High School Musical 3: Senior Years - ทางเลือกของคนมีความรัก





ถ้าหากปรากฏการณ์ฮิตแบบถล่มทลายของหนังอย่าง HSM ทั้งสองภาค จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดภาพยนตร์ภาคนี้ขึ้น คงไม่ผิดนักที่เราจะกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากความหลงรักในเสียงเพลงของตัวผู้กำกับ นักแต่งเพลง คนออกแบบท่าเต้น และที่สำคัญที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นผู้ชมตัวน้อยและบรรดากลุ่มวัยรุ่น ซึ่งถูกเล็งเป็นกลุ่มเป้าหมายของหนังเพลงชุดดังกล่าวผู้ตอบรับเจตนารมณ์ของผู้สร้างดีจนเกินความคาดหมาย



แม้ในหนังภาคแรกจะอาศัยเรื่องราวที่ธรรมดาสามัญ ที่ว่าด้วยความรักของหนุ่มสาวผู้ถูกชะตาต้องใจชอบพอกัน แต่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค ทั้งเรื่องการค้นหาสิ่งที่เป็นตัวตนของพวกเขาเอง ก่อนพบความรักในตอนท้าย ซึ่งมีพล็อตคร่าวๆอยู่ที่ทรอย บอลตัน(แซค เอฟรอน)หัวหน้าทีมบาสเกตบอล ผู้หล่อเหลา ผู้ได้พบกับสาวกาเบรียลลา(วาเนสซา ฮัดเจน)สาวน้อยขี้อายในงานวันปีใหม่ แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทั้งสองต่างก็จากกันไป แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาทั้งสองมาพบกันอีกครั้ง เมื่อกาเบรียลลาได้ย้ายโรงเรียนมาที่ “อีสไฮต์” และวันนั้นเองที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนอย่างที่เคย



จุดเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้อีสไฮต์กลายสภาพจากโรงเรียนมัธยมธรรมดา ไปเป็นโรงเรียนแห่งเสียงเพลง เมื่อชมรมการละครประกาศรับสมัครนักแสดงในปีการศึกษานี้ ทำให้บัลลังก์เจ้าแม่ละครของชาร์เพย์(แอชลีย์ ทิสเดล)และน้องชายไรอัน(ลูคัส การ์เบรียล)ต้องสั่นสะเทือน เมื่อเธอมั่นใจว่าทรอยและกาเบรียลลาจะมาแย่งบทดังกล่าวไปจากเธอ



ทรอยและกาเบรียลลาถูกวาดภาพให้กลายเป็นคู่พระนางที่แสนดี เข้าข่ายแบบคู่พระนางละครช่อง เจ็ดสียิ่งนัก ดังนั้นเวลาที่ทั้งสองโดนยุแยงตะแคงรั่วจากนางมารฝ่ายร้ายอย่างชาร์เพย์ ทั้งคู่จึงเข้าใจผิดกันอยู่ร่ำไป ถึงอย่างนั้นก็ตามข้อดีของการที่ตัวละครในหนังเรื่องนี้ดูแบนราบไร้มิติเทือกๆแนวๆ นางเอกแสนดี้ดี พระเอกผู้สับสนในตัวตน นางร้ายที่ร้ายจ๋า ผู้ร้ายกลับใจ เพื่อนสนิทผู้หวังดี จุดนี้นี่เองทำให้มันกลายเป็นเสน่ห์ของหนังไปโดยปริยาย เพราะเราต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าท้ายที่สุด จุดจบของเรื่องคงจะหนีไม่พ้นการลงเอยแบบแฮปปี้ เอนดิ้งตามประสาหนังค่ายวอลต์ ดิสนีย์




สาเหตุที่ต้องเล่าเรื่องราวและจุดผันแปรในภาคแรก สืบเนื่องมาจากในภาคที่สามนี้ เหตุผลดังกล่าวถูกนำมาใช้อีกครั้ง แต่คราวนี้ตัวหนังเลือกจะให้น้ำหนักกับการตัดสินใจ “เลือก” ของตัวละครอย่างทรอยมากกว่าตัวละครตัวอื่น ตัวละครนี้ยังเป็นผู้ยังสับสนกับชีวิตของเขาเองว่าตกลงแล้ว เสียงดนตรีหรือกีฬาบาสเกตบอล คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ในที่ขณะที่การเบรียลล่าเธอกลับมีความมั่นอกมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้ว แสตนฟอร์ด คือมหาวิทยาลัยในฝันของเธอ เช่นเดียวกันกับเพื่อนๆอย่างชาร์เพย์, ไรอัน, แชด (โคบิน เบลอ) และเทย์เลอร์ (โมนิค โคลแมน) ต่างก็รู้เป้าหมายอนาคตของพวกเขาเป็นอย่างแน่ชัด



Senior Year จึงอุดมไปด้วยการตัดสินใจครั้งสำคัญของตัวละครทุกตัวเพื่อเลือกทางเดินให้กับชีวิตในภายภาคหน้า แต่สำหรับทรอยแล้ว จากสิ่งที่เขาเป็นและพรสวรรค์ที่เขามี กลับทำให้เขาโลเลและเลือกไม่ถูกว่าตกลงแล้ว “อะไร” สำคัญที่สุดสำหรับเขา? ดังนั้นเราจึงได้เห็นเขาหน้าซีดเผือดเหมือนคนเห็นผี ในฉากเพลงเปิดเรื่องอย่าง Now or Never เมื่อการแข่งบาสฯ ครั้งนี้เหมือนเป็นเครื่องชี้ชะตา ทุนการศึกษาที่เขาจะได้รับ แต่เมื่อดูท่าเขาจะแย่และอาจจะแพ้อยู่รอมร่อ หวานใจข้างสนามอย่างกาเบรียลลาจึงโผล่หน้ามาให้กำลังใจ (ในขณะที่คนดูหลายต่อหลายคนหมั่นไส้) และแน่นอนว่าเกมนี้ท้ายที่สุดทรอยและเพื่อนๆในทีมต้องคว้าชัยชนะให้กับ ไวล์ แคท โดยผู้ชมไม่ต้องลุ้นให้เมื่อย



อย่างไรก็ตามฉากดังกล่าวไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงบุคลิกของทรอย มันยังแทรกสอดความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้เป็นหัวหน้าทีมบาสเกตบอล ซึ่งฝากชะตากรรมของทีมไว้กับลูกบาสฯ ลูกกลมๆที่เขาต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีมและเวลาในเกมที่เหลืออีกน้อยนิดเอาชนะคู่แข่งให้ได้ นั่นแสดงถึงความศรัทธาในตัวตนและคนอื่น เช่นเดียวกันกับที่เขามั่นใจว่าการเบรียลลาคือ “คนที่ใช่” สำหรับเขานั่นเอง



ส่วนกาเบรียลลาตัวละครของเธอกลับเป็นเหมือน “ส่วนเติมเต็ม” ให้กับชีวิตของทรอย ในแง่ของกำลังใจที่ผลักดันให้ทรอยได้ลองทำสิ่งที่เขารักอย่างการร้องเพลง รวมไปถึงเป็นคนคอยให้คำปรึกษายามที่เขาสับสนในตัวเอง และเหมือนกับว่าในหนังภาคนี้ตัวละครของเธอกลับไม่ได้รับการขับเน้นให้โดดเด่นขึ้นมาในสถานะของการเป็นนางเอกมากทัดเทียมเท่ากับสองภาคแรก ที่สำคัญตัวละครของเธอในภาคนี้เลือกที่จะเดินจากพระเอกมาในตอนท้าย แต่โดยดีเพราะเธอเลือกจะตัดใจดีกว่าให้ไฟรักของเธอมันลุกโชนไปมากกว่านี้ นับว่าเป็นทางเลือกของตัวละครที่น่าสนใจยิ่งนัก ที่ตัวละครนางเอกจะเลือกที่จะผละหนีออกจากชายคนรักเพื่อเลือกอนาคตทางการศึกษาซึ่งเธอมองว่ามันสำคัญกว่าความรักแบบหนุ่มสาว




อาจจะฟังดูน้ำเน่าและดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้าหากผมเป็นกาเบรียลลาแล้ว การที่เธอได้รับโอกาสที่ดีถึงขั้นที่มหาวิทยาลัยชื่อดังเพียงนั้นเสนอโอกาสให้เธอไปเรียนต่อ เป็นผมก็คงจะเลือกเดินจากคนที่เรารักมาเพื่อเลือกอนาคตที่น่าจะมีโอกาสมากกว่า แม้ว่าอนาคตมันจะยังมาไม่ถึงก็ตาม แต่ผมก็คิดว่ามันก็น่าจะคุ้มค่าที่เราจะลองแลกมันดูดีกว่าจะมัวหลงจมปลักกับความรักแบบเพ้อฝันและมีโอกาสที่จะจบลงได้เมื่อใดก็ตาม



ทว่าฉากช่วงท้ายที่พระเอกอย่างทรอย บอลตันเนรมิตงานพรอมในฝัน โดยการที่เขาสวมสูทเดินทางไกลร่วมหลายร้อยไมล์เพื่อเดินทางมาบอกกับสาวในฝันของเขาว่า ถ้าหากขาดเธอไปชีวิตของเขาคงจะไม่มีวันเหมือนเดิม ขอแค่เขาได้อยู่ใกล้ๆกับเธอขอเพียงเท่านี้เขาก็จะมีความสุขแล้ว มันกลับทำให้ผมมองตัวละครตัวนี้ว่าความคิดความอ่านของเขาแลดูสวนทางกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายิ่งนัก ที่สิ้นคิดไปกว่านั้นกลับไปอยู่ตรงประเด็นที่ว่า ทรอยเลือกที่จะเพิกเฉยต่ออนาคตทางการเรียนของตัวเองแล้วมุ่งเป้าจะอยู่ใกล้กับคนที่เขารักมากกว่า ทำให้ฉายงานรับประกาศนียบัตรในตอนท้ายเรื่อง มันคงไม่ยุ่งยากต่อการคาดเดาว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้จะมีทางเลือกกับชีวิตของเขาอย่างไร



ส่วนตัวละครที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้เลยคงจะหนีไม่พ้นชาร์เพย์ สาวตัวร้ายที่เป้าหมายของเธอก้าวไกลเกินกว่าความสามารถของหล่อนจะไปถึง จากภาคแรกจวบจนภาคนี้เธอก็ยังคงตำแหน่งนางมารจอมเผด็จการที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเธอเองต้องการ ดีกรีความร้ายกาจของเธอเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่วีรกรรมแรกคือไม่ให้บทนำของเธอไปตกอยู่ในสองคู่พระนางในหนังภาคแรก ขัดขวางความรักของทรอยและการเบรียลลาในภาคสอง แต่ในภาคนี้เธอลงทุนถึงขนาดจะช่วงชิงมหาวิทยาลัยในฝันของไรอันน้องชายของเธอเอง มิหนำซ้ำเธอยังเกลี้ยกล่อมเขาให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงของเธอด้วยอีกต่างหาก



ตัวละครของชาร์เพย์แม้จะดูร้ายกาจ เสียสติและพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ หน้าตาทางสังคม ทุกภาคเธอต้องลงทุนลงแรง เหนื่อยหนักกว่าตัวละครตัวอื่น (อย่างน้อยก็ในแง่การก่อวินาศกรรมต่างๆ ให้ตัวละครในเรื่องผิดใจกันนั่นแหละ) แถมเธอยังน่าสงสารอย่างยิ่งนัก เมื่อวีรกรรมที่เธอทำไปไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง (หมายถึงผลสัมฤทธิ์ในตอนท้ายที่สุด) ยิ่งไปกว่านั้นตลอดมาเธอก็จะโดนขโมยซีนเวลาแสดงละคร ร้องเพลง หรือกระทั่งโชว์เพื่อชิงทุนการศึกษา เพราะจู่ๆกาเบรียลลาก็จะโผล่มาขโมยซีนของเธอโดยตลอด




จนความอัดอั้นตันใจดังกล่าวจึงถูกนำเสนอขึ้นผ่านเพลงในหนังภาคนี้อย่าง I Want it All ที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของชาร์เพย์อย่างฉายชัดว่า เธอต้องการเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตามที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถเป็นได้ (โปรดักชั่นในฉากนี้จึงอลังการเสื้อผ้าหน้าผม เว่อร์จนขนาดหนังเพลงอย่าง Chicago ต้องชิดซ้ายและจิกกัดตัวละครตัวอื่นได้อย่างแสบสันต์โดยเฉพาะยัยกาเบรียลลา) และถึงแม้ว่าฝันของหล่อนจะสูงส่งถึงขั้นเป็นดาราที่เดินพรมแดงขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ แต่ขณะที่ความจริงแล้ว การแสดงของหล่อนคงสอบผ่านแค่บทสาวในหนังสยองขวัญตระกูล Scream เท่านั้น แต่นั่นผมว่า“ความฝัน”ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีกำลังขับเคลื่อนที่จะทำอะไรให้สำเร็จมิใช่หรือ?



ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวละครของชาร์เพย์กลับดูโดดเด่นกว่ากาเบรียลลาในสองภาคหลัง ทั้งภาคที่สองและในภาคนี้ เหตุผลหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็เพราะว่าคนดูอาจจะเริ่มเบื่อบทบาทนางเอกที่แสนดี(จนน่าหมั่นไส้) จนต้องเทใจมาให้ตัวละครดังกล่าวเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนดูมากกว่าตัวละครอย่างสาวกาเบรียลลาก็เป็นได้ โดยเฉพาะฉากชิงดีชิงเด่นกับรุ่นน้องเทียร่า ช่างเป็นฉากที่เธอน่ารัก น่าเอ็นดูและตลกขบขันจนต้องปรบมือให้กับเธอยิ่งนัก



ตัวละครใหม่สามตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่าง จิมมี่ (แมตต์ โปรคอป,เทียร่า โกลด์ (เจมม่า เมคเคนซี่ บราวน์) ),จัสติน(ดอนนี่ ดิออน) จึงเปรียบเสมือนทายาทอสูร ที่ถูกวางบทไว้โดดเด่น ขโมยซีนดารานำ จนน่าจะตั้งแง่สงสัยไว้ได้ว่า ภาคหากมีการสร้างภาคสี่ขึ้นและนำกลับไปฉายทางโทรทัศน์ มันคงจะเป็นลู่ทางที่หนังชุดนี้จะกอบโกยผลกำไรอีกครั้ง แต่จะสำเร็จทัดเทียมเท่าทีมนักแสดงชุดนี้หรือไม่ เมื่อวันนั้นที่หนังภาคต่อไปออกฉายเราคงได้รู้กัน (ถ้ายังจะสร้างต่ออ่ะนะ)




หลายสิ่งหลายอย่างในหนังภาคนี้อาจจะดูโก้เก๋ไปกว่าหนังสองภาคแรกทั้งในแง่ของโปรดักชั่น ฉาก บทเพลง แดนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นตามสเกลของงาน แต่หนังก็ยังคงไม่หลงลืมที่จะนำเสนอการเติบโตของวัยรุ่นที่นับวันพวกเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ เลือกสิ่งที่เหมาะสมและคู่ควรกับสิ่งที่ตนเป็นมากที่สุดและที่สำคัญคือต้องเป็นสิ่งตัวตนของตัวเอง



จริงอยู่ที่หนังภาคนี้ตั้งประเด็น “ทางเลือก” ของช่วงชีวิตเด็กมัธยมปลายไว้อย่างชัดเจน หนังเรื่องนี้กลับไม่ต่างอะไรจากลูกอมหวานนอกขมใน เนื่องจากครึ่งแรกของหนังถูกฉาบไว้ด้วยน้ำตาลรสหวานจ๋อยจนพาผู้ชมเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงหรรษา ทว่าเมื่อครึ่งหลังที่หนังเริ่มเผยถึงเหตุการณ์ที่ตัวละครต้องเลือกอนาคตตัวเอง หนังกลับสลัดความหวานนั้นทิ้งไป แล้วเผยให้เราลองชิมรสขมๆที่แอบซ่อนอยู่ในความหวานของเรื่องราว ช่วงเวลาดังกล่าวเราจึงได้เห็น “พัฒนาการทางความคิด” ของตัวละครที่บอกกับเราว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะเติบโตไปเป็น “ผู้ใหญ่” (แม้ว่าบทสรุปสิบนาทีสุดท้ายหนังจะเสียศูนย์อีกครั้งแล้วฉุดตัวละคร “บางตัว” ให้กลับไปอยู่ในโลกแห่งความฝันก็ตาม)



ทางเลือกของหนังเรื่องนี้ แท้จริงแล้วมันสามารถชูประเด็นเรื่องทางเลือกได้เข้มข้นกว่านี้ แต่ด้วยบริบทที่ว่ามันเป็นหนังเพลงที่มุ่งหน้าจะมอบความสนุกสนานครื้นเครงให้แก่ผู้ชม มากเกินกว่าที่จะให้เรานั่งดูกลุ่มเด็กวัยรุ่นมานั่งเคร่งเครียด การคลี่คลายปมต่างๆจึงไม่ได้พยายามทำให้มันยุ่งยากและเพื่อที่หนังจะได้เป็นหนังมิวสิคคัลที่ต้องการจะมอบความบันเทิงให้กับผู้ชมล้วนๆ




ท้ายที่สุดแล้ว หลายคนอาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังเพลงสำหรับ “วัยรุ่น” ธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นแค่นั้นจริงๆนะ เพราะผมก็เชื่อว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวทุกคน และผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนล้วนแล้วแต่ผ่าน “ทางเลือก” ของชีวิตมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น มันจะแปลกอะไรที่เราจะมองย้อนกลับไปดูเด็กกลุ่มหนึ่งเดินทางไปกับเสียงเพลงและความฝันของพวกเขา



ผมมองว่ามันก็เพียงพอแล้วล่ะ สำหรับ”หนังเพลงวัยรุ่น” เรื่องหนึ่ง


ธนพัฒน์ ชูวาธิวัฒน์

อำนวยการสร้าง – บิล บอร์เดน
กำกับภาพยนตร์ – เคนนี่ ออร์เทการ์
บทภาพยนตร์ – ปีเตอร์ บาร์ชอคชินี่
กำกับภาพ – แดเนียล อแรนโย
ลำดับภาพ – ดอน โบรชู
ดนตรีประกอบ – เดวิด ลอเรนซ์
ออกแบบงานสร้าง – มาร์ค โฮเฟลลิ่ง
ออกแบบเครื่องแต่งกาย – แคโรไลน์ มาร์ค
แสดงนำ – ทรอย บอลตัน(แซค เอฟรอน), กาเบรียลลา(วาเนสซา ฮัดเจน), ชาร์เพย์(แอชลีย์ ทิสเดล) ,ไรอัน(ลูคัส การ์เบรียล) ,แชด (โคบิน เบลอ), เทย์เลอร์ (โมนิค โคลแมน)


บทความนี้ตีพิมพ์ลงในนิคยสาร STARPICS No.744





Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 21:45:18 น.
Counter : 1724 Pageviews.

5 comments
  
เสียดายที่สุด งานเยอะซะจนไม่มีเวลาไปดู

2 ภาคแรกทำให้ประทับใจสุดๆ ภาค3คงไม่แพ้กัน

จะตามหาดูให้จงได้ อิอิ

ปล.หนังไทยจะทำได้แบบนี้รึป่าวน้า..
โดย: พี่โจ๊ก IP: 124.122.184.112 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:28:49 น.
  
พี่ตามมาจากhi.5 ขอบคุณที่รับแอดพี่นะครับ
โดย: ton IP: 58.137.197.230 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:50:28 น.
  
luv troy
โดย: ..... IP: 125.24.139.154 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:21:31 น.
  
I gabella to see my comment i want to see gabeella
โดย: ภัศพร IP: 125.27.174.30 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:19:09:19 น.
  
I want gabella to see my comment i want to see gabeella she very beautyful
โดย: ภัศพร IP: 125.27.174.30 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:19:23:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Onlineza
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล้อกของผมนะครับ

ถึงแม้จะแต่งบล้อกให้สวยงามไม่ค่อยเป็น แต่รับรองว่าเข้ามาในบล้อกแห่งนี้ มีเรื่องราวให้อ่านมากมายกว่าที่คิด

เร็วๆนี้อ่านจะเพิ่มเติมหัวข้อพากิน พาเที่ยวเพิ่มถ้ามีเวลานะครับ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ

Fanpage : http://www.facebook.com/EntertainmentBite
https://entertainmentbite.wordpress.com/
กุมภาพันธ์ 2552

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
All Blog