วัดคำประมง จ.สกลนคร
ผมไปตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้วครับ ไม่เคยไปเลยสกลนคร ข้อมูลก็ไม่มี เพิ่งจะไปครั้งแรก จะรอดไหมเนี้ย

ออกเดินทางเช้าวันอาทิตย์ ขึ้นที่ดอนเมือง มื้อเช้าอาศัยที่สนามบินในดอนเมืองนั้นแหละ
แพงไม่ว่าแต่หาความอร่อยไม่เจอ เห้อๆ

 เราบินกับนกแอร์





มาถึงสนามบิน จ.สกลนครประมาณ 10.00 น.

ขอศึกษาเส้นทางหน่อยครับ หลังจากศึกษาเส้นทางเสร็จ ก็เช่ารถที่สนามบินนั้นแหละครับ

ประมาณเกือบห้าโมงเช้า ก็ออกเดินทาง จากสนามบินเลี้ยวซ้าย ขับตรงไปจะเจอสี่แยกไฟแดง แล้วเลี้ยวขวา (ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเข้าตัวเมืองสกล) พอเลี้ยวขวาให้ขับตามเส้นทาง 22
 แล้วก็มาถึงวัดคำปะมงแล้วครับ

ผมขับเข้าไปเรื่อยๆ จะเจอโบสถ์ก่อนครับ





อโรคยศาล หมายถึง สถานอภิบาลพักฟื้นผู้ป่วยด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติไปจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะทุเลาเบาบางลงไป หรือหมดไปสิ้นไปด้วยวิถีแห่งธรรมะและธรรมชาติบำบัดและหรือการแพทย์แบบองค์รวม อโรคยศาล วัดคำประมง ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร หมายถึง สถานที่ทำการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบองค์รวม คือผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนไทย(สมุนไพร), การแพทย์แบบแผน, การแพทย์แผนจีน(การฝังเข็ม), สมาธิบำบัด, ดนตรีบำบัด, ธรรมะบำบัด, มนตราบำบัด, และอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ข้อมูลจากเวป //khampramong.org/arokhayasarn.html

หาที่จอดรถได้ผมก็เข้าไปหาข้อมูลที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ครับ
คัดย่อบางส่วน จากความเป็นมาของวัดคำประมง พระปพนพัชร์ (พัลลภ) กล่าวว่า เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๙ ช่วงนั้น หลวงตาไปภาวนาที่ถ้ำขาม ช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ มาวันหนึ่งได้ทราบข่าวหลังจากไปวิเวกได้ลงมาข้างล่างที่วัดสันติฆาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นชื่อนายเสริม มีจิตศรัทธาที่จะถวายที่ดินให้หลวงตาในนามของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงตาก็บอกนายเสริมว่า ให้นายเสริมพาไปดูที่ พอไปดูที่แล้วมันไม่เหมาะสมที่จะสร้างวัด มันอยู่ใกล้บ้านเลยถามผู้ใหญ่เสริมว่ามีที่ใหม่อีกไหม คือตอนแรกจะยกที่ตรงนี้ให้หลวงปู่สิม หลวงตาก็บอกว่ามันไม่เหมาะสม เพราะที่มันไม่ใช่ทำเลที่ตั้งวัด นายเสริมก็ว่า มีครับมันอยู่ที่ดอนขาม ก็เลยพาหลวงตาไปดู ต้องเดินลัดเลาะป่าเข้าไป ไม่ได้เป็นทางอย่างที่เห็นปัจจุบันนี้ หลวงตาทำมาหมดแล้ว ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา หลวงตามทำทั้งหมด เดินลัดทุ่งลัดรอยเกวียนเข้าไปจนถึงดอนขาม ติดแม่น้ำอูน เป็นป่าที่ไม่ได้พัฒนา เป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว หลวงตาก็ว่า อย่างนี้แหละใช่เหมาะจะสร้างวัด แกก็เริ่มถวายที่ดิน ครั้งแรก ๔๘ ไร่ เป็น นส. ๓ ก ให้หลวงตาสร้างวัด ก็ไม่มีอะไรเลยเป็นป่าโปร่งๆ ป่าโล่งๆ ที่ทำมาหากินไม่ได้ เป็นที่เข็ดที่ขามของชาวบ้าน มันจะมีจอมปลวกใหญ่ที่เรียกว่าดอนขาม สูงใหญ่มาก จะมีลานที่เขาปักหลักไม้ไว้ และเขียนเป็นอักษรธรรมไม่รู้ความหมายว่า คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร แต่ว่าตอนที่หลวงตาไป ปลวกกินไปแล้ว ไฟไหม้หมดแล้วจึงเหลือแต่ดอนขามปัจจุบัน จอมปลวกนั้นก็ยังอยู่ หลวงตาก็ไปปักกรด ภาวนาอยู่คนเดียว แบกกรดสะพายบาตรพอลงจากถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม ที่หลวงปู่มั่นท่านไปจำพรรษา มันไม่มีอะไรสักอย่าง มีเขียงนาร้างๆ เสาก็ร้าง หลังคาก็ร้าง ผู้ใหญ่เสริมก็ไปทำนาได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าดีเขาคงไม่ให้ มันใช้อะไรไม่ได้เลย ก็เราชอบที่อย่างนี้ พอเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ผู้ใหญ่เสริมก็มากล่าวคำถวายที่ดิน หลวงตาก็นิมนต์พระมารับที่ดินตรงนี้หลายท่านหลายองค์ เป็นสักขีพยานว่าผู้ใหญ่แกถวายที่ดินตรงนี้แล้วนะ ให้กับหลวงตา หลวงปู่สิม ตอนนั้นหลวงปู่สิมอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ไม่ได้ลงมา หลวงตาก็จัดการรับเรียบร้อย ข้อมูลจากเวป //khampramong.org/khampramong.html



ผมถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่าวันนี้จะมี จิตอาสา มาช่วยดูแล ผู้ป่วยให้ด้วย ที่สำคัญวันนี้หลวงพ่อจะทำพิธีต้มยาให้กับผู้ป่วยด้วยครับ ประมาณบ่ายโมง ผู้ป่วยรวมทั้งญาติและจิตอาสา จะมารวมตัวกันที่ อาคาร มูลนิธิ ครับ

จะมีหลวงพ่อปพนพัชร์ มานั่งเป็นประธาน แล้วพูดคุย ถามถึงปัญหา การรักษาผู้ป่วย พระปพนพัชร์ ท่านใจดีมากเลยครับ



จิตอาสา ก็มาเล่นดนตรี ให้ฟัง ส่วนมากจะทำงานที่ จ.สกล เป็นหมอก็มี ได้คุยกับท่าน บอกว่าถ้ามีเวลาว่างก็จะมาเป็น จิตอาสาให้

พี่คนนี้ (ขอโทษด้วยครับ จำชื่อพี่เค้าไม่ได้แล้ว) เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายครับ แต่ดูอาการแล้ว ช่วยเหลือตัวเองได้หมด แข็งแรงมาก ได้คุยกันด้วย พี่เค้าบอกว่า อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ก็กินยา ปฏิบัติธรรม ทำใจให้สงบ ร่าเริง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว พี่เค้าอารมณ์ดีจริงๆครับ แต่งเพลงเอง แล้วขึ้นมาร้องเพลงแจมกับจิตอาสาด้วย เห็นแล้วมีความสุขไปด้วย


ผู้ป่วยที่อาการหนัก มาที่อาคารไม่ไหว ก็จะมีเสียงไปตามสาย ออกไปยังที่พักผู้ป่วยที่เรือน หลังจากพูดคุย ไต่ถามอาการ บ่ายสามก็ได้เวลา ทำพิธีต้มยา ครับ หลวงพ่อจะเป็นคนทำพิธีเอง



ที่ต้มยาอยู่คนละที่กับอาคารครับ ลักษณะจะเป็นเพิงหลังคามุงด้วยหญ้าแฝก พื้นดิน ต้องเดินจากอาหารไปสถานที่ต้มยาไม่ไกลกันครับ

พอทำพิธีสวดมนต์เสร็จ ญาติผู้ป่วยก็จะเอายาไปต้ม หม้อใครหม้อมันครับ


สมุนไพรต่างๆ ที่หลวงพ่อต้มเสร็จแล้ว เอาไว้ให้มาตอนรับแขกครับ ผมโดนไปแก้วนึงครับ ฮึ่ม นะ...



หลังจากเสร็จพิธี ผมก็มาคุยกับหลวงพ่อที่อาคารต่อครับ ท่านเมตตาให้คำแนะนำ ให้ความรู้กับผมเยอะเลย ตอนแรกผมตั้งใจจะนอนค้างที่วัด เป็นจิตอาสากับเค้าสักวัน แต่พอดีวันนี้ที่วัดไม่สะดวก ผมก็เลยไม่ได้นอน คุยเสร็จผมก็ลาหลวงพ่อ ไปนอนในตัวเมืองสกล ก่อนไปผมก็เดินสำรวจภายในวัด ดูอาคารสถานที่ครับ
ภายในกุฏิจะมีห้องพยาบาลขยาดเล็ก



สำรวจภายนอกบริเวณวัด
คันนี้แหละครับ


ออกจากวัดได้ประมาณสี่สิบนาทีก็มาถึง สกลแล้วครับ

เมืองสกล ใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ อย่างนี้ต้องขับหลงในเมืองซะหน่อย ขับหลงจนเริ่มจะจำได้ ที่พักก็ยังไม่มี ก็ขับวนๆเอา ไปเจอโรงแรมนี้ครับ ทำเลดี อยู่หน้าตลาดสด รอดตายแล้ว พักมันที่นี่แหละ อิอิ


มื้อเย็น ที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม (ตรงที่ผมยื่นถ่ายรูปข้างบนนั้นแหละ) ขายสารพัดปากหม้อ ชื่อร้านน้องพลอยครับ


หน้ามืด หิวจัด สั่งแหลก สั่งไปห้าอย่าง จำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้แต่ว่ากินไม่หมด แค่อยากชิม





อิ่มเสร็จก็ขับรถยืดเส้นยืดสายในเมือง หลงบ้างพอเป็นพิธี ก็ได้เวลาเข้านอน หกโมงเช้า ผมตื่นมาเดินตลาดสดหน้าโรงแรม เดินดูแม่ค้าขายของ ได้ชิมอาหารนิดหน่อยก็กลับเข้าโรงแรม แปดโมงเช้าผมก็ออกจากโรงแรม ขับรถไปกินไข่กระทะ ที่ผมเหล่ไว้ตอนที่ผมขับหลงตั้งแต่เมื่อวาน (ผมไม่เคยกินไข่กระทะมาก่อนเลย ตั้งใจว่ายังไงก็ต้องมากินไข่กระทะให้ได้)
แอบกระซิบ ร้านนี้อร่อยกว่าร้านเมื่อวานอีก


อิ่มเสร็จแล้วเวลาเหลือนิดหน่อย ขากลับผมมีเวลาแวะกราบพระอาจารย์มั่น ดีใจมากที่ได้มีโอกาสมากราบท่าน แต่พอได้มาสัมผัสเมืองสกลแล้ว ยังมีอะไรหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ ยังมีอีกหลายที่ที่ผมยังไม่ได้ไปสัมผัส สกลนครมีอะไรมากกว่าที่ผมคิดเยอะ ผมสัญญาแล้วผมจะกลับมาเยี่ยมใหม่ครับ
Create Date : 24 กรกฎาคม 2554 |
|
20 comments |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2559 20:39:33 น. |
Counter : 12019 Pageviews. |
|
 |
|