"ไอเอ็มเอฟ" ฟันธง! "อเมริกา" สิ้นยุคมหาอำนาจในปี 2016 ถูก "จีน" แซงหน้า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ได้ออกรายงานทำนายว่า จีนจะผงาดแซงหน้าสหรัฐเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปี 2016 ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐสิ้นยุคความเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกไปโดยปริยาย ขณะเดียวกัน ในเชิงเปรียบเทียบ บุคคลใดก็ตามที่จะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ในปี 2012 จะกลายเป็นผู้นำสหรัฐคนแรกที่นำสหรัฐเข้าสู่ยุคเป็นรองจีนด้านเศรษฐกิจด้วย
รายงานระบุว่า นับเป็นครั้งแรกที่ไอเอ็มเอฟได้วางกรอบชี้ว่า ประเทศคอมมิวนิสต์จะผงาดกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก และจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจที่มีนัยยะอย่างลึกซึ้งต่อโลกด้วย อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟดูเหมือนจะไม่ต้องการประกาศการทำนายดังกล่าวอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดจากการที่ไอเอ็มเอฟไม่ได้มีการประโคมเนื้อหารายงานดังกล่าวในเว็บไซต์
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของจีนในการจ่อผงาดเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหนืออเมริกา ระบุว่า ที่ผ่านมา จีนได้กำหนดภาคการผลิตและการส่งอออกสินค้ามีราคาต่ำ ภายใต้สัญญลักษณ์"เมด อิน ไชน่า"ซึ่งกลายเป็นที่รู้กันว่า สินค้าจีนเป็นสินค้าที่สามารถซื้อได้ในราคาถูกและย่อมเยา แม้ว่าคุณภาพและจริยธรรมในการผลิตสินค้าจะมีปัญหาก็ตาม นอกจากนี้ สหรัฐก็ถือเป็นประเทศหมายเลขหนึ่งของโลกที่บริโภคสินค้าของจีน เท่ากับผลักดันให้คู่แข่งมีอำนาจทางเศรษฐกิจขึ้นมาแข่งขันกับสหรัฐ
รายงานระบุว่า คำถามใหญ่ขณะนี้ก็คือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนดุลอำนาจด้านเศรษฐกิจแล้ว จีนจะถูกปฎิบัติอย่างไรจากสหรัฐ ซึงจะต้องเผชิญกับสถานการณที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจและกองทัพ สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับสหรัฐมาก่อน เพราะในอดีตที่ผ่านมา สหรัฐได้แต่เผชิญกับศัตรูในสงครามและด้านอุดมการณ์ทางการเมือง เช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน และสหภาพโซเวียต
ในอีกด้านหนึ่ง จีนได้เขยิบเร่งอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ท้าทายสหรัฐอย่างน่าทึ่ง โดยในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐยังมีเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าจีนถึง 3 เท่า ขณะที่การที่ไอเอ็มเอฟได้ระบุว่า จีนจะแซงหน้าเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือสหรัฐในปี 2016 ถือเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้แก่หลายฝ่าย โดยนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า สหรัฐจะสามารถยื้อสถานภาพความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่งโลกของจีนได้ถึงปี 2020
ที่มามติชนออนไลน์
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [
