ฟุตบอลที่ไม่สร้างสรรค์? คอลัมน์ทุ่งหญ้าX โดย บอ.บู๋
คำถามหนึ่งผุดขึ้นหลังสิ้นศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย คือรู้สึกอย่างไรที่ทีมระดับมหาชนอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, รีล มาดริด, อาร์เซน่อล และบาร์เซโลน่า มีอันต้องตายเป็นหมู่คณะและหยุดเส้นทางสู่ อีสตันบูล พร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ยอมรับครับคิดถึงเรื่องการประกบคู่ทีไร ผมมีความรู้สึกอยากกระทืบคนจับสลากขึ้นมาครามครัน(โทษฐานทะลึ่งจับแมนฯ ยูไนเต็ด ไปจ๊ะเอ๋ย์กับ เอซี มิลาน น่ะสิ...ฮิฮิ)
คือไม่ทราบว่ามันจับภาษาหอกหักอะไร ถึงได้เอาทีมประเภทช้างสารมาประสานงากันตั้งแต่นกกระจอกเพิ่งกินน้ำได้ไม่กี่อึก แม้ข้อดีคือมีเกมระดับ "บิ๊กแมตซ์" ให้ดูถึง 4 คู่ แต่ข้อเสียอาจเยอะกว่าเพราะเราเลือกดูได้แค่ 2 คู่ เพราะดันมี "บิ๊กแมตซ์" เวลาเดียวกันวันละ 2 คู่ และ เมื่อช้างตกมันชนกันความบรรลัยย่อมบังเกิดครับ
เราจึงได้แต่มองตาปริบๆ เมื่อเห็นพวกขาใหญ่อย่าง ปีศาจแดง, ปืนโต, ราชันชุดขาว และบาร์ซ่า หยุดเส้นทางของตัวเองเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทั้งที่มอง ตามศักยพลานุภาพ พวกเขายังไม่ควรถึงที่ตายสักหน่อย เช่นเดียวกับได้แต่ทำขอบตาร้อนผะผ่าวที่ได้เห็นพวกพระรองอย่าง ลิเวอร์พูล, ไอนด์โฮเฟ่น, และลียง ผ่านเข้ารอบต่อไป(ซะอย่างงั้น)
อยากตะโกนดังๆ ให้กองเชียร์บางทีมได้ยินเหลือเกินครับว่า "อิจฉาโว้ย" โลกช่างไม่ยุติธรรม Fcuk The World! นอกจากนี้ยัง....เสียดาย อีกต่างหาก
มันน่าเสียดายนะครับที่ต้องเห็นทีมที่มีเกมรุกดุดันและ จัดจ้านและถอยหลังเป็นหกล้มอย่าง บาร์เซโลน่า ต้องมีอันเป็นไป ทั้งที่อุตส่าห์แสดงความเปล่งปลั่งออกมา อย่างน่าสยดสยองในรอบแบ่งกลุ่ม เช่นเดียวกับทีมรวมดาวดังอย่าง รีล มาดริด หรือ อาร์เซน่อล และอะแฮ่ม....แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต่างก็ตายหมู่พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เนื่องด้วยทั้ง 4 ทีมนี้ จัดอยู่ในประเภทFantastic Four หรือ 4 จตุรเทพ ผู้เชี่ยวชายด้านการถล่มประตูระดับทวีปก็ว่าได้ ในทางเกือบตรงกันข้าม ทีมที่บรรจงเขี่ยพวกเขาตกรอบ กลับจัดอยู่ในประเภทที่เน้นผลการแข่งขันและมีเหลี่ยมเลห์กลยุทธ์มากกว่าการเล่นเกมรุกแบบไม่ลืมหูลืมตา
ไม่ว่าจะเป็นยูเวนตุส หรือ บาเยิร์น มิวนิค เฉพาะอย่างยิ่งกับ เอซี มิลาน และ เชลซี นั่นพอจะบอกอะไรและอะไรบางอย่าง ถึงหนทางสู่โสดาแห่งเกมลูกหนังหรือเปล่า?
ครับ-ผมกำลังหมายถึงยุทธวิธีแห่งความสำเร็จของทีมในยุคสมัยใหม่ ........................................
ก่อนเกมนัดล้างตาระหว่างเชลซี กับ บาร์เซโลน่า ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ อดีตของนักเตะเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์ ได้มีบัญชาลงมาสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถึงพลพรรค นักเตะบาร์ซ่าเด็กในคาถาของเขาบนเมืองมนุษย์ว่า... "บาร์ซ่า...เจ้าต้องกำจัด เชลซี ให้ได้ เพื่อดำรงไว้ซึ่งเกมฟุตบอลอันสวยงาม"
อดีตดาวเตะระดับป๋าเทพแห่งแดนกังหันให้เหตุผลต่อมา"เห็นได้ชัดว่าเชลซีมีแนวทางการเล่น ที่เน้นผลการแข่งขันเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ข้าพเจ้าคงทำได้แค่เพียงสวดมนต์ภาวนาให้ บาร์ซ่า ยึดมั่นในแนวทาง การเล่นที่สวยงาม และสร้างสรรค์ต่อไป"
ตีความจากคำพูดของ ท่าน แองเจิล ครัฟฟ์ ก็คงไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศมากกว่าการกระแทกไปที่หน้าของมนุษย์ที่กำลังคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาเดินดิน อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ และพวกพ้องว่า "พวกมึงนั่นแหละเป็นพวกเล่นบอลไม่สร้างสรรค์" และสมควรทำลายล้างเผ่าพันธุ์ทีมประเภทนี้ให้สิ้นซาก!!! สร้างสรรค์ในความหมายของ โยฮัน ครัฟฟ์ คือการเล่นฟุตบอลด้วยความสวยงามน่าตื่นเต้น และควรเน้น เกมรุกมากกว่าเกมรับ เนื่องเพราะอดีตดาวเตะเทวดาเจ้าของหมายเลข 14 คือตัวอย่างที่ดีของการเล่นฟุตบอลอันพิลาศพิไลและแพรวพราวประหนึ่งเลื่อมสลับลาย ในความคิดของ ครัฟฟ์ ฟุตบอลควรเป็นศิลป์ มากกว่าเป็นศาสตร์
เข้าใจครับว่านักบอลโบราณอย่างพี่เทพต้องการสงวนไว้ซึ่งความเร้าใจในเกมลูกหนัง ก่อนที่กลยุทธการเล่นแบบไม่สร้างสรรค์จะกลายเป็นแฟชั่นนิยมมากกว่านี้ แต่ประโยคที่เขาปรักปรำ เชลซี ในทีนั้นอาจจะรุนแรงเกินไปหรือเปล่า? เชลซี เป็นทีมที่เล่นไม่สร้างสรรค์?? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับคำว่าการเล่นแบบไม่สร้างสรรค์
อันดับแรกของความไม่สร้างสรรค์น่าจะหมายถึงการเน้นเกมรับ และไม่ใช่เล่นเกมรับธรรมดา แต่เป็นการเล่นเกมรับแบบไม่ลืมหูลืมตาพอๆ กับไม่คิดจะทำมาหารับประทานอย่างอื่น นอกจากอุดประตู แถวบ้านเรียก"โคตรมหาอุด" ส่วนใหญ่การเล่นเกมรับแบบ "โคตรมหาอุด" มักจะพบได้มากจากทีมระดับรองบ่อนที่ผู้เล่นมีความสามารถจำกัดและคุณภาพค่อนข้างบัดซบ
ทีมประเภทนี้จะลงไปอุดประตูเป็นหลักพลางหาทางสวนกลับบ้าง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือต้องไม่เสียประตูเอาไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
การเล่นแบบนี้ส่งผลให้มีอัตราการทำประตูกันน้อยลงอย่างน่าใจหาย อันดับถัดมาของการเล่นที่ไม่สร้างสรรค์คือการเล่นที่โหดเหี้ยม รุนแรง และน่าเกลียด ประเภทเตะแหลกแล้วแหกค่าย เพื่อหยุดยั้งความเหนือกว่าของคู่ต่อสู้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นใด นอกจากกะซวกแข้งของคู่แข่ง ให้แหลกเหลวคาตีน
ทั้งนี้การเล่นแบบไม่สร้างสรรค์อาจรวมถึงแท็กติกด้านมืดประเภทลูกไม้กลโกงต่างๆ ที่ผู้เล่นหยิบยืมมาจากซาตาน เช่นพุ่งล้มตบตาผู้ตัดสิน หรือแอบใช้มือทุบบอลเข้าประตูแบบหน้าด้านๆ นี่แหละการเล่นไม่สร้างสรรค์
ทีนี้มาดูที่ เชลซี บ้างนะครับ ปรัชญาการเล่นของทีมสิงห์บลูส์จากขุมกบาลสากลของ"เฮียเครียด" อาจจะไม่ใช่การควบตะบึงบุกกระหน่ำตำเกมรุกปั่กๆๆๆ ซอยยิกๆๆๆ เหมือนอย่าง บาร์เซโลน่า, อาร์เซน่อล หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เชลซีก็ไม่ใช่ทีมที่คล้องหลวงพ่อ "มหาอุด" ไว้บนคอ เพียงแต่เกมรับของเชลซีอุดมด้วยประสิทธิภาพต่างหาก และทีมที่มีเกมรับอันเหนียวแน่นแข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นทีมที่จ้องแต่จะอุดประตูเสมอไปนี่หว่า เพราะประสิทธิภาพในเกมรับของเชลซี เกิดจากผู้เล่นที่มีคุณภาพคับหน้าแข้งตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า เรียกว่าทุกตำแหน่งมีส่วนกับการเล่นเกมรับ แทบไม่ต่างจากสิ่งที่เราเห็นจาก มิลาน-ผู้เล่นแนวรุกมีส่วนกับเกมรับตั้งแต่ในแดนของคู่ต่อสู้ พวกเขาไล่สูงเพื่อรุมบีบพื้นที่ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งเกมขึ้นมาได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้นคำปรักปรำของนักเตะเทวดาหัวอนุรักษ์นิยมว่าไม่สร้างสรรค์นั้น คงจะเป็นข้อกล่าวหารุนแรงเกินไปสำหรับ เชลซี (บางทีอาจเพื่อยั่วยุ ปลุกเร้า หรือหลอกล่อให้ เชลซี เปิดเกมแลกหมัดกะบาร์เซโลน่าก็เป็นได้)
การเล่นแบบรัดกุมและปลอดภัยไว้ก่อน โดยให้ความสำคัญกับผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการมากกว่าความสวยงามสนุกสนานเพลิดเพลินของท่านผู้ชมคงไม่ถึงกับเป็นบาปหรือถูกกล่าวหาว่าไม่สร้างสรรค์ แค่เพียง...ไม่สะใจวัยรุ่นเท่านั้นเอง ในการทำทีมเพื่อมุ่งเน้นความสำเร็จ บางทีมันก็ต้องแกล้งลืมวิธีการเล่นที่สวยงามและสนุกสนานของท่านผู้ชมบ้าง เนื่องเพราะสิ่งสำคัญกว่าการเล่นแบบสร้างสรรค์ คือการเล่นแบบไม่โง่ครับ
อย่างน้อยใน 2 ครั้งล่าสุดที่ทีมระดับนางงามจักรวาลอย่างบราซิลได้เป็นแชมป์โลก พวกเขายังต้องลดทอนความสวยงามอย่างโฉบเฉี่ยวลง เพื่อเพิ่มในส่วนที่เป็นแท็กติกเข้าไปในอัตราส่วนที่สมดุล
กุนซือโรคจิตอย่าง มูรินโญ่ อาจถูกเทวดาถากถางว่าทำทีมไม่สร้างสรรค์ แต่เขายอมยักไหล่ไม่แยแสและตอบกลับไปว่า "ถ้ามึงอยากสร้างสรรค์นักก็ไปอยู่โฟร์เอสสิครับพี่" เพราะการเผชิญหน้ากับ บาร์เซโลน่า จำเป็นต้องยึดหลักการเล่นแบบไม่โง่ไว้ก่อน
ในเมื่อการเล่นแบบสร้างสรรค์ตามความหมายของ โยฮัน ครัฟฟ์ สำหรับ เชลซี มันคงไม่ต่างจากการเคาะประตูนรกให้เปิดต้อนรับตัวเอง ซึ่งคนเฉลียวฉลาดอย่าง "เฮียเครียด" คงไม่โง่พอที่จะสั่งให้ลูกทีมของตน ทำแบบนั้นอย่างแน่นอน
กลับกัน....ทีมที่เล่นด้วยความสร้างสรรค์กว่า อย่าง บาร์เซโลน่า กลับกลายเป็นการสร้างสรรค์แบบไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่มั่นใจในวิธีการเล่นอย่างสร้างสรรค์มากเกินไป
สุดท้ายก็สำลักความสร้างสรรค์ของตัวเองตาย ฉะนั้น สิ่งที่ผู้เป็นตำนานแห่งความสง่างามอย่าง ครัฟฟ์ น่าจะเข้าใจคือคงเป็นไปไม่ได้ดอกที่จะให้ทุกทีมมีแนวทางการเล่นแบบสร้างสรรค์เหมือนกันหมดในทุกสถานการณ์ แบบว่าคนเรายังเกิดมาไม่เท่าเทียมกันเลยครับ
โดยเฉพาะในฟุตบอลโลกาภิวัตร์ที่ผลการแข่งขันสำคัญกว่าความสวยงาม กระนั้นในทัศนะของเทวดา มันก็น่าขบคิดอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยในถากถางนั้นก็ฉาบด้วยความหวังดี ต่อวงการลูกหนัง เพราะจากทั้งสองฤดูกาลที่ผ่านมา สโมสรที่ผงาดเป็นใหญ่ในทวีปยุโรป 2 ทีมที่เน้นผลการแข่งขัน มากกว่าลีลาการเล่นอันเร้าใจ ไม่ว่าจะเป็น มิลาน 2003 หรือ ปอร์โต้ 2004
อนุญาตบวกทีมชาติกรีซเข้าไปอีกหนึ่ง ถ้าขืนยังปล่อยให้ทีมประเภทนี้ประสบความสำเร็จอีกต่อไป อีกไม่นานมันคงกลายเป็นบันทัดฐานสำหรับ ทุกทีมที่ต้องการความสำเร็จไปอย่างถาวร
เปล่า...ผมไม่ได้บอกว่า มิลาน 2003 หรือ ปอร์โต้ 2004 เป็นทีมที่ไม่สร้างสรรค์ เช่นเดียวกับ เชลซี ใน พ.ศ. นี้ พวกเขาเป็นทีมที่มีคุณภาพ แถมยังฉลาดกว่า พวกที่ตั้งหน้าตั้งตาบุกลูกเดียวอีกต่างหาก
แต่คุณไม่สังเกตเหรอครับว่าเราไม่ได้เห็นนัดชิงชนะเลิศที่สนุกสนานมากี่ปีแล้ว?
บอ.บู๋ คอลัมน์ทุ่งหญ้าX หนังสือพิมพ์สตาร์ซ็อคเก้อร์ ^_^ ขอบคุณค่ะ
p.s รูปที่ลงไม่เกี่ยวกะเนื้อหาค่ะ ชอบจีฮุนค่ะ อิ อิ
Create Date : 14 มีนาคม 2548 |
|
26 comments |
Last Update : 14 มีนาคม 2548 13:53:05 น. |
Counter : 1030 Pageviews. |
|
|
|
milan_in_love เนี่ย อิ อิ ชื่อน่ารักดีนะ
เค้าก้อเขียนตามมุมมองของเค้านะค่ะ
อาจมีเอนเอียงแระเซ็งๆง่ะที่เจอเกมรับที่เหนียวแน่นของมิลานเข้าไป แต่ตอนสุดท้ายที่เค้าว่า ไม่ได้ดูบอลนัดชิงUCLที่สนุกๆ มันก้อจิงของเขานะคะคุณbiggg หรือคุณว่าไง