Don't Worry, Be Happy

<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 พฤษภาคม 2552
 

Title: เมื่อเวลาเดินช้าลงที่เชียงคาน (1)

รอยยิ้มที่หายไป

เวลาหกโมงเช้าของทุกวันยังมีชาย(ยัง)หนุ่มอยู่คนหนึ่งต้องสะดุ้งตื่น ดีดตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนเป็นประจำ บางครั้งเขาผวาตื่นขึ้นมาก่อนนาฬิกาจากมือถือที่เขาตั้งเสียงปลุกเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองเป็นจังหวะสกาจะดังขึ้นเสียอีก

หลายวันที่ผ่านมานั้น เขารู้สึกว่าเขาไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองกรุงเลย เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับเกียรติอย่างเพียงพอในฐานะอาร์ตไดฯ ที่ตำแหน่งนี้เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในสถานปฏิบัติงานที่เขาทำอยู่ ทั้งจากตัวหัวหน้า แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานบางคน เขากลับมาคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่าสถานที่ที่เขาทำงานอยู่นั้นเหมาะสมกับเขาหรือไม่ ชั่ววูบความคิดเขารู้สึกเกลียดสิ่งที่เรียกว่าการตลาด และทุนนิยมขึ้นมาทันใด เขากำลังทำอะไรอยู่...เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาตั้งใจทำมันอยู่นั้น เพื่ออะไร และเพื่อใคร

ที่ผ่านมานับตั้งแต่ย้ายบริษัทมานั้นเขารู้สึกว่าสมองของเขาฝ่อลงเรื่อยๆ เขาได้ทำงานสร้างสรรค์น้อยลง และได้รับมอบหมายงานที่ต้องเจรจา เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อให้สิ่งที่เรียกว่าความคุ้มค่ากลับเข้าบริษัทให้มากขึ้น เผลอเพียงไม่กี่เดือนเขารู้สึกว่ารอยยิ้มที่เคยผุดอยู่บนใบหน้าคล้ำๆ แต่อุดมซึ่งเสนียด เอ๊ย!! เสน่ห์ของเขาค่อยๆ คืบคลานจางหายไป จนถึงวันนี้เขารู้ตัวว่า รอยยิ้มของเขาได้จากเขาไปแล้ว

กิจวัตรประจำวันของเขาคือการทำงานแข่งกับเวลา เขาต้องรีบทำงานเพื่อเอาชนะคู่แข่งขันทางการตลาด เขาต้องรีบเดินทางไปทำงาน เพื่อให้ทันรถบริษัทที่จะมาเช้าตรู่ทุกครั้งที่เขาตื่นสาย และจะมาสายทุกครั้งเมื่อเขาแหกขึ้ตาตื่นมารอที่จุดรับส่งเป็นคนแรกๆ

เขาเบื่อสภาพชีวิตที่ต้องอยู่บนความเร่งรีบแบบนี้ อีกทั้งรอยยิ้มที่เขาเคยมีได้จากเขาไปนานแล้ว และเมื่อเขาสบโอกาสในวันหยุดยาวของชนชั้นแรงงานทั้งหลายแหล่ซึ่งนับรวมตัวเขาเองเข้าไปอยู่ด้วย เขาจึงไม่เสียเวลาคิดเลยที่จะหนีออกไปจากสังคมที่เร่งรีบเช่นนี้ และที่สำคัญก็เพื่อไปตามหารอยยิ้มที่จากไป ซึ่งวันที่เขาตัดสินใจเดินทางเป็นวันพฤหัสดีที่ 30 เมษายน เป็นวันสุดท้ายของการทำงานก่อนที่บริษัทผู้เป็นนายเหนือหัวจะอนุญาติให้พนักงานหยุดพักผ่อนเป็นเวลาสามวันเนื่องจากตรงกับวันแรงงานและวันวิสาขบูชา

เขาสะพายกระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุไว้ด้วยเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น กล้องถ่ายรูปคู่ใจติดตัวไปทำงานด้วย ท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนร่วมงานหลายคนว่าเขาจะไปไหน “เชียงคาน”เขาตอบถึงสถานที่มุ่งหมายที่เขากำลังจะไป ใครหลายคนไม่รู้จัก ขณะที่ใครอีกหลายคนถามต่อมาว่า “ไปกับใคร” “ไปกับเพื่อนเหรอ” คำตอบที่เขาตอบนั่นก็คือ “ไปคนเดียว” ซึ่งนำไปสู่คำถามต่อมานั่นก็คือ “ไปทำไมไปคนเดียว” “ไม่มีใครคบแล้วเหรอ” “ติสต์แตกอีกแล้ว” คำครหาว่าเขาเกิดอาการเพี้ยนทางจิต หรือติสต์แตกนั้น เขามักจะโดนค่อนขอดในข้อหานี้บ่อยมากๆ ต่อคำถามที่ว่า ไปทำไม เขาก็ให้คำตอบไปว่า “ไปตามหารอยยิ้มที่หายไป และ อยากออกไปพบเจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง” บางคนฟังคำตอบของเขาก็หัวเราะ และไม่พูดอะไรต่อ บางคนเอ่ยว่า

“ไปตามหารอยยิ้ม ไปหาคนดีๆ ที่ส่งยิ้มให้ แต่รู้ไหมว่าที่เขายิ้มให้ก็เพราะเงินในกระเป๋า”

ชายหนุ่มคนนั้นซึ่งก็คือตัวผมนั่นเอง ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ตัวเองไว้ และหัวเราะในใจถึงความตกต่ำทางจิตใจ และการมองโลกในแง่ร้ายของคนที่พูดแบบนี้ออกมา

ซึ่งอาจจะจริง และไม่จริงก็ได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้นั่นก็คือ ก้าวขาออกเดิน และตามหารอยยิ้มนั้นให้พบ


ปฏิการตามหารอยยิ้ม

หลังจากที่ผมตัดสินใจลางานในวันพฤหัสบดีครึ่งวัน ผมก็รีบกลับบ้านไปเคลียร์งานฟรีแลนซ์ที่รับมาไว้ให้เสร็จ เนื่องจากไม่สามารถจองตั๋วรถบัสทางโทรศัพท์ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า วันที่ผมจะเดินทางนั้น มีคนที่เดินทางทั้งกลับบ้าน และออกท่องเที่ยวเหมือนกับผมค่อนข้างเยอะ

หลังจากที่แก้งานที่ลูกค้าสั่งให้แก้เสร็จสิ้นแล้ว ผมก็รีบมุ่งหน้าเดินทางไปที่สถานีขนส่งหมอชิตทันที แล้วผมก็สามารถจองตั๋วรถโดยสาร ป.1 มาได้แบบฉิวเฉียด ต้องขอบอกไว้ก่อนครับว่ารถที่จะเดินทางมาที่เชียงคานโดยตรงเลยนั้นมีน้อย บางบริษัทมีบริการเพียงแต่หนึ่งเที่ยวต่อวัน ผมจึงรู้สึกดีใจมากๆ ที่สามารถจองตั๋วได้

จากนั้นผมก็เดินทางไปหาน้อง เอ.อี.บริษัทที่ดูแลเวบไซต์บริษัทของผมอยู่เพื่อเอาไฟล์งานไปให้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกา เพิ่งจะสี่โมงเย็น ยังมีเวลาเหลือถมเถ ผมเลือกที่จะเดินเข้าร้านฮะจิบังราเมนสาขามาบุฯครอง สั่งชุดเกี๊ยวซ่า เซ็ท และทาโกะยากิ มากินแก้ท้องหิวก่อนหลังจากที่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันมา ครั้นอิ่มท้องแล้วผมเดินเข้าไปชมงานแสดงศิลปะภายใต้หัวข้อ “บางกอก กล๊วย กล้วย!!” ที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพเป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เปล่าประโยชน์ หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไปที่หมอชิตอีกครั้งเพื่อให้ทันขึ้นรถในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง





งานศิลปะแนว Installation หนึ่งในจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ “บางกอก กล๊วย กล้วย!!” ครับ

ผมมาถึงหมอชิตในสภาพที่เหงื่อโทรมกายเล็กน้อยวันนี้รถติดเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไรอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมจะได้หนีออกไปจากเมือืงนี้เสียที...

รถบัสมาแล้วผู้คนมาหน้าหลายตาเฮโลขึ้นไปที่รถ โดยที่แอร์บัสสาวรับตั๋วโดยสารแทบไม่ทัน ผมยืนรอผู้คนทั้งหลายขึ้นรถไปจนหมด และก็ค่อยๆ เดินขึ้นรถไปเป็นคนสุดท้าย แอร์บัสสาวหน้าตาบูดบึ้งพาผมไปที่ที่นั่งของผม ตามหมายเลขที่ปรากฎอยู่บนตั๋ว ผมได้ที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้ายมือ ที่นั่งข้างๆ ผมเป็นผู้ชายรูปร่างท้วม ผมส่งยิ้มให้เขาก่อนขอทางเข้าไปนั่งด้านใน เขาขยับตัวหลบแต่โดยดี ผมหันไปส่งยิ้มให้เขาอีกทีก่อนทรุดตัวนั่งลง หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นที่มีไว้ให้ผมฟังเพลงมากกว่าใช้พูดคุยขึ้นมา พร้อมกับชุดหูฟัง เปิดเพลงให้มีเสียงดังพอประมาณ รถบัสขยับตัวออกจากท่า ผมค่อยๆ เอนพนักพิงเป็นท่านอน ก่อนหลับตาพริ้มท่ามกลางแสงสีแดงจากไฟท้ายรถยนต์ต่างๆ บนท้องถนน ที่กำลังเผชิญกับการจราจรติดขัดอันแสนบ้าคลั่งในกรุงเทพมหานครสุดสัปดาห์ในยามค่ำคืน ผมหวังเพียงตื่นขึ้นมา...ผมจะพบรอยยิ้มที่ผมตามหาเสียที


สะบายดีเชียงคาน

ผมรู้สึกตัวหลังจากรถบัสจอดอยู่ที่ริมถนนแห่งหนึ่ง ข้างทางไร้แสงไฟ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเพ่งมองเวลา...ตีสี่ครึ่งนั่นคือเวลาที่แอร์บัสสาวร้องบอกว่า “สุดสาย เชียงคานค่า” ผู้คนต่างค่อยๆ ทยอยลงจากรถซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จริงๆ แล้วผมคาดการณ์เวลาไว้ผิดนิดนึง เพราะว่าขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น แอร์คอนดิชั่นของรถบัสเกิดไม่ทำงานขึ้นมาต้องเสียเวลาเติมน้ำยาแอร์อยู่นานเลยทีเดียว เวลาตีสี่ครึ่งจึงเป็นเวลาที่มาถึงเร็วเกินกว่าที่ผมจะคาดการณ์ไว้

ผมเหลียวซ้ายแลขวายังคิดไม่ออกว่าจะตั้งต้นอย่างไรดี ขณะที่ใครหลายคนต่างก็เริ่มออกเดินไปตามทางที่ต้องการจะไป บางคนก็ขึ้นรถสามล้อ ซึ่งผมเดินไปเดินมาอยู่ริมถนนนั้นอยู่นาน ก็มีพี่คนขับสามล้อเดินมาถามว่าจะไปไหน...จากการศึกษาแบบออนไลน์ทางหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 14 นิ้วมาแล้ว ถ้าจะมาเชียงคาน มีที่พักที่ไหนบ้าง ซึ่งที่พักที่ผมขีดด้วยปากกาเรืองแสงว่าจะไปพักนั้น หลายต่อหลายคนต่างก็ประทับใจกับที่พักแห่งนี้ ผมจึงตัดสินใจบอกพี่สามล้อไปว่า “ไปบ้านยายศรีพรรณโฮมเสตย์ครับ”


เพื่อนตัวแรก



สามล้อมาส่งผมถึงหน้าบ้านคุณยายศรีพรรณแล้ว (ศรีพรรณโฮมเสตย์) ซึ่งพี่สามล้อก็บอกว่าให้เคาะประตูเรียกยายได้เลย (ก่อนหน้านั้นพี่เค้าบีบแตรเรียก แต่ผมบอกว่าไม่ต้อง) แต่ผมกลับเลือกที่จะเดินชมบ้านเรือน เคล้ากับเสียงของจั๊กจั่นที่เปล่งเสียออกมาให้ได้ยินเบาๆ คล้ายกับดนตรีซิมโฟนี่ต้อนรับผมเข้าสู่เมืองเชียงคานยังไงยังงั้น น่าแปลกแม้ว่าตัวบ้านเรือนจะเก่า เป็นบ้านไม้ทั้งหลัง แต่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกันผมกลับหลงไหล และรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมาเต็มเปา ประกอบกับเพื่อนใหม่ที่คอยเดินประกบผมอยู่ไม่ห่างนับตั้งแต่ผมก้าวลงมาจากรถสามล้อทำให้ผมไม่รู้สึกเหงา หรือเกรงกลัวอะไรแต่อย่างใด ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า ถ้าใครมาถึงเชียงคาน ทุกคนต้องได้เจอกับสุนัขตัวนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างเรียกขานนามของมันว่า “ทองดำ หมารับแขก”




โฉมหน้าหมารับแขก

รอยยิ้มแรกพบ



หน้าบ้านคุณยายศรีพรรณครับ

หลังจากที่ผมเดินไปเดินมา และถ่ายรูปบ้านเรือนเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นกระสัยแล้ว ผมก็กลับมานั่งที่ม้าหินหน้าบ้านของคุณยายจนถึงเวลาประมาณตีห้าเศษ เสียงปลดกลอนก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับประตูบ้านที่แง้มออกมา ซึ่งทันทีที่คุณยายเห็นว่าผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แกก็ยิ้มให้พร้อมกับคำถามที่ว่า “ทำไมไม่เคาะประตูเรียกล่ะลูก ข้างหน้าก็เขียนบอกไว้แล้วว่าให้เรียกได้ทุกเวลา” ผมยิ้มตอบแกพร้อมกับบอกว่า “ไม่เป็นไร เกรงใจครับ”

หลังจากไถ่ถามทักทายกันพอหอมปากหอมคอตามประสาคนเพิ่งเจอะเจอกันครั้งแรก ยายแกก็นำผมขึ้นไปที่ชั้นสอง เพื่อพาผมไปที่ห้องพักทันที ผมเห็นท่าทางของยายที่ปีนบันไดพาผมขึ้นไปนั้นคาดว่าแกคงขาไม่ดีแน่ๆ จึงทำให้ผมรู้สึกผิด และเกรงใจ

“ไหวไหมยาย ผมขึ้นไปเองก็ได้” ยายแกกลับตอบมาว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวยายจะพาไปที่ห้องให้เลย” พอขึ้นมาถึงห้องแกก็จัดแจงเปิดหน้าต่างห้องให้ผมดู ซึ่งวิวนอกหน้าต่างที่ผมเห็นนั้นเป็นท้องฟ้าสลัวยามเช้า กับแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอย่างช้าๆ


ภายในห้องครับ



ส่วนของชั้นล่างของบ้าน ก็เป็นที่นอนเหมือนกันครับ แค่ไม่ได้เป็นห้องส่วนตัวเท่านั้น แล้วก็มีผ้าม่านกั้นไว้ให้ครับ





“นั่นแม่น้ำโขงใช่ไหมครับ” ผมถามยายแกออกไปทั้งๆ ที่ก็พอรู้มาบ้างจากการศึกษาผ่านอินเตอร์เน็ต
“ใช่จ๊ะ...ตามสบายเลยนะ มาเหนื่อยๆ นอนพักผ่อนก่อนเน้อ…” ยายตอบก่อนที่จะเดินออกไปช้าๆ ปล่อยให้ผมใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่

ผมจัดแจงเปลี่ยนชุดที่สวมใส่สบายเป็นเสื้อยืดกับกางเกงบอลขาสั้น และล้มตัวลงนอน ก่อนสายตาจะหลับลงผมแอบยิ้มกับความใจดี และรอยยิ้มแรกพบที่ยายแกมอบให้จากคนแปลกหน้าตัวดำๆ อย่างผม ผมคิดว่า...ผมน่าจะเจอรอยยิ้มที่หายไปแล้วล่ะ


แคลสสิกรอบมือง

หลังจากใช้เวลาพักผ่อนประมาณ 2 ชั่วโมง ผมก็ตื่นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เชียงคานยามเช้าจะเป็นอย่างไร ผมอดใจไม่ไหวแล้วที่จะออกไปชื่นชมบรรยากาศรอบเมือง

“จักรยานเช่าวันเท่าไหร่ครับ” ผมตะโกนถามคุณยายที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างจานที่หลังบ้าน
“เอาไปขี่ได้เลยลูก หรือจะเอามอเตอร์ไซค์ยายไปขี่ก็ได้นะ” เสียงยายตอบกลับมาเช่นนั้น นั่นหมายความว่าผมสามารถใช้จักรยานได้ฟรีๆ ในฐานะที่อยู่ในบ้านของแก แต่ถ้าเป็นคนนอก สนนราคาก็ไม่แพงครับ เพียงแค่ 50 บาทเท่านั้น ก็ยืมจักรยานยายแกไปขี่ได้ทั้งวัน

ผมเลือกจักรยานคันที่เก่าที่สุดออกมาขี่ ก็แหม เรามาเยือนเมืองที่มีบรรยากาศแคลสสิคอย่างนี้ จะขี่จักรยานสีแดงปรี๊ดก็กระไรอยู่ จริงไหมครับ แหะๆ ที่สำคัญผมเลือกคันนี้เพราะจะนำมาถ่ายรูปด้วย



จักรยานคุณยายฮะ



ไปเที่ยวกันเล้ยยยย...



บ้านไม่ลายสวย กับจักรยานคุณยาย เข้ากันได้ดีทีเดียวฮะ



ขี่เลาะทางด้านหลังก็ได้ครับ ชมวิวแม่น้ำโขงได้ตลอดเส้นทาง

หลังจากขี่จักรยานเล่นไปไม่นาเท่าไหร่ นั่นทำให้ผมรู้ว่าเชียงคานเป็นเมืองเล็กๆ ที่แสนเงียบสงบ บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เก่าแก่หลายแบบ หลายทรง แม้บางบ้านจะเป็นแบบปูนผสมไม้ แต่พอดูจากข้างนอกแล้วก็สวยและเข้ากันดี ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจอะไรนัก เพราะกาลเวลาย่อมนำพาการเปลี่ยนแปลงมาอยู่เสมอ แต่ที่เชียงคานเวลาอาจจะเดินช้าไปนิดนึงก็เท่านั้นเอง



สภาพบ้านเรือน



ด้านหลังของบ้านติดกับแม่น้ำโขง วิวสวย บรรยากาศดี



เดินลงไปข้างล่างจะเจอแพ ซึ่งพี่สิทธิ์บอกว่าเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่นได้เลย

ชาวบ้านที่นี่จะใช้จักรยาน และมอเตอร์ไซค์เก่าๆ กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าจะไม่มีรถรุ่นใหม่ๆ เลย ผมขี่ชมรอบเมืองไปเรื่อยๆ นึกเอะใจว่าที่เชียงคานมีร้านขายของชำมากเหลือเกิน ผมมารู้ทีหลังว่าที่เชียงคาน เซเว่นฯ ยังเข้าไม่ถึงครับ

ผมขี่จักรยานเหงื่อยังไม่ทันออกก็มารู้สึกตัวว่าขี่วนครบรอบเมืองไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ได้เวลาบันทึกภาพแห่งความทรงจำเก็บไว้กับกล้องคู่ใจที่ผมพกไปด้วย ผมลัลลากับการถ่ายภาพจนถึงช่วงสาย แสงแดดเริ่มส่องประกายความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น นั่นเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าสมควรกลับไปอาบน้ำ พักผ่อนเสียที

ผมขี่จักรยานกลับที่พัก สวนทางกับชาวบ้านหลายคนบางคนยิ้มให้ บางคนก็จ้องมองผมด้วยสายตาแห่งมิตรภาพ คุณตาคุณยายที่นั่งอยู่หน้าบ้านส่งยิ้มให้ผมเป็นระยะๆ รอยยิ้มจากใครหลายต่อหลายคนที่ส่งมาให้นั้น ไม่ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยเลยขณะที่ปั่นจักรยานกลับที่พัก ผมรู้สึกสุขใจ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่มาถึงที่นี่ ผมชักจะเริ่มปล่อยใจหลงรักเชียงคานไปง่ายๆ เสียแล้วล่ะ


ผมลองถ่ายภาพเป็นแบบขาว-ดำ ดูด้วยครับคิดว่าน่าจะเข้ากันดีเนาะ ^ ^






มีต่ออีกนะครับ...นี่ยังไม่ถึงตอนเที่ยงเลยนะเนี่ย...



L-O-V-E - Olivia





Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 0:19:28 น. 6 comments
Counter : 2859 Pageviews.  
 
 
 
 
มาเกาะขอบจอขาวดำ รอดูอย่างใจจดจ่อ เป็นคนเเรกเล้ยยย
 
 

โดย: อมิธีสท์ วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:28:23 น.  

 
 
 
มาต่ออีกไวๆ นะคะ

หอศิลป์มีนิทรรศการใหม่แล้วหรือคะ
เดี๋ยวต้องแวบไปดู

หันหน้าเข้าหาธรรมะไหมคะ คุณยาง
เผื่อจะเครียดน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น
(เป็นคำแนะนำที่คนแนะนำยังทำไม่ค่อยจะได้ค่ะ อิอิ)
 
 

โดย: ปณาลี วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:20:09 น.  

 
 
 
ว้าว ๆๆๆ

ผู้ ญ ทำแบบนี้ได้บ้างมั้ย ??

ชอบเพลงนี้ ^.^
 
 

โดย: คนที่คุณไม่รู้ว่าใคร ... IP: 122.154.225.98 วันที่: 17 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:00:11 น.  

 
 
 
จักรยานคลาสสิคมากขอบอก
แต่หมูปิ้งขี่ไม่เป็น

ความสนุกความสุขในการทำงาน
เริ่มลดลงจริงๆ
ถ้าไม่มีเหตุผลเราทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ
เราทำงานเพื่ออะไร
ใครตอบได้มั่ง

 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 17 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:58:04 น.  

 
 
 
คุณหนูพลอย - ขอบคุณที่มาเจิมเป็นคนแรกฮะ อิอิ

คุณตูน - สงสัยผมคงไม่เหมาะทางธรรมหรอกมั้งฮะ 555+

คนที่คุณไม่รู้ว่าใคร ... - ทำได้ฮะ เพราะตอนผมไปก็มีน้องผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน ^ ^

คุณหมูปิ้งฯ - ขี่ไม่เป็น!! ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมให้ซ้อน ส่วนทำงานเพื่ออะไร อืม...คงไม่น่าเกลียดเกินไปว่า ณ ตอนนี้คือเพื่อเงินอย่างเดียวเอง อยากทำงานอย่างมีความสุขจังเนาะคุณหมูปิ้งฯ ^ ^
 
 

โดย: ยางมะตอยสีชมพู IP: 124.121.130.38 วันที่: 17 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:26:19 น.  

 
 
 
เข้ามาตอนนี้คงไม่ช้าไปหรอกน่ะค่ะ

ชอบมากเลยค่ะ อยากไปเชียงคานบ้าง

ไม่ทราบว่ามีอะไรแนะนำบ้างมั้ยค่ะ

ปล.รูปสวยมาก
 
 

โดย: deanna-idea วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:23:33:40 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com