รักแห่งสยาม ท่วงทำนองแห่งชีวิต (บทความนี้ได้ตีพิมพ์คอลัมน์ที่ตรงนี้คุณเขียนของ SP Mag ปก Warlord)
เป็น Uncut Version นะครับ อาจจะอ่านดูแปลกกว่าในหนังสือนิดหน่อย

บทความนี้ ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้ ถ้าพวกคุณอ่านบทความนี้ บทความที่เขียนเพื่อพวกคุณเท่านั้น เพื่อให้คุณเข้าใจความหมายแล้วใจจะได้มีกัน

รักแห่งสยาม ท่วงทำนองแห่งชีวิต

ตลกดีว่านี่เป็นหนังไทยเรื่องแรกในรอบหลายปีที่ผมเข้าโรงภาพยนตร์เพื่อชม “รักแห่งสยาม” ถึงสามรอบด้วยกัน หนแรกที่ชมหลังภาพยนตร์จบผมรู้สึกว่านี่เป็นหนังที่ดีมากๆ รอบที่สองผมเสียน้ำตา และรอบที่สามผมกลับรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขอย่างมากๆ ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ทำให้ผมหายใจเข้าและออกเป็นรักแห่งสยามตั้งแต่ตื่นยันหัวถึงหมอนอีกวัน

ฟังดูเหมือนเวอร์!!!! แต่ตอบด้วยความจริงใจว่า ในขณะนี้ผมอาจจะยังไม่รู้หัวใจตัวเองเลยว่า อาการที่เกิดขึ้นเป็น “ความรัก” หรือ “หลง” กันแน่แต่ที่แน่ๆคือผมไม่ได้ตามกระแสมหาชนที่โหมประโคมข่าวทั้งด้านบวกและลบจนน่ารำคาญซึ่งถ้าใครตามข่าวบนอินเทอร์เนตคงจะทราบดี ว่าด้วยเรื่องตัวอย่างหนังอาจจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า “รักแห่งสยาม” มีโทนอารมณ์เรื่องใกล้เคียงกับ “เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย” แต่เมื่อชมไปแล้วกลับได้รับทราบว่านี่กลับกลายเป็นหนัง Y (หนังที่ให้อารมณ์โฮโมเซ๊กซ์ชวล) จนผู้ชายหลายคนเกิดทนไม่ไหวต้องมาป่าวประกาศ (ด่า) ว่าทำการตลาดเลวมั่ง อะไรต่อมิอะไรมั่ง ซึ่งผมกลับรู้สึกว่าที่เขาออกมาท้วงติงก็ถูกของเขาบางส่วน แต่คนพวกนั้นเขามองไม่เห็น “สาร” ในหนังที่พยามส่งให้เราหรือว่ามันพูดถึงประเด็น “ครอบครัว” มากกว่าประเด็นเด็กผู้ชาย(หน้าตาดี)สองคนมาดูดปากกันเสียอีก


สถาบันครอบครัวเป็นรากฐานสำคัญของการผลิตบุคลากรในชาติให้มีคุณภาพ แต่เราคงมิอาจจะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆครอบครัวในสังคมไม่ได้ดีพร้อมหรือสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน ทุกๆคนล้วนต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกับครอบครัวของสุนีย์ (สินจัย เปล่งพานิช) ผู้หญิงที่ต้องผันตัวเองมาเป็นหัวหน้าครอบครัว หลังจากสามี(ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)ของตนมัวจมปลักอยู่กับอดีตแสนขมขื่นเมื่อลูกสาวอันเป็นที่รักได้หายสาบสูญไป เธอต้องคอยประคับประคอง โต้ง(มาริโอ้ เมาเร่อ) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้อยู่ในสังคมอย่างปกติสุข


ในขณะที่โต้งกลับรู้สึกว่าตัวของเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆกับโดนัท(อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์) เพราะช่วงหลังๆมานี้แม้แต่โทรศัพท์ของเธอ โต้งก็ยังเมินจนตัวของเขาเองไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วเขารักเธอจริงหรือไม่ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบกับมิว(วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล) ที่สยามโดยบังเอิญ เพื่อนรักในวัยเด็กซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกัน หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเด็กผู้ชายสองคนคนก็เริ่มขึ้นและก้าวไกลไปมากกว่าแค่คำว่า “เพื่อนlสนิท” (ไม่ใช่เพื่อนกูรักมึงว่ะ)


วันที่มิวเจอกับโต้งวันนั้นเป็นวันเดียวกันที่เขาได้รับโจทย์ให้แต่งเพลงรักซึ่ง ตัวของมิวกลับรู้สึกห่างเหินกับคำว่า “รัก” นับตั้งแต่วันที่อาม่าของเขาจากไป ดังนั้นเพลงรักจึงเป็นอะไรที่ยากเสียกว่าการเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก โดยตัวของมิวไม่เคยรู้เลยว่าหญิง (กัญญา รัตนเพชร์) สาวน้อยร้อยชั่ง ผู้อยู่บ้านตรงข้ามแอบรักเขาถึงขนาดลงทุนทำตามหนังสือแนะนำวิธีเสริมสร้างรักฉบับเร่งด่วนอาทิ สรรหาเส้นผมมายัดไว้ในตุ๊กตา เป็นอาทิ


ชีวิตของมิวดูเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่เขาพบกับโต้ง ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความหวังและความห่วงใยหลังจากก่อนหน้านี้มิวดูไม่ต่างอะไรไปจากคนไร้อารมณ์ ส่วนทางด้านโต้งจากหนุ่มน้อยผู้เงียบงำกลับพยามเดินเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างมิวเช่นกัน สายใยอันบางๆจึงก่อตัวขึ้นระหว่างเด็กผู้ชายทั้งสองที่ต่างก็ล้วน “ขาด” ของรักด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งของรักดังกล่าวของมิวถูกพรากไปตั้งแต่วันที่อาม่าของเขาจากไปอย่างไม่อาจหวนกลับ เช่นเดียวกับโต้ง เมื่อพี่สาวแสนสนิทอย่างพี่แตง ใบหน้าของโต้งนับตั้งแต่วันนั้นก็แทบจะไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกเลย


ทุกห้วงคำนึงของมิวอาจจะมีแต่คำว่า “โต้ง” วูบแรกในความคิดของเขาก่อนที่จะลงมืออัดเพลงซิงเกิ้ลในอัลบั้มใหม่ของวงออกัสในเพลง “เพียงเธอ” จึงเป็นเสมือนเพลงที่มิวใช้บอกความรู้สึกของเขาทั้งหมดให้แก่เพื่อนคนสนิทให้ได้รับรู้ว่าในเวลานี้คนที่เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งยามที่อยู่ใกล้ๆก็คือโต้งเพียงคนเดียว


ถ้าหากเพลงเพียงเธอเปรียบเสมือนคำสารภาพจากหัวใจ เพลงถัดมาที่มิวใช้ “บอกรัก” กับโต้งจึงตกเป็นของเพลง “กันและกัน” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งว่าแม้เพลงนี้ถ้าฟังผิวเผินแล้วอาจจะเป็นแค่เพลงรักธรรมดาเพลงหนึ่ง แต่เมื่อมันถูกขับร้องด้วยเสียงของมิวส่งผ่านทางภาษาตาไปยังโต้ง ท่วงทำนองเพลงนี้จึงเป็นมากไปกว่าเพลงรักธรรมดาทั่วไปเพราะว่ามิวแต่งเพลงนี้ขึ้นมาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดีและรู้สึกว่าโต้งคือคนที่ใช่สำหรับเขา


ในขณะที่การสารภาพรักของเด็กผู้ชายทั้งสองกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องราวโดยสิ้นเชิงเมื่อ “ผู้ใหญ่” กลายเป็นมือที่สามเข้ามาสร้างข้อแม้ให้กลายเป็นอุปสรรคความรักของตัวละครทั้งหมด จนกลายเป็นเหตุการณ์ลูกโซ่ต่อเนื่อง สร้างผลกระทบและบทเรียนให้กับทุกคน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขารู้ว่าแม้หนทางของชีวิตอาจจะถูกรายล้อมไปด้วยอุปสรรคและทางเลือกก็ตาม การเดิมข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นได้มันจึงมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ


ตัวละครอย่างสุนีย์คือตัวละครผู้สร้างจุดเปลี่ยนดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นช่วงแรกของหนังที่ทำให้แตงจากไป(หรือหายตัวไป) ในการตีความแบบมีนัยยะ (การตะคอกใส่โทรศัพท์อาจจะทำให้แตงไม่อยากกลับบ้าน) ช่วงกลางเรื่องก็เป็นคนที่ทำให้ความรักของมิวและโต้งต้องสะดุด และมีผลไปถึงตัวละครอย่างหญิงอีกต่อหนึ่ง และท้ายเรื่องผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนที่นำพาคำว่า “ครอบครัว” กลับมาอีกครั้ง จึงสามารถสรุปได้ว่าเธอมีทั้งด้านมืดและสว่างในคนๆเดียวกันอย่างฉายชัด ทว่าสาเหตุสลักสำคัญน่าจะมาจากปัญหาที่เธอต้องคอยแก้จึงเปลี่ยนให้ตัวละครอย่างเธอต้องจมปลักอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ แต่เธอสามารถก้าวพ้นความทุกข์นั้นได้เมื่อตระหนักกับคำพูดของจูน (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ที่กล่าวไว้ว่า“การที่รักมากไปบางครั้ง อาจทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง”


เห็นได้จากการเลือกตุ๊กตาของโต้งซึ่งฉากนั้นอาจจะเป็นแค่เพียงฉากธรรมดาเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากมันมิได้แฝงนัยยะบางอย่างเอาไว้ แต่ที่สำคัญฉากนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงอย่างสุนีย์มองลงลึกไปยังวิธีแก้ปัญหาของเธอ ว่าที่ผ่านมานั้นเธอเกือบจะทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่ตัวของสุนีย์เข้าใจแล้วว่าการบรรเทาผลลัพธ์จากการ “เลือก” สิ่งที่ดีที่สุดนั้นไม่จำเป็นว่า ตัวเธอเองจำต้องเป็นผู้ตัดสินเสมอไป บางครั้งการปล่อยวางเสียบ้างแล้วปล่อยให้เรื่องนั้นเป็นไปตามครรลองของมันคงจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่า


สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างก็คือตัวละครทุกๆตัวนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับผลแห่งความรักด้วยกันทั้งนั้น ตัวละครวัยรุ่นส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในภาวะสับสนไม่ว่าจะเป็น โต้ง-พยามค้นหาตัวเอง มิว-กำลังหาคำตอบให้กับคำว่ารักจำเป็นว่าจะต้องอยู่ร่วมกันเสมอหรือ? หญิง-ถ้าเรารักใครแล้วเราจะทุ่มเททำเพื่อคนๆนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเราหรือไม่หรือกระทั่งโดนัท-ทำไมฉันสวยเลือกได้แต่ เขาถึงไม่ยอมเลือกฉัน ขณะที่ตัวละครผู้ใหญ่ก็ล้วนเผชิญกับปัญหาการใช้ชีวิตและเรื่องความรักควบคู่กันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดตัวละครทั้งหมดต่างก็ได้รับคำตอบที่อาจจะไม่ประทับใจพวกเขาเท่าใดแต่ทว่ามันก็ให้พวกเขามากกว่าแค่บทเรียนชีวืตธรรมดาเรื่องหนึ่ง


ตัวละครอย่างหญิงกลายเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากที่สุดเมื่อเรามองว่าเธอทุ่มเททุกอย่างกับความรักแต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ทำไปกลับสูญเปล่าและรางวัลที่เธอได้รับคือ เธอต้องกลับมาเสียใจ ร้องไห้ โชคยังดีที่เธอยังมีเพื่อนคอยปลอบใจอยู่เคียงข้าง มันคงจะน่าเศร้าใจอย่างมากเมื่อผู้ชายคนที่เราแอบรักกลับเป็นได้แค่เพียงเพื่อนและที่สำคัญเธอต้องพาเพื่อนอีกคนไปหาคนที่เธอรักที่สุด แล้วสุดท้ายเธอต้องกลายเป็นฝ่ายปล่อยมือแล้วปล่อยทั้งสองไปอย่างมิอาจะทำอะไรให้ทั้งสองกลับมาหาเธอในฐานะ“คนรัก”ได้


บทภาพยนตร์ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องพาเราไปสู่โลกของมิวและโต้งจนเราไม่รู้สึกเลี่ยน เอียนหรือน่าหมั่นไส้แต่อย่างใด (แม้ว่าบางฉากจะมีผู้ชมหลายท่านมีอารมณ์ร่วมถึงขนาดกรี้ดขึ้นมาบ้างก็ตามเถอะ) และที่สำคัญหนังกระจายบทให้ตัวละครได้อย่างพอเหมาะพอดี(แม้ว่าสาวๆในเรื่องจะโดน จูน ขโมยซีนไปหมดก็ตาม)ให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวไม่แพ้ประเด็น Y อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรกก็ตามที


ยิ่งบทเพลงต่างๆที่ใช้ประกอบหนังเรื่องนี้ยิ่งกลายเป็นเสมือนส่วนเติมเต็มให้หนังกลมกล่อมและนำพาอารมณ์ของผู้ชมไปถึงสูงสุดไม่ว่าจะเรียกเสียงฮาหรือกระชากน้ำตาก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ แม้ว่าบางเพลงจะต้องอาศัยการตีความหลายตลบอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรเพลงในหนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าเพลงประกอบธรรมดาเพราะว่าท่วงทำนองเหล่านั้นเปรียบได้กับตัวละครอีกหนึ่งตัวซึ่งช่วยพาเราดำเนินไปกับเรื่องราวได้โดยไม่สะดุด


แม้ว่าบทสรุปของหนังอาจจะไม่ได้ทำให้หลายคนเดินออกจากโรงมากับรอยยิ้ม บางคนเดินปาดน้ำตา บางคนนั่งร้องไห้ยันเครดิตหนังจบ (ผมเป็นทั้งสามแบบที่พูดมานั่นแหละ) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังจบแบบมืดหม่นจนไร้แสงสว่างแต่หนังกลับกรุยทางและแอบให้กำลังใจอยู่ลึกๆ ของขวัญที่โต้งให้แก่มิวนั้นแม้ว่าของชิ้นนั้นจะไม่สามารถ “ประกอบ” ขึ้นอย่างสมบูรณ์และลงล็อคตามที่ใจของเขาหวังได้ เฉกเช่นกับความรักของเขาและโต้งที่มิอาจสานสัมพันธ์ในฐานะของคำว่า “แฟน” แต่ลึกๆแล้วคนทั้งสองกลับรักกันอยู่ลึกๆและมากมายจนไม่อาจจะพูดออกมา น้ำตาของมิวและคำขอบคุณที่พรั่งพรูออกมาจึงเปรียบเสมือนความหมายแห่งการเริ่มต้นอันดีหรือจุดจบอันปวดร้าวก็สุดแล้วแต่จะตีความกันไป สำหรับผมแล้วไม่ว่าในวันข้างหน้าความรักของมิวและโต้งจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมเชื่อเหลือเกินว่าเขาทั้งสองคงจะสามารถประคับประคองความรักของพวกเขาไปตลอดรอดฝั่ง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บทเรียนครั้งนี้คงจะเป็นอนุสรณ์ย้ำเตือนจิตใจพวกเขาว่า “ครั้งหนึ่งความรักนั้นได้ทำให้สองเราทั้งสุขและทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน”


สยามสแควร์อาจจะถูกเลือกเป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าวัยรุ่นอย่างเราๆทราบกันดีว่า ณ สถานที่แห่งนี้มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเรียนพิเศษ การพบปะมิตร หรือกระทั่งความรักของคนหลายๆคนก็เกิดขึ้นที่นี่ มนต์ขลังแห่งสถานที่แห่งนี้จึงอาจจะเป็นมากกว่าแค่เพียงสถานที่ชุมนุมวัยรุ่นแต่มันเป็นถึงตัวแทนของการแสดงออกในทุกๆสิ่งที่เยาวชนคนหนึ่งๆพึงมี


และมันคงไม่แปลกอย่างใดว่าที่นี่จะเป็นสถานที่เล่นคอนเสริต์ของวงออกัสเพื่อบรรเลงขับร้องเพลง “กันและกัน” ที่มีเนื้อเพลงว่า “ถ้าบอกว่าเพลงนี้แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม มันอาจไม่หวาน ไม่ซึ้ง ไม่สวยงาม เหมือนเพลงทั่วไป อยากให้รู้ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้”


เพราะไม่ว่าอย่างไร การจะรักใครคนหนึ่งนั้น เมื่อเรามีรักแล้วเราก็ย่อมมีความหวัง มิใช่หรือ ?

ขอบคุณที่มาคอมเมนต์ข้อผิดพลาดให้นะคร้าบ








Create Date : 12 ธันวาคม 2550
Last Update : 13 ธันวาคม 2550 12:07:46 น.
Counter : 1204 Pageviews.

9 comments
  
มันชื่อคอลัมน์ ที่ตรงนี้คุณเขียน ไม่ใช่เหรอฟ่ะ

โดย: ปอ IP: 124.121.161.6 วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:0:56:43 น.
  
เล่มใหม่ปก The Warlords เหรอ
วันนี้ไปร้านหนังสือยังไม่เห็นเลย
สรุป... เล่มนี้จะมีคนเขียนถึง รักแห่งสยาม สามคนซ้อน
กระอักกันไปข้างนึง 555555

ตอนนี้กำลังพยายามเขียน พระพุทธเจ้า อยู่ (ถึงจะรู้ว่ายังง้ายยย ยังไงก็ไม่ผ่านเซนเซอร์ 55+)
โดย: nanoguy วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:1:03:12 น.
  
ต้องลงโทษที่พูดถึงชื่อคอลัมน์ผิด

ก่อความเสียให้ใหญ่หลวงให้แก่นิตยสารยิ่งยวด

ด้วยการไม่อ่าน Uncut Version ในบล็อกนี้ซะเรย

จะบอกให้ว่า...บางทีการที่ บ.ก. ช่วยตัดทอนบางส่วนให้เรา อาจทำให้งานของเราดีขึ้นก็ได้นะ

โดย: ๋J. Green IP: 58.9.14.36 วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:7:59:03 น.
  
อ่า ขอโทษครับแก้ไขข้อผิดพลาดให้แล้วนะครับ
โดย: Onlineza วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:12:11:07 น.
  
ย๊าว ยาว

ไว้ค่อยอ่าน
โดย: dsเด็กป้อมsc IP: 125.25.144.86 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:20:37:33 น.
  
รัก รัก รักแห่งสยามตลอดปัยนะ
โดย: GiowZii IP: 222.123.43.44 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:20:41:48 น.
  
อื้มม จากที่อ่านบทความ ทำให้เราได้มีมุมมองใหม่กะหนังเรื่องนี้

คือเราก้อไปดูมาแล้วรอบนึง
แต่ตอนแรกไม่ได้คิดลึกซึ้งขนาดนี้
ว่าครอบครัวก้อเปนตัวแปรที่สำคัญมากๆเลยยยย
ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของไคซักคนในครอบครัว
ให้จากหน้ามือเปนหลังมือ

แล้วก้อในมุมมองของความรัก ก้อคงจิง ที่ว่า มีรักย่อมมีความหวัง
5555+ทำให้แอบหวังตามไปด้วยเลยยยย
เอิ๊กกกกก เรื่องที่เม้นก้อมีเพียงเท่านี้หละ
คิดถึงหน้าโต้งแล้วหล่อบาดใจ
ไปหละ
บะบายย
โดย: แป้ง~ปลาทอง IP: 58.136.203.71 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:20:48:34 น.
  
มันซึ้งจิงๆ เพลงมันได้อารมณ์มาก
โดย: ต่าย IP: 124.121.213.207 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:21:48:34 น.
  
พี่หนูแหวนมาชื่นชม คุณเด็ก ม.ปลายด้วยคน
เขียนได้ดีมากค่ะ
พี่หนูแหวนดูจบแล้วก็เกือบเขียนเหมือนกันค่ะ (วางปากกามานาน)
โชคดีที่ไม่เขียน ไม่งั้นคนอ่านคงกระอักตายไปข้าง แม้ว่าในมุมที่หนูแหวนเขียนจะเป็นมุมของผู้หญิง..(แม่/หญิง/โดนัท ก็ตาม
โหวตให้จ้า
โดย: หนูแหวนแขนอ่อน IP: 125.24.141.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:15:59:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Onlineza
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล้อกของผมนะครับ

ถึงแม้จะแต่งบล้อกให้สวยงามไม่ค่อยเป็น แต่รับรองว่าเข้ามาในบล้อกแห่งนี้ มีเรื่องราวให้อ่านมากมายกว่าที่คิด

เร็วๆนี้อ่านจะเพิ่มเติมหัวข้อพากิน พาเที่ยวเพิ่มถ้ามีเวลานะครับ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ

Fanpage : http://www.facebook.com/EntertainmentBite
https://entertainmentbite.wordpress.com/
ธันวาคม 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
29
30
31
 
 
All Blog