++ ต้มยำไม่ใส่พริก ...คอลัมน์ทุ่งหญ้าX (บอ.บู๋) เขียนถึงหลังเกมอาร์เซน่อล+ผีแดง++
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว การกะซวกแข้งกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ยังจัดเป็นเกมส์สำคัญระดับตัดสินแชมป์พรีเมียร์ชิพอย่างไม่เป็นทางการอยู่เลยนะครับไม่ว่าจะเจอกันที่ไหนหรือเมื่อไหร่ อัตราความดุเดือดเลือดพล่านจะพุ่งขึ้นสูงจนทะลักจุดแตก ประหนึ่งเด็กช่างกลยกพวกตีกับเด็กช่างก่อสร้าง ทั้งนี้เพราะมันเป็นยิ่งกว่าเกมฟาดแข้งทั่วๆไป คือมันเป็นการเจอกันระหว่างคู่แค้นระดับฆ่าล้างโคตร มันเป็นเกมแห่งความเกลียดชัง ซึ่งอุดมด้วยความรุนแรงและโหดเหี้ยมอำมหิตนะดับหนังคัลต์ที่ติดเรตเอ็กซ์ได้สบายๆเรียกว่ามันเป็นการแข่งขันฟุตบอลเพียงไม่กี่แมตซ์ในโลกที่ผู้ปกครอลควรพิจารณา หากคิดจะพาบุตรหลานเข้าไปดูหลายเหตุการณ์ที่เคยอุบัติขึ้นบ่งบอกชัดเจนว่า การเจอกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ไม่เคยจบลงบนความน่าเบื่อ!ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1987 ซึ่งเป็นเกมแรกที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีโอกาสเผชิญหน้ากับพลพรรคปืนโตที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะของนักรบลูกหนังพันธุ์อสูร ด้วยสกอร์ 2-0 โดยผู้เล่นของทั้งสองทีมยกพวกตะลุมบอนกันกลางสนามก่อน เดวิด โรคาสเซิ่ล (ผู้ล่วงลับ) จะโดนไล่ออกนั่นมันแค่เริ่มต้นแบบพอหอมปากหอมคอภาษาวัยรุ่นเรียกว่า ชิวๆ เพราะอีกสามปีต่อมา ในวันที่ 20 ตุลาคม 1990 พลพรรคช่างกลปืนโตยกพวกมาเยือนวิทยาเขตโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของสถาบันอสูรสยองด้วยแรงอาฆาตแค้นพยาบาทอาร์เซน่อล บุกมาเชือดคอเจ้าถิ่นอย่างอุกอาจ ด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งเกมนี้ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น กับ ไบรอัน แม็คแคลร์ เป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายในการจุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทหมู่อย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ทั้งสองสโมสรถูกปรับไปทีมละ 50,000 ปอนด์ แถมยังถูกหักคะแนนความประพฤติอีกต่างหากแมนฯ ยูไนเต็ด โดนตัดหนึ่งแต้ม ในขณะที่ อาร์เซน่อล โดนหักถึงสองแต้ม แต่ยังอุตส่าห์คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 โบราณ ในฤดูกาลนั้นได้สำเร็จจากความรุนแรงและอื้อฉาวครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่สงบศึกและทำตัวเจี๊ยมเจี้ยมไม่กล้ากัดกันอย่างกับหมาหิวขี้ให้ใครเห็นไปนานถึง 7 ปีแต่นั่นหาได้หมายความว่าเชื้อชั่วจะยอมตายไม่ว่าแล้วในเกมที่สถาบันปืนโต เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1997 ซึ่งชัยชนะตกเป็นของนักรบขาสั้นอสูรแดงด้วยสกอร์ 2-1 ดาวยิงตีนพระกวนของอาร์เซน่อลอย่าง เอียน ไรท์ จึงประกาศสงครามระหว่างสองสถาบันขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาเขย่งก้าวกระโดด 2 ขายันเข้าที่หน้าแข้งของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล อย่างจังในท่ากงล้ออหังการก่อนออกไปทะเลาะกันต่อนอกสนามอีกหนึ่งยกเอียน ไรท์ ให้การปรักปรำคู่แข่งในภายหลังว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจให้กระโดดเตะ 2 ขาจากคำสำรากของไอ้ยักษ์เดนส์ที่ว่า ไอ้ลิงดำเหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 5 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2003 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่งครั้งนั้นลูกทีมของอาจารย์แหวง อาร์แซน เวนเกอร์ บุกมาควักชัยชนะกลับไปด้วยสกอร์ 2-0 โดยรูปเกมเคลือบด้วยความดุเดือด เมื่อเด็กปืนใหญ่ฟ้องชาวบ้านว่าเจ้าถิ่นพยายามเล่นแรงเกินกว่าเหตุตลอดทั้งเกม ทางนักรบอสูรแดงเลยโวยกลับไปบ้างว่า พวกมึงนั่นแหละที่เอาแต่ข่มขู่ผู้ตัดสินจนหัวหดที่แน่ๆ คือจบเกมนั้น นอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด จะโดนถีบตกรอบ เฟอร์กี้ ยังบันดาลโทสะด้วยการบรรจงหวดสตั๊ดเหินไปทิ่มหน้าอันหล่อเหลาของ เดวิด เบ็คแฮม จนเกือบเสียโฉมนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนุ่มเบคส์เนรเทศตัวเองออกจากสถาบันแห่งความสำเร็จหลังสิ้นฤดูกาลนั้นในฤดูกาลเดียวกันเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2003 ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในเกมตัดสินแชมป์ที่ ไฮบิวรี่ ซึ่งจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2อุตส่าห์เป็นเกมที่เพียบความหมายขนาดนั้นหากปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ คงไม่สะใจซาดิสต์และฆาตกรโรคจิตทุกประเภทว่าแล้วกบฏกุ๊กไก่อย่าง โซล แคมป์เบลล์ ก็จัดให้ด้วยการศอกกลับเข้าที่น่าของ โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา จนโดนไล่ออก และเป็นเหตุให้โดนแบน ห้ามลงสนามทุกนัดที่เหลือในฤดูกาลนั้นจบเกม บิ๊กโซล ออกมาเรียกร้องให้ โซลชา ยอมรับว่าตัวเองสำออย เขาจะได้พ้นโทษแบนส่วน อาร์แซน เวนเกอร์ ออกมายืนยันว่า อาร์เซน่อล ยังคงเป็นทีมที่ดีที่สุดบนเกาะอังกฤษ! (อ้าวววว)2003 ดูเหมือนจะเป็นปีที่มีแต่เหตุการณ์อุบาทว์เพราะในการเจอกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 21 กันยายน ก็มีเรื่องโคตรอุบาทว์อุบัติขึ้น เมื่อผู้เล่นปืนใหญ่ทั้งหมด 6 ตัว ถูกทำโทษทางวินัย ข้อหาเข้าไปเย้ยหยัน รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่สังหารจุดโทษในนาทีสุดท้ายพลาด หลังจากพี่ม้าลำพองเป็นต้นเหตุให้ ปาทริค วิเอร่า โดนไล่ออกจากสนามได้ไม่นานนักน่าเสียดายที่ผู้กำกับอย่าง ปีเตอร์ แจ็คสัน ไม่ได้ดูเกมนั้น เพราะบางทีเขาอาจมอบบท คิงคอง ในหนังเรื่องล่าสุดที่ตัวเองกำกับให้ มาร์ติน คีโอวน์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2004 เป็นอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง ที่เกิอเรื่องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและล้างไม่ออกขึ้นในศึกซาตานถล่มปืนโต เมื่อ รุด ฟาน นิสเตลรอย รอดพ้นจากการโดนไล่ออก หลังจากเจตนากระทืบไปที่หัวเข่าของ แอชลีย์ โคล ขณะที่ เวย์น รูนี่ย์ ถูกกล่าวหาว่าพุ่งล้มจน แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จุดโทษ และคราวนี้ ฟาน นิสเตลรอย ไม่พลาด-อาร์เซน่อล จึงหยุดสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันไว้ที่ 49 นัดหลังเกม เฟอร์กี้ ถูกมือลึกลับปาพิซซ่าใส่ส่วน อาร์แซน เวนเกอร์ ยืนยันหลังเกมว่า เราถูกปล้นชัย แถมยังถูกปรับเงิน โทษฐานที่ปรักปรำ รุด ฟาน นิสเตลรอย ว่า ได้ขี้โกงและครั้งสุดท้ายที่มีปัญหาเกิดขึ้นในอุโมงค์สนามไฮบิวรี่ เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว เมื่ออยู่ดีๆ ลูกพี่ รอย คีน ก็ออกมาแยกเขี้ยวใส่ดาวเตะผู้มีความสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว อย่าง ปาทริค วิเอร่า พลางตวาดอย่างสุภาพว่า คุณเจอกูแน่ครับภายหลังมีการเปิดเผยว่ากัปตันทีมอาร์เซน่อลเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรื่องนักเตะผู้มีความสูง 5 ฟุต 11 นิ้ว อย่าง แกรี่ เนวิลล์ พร้อมขู่ว่ามึงโดนแน่จากกรณีตัวอย่างเหล่านี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ไม่เคยน่าเบื่ออีกทั้งยังฉาบด้วยสีสันอันฉูดฉาดบาดตา โดยมี ของแถม ให้ชาวบ้านนำไปกล่าวขวัญถึงในอีกหลายๆรูปแบบเป็นประจำกระทั่งเกมเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา มันกลับแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าใจหายเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของคู่นี้แม้จะมีการสุมไฟให้แรงขึ้นเพื่อความน่าสนใจ เมื่อ ปาทริค วิเอร่า ที่เลื้อยก้นดำๆ ของตัวเองไปสวมชุดทางม้าลายจะพยายามเสนอหน้ามาสาระแนและสาดเบนซินลิตรละ 26.56 บาท เข้าไปในกองเพลิง ด้วยการกล่าวถึง แกรี่ เนวิลล์ ว่าดีแต่หลบอยู่ข้างหลัง รอย คีน หรือแม้แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่พยายามจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นไปแยงรูตูดอริเก่าอย่างอาร์แซน เวนเกอร์ ให้เกิดกำหนัด ด้วยการดูถูกว่า อาร์เซน่อล ยังห่างไกลความยิ่งใหญ่จาก แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ดูเหมือนว่าการเสี้ยมเขาจากสรรพสื่อของอังกฤษในขบวนนี้จะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่เมื่อเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 โดยไม่มี ของแถม ใดๆ ให้กล่าวถึง ทั้งที่มันเป็นเกมสุดท้ายที่ทั้งสองทีมจะเผชิญหน้ากันในถิ่นไฮบิวรี่แท้ๆแม้จะไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น-รูปเกมในความหมายของอัตราความมันส์ยังอาจสนองความต้องการของท่านผู้ชมที่รักความสนุกสนานได้ในระดับหนึ่งแต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ .อารมณ์, กิเลส,ตัณหาและโทสะรวมถึงใบเหลืองเพียงแค่ 5 ใบที่ต่ำว่ามาตรฐานโดยเฉลี่ยที่บันทึกไว้ว่าเคยมีมากกว่าเกมละ 7.5 ใบครับ-มันกลายเป็นเกมที่ปราศจากอะไรที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Passion ไปแล้วถามว่าเพราะเหตุใด๑. การสถาปนาตัวเองเป็นมหาอำนาจลูกหนังยุคใหม่ของเชลซี๒. แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล คงมิใช่ 2 ทีมที่จะตบตีแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันอีกต่อไปในพ.ศ.นี้ แถมไม่ใช่คู่ท้าชิงของ เชลซี อีกต่างหาก๓. สถาบันอสูรแดงไม่มีตัวหัวโจกอย่าง รอย คีน๔. สถาบันปืนโตก็ไม่มีตัวหัวโจกอย่าง ปาทริค วิเอร่า๕. หรือต่างฝ่ายต่างหมดอารมณ์และความรู้สึกที่อยากจะผลาญเผ่าพันธุ์กันอีกต่อไปซะแล้วจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามความรู้สึกของผมที่มีต่อเกมนี้แทบไม่ต่างจากการซดต้มยำที่ไม่ใส่พริกขี้หนู ข่า ตะไคร้และใบมะกรูดมันเหมือนต้มยำที่ขาดเครื่องเทศ ที่ถึงจะปรุงอย่างไรก็ไม่ได้อารมณ์ของต้มยำสิ่งที่เป็น ไฮไลต์ สำคัญของผมเพียงสิ่งเดียวในเกมนี้เกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลูกฟรีคิกที่ห่างไกลจากปากประตูเกือบ 40 หลาแค่บังคับให้ลูกพุ่งเข้ากรอบยังยากเลยครับคุณ แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับตะบันเต็มตีนส่งลูกเหินข้ามคานไปไกลลิบลิ่วเกือบถึงดาวอังคารโน่นว่ากันว่าพวกผู้ใหญ่ควรสนับสนุนให้เด็กยุคใหม่มีความกล้าแสดงออกใช่ไหมครับดังนั้น ผมควรจะดีใจในความกล้าแสดงออกของเขาหรือควรจะเสียใจที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะโง่ๆ แบบนี้อยู่ในทีมดีครับเนี่ย???บอ.บู๋.......................................^^ขอบคุณพี่บู๋และนสพ.สตาร์ซอคเกอร์
ช่วงต้นฮึกเหิม ๆ ๆ มันส์ ๆ ๆแต่ลงท้ายด้วย feel ที่หดหู่ทั้งคุณบ.บู๋ และคนอ่านอย่างเรา..เง้ออออ -,-~*ลป. ช่องคอมเมนต์ลายตาไปหน่อยง่า.. ( หรือเราแก่แร้ววว..ง่ะ )