจากที่พักเพียง 2 กิโลเมตรเศษๆ เท่านั้นเองครับ โดยใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง (เผอิญว่าไอ้เขียวมันแก่แล้ว เลยต้องค่อยๆ บิด ซิ่งมากไม่ได้อ่ะฮะ)



ซิ่งโลดดดดด...



แก่งคุดคู้ เรือกำลังดิรฟท์อยู่ลิบๆ เชียว

ตามข้อมูลที่ผมนำติดตัวไปด้วยลอกว่า แก่งคุดคู้ เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ตัวแก่งกว้างใหญ่เกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านไปเพียงช่องแคบๆ มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะชมแก่งคุดคู้ที่สุดคือ เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้ง มองเห็น เกาะแก่งต่างๆ ชัดเจน ฮ้า...!! แสดงว่าผมมาถูกเวลาเป็นที่สุด แต่...วันนี้ท้องฟ้าปิดครับ ทำให้ผมไม่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ได้ ไม่เป็นไร...เมื่อมาถึงแล้วผมก็ลัลลาให้สุดกับการถ่ายรูป สลับกับแวะไปไต่ถาม พูดคุยกับพี่ๆ ชาวประมงที่แก่งแบบเนียนๆ เช่นเดิม



หินในแก่งคุดคู้ฮะ

ผมเดินลงไปข้างล่างเห็นชาวบ้านออกเรือหาปลาอยู่ เรือบางลำติดกระแสน้ำวนเล็กๆ ทำให้เรือหมุนวนเป็นรอบๆ คล้ายกับพี่คนขับแกกำลังจะดริฟท์เรือเล่นยังไงยังงั้น แหะๆ แต่กระแสน้ำวนไม่รุนแรงนักนะครับ พี่คนขับเรือก็อาศัยความชำนาญพาเรือออกจากน้ำวนได้ ส่วนลักษณะของหินในแก่งนั้น มีรูปร่างกลมมน แถมสียังสวยอีกต่างหาก ซึ่งบนฝั่งผมเดินผ่านซุ้มบริการที่เขียนว่า สปาด้วยหินจากแก่งคุดคู้ด้วยล่ะ แต่ตอนที่ผมไปนั้นยังเช้าเกินไป ร้านเลยยังไม่เปิด เมื่อแสงแดดแรงขึ้น ด้วยความกลัวผิวผู้ดีของผมจะเสียเอา เพราะยิ่งเป็นคนแพ้แดดอยู่ (อิอิ) จึงตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พัก




วิถีชาวบ้าน



ปลาแม่น้ำโขงตัวเบ้อเริ่ม

ซดข้าวต้ม แล้วพาสาวชมแก่งคุดคู้ (อีกรอบ)

เมื่อกลับถึงบ้าน คุณยายก็เรียกผมให้ไปกินข้าวต้มหมูที่ยายเพิ่งทำเสร็จร้อนๆ พอดี ผมซัดข้าวต้มไปสองชาม พร้อมกับตบตูดด้วยกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย จากนั้นผมก็อาสาเพื่อนๆ ในบ้านพักไปล้างชามให้ ขณะที่ผมล้างจานอยู่พี่ณีและพี่ดา คุณครูสาวสองคนจากเชียงใหม่ ก็เข้ามาซักถามเรื่องทางที่ไปแก่งคุดคู้ เธอทั้งสองบอกว่าเมื่อเย็นวานได้ขี่จักรยานไปเที่ยวเหมือนกัน แต่พอเข้าไปแล้วเห็นสองข้างทางเป็นป่า เลยไม่กล้าเข้าไปลึกมาก จึงตัดสินใจกลับ แต่หารู้ไม่ครับ ผมบอกพวกเธอไปว่าต้นทางในซอยที่เข้าไปเป็นป่าจริงๆ แต่พอเข้าไปลึกๆ แล้วจะเจอหมู่บ้าน และวัดโพนชัย หรือ วัดท่าแขกด้วย ซึ่งผมก็อาสาที่จะพาพวกเธอไป โดยเอาไอ้ม่วง มอเตอร์ไซค์คุณยาย ยี่ห้อซูซูกิเหมือนกัน ซึ่งเก่ากว่าไอ้เขียว และไม่เคยมีใครขี่ได้ไป โดยให้พี่สิทธิ์ช่วยเช็คสภาพว่ายังพอไปไหวไหม...โดยสภาพแล้ว ไอ้ม่วงสตาร์ทติดได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจครับ และถ้าจะดับเครื่องยนต์ก็ใช้วิธีดึงโช๊คเอา ที่สำคัญไอ้ม่วงมันวิ่งได้แค่สองเกียร์เท่านั้น แต่สมาชิกที่จะไปแก่งคุดคู้ (อีกครั้ง) เพิ่มมาอีกคนนั่นก็คือน้องหนิง



สภาพไอ้ม่วง

ผมฝึกซ้อมขี่ไอ้ม่วงอยู่นานจนมั่นใจว่าไปรอดแน่นอน จึงลองให้น้องหนิงขึ้นมาซ้อนท้าย ปรากฎว่ารถไม่เขยื้อนครับ บิดยังไงก็มีแต่เสียงเท่านั้น ผมจึงหันไปบอกน้องหนิง “เฮ้ย...เอ็งตัวหนักป่ะวะ” น้องหนิงไม่มีคำตอบ จึงได้แต่หัวเราะแหะๆ จนผมขอเปลี่ยนตัวเป็นพี่ดาซึ่งในทริปนี้ตัวเล็กที่สุด ปรากฎว่าไปได้ครับ เย้...

ระหว่างทางเข้าไปพี่ดาเสนอว่าขากลับขอแวะเที่ยวที่วัดท่าแขก แล้วก็ขอซื้อของฝาก นั่นก็คือ “มะพร้าวแก้ว” ของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของที่นี่ แน่นอน...ผมรับคำอย่างไม่มีปัญหาอะไร เมื่อมาถึงผมก็จับพวกเธอถ่ายรูปอย่างเป็นที่สนุกสนาน (สมใจผมเลยล่ะ มีนางแบบถ่ายรูปโดยไม่ต้องจ้าง 55+) พวกเราลัลลาอยู่นานสองนานจนแดดแรงขึ้นจนทนไม่ไหว (บอกแล้วว่าแพ้แดด) จึงเดินทางกลับ โดยไม่ลืมที่จะแวะซื้อของฝากด้วย แต่...ครับลืมไปเที่ยววัด สงสัยจะไม่มีบุญแฮะ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ เพราะวัดท่าแขก ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่โบราณ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกหนึ่งแห่ง ปัจจุบันเป็นวัดธรรมยุต ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก แถมเค้าบอกมาว่าที่วัดมีซุ้มประตูวิหารทรงโค้งแปลกตาด้วย แต่สายเกินไปที่เราจะกลับไปแล้วครับ เพราะกว่าจะนึกขึ้นได้ เราก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าเมืองไปแล้ว


อาหารพื้นเมือง

ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านยาย พวกเราแวะลองของซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่าอร่อยมากๆ ซึ่งพี่จรแกยืนยันมาว่าอร่อยจริงๆ แกมาอยู่ที่นี่หนึ่งอาทิตย์ แกซัดเสียวันละสองชาม อาหารที่ว่านั่นก็คือ “ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว” ครับ แน่นอนข้าวปุ้นแปลว่าขนมจีน แต่ขนมจีนนั้นถ้าจะพูดง่ายๆ นั่นก็คือใส่ลงไปในต้มเลือดหมูนั่นแหล่ะครับ แต่ที่พิเศษก็คือ ผักเครื่องเคียงที่กินคู่กับข้าวปุ้นน้ำแจ่ว โดยจะมีกะปิไว้จิ้มกินกับผักด้วย จากนั้นเราก็บีบมะนาวลงไปในชาม ปรุงเครื่องปรุงที่คิดว่าถูกปากที่สุด จากนั้นก็...โซ้ยยยยยยย




ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว

ปราชญ์ในร้านไอติม

พวกเรากลับมาถึงบ้านยาย พักล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย พี่จรกับพี่กบก็กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว เมื่อไม่มีอะไรจะทำซักพักพี่ณีก็ชวนผมไปกินไอติมบุฟเฟต์ที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งชื่อว่า “บ้านดอกฝ้าย” ที่นั่นมีขายโปสการ์ดและยังมีหนังสือให้อ่านเล่นด้วย แน่นอนผมตามไปอย่างว่าง่าย โดยทิ้งไอ้เขียว และไอ้ม่วงไว้ที่บ้าน เผื่อจะมีใครจะเอาไปใช้ขี่ไปเที่ยวบ้าง และจับจองจักรยานไปคนละคัน พี่ณีบอกอยากให้ผมไปช่วยต่อปากต่อคำกับเจ้าของร้านเสียหน่อย เธอบอกว่าปากคอผมน่าจะสู้กับเขาได้ เอ๊ะ!! ยังไง



ในบ้านดอกฝ้าย

เมื่อไปถึงผมก็เห็นชายหนุ่มท่าทางกวนๆ คนหนึ่งมั่นใจได้เลยว่า ต้องเป็นไอ้...เอ้อ เขาแน่นอน ซึ่งก็ไม่ผิดครับ สาวๆ โดนแซวตั้งแต่ยังเดินเข้ามาไม่ถึงร้าน จากนั้นชายหนุ่มคนดังกล่าวยังบอกให้ลองเดินขึ้นไปชมข้างบนได้ ซึ่งผมดูแล้วร้านนี้จัดร้านค่อนข้างเรียบง่าย แต่คลาสสิค มีโปสการ์ดหนีบไว้แทบทุกส่วนของร้าน (ในห้องน้ำมันยังมี) เมื่อชมร้านแล้ว ผมจึงสั่งไอติมโปะกาแฟปั่นมาหนึ่งถ้วย ขณะที่น้องหนิงขยับตัวตักไอติมบุฟเฟต์ที่กินได้ไม่อั้น เพียงถ้วยละ 49 บาทเท่านั้น แถมมีท้อปปิ้งให้เลือกมากมายด้วยล่ะ ในวงเล็บว่าต้องบริการตัวเอง ซึ่งน้องหนิงตักมาซะพูดถ้วยจนโดนแซวจากชายหนุ่มคนนั้นอีกดอกหนึ่ง ซึ่งต่อไปนี้ผมขออนุญาติเรียกชายหนุ่มคนนั้นว่าไอ้ปุยนะครับ



โปสการ์ดสวยๆ ไอติมหร่อยๆ (กินชอคโกแล็ตดำๆ อีกแล้วด้วย...อิอิ)

นั่งกินไอติมเคล้าเสียงเพลงลูกกรุงเก่าๆ ได้ซักพักชายหนุ่มอีกคนก็เดินเข้ามา เขาชื่อว่าพี่นพ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี คุยเก่ง แถมสนุกอีกต่างหาก ที่สำคัญขณะคุยกับแกผมต้องหาโลห์มาป้องกันตัวเองเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ทันระวังตัว พี่แกปล่อยคำคมมาฟันผม และสาวๆ ซะแผลเต็มตัวเลยครับ จากการนั่งคุยมาเรื่อยๆ จึงได้ทราบว่า ร้านนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้เด็ก วัยรุ่น หรือคนท้องถิ่นมีร้านเล็กๆ ราคาไม่แพง มีอินเตอร์เน็ตราคาถูก แถมยังรับสอนภาษาอังกฤษ ศิลปะ ให้กับน้องๆ ที่สนใจ แล้วอยากให้ร้านอยู่ยั่งยืนและผสมกลมกลืนไปกับคนในท้องถิ่นนานๆ ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดีมากๆ ที่สำคัญผลงานภาพศิลปะ ภาพถ่าย งานประดิษฐ์ต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้ ไปร้านสวยๆ (ที่พี่แกบอกว่าอุตส่าห์วาดให้ขี่เหร่แล้ว) เป็นฝีมือของพี่นพทั้งนั้นครับ จากนั้นพี่นพก็ผละไปเป็นแต่ไอ้ปุยยังนั่งต่อ อีตาคนนี้ไม่มีอะไรมากครับ นอกจากกวนทีนนนน...มันลูกเดียว ชนิดที่ว่าผมต้องยกธงยอมแพ้ เลือกที่จะอยู่นิ่งๆ จะได้ไม่เจ็บตัว

เวลาล่วงไปถึงเที่ยง นายปุย (เรียกเพราะๆ และ) ก็ชวนกินข้าว โดยอาสาออกไปซื้อส้มตำ ไก่ย่าง ซึ่งยืนยันว่าเป็นเจ้าประจำ และอร่อยที่สุดมาให้ ขณะเดียกันนั้นน้องหนิงมันก็ซัดไอติมไปประมาณ 4 ถ้วยได้แล้ว “กินข้าวก่อน ท่าทางจะหิวจัด เดี๋ยวไอติมหมดร้านไม่มีขาย แล้วผมจะซวย” นั่นล่ะ...คำกัดแบบเฉี่ยวของนายปุยเขาล่ะ

รอเพียงอึดใจ นายปุยที่ออกไปซื้อของกับพี่ดาก็กลับเข้ามา ซึ่งเมนูกลางวันนี้เป็นตำซั่ว ใส่ปราร้า (ที่นี่เขากินส้มตำกับผักต้ม แถมยังมีน้ำจิ้มจิ้มดด้วยล่ะ) ส้มตำปราร้า และไก่ย่าง ซึ่งตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยลองกินปลาร้ามาก่อนเลย ก็ได้มื้อนี้แหละครับที่ได้เปิดซิงปากผม พี่นพกินเร็วมากครับ เพียงแป๊บเดียว พี่แกก็ลุกไปประจำการที่เคาน์เตอร์แล้ว ผมตะโกนเชิงถามไปว่า พี่นพอิ่มเร็วจัง พี่แกตอบว่ายังไงรู้ไหมครับ “ถ้าเราคิดว่าอิ่ม เราก็อิ่ม ไม่ต้องกินเยอะอะไรหรอก” เอิ๊ก...โดนไปอีกหนึ่งแผล เมื่อกินอิ่มแล้ว พวกเราก็อาสาล้างจานให้ “กินซะขนาดนี้ ไม่ล้างจานให้ ก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว” แน่ะ...มีกัดอีกจากนายปุยเจ้าเก่า



นายปุย กับพี่นพ สังเกตุได้ว่าเราเอากะละมังมาใส่ตำซั่วปลาร้ากันนะฮะ ขอบอกว่าเยอะ แถมอร่อยมาก...

โดยรวมแล้วเมื่อเข้ามานั่งเล่นที่ร้านนี้ก็เหมือนได้เข้ามานั่งพูดคุยกับเพื่อนเสียมากกว่าครับ นายปุย และพี่นพให้ความเป็นกันเองมากๆ แถมยังนั่งเล่นได้เรื่อยๆ โดยมีหนังสือดีๆ ให้เลือกอ่านเยอะแยะ อีกต่างหาก จากนั้นผมก็ขอตัวกลับก่อน


เด็กเสิร์ฟจำเป็น

ผมใช้เวลาว่างในช่วงบ่ายหมดไปกับการอ่านหนังสือ เขียนโปสการ์ดจนถึงเย็น พี่ณีกับพี่ดากลับเชียงใหม่ไปแล้ว ส่วนน้องหนิงผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเธอที่ท่ารถ เพื่อกลับกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันสายฝนก็เทลงมา ซึ่งช่งวนี้คนจะเข้ามานั่งกินอาหารที่บ้านยายมากเลยครับ ทำให้พี่น้อย และพี่สิทธิ์ทำอาหารไม่ทันผมจึงอาสาเป็นตัวแทนของพี่กบ เป็นเด็กเสิร์ฟแบบเต็มตัว ทั้งเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำ เช็ดโต๊ะ แถมเกือบคิดตังค์ให้แล้วด้วย ขณะเดียวกันยายศรีพรรณก็กล่าวขอบคุณผมอย่างไม่ขาดสาย “ไม่เป็นไรครับ ถือว่าช่วยๆ กัน สนุกดี” ผมบอกแกไปอย่างนั้น จนฝนซา คนในร้านก็น้อยลง ผมจึงเดินไปนั่งเล่นที่ร้าน สะบานดีเชียงคาน ไปนั่งเขียนโปสการ์ด พูดคุยเล่นกับพี่หน่องอีกครั้ง ก่อนขอตัวกลับพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น


ตักบาตรข้าวเหนียว

ตีห้าครึ่ง นาฬิกาจากมือถือส่งเสียงเพลงสกาเร็กเก้ปลุกผม หากคราวนี้ผมตื่นอย่างรวดเร็ว ให้ลงมาเดินชมเมืองเชียงคานช่วงฟ้าสางเป็นการส่งท้ายก่อนกลับ ก่อนเดินกลับที่พัก เพื่อมาชมการตักบาตรข้าวเหนียวของชาวบ้านกัน แต่วันนี้นักท่องเที่ยวที่มาตักบาตรเยอะมากๆ ครับทำให้ผมหามุมสวยๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยได้ ขณะเดียวกันคุณยายบ้านน้องฝ้ายที่อยู่ตรงข้ามบ้านคุณยายก็ขี่จักรยานมาจอดที่หน้าบ้านแก ผมเห็นคุณยายแกลุกลี้ลุกลนจัดของเพื่อจะใส่บาตรก็เลยเดินเข้าไปช่วย ซึ่งคุณยายแกก็ชวนให้ผมตักบารตกับแกด้วย แน่นอนผมใจง่ายยอมแต่โดยดี (อีกแล้ว) ซึ่งการตักบาตรของที่นี่จะปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนกลมๆ ใส่บาตรให้พระไปส่วนกับข้าวอื่นชาวบ้านจะตามไปถวายให้ที่วัด ซึ่งคุณยายแกมีหน้าที่ปั้นข้าวเหนียวใส่ เพราะแกคล่องกว่า ส่วนผมยิบซาลาเปาลูกเล็กๆ ตามซึ่งหน้าที่ผมมีแค่นี้ก็แทบหยิบไม่ทันแล้วครับ เพราะหลวงพ่อ หลวงพี่รวมถึงเณรต่างก็เดินเร็วมากๆ จากนั้นผมก็อาบน้ำ พร้อมเตรียมตัวเดินทางกลับ




คุณยายคนนี้มารอใส่บาตรทุกวัน



คุณยายของเราก็รอ



พระมาแล้วววว...



คุณยายใส่บาตร



คุณยายบ้านน้องเมย์ ที่อุตส่าห์แบ่งบุญให้คนอย่างผม

สวัสดีเชียงคาน...แล้วเราจะพบกันใหม่

อาหารเช้าวันนี้คุณยายทำให้ทานแบบง่ายๆ ครับนั่นก็คือ ขนมปังไข่ดาว ผมกินอาหารมื้อนี้ พร้อมกับจิบกาแฟร้อนอย่างช้า สายตาจ้องมองแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยเหมือนจะเก็บภาพนั้นเอาไว้ให้จดจำเนิ่นนาน คุณยายเข้ามาไถ่ถามเรื่องเวลารถออกด้วยความเป็นห่วงอยู่เป็นระยะ ขณะเดียวกันพี่สิทธิ์ก็เดินมากระเซ้าแหย่ “จะกลับจริงๆ เหรอไปป์ อยู่ต่ออีกซักคืนน่า” ผมยิ้มให้กับพี่สิทธิ์ ผมรู้ตัวดีว่าแม้จะอยากอยู่ที่นี่แค่ไหน แต่ผมจำเป็นต้องกลับกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเผชิญการงานที่จะพาเหรดกันเข้ามาโดยที่ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจ “เดี๋ยวหน้าหนาวผมจะกลับมาอีกครั้งพี่ เตรียมห้องรอไว้ได้เลย” ผมตอบแกไปอย่างนั้น

เวลาเดินทางก็มาถึง 8 โมงกว่าพี่เรศ และพี่เอ๋ ก็เรียกรถสองแถวมาที่หน้าบ้าน พวกเราร่ำลาคุณยายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยรอยยิ้มแห่งไมตรีจิต คุณยายกำชับสามล้อบอกให้ขับดีๆ “นี่ลูกรักยายเลยนะ อุตส่าห์ช่วยยายทำงานด้วย...” ยายพูดจบแกก็เข้ามากอดผม ผมกอดตอบก่อนยกมือไหว้สวัสดีแก พี่น้อย พี่สิทธิ์ สามล้อเคลื่อนตัวออกจากบ้านยายแล้ว ผมเห็นพวกเขาทั้งสามคนยืนส่งพวกเรา จนรถสามล้อเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ และลับตาไป







เชียงคานอาจจะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไทย เชียคานอาจจะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ ติดริมแม่น้ำโขงเพียงเท่านั้น แต่ในความธรรมดาที่ตาเรามองเห็น...เชียงคานมีอะไรที่พิเศษแตกต่างจากที่อื่นออกไป รอยยิ้ม ความจริงใจ อัธยาศัย ไมตรีจิตของผู้คนที่นี่ ทำให้เชียงคานจะเป็นอีกที่หนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมความประทับใจต่างๆ เหล่านี้ออกไปจากหัวใจแน่นอน...ผมรักที่นี่...เชียงคาน


ขอขอบคุณ
- เว็บไซต์ //www.paiduaykan.com, //www.sripanhomestay.com , //www.chiangkhan.com สำหรับแหล่งข้อมูลในการท่องเที่ยว
- บ้านศรีพรรณโฮมสเตย์ คุณยายศรีพรรณ พี่น้อย พี่สิทธิ์ น้องพีช ที่คิดว่าผมเป็นคนในครอบครัว หาใช่ลูกค้า นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อน แล้วก็จากไปไม่
- พี่จร และพี่กบ สำหรับข้อคิดดีๆ ที่ได้จากการสนทนากับพี่
- พี่เรศ และพี่เอ๋ สำหรับการร่วมผจญภัยบนรถทัวร์ด้วยกัน ทั้งขาไป และขากลับ พวกพี่สุดยอดจริงๆ ครับ
- พี่ณี และพี่ดา สองสาว แม่พิมพ์ของชาติจากเชียงใหม่ ถ้าเด็กๆ ได้คุณครูที่แก่งและมองโลกในแง่ดีเหมือนกับพี่ทั้งสอง ผมมั่นใจว่าโตขึ้นพวกเขาต้องเป็นคนดีแน่นอนครับ
- น้องหนิง หญิงเหล็กทีกล้าแบกเป้มาเที่ยวคนเดียว...เฮ้ย! เอ็งเจ๋งว่ะ
- สาวๆ ร้านสะบายดีเชียงคาน พี่หน่อง พี่เหมียว อีกคนจำชื่อมะได้อ่า T T ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ และรูปถ่ายสวยๆ ในร้านครับ //redpiggy.multiply.com/ เข้าไปชมภาพถ่ายสวยๆ จากฝีมือหมอยาสาวแห่งร้านสะบายดีเชียงคาน ได้ตามลิงค์นี้เลยครับ
- ร้านไอเดียดีๆ กับเสื้อสวยๆ โปสการ์ดเก๋ๆ //www.idea-deedee.com/
- ร้านลมรำเพย กับไอเดียที่เปิดแกลลอรี่เล็กๆ เพื่อคนชอบงานศิลปะ //lomrumpoei.multiply.com/
- ร้านบ้านดอกฝ้าย พี่นพ นายปุย กับมุมมองปราชญ์ๆ และความกวนทีนที่มอบให้ แต่ชอบนะ ฮาดี ไม่รู้จะฮาไปทำไมมากมาย เหอๆ
- ความติสต์แตก (ก็ได้วะ) ที่พาตัวเองให้หลุดพ้นจากมลพิษในเมืองกรุง สู่รอยยิ้มจริงใจ ในเมืองที่เงียบสงบ

ขอบคุณครับ




ใครหว่า...แหม ไม่อยากจะชม อิอิ


L-O-V-E - Olivia




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2552
8 comments
Last Update : 20 พฤษภาคม 2552 0:26:14 น.
Counter : 1523 Pageviews.

 
 
 
 
แวะมาเยี่ยมคุณยางค่ะ

ขออนุญาตแปะโป้งคุณนะคะ
ยังนั่งทำงานอยู่เลย
 
 

โดย: ปณาลี วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:43:46 น.  

 
 
 
หวัดดีค่า
น้าไปป์

คิดถึงจังเล้ย
ไม่เจอออนเอมเลยอ่า
จำได้ป่าวว่าเนี่ยคัย
 
 

โดย: พิมพ์ IP: 125.27.239.215 วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:33:44 น.  

 
 
 
จบเสียเเล้ว ว้า... อิอิ จะมีภาคต่อไหมคะ 555
 
 

โดย: อมิธีสท์ วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:46:25 น.  

 
 
 
น้องไปร์ไม่ได้มารับเสื้อที่ร้านพี่กลับไปอะครับเดี๋ยวพี่จะเก็บไว้ให้นะครับ *-*
 
 

โดย: พี่อ้น ไอเดียดีดี IP: 118.173.93.102 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:01:17 น.  

 
 
 
คุณตูน - ได้เลยฮะ ^ ^

นู๋พิมพ์ - แหมจำได้สิฮะ เปิดเทอมแล้วก็ตั้งใจเรียบแล้วกันเนาะ

นู๋พลอย - จบแล้วจ้า นอกจากจะมีภาคต่อไป เมื่อตอนเข้าหน้าหนาวอ่ะนะ อิอิ

พี่อ้น - อ่ะจิงดิพี่ นี่ผมขี้ลืมขนาดนั้นเชียวเหรอพี่ T T โหแล้วอุตส่าห์ตามหาบล๊อคนี้จนเจอ ขอบคุณมากมายฮะพี่ ^ ^
 
 

โดย: ยางมะตอยสีชมพู IP: 124.121.131.83 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:33:50 น.  

 
 
 
- - เห็นสภาพไอ้ม่วงแล้ว
คุณยางมะตอยทำชิ้นส่วนเค้าหลุดเพิ่มหรือเปล่า

 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:48:34 น.  

 
 
 
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ฮิๆๆๆ
ว่างๆกลับมาเยี่ยมกันอีกนะ ^___^
 
 

โดย: เหมียวเอง..สะบายดี เชียงคาน IP: 125.26.210.252 วันที่: 22 มิถุนายน 2552 เวลา:23:09:04 น.  

 
 
 
เพิ่งไปมาเมื่อวันที่ 9-10 ธันวาค่ะ ตอนแรกเพื่อนแนะนำให้นอนบ้านยายศรีพรรณ แต่ช่วงนั้นเต็มเลยได้นอนที่ชานเคียงแทน (อยู่ติดกับบ้านยายเลยแหละ) ยอมรับว่าฝีมือพ่อครัวพี่สิทธิ์สุดยอดค่ะ เดี๋ยวปีใหม่นี้ก็จะกลับไปเคาท์ดาวน์ที่เชียงคานอีกล่ะ
 
 

โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:10:55:41 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com