++ ซื้อผ้าเอาหน้ารอด >>คอลัมน์ ทุ่งหญ้าX (บอ.บู๋) ++
ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเด็กไทยสมัยนี้สนใจเรียนภาษาไทยกันมากขนาดไหนแต่ที่แน่ๆคือเด็กไทยรุ่นผมหลายตัวไม่ค่อยใส่ใจวิชาภาษาเท่าไหร่ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นเหตุเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนไทยอยู่แล้ว แถมยังเป็นเจ้าของภาษาไทยโดยชอบธรรมอีกต่างหาก นั่นส่งผลให้เราคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งใจเรียนวิชานี้ให้มากนักเปรียบไปก็ไม่ต่างจากการสอนจระเข้ว่ายน้ำจระเข้ว่ายน้ำเป็นอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องสอนให้มันว่ายน้ำหรอกคนไทยก็พูดก็ใช้ภาษาไทยมาตั้งแต่จำความได้อยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องเรียนวิชานี้เช่นกันนั่นคือความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะตอนสอบ ทำไมถึงมีความรู้สึกว่ามันยากฉิบหอยเลยวะว่าแล้วเด็กไทยรุ่นผมก็สอบตกวิชาภาษาไทยกันระนาวผิดกับพวกไอ้ตี๋ซึ่งมีเชื้อจีนที่สอบผ่านวิชานี้อย่างเย้ยหยันบรรดาไทยแลนด์บอยส์ในสมัยนั้นอาจเป็นได้ว่าที่พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนไทยแท้ๆ เลยตั้งใจเรียนมากกว่าความจริงวิชาภาษาไทยนี่ยากมากนะครับ เอาแค่ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ยังท่องกันไม่ได้เลย แต่ดันคิดว่ามันง่ายพอสอบตก คุณครูวิชาภาษาไทยก็เลยบอกว่าเพราะพวกเธอคิดว่าตัวเองเป็นคนไทยอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจเรียนวิชานี้จริงๆ ผมอยากบอกคุณครูว่าผมก็ไม่ชอบเรียนสักวิชานั่นแหละครับคุณครูแถมยังเคยแอบดูคุณครูวิชาสังคมศึกษานั่งขี้อีกต่างหาก!ครั้งหนึ่ง คุณครูวิชาภาษาไทยท่านได้ทำแบบทดสอบสุภาษิตคำพังเพยให้นักเรียนลองทำ ด้วยการตั้งโจทย์มา แล้วให้เราต่อคำลงท้ายให้ถูกต้องยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณครูตั้งโจทย์ขึ้นต้นให้ว่า...ขี่ช้างเราต้องต่อคำลงท้ายให้ถูกต้องว่า...จับตั๊กแตนปรากฏว่า "ตก" กันบานเลยครับ เพราะแต่ละคนต่อคำลงท้ายกันผิดเพี้ยนยกตัวอย่างเช่นน้ำมา ปลากินมดที่ถูกต้องคือ...น้ำมา ปลากินมด น้ำลดมดกินปลาไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ดันตอบว่า...น้ำมา ปลากินมด น้ำลด ตอผุด!ตกกระได...ที่ถูกต้องคือ...ตกกระได พลอยโจนไอ้บ้าคนเดิมดันตอบว่า...ตกกระได ไถลลงพื้น!อีกอันหนึ่งที่ผิดกันแทบทุกคนคือสุภาษิตที่ว่า...ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิดแต่แทบทุกคนตอบเหมือนกันคือ...ช้างตายทั้งตัวใบบัวก็ปิดไม่มิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไอ้บ้าคนนั้นมันเลยท่องสุภาษิตและคำพังเพยจนขึ้นใจ แถมยังมีประโยชน์ในการเอาไว้ตักเตือนและสั่งสอนตัวเองอีกต่างหากแต่มีสุภาษิตอยู่ 4 อันครับที่ผม-เอ๊ย-ไอ้บ้าคนนั้นฟังแล้วเกิดอาการพ่อไม่เข้าใจตุ้ม๑. น้ำขึ้นให้รีบตัก๒. ตีเหล็กเมื่อไฟยังแรง๓. อดเปรี้ยวไว้กินหวาน๔. ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามสองอันแรกมีความหมายประมาณว่าถ้าเราอยากทำอะไรให้รีบทำซะ ขณะที่สองอันหลังสอนเราว่าให้ใจเย็นๆไว้ไอ้น้องอ้าว...ตกลงพี่จะให้กูรีบหรือจะให้กูใจเย็นๆ กันแน่ครับเนี่ย?อันที่จริงผมก็แกล้งทำสงสัยไปอย่างนั้นแหละ เพราะจะรีบตักหรือจะรอจังหวะมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากกว่าหลังจากตลาดซื้อขายนักเตะเปิดขึ้นอีกครั้งเป็นรอบที่สอง ผมนึกถึงสุภาษิตหรือคำพังเพยอยู่อันที่ว่า..."ขายผ้า เอาหน้ารอด"ถามผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยอย่าง คุณน้องเหน่อ ดร.พิว อดีตนักศึกษาคณะโบราณคดีจากแถวหน้าพระลานว่า "ขายผ้า เอาหน้ารอด" หมายความว่าอย่างไรเขาตอบในสำเนียงเหน่อขัวขินว่า..."ทำอะไรให้มันเสร็จๆไปก่อน หรือการแก้ปัญหาแบบสั่วๆ ให้เอาตัวรอดในตอนนี้ให้ได้เสียก่อน"ก่อนให้ความเห็นต่อมาว่า..."ขายผ้าเอาหน้ารอดนี่น่าจะเป็นญาติกับผักชีโรยหน้า"ผมนึกถึงการขายผ้าเอาหน้ารอด เพราะมันตรงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงการลูกหนังและนาทีนี้หลายทีมบนพรีเมียร์ชิพต่างเสริมกำลัง ในช่วงตลาดเปิดอีกครั้งกันอย่างอุตลุด โดยนักเตะหลายตัวถูกซื้อมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้น่าจะเรียกว่า... ซื้อผ้าเอาหน้ารอดยกตัวอย่างเช่นการดึงตัว มานิเช่ ของเชลซี เพื่อเอามาทดแทนการขาดหายของ "อ้าย...ฟาย" มิชาเอล เอสเซียง มากกว่าที่จะซื้อมาเพื่อเป็นกำลังหลักในระยะยาว เช่นเดียวกับการซื้อ ปาทริช เอวร่า ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เพื่อแก้ปัญหาการขาดแบ็กซ้ายที่ตายตัว นับตั้งแต่การบาดเจ็บของ กาเบรียล ไฮน์เซ่หรืออย่าง เบอร์มิ่งแฮม ที่ไปดึงตัว คริส ซัตตัน กลับมาก็คงไม่ได้หวังว่าเขาจะกลายเป็นกองหน้าตัวหลักไปตลอดก็แค่หวังว่าประสบการณ์และความจัดเจนของซัตตัน จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของ เบอร์มิ่งแฮม ให้พ้นภัยในช่วงครึ่งฤดูกาลที่เหลือเท่านั้นเองคือเอาตรงนี้ให้รอดไปก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่เมื่อสองฤดูกาลก่อน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยซื้อผ้าเอาหน้ารอดมาทีหนึ่ง ด้วยการทุ่มเงินซื้อ หลุยส์ ซาฮา มาร่วมทีมในราคา 12 ล้านปอนด์ ในช่วงตลาดเปิดรอบสองถ้านับเฉพาะช่วงที่เหลือที่ ซาฮา ลงสนามให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็น่าจะถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเมื่อเขายิงไป 7 ประตู จากการลงสนาม 12 นัดน่าเสียดายที่ฤดูกาลนั้น อาร์เซน่อล ร้อนแรงเกินห้ามใจ - การซื้อผ้าเอาหน้ารอดครั้งนั้นจึงช่วยให้พลพรรคปีศาจแดงพลิกสถานการณ์ไม่สำเร็จแต่หลังจบฤดูกาลนั้น หลุยส์ ซาฮา ก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองถูกซื้อมาแบบเอาหน้ารอดจริงๆ เนื่องเพราะซีซั่นต่อมาเขาลงเล่นไปแต่ 14 นัด โดยยิงไปตั้ง 1 ประตูจนป่านนี้ยังค้นหาฟอร์มระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับตอนย้ายก้นมาใหม่ๆ ไม่เจอนั่นควรเป็นตัวอย่างที่บ่งชัดว่าการซื้อ - ขายผู้เล่นในช่วงเดือนมกราคมของแต่ะละทีมน่าจะเป็นการซื้อแบบ "เอาหน้ารอด" ไม่ใช่การเสริมทัพอย่างจริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่และในขณะที่ผมกำลังกระแทกนิ้วบนแป้นพิมพ์นั่นเอง ก็เกิดเหตุการณ์ "ไทยมุง" ขึ้นบนกองบัญชาการซอคเก้อร์เมื่อ "ขมิ้นข่าว" มาริโน่ เปิดฉายภาพอะไรบางอย่างในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กเครื่องเท่าสมุดพกของตัวเองแบบทุกคนละทิ้งการทำงานเข้าไปรุมห้อมล้อมพร้อมส่งเสียงเอะอะโวยวายและถกเถียงกันเป็นการใหญ่บ้างก็บอกว่า...ใช่บ้างก็บอกว่า...ไม่ใช่บ้างก็อุทานเสียงหลงว่า...อู้หูยยยยย แอนนาๆส่วนคุณน้องเหน่อ อยู่ๆ ก็ปวดอุจจาระขึ้นมากระทันหันพลางขอตัวเพื่อนๆ ไปห้องน้ำแบบมีพิรุธผมจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมุงกับเขาด้วยคนนรก! ผมอยากจะอุทานโบราณว่า "อกอีแป้นจะแตก" เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภาพอื้อฉาวที่เพิ่งเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งถูกโหลดมาจากอินเตอร์เน็ตอีกทีไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เนื่องจากผมไม่เคยติดตามผลงานหรือเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนแต่ที่รู้ๆ คือคนที่กล้าถ่ายภาพตัวเองทำแบบนี้ต้องทั้งโรคจิตและวิปริตพอตัวตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องฟุตบอลให้จบแต่อารมณ์นี้ขอบอกตามตรงว่าสมาธิกระเจิดกระเจิงไปเรียบร้อยโรงเรียนกามาวิทยาคมฉะนั้นจึงขอจบแบบ "ขายผ้าเอาหน้ารอด" แบบนี้แล้วกัน"บอ.บู๋"Bbmeetyou@Yahoo.com...............................................^^ขึ้นต้นด้วยสุภาษิต...ลงท้ายก้อสุภาษิต...แต่ไฮไลท์ม่ะได้อยู่ที่เรื่องบอลเร้ยย...อิ อิ...ซะง้านแหละพี่บู๋นะพี่บู๋...อ่านเล่นๆ แก้เซงงงนิ(ผีแพ้อีกแระ) อัพตามคำขอของพี่มึน.คอมแร้วนะคะ...แหะๆ อยากทวงให้พิมพ์ดีนัก...เนี่ยมือหงิกแร้วเพ่ >>ขอบคุณพี่บู๋และนสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ ขอให้รวยๆนะคะ
โหรูปข้างบนนี่ 3 หนุ่ม 3 มุม..เลยนะ 5555