|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
50 ปี "ไอน์สไตน์"
ไม่รู้เป็นไร เวลาได้ยินอะไร ได้ฟังเรื่องอะไรที่มันมาจากอดีตๆ แล้วมันมักจะโดนใจ .. รู้สึกถึงความ classic ของมัน ... อย่างเรื่องของ ไอน์สไตน์ เป็นต้น ...
ตอน ป. 3 จำได้ว่าเคยอ่านการ์ตูนประวัติคนสำคัญของโลก ... แล้วก็มีไอน์สไตน์ที่อ่านแล้วอ่านอีก รู้สึกชอบมากๆ ... โตมาก็ได้เรียนวิชาฟิสิกส์ พวกทฤษฎีบ้าๆบอๆของเขา พอรู้แล้วก็ทึ่ง คิดในใจตลอดเวลยว่า ... "คิดได้ไงวะ"
เมื่อปีก่อนก็ซื้อหนังสืออีกเล่มนึง ชื่อ "The Universe in a Nutshell" ของ Stephen William Hawking ที่ว่าเป็น ไอน์สไตน์ 2 ... ไว้วันหลังจะพูดถึงอีตานี่อีกคน
พอดีวันนี้ได้อ่านบทความใน web ผู้จัดการ (//www.manager.co.th) อ่านแล้วก็ได้รู้อะไรอีกหลายแง่มุมของผู้ชายคนนี้
--------------------------------------------- ที่มา ผู้จัดการ Online "50 ปี ไอน์สไตน์"
นอกจากปีนี้จะครบรอบปีที่ 100 แห่งความมหัศจรรย์ที่ยอดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สร้างไว้แล้ว ยังเป็นปีที่ 50 หรือครึ่งศตวรรษที่อัจฉริยะแห่งยุคจากลาโลกนี้ไป แม้ว่าไอน์สไตน์จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พลิกโลกด้วยสมการ E=mc² อันโด่งดัง แต่ทว่าในช่วงบั้นปลายของชีวิตนักฟิสิกส์ผู้ปราดเปรื่องท่านนี้กลับปวดร้าวจาก ระเบิดนิวเคลียร์ อันเป็นด้านมืดของการค้นพบอันยิ่งใหญ่ วันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อ 50 ปีที่แล้ว (2498) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สุดยอดนักฟิสิกส์แห่งศตวรรษได้สิ้นใจลง ณ โรงพยาบาลในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 76 ปี หลังจากที่ไอน์สไตน์เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.2498 ต่อมาเพียง 3 วันเท่านั้นนักฟิสิกส์สุดปราดเปรื่องแห่งยุคนิวเคลียร์ก็จากโลกนี้ไป หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตลง ดไวท์ ไอเซนฮาว (Dwight Eisenhower) ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ได้กล่าวไว้อาลัยถึงสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกว่า ไม่มีผู้ใดทำให้เกิดองค์ความรู้แห่งศตวรรษที่ 20 ยิ่งใหญ่และกว้างขวางไปกว่าเขาได้...ไอน์สไตน์เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ที่อยู่ในยุคนิวเคลียร์ เขามีพลังในการสร้างสรรค์ในฐานะปัจเจกชนในสังคมเสรี ทันทีที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต สมองของเขาถูกแยกออกมาและเก็บรักษาไว้เพื่อทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดย ดร.โธมัส ฮาร์วีย์ (Thomas Harvey) นักพยาธิวิทยาซึ่งทำหน้าที่ชันสูตรศพเขา ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องทั้งจากกองมรดกและบุตรชายของไอน์สไตน์ โดยไอน์สไตน์ว่าหวังว่าจะมีการศึกษาสมองของเขา เมื่อเขาตาย ดร.ฮาร์วีย์ได้ตัดสมองออกเป็นชิ้นขนาดต่างๆ กันถึง 240 ชิ้นจนปี 2539 ได้ส่งให้คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ (McMaster Universtity) เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา โดยพวกเขาได้เสนอรายงานผลการวิจัยสมองของไอน์สไตน์เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับสมองคนฉลาดปกติทั่วไป เป็นชาย 35 คน หญิง 56 คน พบว่า บริเวณส่วนล่างของสมองด้านข้าง (inferior parietal region) ของไอน์สไตน์ ใหญ่กว่าของคนปกติธรรมดาถึง 15 % สมองบริเวณดังกล่าว อยู่ในระดับเดียวกับหู มีหน้าที่เกี่ยวกับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า ร่องสมองของไอน์สไตน์ หายไปบางส่วนโดยที่สมองของคนทั่วไปจะมีร่องสมองจากส่วนหน้า ต่อเนื่องไปยังสมองส่วนหลังซึ่งร่องที่หายไปบางส่วนนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์ เนื่องจากทำให้เส้นประสาทและเซลล์สมองบริเวณนั้น สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ไอน์สไตน์นั้นมีความฉลาดและชื่นชอบในวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ขณะที่ไอน์สไตน์น้อยเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ในเมืองมิวนิกเขาสนใจและสอบได้คะแนนดีในวิชาคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจวิชาอื่นๆ จึงทำให้ครูเห็นว่าเขาเป็นเด็กสมองทึบ และถูกขอให้ออกจากโรงเรียน เพราะมีพฤติกรรมที่แปลกแยก แต่ทว่าวิชาคณิตศาสตร์นี่ล่ะ ที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้กลายเป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกในเวลาต่อมา ในปี 2439 ไอน์สไตน์ได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิกแห่งสวิสเซอร์แลนด์ ในซูริกเพื่อฝึกฝนเป็นครูสอนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ และในปี 2445 ไอน์สไตน์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายเทคนิกประจำสำนักงานสิทธิบัตรของสวิตซ์เป็นเวลา 7 ปี ระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตรนั้น เขาได้ใช้เวลาว่างศึกษาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ โดยในช่วงปี 2444 และปี 2447 เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยออกมาถึง 4 เรื่อง แต่ทว่าในปี 2448 กลับกลายเป็นปีมหัศจรรย์ของโลก เพราะไอน์สไตน์ได้เสนอว่า แสงมีคุณสมบัติของการเป็นอนุภาคเวลา โดยอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2465 ในปีเดียวกันนี้ไอน์สไตน์ได้เสนอวิธีวัดขนาดของโมเลกุล เพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่สถาบัน ETH (Federal Institute of Technology) ในสวิตเซอร์แลนด์ และถัดมาอีก 1 เดือนเขาก็ได้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ นอกจากนี้ไอน์สไตน์ก็ยังได้ศึกษา และอธิบายการเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian motion) ว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลมีจริงด้วย ซึ่งผลงานเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างเห็นว่าสมควรได้รับรางวัลโนเบล ดังนั้นการผลิตผลงานถึงระดับรางวัลโนเบลหลายชิ้นภายในปีเดียวของไอน์สไตน์ทำให้โลกยอมรับว่า เขาเป็นสุดยอดแห่งอัจฉริยะ และปี 2448 นับเป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์และของโลกด้วย อีก 10 ปีต่อมา ขณะที่เขาทำงานอยู่ที่เบอร์ลิน เขาได้ทำงานชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตเสร็จคือได้สร้าง ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ขึ้นมา ซึ่งทฤษฎีของไอน์สไตน์เหนือกว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตัน โดยทฤษฎีนี้สามารถอธิบายลักษณะการโคจรที่อปกติของดาวพุธได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ทฤษฎีของนิวตันให้ผลผิดพลาด ไอน์สไตน์รับเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ในอเมริกาช่วงปี 2482 โดยหวังว่าจะไปๆ มาๆ ระหว่างเบอร์ลินกับพรินซ์ตัน แต่ว่าในปีนั้นนาซีเรืองอำนาจ ไอน์สไตน์ซึ่งตั้งใจที่จะไปอเมริกาเป็นการชั่วคราวเปลี่ยนเป็นการถาวร เขายื่นขอสัญชาติอเมริกันเมื่อปี 2478 และเข้าทำงานที่พรินซ์ตัน โดย พยายามรวมกฎของฟิสิกส์ นับเป็นงานลึกซึ้งมาก จนถึงกับรำพันออกมาว่า ฉันได้พาตัวเองไปติดอยู่ในปัญหาวิทยาศาสตร์ ที่ดูเหมือนจะหมดหวัง และที่แย่กว่านั้น เพราะคนแก่อย่างฉัน ยังคงเป็นคนนอกสำหรับสังคมที่นี่อยู่นั่นเอง ตลอดชีวิตไอน์สไตน์ต่อสู้เพื่อสันติภาพเสมอมา ตั้งแต่ก่อนลี้ภัยนาซีออกจากเยอรมนี เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง มีข่าวคราวว่าเยอรมนีกำลังพัฒนาระเบิดปรมาณู ไอน์สไตน์กลัวว่าเยอรมนีจะพัฒนาระเปิดปรมาณูได้ก่อนจึงทำจดหมายถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) เสนอให้ศึกษาการพัฒนาระเบิดปรมาณู และบอกถึงคุณประโยชน์ของแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างระเบิดปรมาณูที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงได้ด้วยปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ ขณะที่อเมริกากำลังพัฒนาระเปิดปรมาณู โดยใช้ชื่อโครงการว่าแมนฮัตตัน ในปี 2483 ไอน์สไตน์ได้ปฏิเสธที่จะร่วมในองค์กรพัฒนาระเบิดปรมาณู แต่การพัฒนาระเบิดก็ทำได้สำเร็จ และนำมาทิ้งที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เมื่อไอน์สไตน์รู้ข่าวการระเบิด และผู้คนที่ต้องตายไปจำนวนมหาศาล เขาถึงกับเอามือกุมศีรษะ และอุทานอย่างปวดร้าวว่า "โธ่? ไม่น่าเลย" เมื่อสงครามเลิกไอน์สไตน์ ก็ลงนามในสัญญาที่ขอให้ยุติการใช้ระเบิดปรมาณู และให้หันมาใช้ปรมาณูเพื่อสันติแทน เขาเขียนในสัญญาว่า "แน่นอนเราทุกคนมีความคิดความรู้สึกไม่เหมือนกัน แต่เราก็มีฐานะเป็นมนุษย์เช่นกัน เราควรจดจำไว้เสมอว่าถ้าการเกี่ยวข้องระหว่างตะวันออกกับตะวันตกถูกตัดสินออกมาในรูปการณ์ใดก็ตาม อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจมาสู่ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือต่อต้านคอมมิวนิสต์(โลกเสรี)ก็ตาม ผลแห่งการตัดสินใจไม่ควรออกมาในรูปของสงคราม" ในปี 2487 เขาช่วยหาทุนต่อต้านสงครามโดยนั่งลงเขียนบทความเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษด้วยลายมือตนเอง และนำออกประมูลได้ราคาถึง 6 ล้านดอลลาร์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเสียชีวิต ไอน์สไตน์เซ็นชื่อในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา จดหมายนี้ส่งถึงเบอร์ทรานด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) เพื่อยืนยันว่า เขายินยอมให้ใส่ชื่อของเขาในจดหมายเปิดผนึก เพื่อวิงวอนชนชาติทั้งหลายให้ยุติการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต น่าเสียดายที่ไม่มีใครทราบ ประโยคสุดท้ายที่ไอน์สไตน์กล่าวออกมาเป็นภาษาเยอรมัน ขณะนั้นในห้องมีเพียงพยาบาลแค่คนเดียว ซึ่งเธอไม่เข้าใจภาษาเยอรมันที่ไอน์สไตน์เอ่ยขึ้นมา ดังนั้นคำพูดสุดท้ายของไอน์สไตน์จึงยังเป็นปริศนาต่อไป อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของระเบิดนิวเคลียร์ที่นักฟิสิกส์มีส่วนสร้างให้กับโลก เขาเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "หากข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าทฤษฎีของข้าพเจ้า จะนำไปสู่การทำลายล้างอย่างมหันต์เช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นช่างทำนาฬิกาเสียดีกว่า"
Create Date : 18 เมษายน 2548 |
Last Update : 18 เมษายน 2548 14:23:28 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1120 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เด็กหญิงณัฐรดา จิตยุติ IP: 117.47.52.251 วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:11:50:44 น. |
|
|
|
โดย: 2126639 IP: 203.172.201.4 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:38:11 น. |
|
|
|
โดย: แชมป์ อ่ะ IP: 61.7.166.46 วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:16:51:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
น่าดีใจแทนคนทั่งโลกจังเลยที่ว่ามีคนที่ฉลาด เก่ง มีความพยายาม มุ่งมานะ ในการศึกษาต่างๆ ทั้งยังเป็นอาจารย์อีกด้วย น่าชื่นชมจังเลย
น้องมีนจะขอให้คนที่มีความสามารถคนต่อๆไปยึดถือแบบอย่าง ลุงไอน์สไตน์ เป็นตัวอย่างที่ดี และมีนเองก็จะตั้งใจเรียน ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะที่ได้เปิดโอกาสให้น้องมีนมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ ค่ะ...