เมื่อย้ายมาอยู่เวียงจันทน์ใหม่ ๆ เคยลองดั้นด้นค้นหาที่พึ่งทางอาหารให้กับครอบครัวไปทั่วเมือง ก่อนจะได้ค้นพบว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แม้จะมีลิ้นจระเข้และฝีมือขนาดเด็กเก็บโต๊ะร้านอาหาร สถานการณ์ก็บีบบังคับให้กลายเป็นแม่ครัวจำเป็น และเมื่อต้องเป็นทั้งที่จำอะไรไม่ค่อยได้ อาวุธข้างกายก่อนเข้าครัวจึงคือตำราอาหาร โอ้ ที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือนั้นใครมาเห็นเข้าคงนึกว่า บ้านนี้มีแม่ครัวมือหนึ่ง จะว่าไปก็หนึ่งจริง ๆ นั่นแหละ คือเริ่มนับหนึ่งในการทำครัวไงคู่มือเล่มแรก ๆ ออกแนวหลักการ เริ่มจากครัวสีเขียวของคุณทัทยา อนุสร ก็ทำให้ไอเดียการทำครัวในเมืองลาวบรรเจิด เพราะหลายอย่างเข้ากันได้ดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารรีไซเคิล เปลี่ยนของเหลือเป็นจานเด็ด (เหมาะสำหรับแม่ครัวมือใหม่มาก เพราะมีของเหลือจากทุกมื้อให้ทำเพียบ) ชอบไอเดียกติกามารยาทการทำอาหารรีไซเคิล ตรงที่ว่า ข้อแรก เหลือปุ๊บเก็บปั๊บ เก็บให้ดี ให้เป็น ให้สะอาด อีกไม่เกินสามวันเจอกัน... ข้อสอง ต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นบ้าง เพื่อให้ดูดีและเพียงพอ... และสุดท้ายอาหารจานนั้นต้องมีหน้าตาพออวดเพื่อนฝูงได้ (ตกม้าตายก็คือข้อสุดท้ายนี่แหละ เพราะคำว่าหน้าตามันต้องรวมรสชาติด้วย เป็นนักทฤษฎีนี่นะ ชอบอ่านและอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียวเรื่องทำนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหอะ ๆ ) ในหนังสือมีไอเดียหลายอย่างเกี่ยวกับครัวที่คำนึงถึงทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น ควรเลือกใช้เตาแก๊สแทนเตาไฟฟ้าเพื่อประหยัดพลังงานและขยะอิเล็คทรอนิคส์ในอนาคต โชคดีที่บ้านเช่าให้ครัวมาพร้อมเตาแก๊สเลยไม่ต้องคิดเรื่องนี้ให้เสียเวลา แต่ไอ้ที่ต้องคิดเพิ่มจนอยากเปลี่ยนไปใช้เตาถ่านก็คงน่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าแก๊สที่นี่แพงเหลือใจ แก๊สถังเล็ก 15 กิโลราคาเกือบสองแสนกีบ (เจ็ดร้อยกว่าบาท) โอ้....ช่างเป็นเงื่อนไขให้แม่ครัวมือใหม่ต้องยืมเทคนิคคนเขียนมาใช้ว่า จะต้มจะตุ๋นอะไรให้เปื่อยก็ใช้ไฟอ่อนและปิดฝาหม้อเสียนะจ๊ะ นอกจากประหยัดค่าแก๊สแล้วยังได้ประโยชน์จากวิตามินต่าง ๆ มากกว่าใช้ไฟแรงเร่งร้อนจี๋แม่ครัวเปิดตำราที่คนเขียนบอกว่าง่าย ๆ ทำไปเรื่อย มันก็ทำง่ายจริงนะ แต่ว่ามันไม่อร่อยอ่ะ!? อันนี้ไม่เกี่ยวกับตำราแต่เกี่ยวกับคนทำที่ขาดสัมผัสทางลิ้นและความรู้พื้นฐานของการทำกับข้าว ลูกชายจอมเขมือบแนะนำว่าแม่คร้าบ เป็นแม่ครัวน่ะต้องหัดชิม! ขนาดแม่ยังไม่กล้าชิมกับข้าวที่แม่ทำแล้วคนอื่นจะกล้ากินหรือ!? พอบอกลูกไปว่าแม่ชิมแล้วล่ะ อร่อยแล้ว แต่กับข้าวแม่ไม่มีการใช้ผงชูรสนี่ (ข้อนี้แก้ตัวให้ฝีมือตัวเอง) ลูกชายซึ่งไม่สนเรื่องครัวสีเขียวเพราะสีอะไรก็ได้ขอให้ อร่อย ย้ำบอกเทคนิคว่า แม่เคยสังเกตร้านอาหารดัง ๆ ที่คนรอคิวซื้อกันเยอะ ๆ หรือเปล่า แม่สั่นหน้าเพราะไม่เคยสนใจตามหาตามชิม ลูกชายบอกต่ออย่างมั่นใจว่า ร้านไหนร้านนั้นไม่เคยติดป้ายว่า ร้านนี้ปลอดผงชูรส! คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะและแรงฮึดจากคุณแม่ที่อยากต่อท้ายว่า ครัว เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่งเป็นอย่างยิ่ง นอกจากครัวสีเขียวแล้ว ยังมีหนังสือเกี่ยวกับอาหารอีกเล่มที่ชอบอ่านก่อนเริ่มต้นเป็นแม่ครัว ชื่อหนังสือคือ "แมคโครไบโอติกส์ เล่มสาม ตอนที่นี่ มีคำตอบ" ชอบเพราะหลังปกบอกว่า เป็นจุดสิ้นสุดเบ็ดเสร็จของเรื่องราวหลากหลายในทฤษฎีที่ว่าด้วยการกินอยู่แบบธรรมชาติ ที่คุณสิทรา พรรณสมบูรณ์ ผู้ประสบเหตุการณ์อันหฤโหดจากมะเร็งร้ายซึ่งเธอสามารถกำจัดมันออกไปให้หายขาดด้วยการใช้ชีวิตแบบแมคโครไบโอติกส์ จากนั้นเธอก็ใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีเขียนหนังสือ ตอนอ่านก็เพลิดเพลินเป็นที่ยิ่ง (โหมดอ่านนี่เข้าง่ายกว่าโหมดทำเนอะ) แต่พอเวลาทำกับข้าวจริง ๆ ความรู้ต่าง ๆ ที่อ่านมาลืมโม้ดดด.. ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเองว่ายังไม่ป่วย (หนัก) ให้เวลาตัวเองค่อย ๆ ซึมซับความรู้ไว้ก่อน ถึงเวลาคงได้ใช้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแหละนะอีกเล่มที่อ่านอย่างเพลิดเพลินกับสำนวนน่ารักของคนเขียนคือ I love breakfast ของคุณพลอย จริยะเวช เจอคำโปรยหน้าปกว่า สารพันเมนู เพื่อการเปลี่ยนยามเช้ามื้อยุ่งให้เป็นมื้อเช้าที่อิ่มอร่อยและรื่นรมย์ ก็เลยตามเธอไปดูนั่นชิมนี่เป็นที่สนุกสนาน อุตส่าห์เอาเมนูง่าย ๆ อย่างหมูเค็มสูตรฮิตติดบ้านคุณพลอยมาลองทำ ตอนฝึกก่อนมาอยู่เองที่ลาวก็พอลุ้น แต่พอมาอยู่จริง เอ้อ, หมูเมืองลาวไม่ค่อยมีไขมัน ทำครั้งแรกหม้อไหม้ ครั้งที่สองเค็มขาดใจ (ปรับส่วนผสมเองแต่ตามประสาคนไม่เป็น) เลยยังไม่คิดจะกินหมูเค็มสูตรนี้ในลาวอีก เหอ ๆ ขอเปลี่ยนไปอีกสองเมนูที่(เหมือนจะ)ง่ายกว่า อ่านแล้วดูอร่อยด้วย นั่นคือไข่ขยี้หรือไข่คน กับไข่ม้วนออมเล็ต วันแรกทำไข่ม้วนออมเล็ตลูกชายบ่นกระปอดกระแปดว่าไม่ชอบ (คือไม่ชอบหอมใหญ่กับมะเขือเทศ) วันรุ่งขึ้นก็อุตส่าห์เอาใจทำไข่ขยี้แสนพิเศษให้ คราวนี้ทั้งพ่อทั้งลูกบอกว่า ต่างกับไข่เจียวตรงที่มันไม่เป็นแผ่นเท่านั้นเอง..และก็ เท่านั้นเอง สำหรับอาหารจากสูตรคุณพลอย เหอ ๆ เอาเก็บไว้อ่านเล่นเพลิน ๆ ก็แล้วกัน ก่อนที่ทุกเช้าของวันจะไม่รื่นรมย์เล่มที่สี่หยิบมาเพราะหน้าปกยั่วยวนใจคนที่บ้านเป็นอย่างมาก หนังสือชื่อ เบาหวาน อาหารลดน้ำตาลในเลือด ของสำนักพิมพ์แสงแดด ดูแต่ภาพก็อิ่มแบบผอม ๆ พร้อมสุขภาพที่น่าจะดีไปด้วย อิ่มอกอิ่มใจว่าถ้าทำได้ คนที่บ้านคงลดปัญหาเรื่องโรคเบาหวาน ส่วนคนทำก็คงได้ลดปัญหาน้ำหนัก แต่ก้อ..นะ, ทำออกมาไม่ได้อร่อยซักที..ช่วงเดือนแรก ๆ ในเมืองลาวจึงกลายเป็นช่วงเดือนแห่งความกลุ้มใจของแม่ครัวมือ (เริ่มนับ) หนึ่ง เพราะลูกชายจะบ่นอุบเกือบทุกมื้อ ตอนแรกก็โมโหลูกว่าช่างเลือก จะทำนี่ให้ก็ไม่เอา จะทำโน่นให้ก็ไม่กิน ถามว่าอยากกินอะไร ลูกตอบกลับมาชัดถ้อยชัดคำ อะไรก็ได้ที่อร่อย! แรงฮึดจากลูกทำให้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่แค่ง่ายแต่ต้อง กินอร่อย ซึ่งความอร่อยของลูกชายเริ่มที่ผัดคะน้าหมูกรอบซึ่ง ใคร ๆ ก็ทำได้ ใคร ๆ ที่ว่านี้ลูกชายหมายถึงเข้าไปร้านอาหารตามสั่งที่เมืองไทย ร้านไหนก็ทำได้ แถมออกมารสชาติเดียวกันด้วย (แม่ไม่อยากเถียงว่าก็แหงสิ ใช้ซอสปรุงรสยี่ห้อเดียวกันนี่) ว่าแล้วก็อยากท้าประลองด้วยการทำผัดคะน้าหมูกรอบให้ลูก ล้างและหั่นผักเสร็จก็ทุบกระเทียมโคร้ม! กลีบกระเทียมกระเด็นกระดอนออกนอกเขียง นึกในใจว่า แค่กระเทียมยังทุบให้แหลกไม่ได้เลย! แล้วความคิดก็ชะงักอยู่ตรงนั้นวิธีที่ใช้ทำกับข้าวคงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องกระมัง..ทำกับข้าวไม่อร่อยเพราะทำไม่เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นกระมัง คราวนี้เลยขยับท่าทางใหม่ แทนที่จะทุบกระเทียมปัง ๆ อย่างที่เคยทำ ก็ใช้ด้านข้างของมีดบุบพอแหลกแล้วค่อย ๆ สับซอย เออแฮะ, หน้าตาค่อยดูได้ขึ้นมาหน่อย พอถึงการทำหมูกรอบเลยนึกถึงประสบการณ์หมูเค็มเค้มเค็มที่ทำพลาดจากสูตรคุณพลอยมาเป็นบทเรียน นั่นคือต้มหมูสามชั้นก่อนแล้วทอดตามให้หมูกรอบนอกนุ่มใน เทหมูที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อยแล้วตั้งใจเจียวน้ำมันจากหมูสามชั้น ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นจะทำให้รู้จักอีกหนึ่งมหัศจรรย์แห่งชีวิตมันหมูที่คลุกเคล้าอิ่มน้ำมันพืชในกระทะยืดพองแล้วหดตัว ก่อนจะเปลี่ยนสีและสภาพกลายเป็นหมูกรอบ ช่วงเวลานั้นต้องยืนอยู่หน้าเตาไฟคอยปรับความร้อนและคอยดูชิ้นหมูไม่ให้ไหม้เกรียม นับเป็นเวลาค่อนข้างยาวนานจนรู้สึกร้อนที่หน้าและเหงื่อเริ่มซึม แต่ประหลาดมากเหลือเกินที่ชั่วขณะหนึ่งของการได้เห็นชิ้นหมูสามชั้นแต่ละชิ้นค่อย ๆ กลายสภาพจากอ่อนเป็นกรอบแข็งและสีขาวขุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเจือสีเหลืองทองก่อนจะกลายเป็นสีเข้ม ช่างเป็นชั่วขณะที่แสนพิเศษ เป็นช่วงเวลาที่ความร้อนหน้าเตาไฟไม่มีผลเท่าความเย็นที่วาบกระจายอยู่ข้างในอก เออหนอ, ความเย็นใจเป็นเช่นนี้เองหลังคำชมจากลูกชายว่าอร่อยจังในมื้อนั้นแล้ว จึงได้รู้ว่า คู่มือทำอาหารก็คือคู่มือ คือผู้ช่วย แต่จะไม่ช่วยเลยถ้าแม่ครัวไม่กล้าทำ มะงุมมะงาหราอยู่กับการเปิดตำรา จะหยิบจะจับอะไรก็เงอะงะกลัวผิดสูตร การได้เห็นอะไรกระจะตาจากเตาไฟในการทำผัดคะน้าหมูกรอบวันนั้นช่วยให้ตาสว่างขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น กล้าทำและรู้จักอดใจรออะไรมากขึ้น รวมทั้งยอมรับมากขึ้นที่จะถูกบ่นหรือวิจารณ์ว่าอาหารจานนี้จานนั้น ไม่อร่อย, ไม่ได้เรื่อง เริ่มรู้ว่าคำวิจารณ์ที่บางครั้งตรงจนกระแทกอัตตากระเจิดกระเจิงนั้น อาจเกิดขึ้นได้จากความคาดหวังของคนกิน หรือความช่างเลือกจนน่าหมั่นไส้ของคนกินอาจเกิดขึ้นเพราะคนกินไม่มั่นใจในคนทำอันเนื่องจากคนทำไม่มั่นใจในตนเองก็ได้ความเครียดในการทำอาหารท้ายสุดแล้วจึงกลายเป็นความผ่อนคลาย กลายเป็นความสนุกในการทดลองและทำ และกลายเป็นความสุขที่จะคอยสังเกตหน้าตาของคนกิน นอกจากนี้ความสุขยังมีมากขึ้นอีกเมื่อรู้ว่า ต่อจากนี้ไป หลักการอาหารรีไซเคิลของคุณทัทยาจะถูกหยิบยืมมาใช้น้อยลง 5555แต่ยังไง้ ยังไง การทำอาหารก็เหมือนการใช้ชีวิต ไม่มีหยุดนิ่งเพราะมีอะไรใหม่ ๆ มาท้าทายตลอด พื้นฐานสุดคือการทำอาหารที่คนกินชอบ มีประโยชน์และไม่น่าเบื่อ แม้เดี๋ยวนี้ลูกชายไม่ต้องไปกินเฝอที่ร้านแถวบ้านติดกันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์อีกแล้ว แต่การทำกับข้าวก็ยังเป็นแบบฝึกหัดพื้นฐานของการทำงานและการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เพราะแม้จะมั่นใจว่าทำกับข้าวได้ แต่ก็แน่ใจว่าไม่ใช่คนทำกับข้าวเก่งหรือมีพรสวรรค์ในการทำกับข้าว แน่ใจว่าตนเองไม่ใช่แม่ครัวประเภทที่สามารถหยิบจับทุกอย่างที่ขวางหน้ามาแปรสภาพให้เป็นจานอร่อยได้ง่าย ๆ ไว ๆ ด้วยเหตุฉะนี้ คู่มือการทำอาหารต่าง ๆ จึงเป็นตัวช่วยที่มีความหมายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และระหว่างการหัดทำกับข้าวเพื่อให้บ้านหลังนี้สามารถเป็นที่พึ่งทางอาหารแก่สมาชิกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้สมควรแก่อัตภาพนั้น ต้องขอขอบคุณคู่มือหลายเล่มที่ใช้เป็นที่พึ่งของแม่ครัวมือใหม่อีกต่อหนึ่ง โดยเฉพาะต้องขอบคุณน้องกุ้งที่อุตส่าห์ให้ยืมคู่มือน่าอ่านน่าทำมาไว้หัดฝึกปรือที่เมืองลาวด้วยหลายเล่ม อยากบอกว่าชอบมาก โดยเฉพาะ อาหารจากสมุนไพร ของสำนักพิมพ์แม่บ้าน เพราะนอกจากเป็นเมนูธรรมดา ๆ ที่อร่อยและหาเครื่องปรุงแสนง่ายในตลาดเกือบทุกแหล่งแห่งที่แล้ว ในเล่มยังมีความรู้นิด ๆ หน่อย ๆ ประกอบสมุนไพรแต่ละชนิดเป็นเครื่องเคียงเมนูด้วย หากเวลาส่งคืนมีเยินเล็กน้อยก็ขออย่าถือโทษเลย เพราะคู่มือเล่มนี้มีที่อยู่ประจำในครัวมากกว่าบนชั้นหนังสือ หมายเหตุ: ตอนแรกอยากเขียนถึงหนังสือเพื่อลงในกลุ่มบล็อก"อ่านแล้วเขียน" แต่ไม่ได้อัพบล็อกเรื่องลาวมานานแล้ว (ติดไว้ตั้งแต่แม่โขงน้ำแห้งขอดจนน้ำปริ่มท่วมเมือง) เลยรวมเรื่องกินเรื่องอ่านมาไว้ในกลุ่มบล็อกนี้แทนก็แล้วกันนะ ส่วนเรื่องภาษาลาวและสถานที่เที่ยวคงติดไว้ก่อนเหมือนเดิม ถึงกำหนดย้ายกลับเมืองไทยแล้วจะพูดลาวได้หรือไม่ และจะได้เที่ยวเมืองลาวหรือเปล่าก็ยังไม่รับประกัน อิ อิ
..เรารู้สึกอุ่นๆที่หัวใจได้เสมอๆกับกิจกรรมประเภทนี้
พี่พีเขียนได้อ่านเพลินไปเลย รู้สึกดีกับการทำอาหารแล้วใช่ไหมคะ ..ที่เคยรู้สึกไม่ดี เพราะไม่เคยได้"ลงมือ"กับครู(เช่นแม่หรือคนในครอบครัวคนอื่นที่เขาทำเป็น)หรือปล่าวคะ พี่สาวแมลงก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่กล้าลงมือ รวมทั้งไม่กล้าปรุงก๋วยเตี๋ยวด้วยกลัวไม่อร่อย ต่างจากแมลงมากเพราะเป็นลูกมือให้แม่(เหมือนแก่นและโส่ย)ตลอด..แต่วันนี้ เขาเริ่มชอบทำอาหารและเริ่มชอบเย็บผ้าด้วย(แม่มดเอ๊กซ์ว่า มันไม่สายเกินไปเหรอ..เหอๆ แม่สะกัดดาวรุ่ง)
แมลงก็หาใช่แม่ครัวคนเก่งไม่ แต่ชอบที่จะทำอาหารกินเอง มีเหตุผลหลายอย่าง แน่ๆคือ เราชอบกินอะไรเราก็ทำอย่างนั้น อย่างที่ทำสลัดบ่อยเพราะตัวเองชอบกินผักและขี้เกียจเก็บล้าง เหลือกินไม่หมดเดือดร้อนต้องกินของเก่า.. ชอบกินใหม่ๆ สลัดผักก็เลยเป็นคำตอบของตัวเอง ผลไม้ก็เหมือนกันค่ะ กินแล้วสบายตัว ไม่เหมือนกินกรอบแกรบ
แล้วเมนูที่ทำก็พยายามเลือกให้ง่ายเข้าไว้ จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเททิ้ง..พี่พีรู้ไหมว่าทำหมูกรอบให้กรอบอร่อยนั้นน่ะ ลำบากเหมือนกันนา ถ้าเทียบกับออมเลต ฮี่ๆ ไข่ขยี้...แต่ดีจังนะคะ หมูเมืองลาวไม่ค่อยมีมัน สงสัยเขาเลี้ยงแบบปล่อยเนอะ
แมลงเคยได้ยินพวกคนครัวเก่งๆพูดกันทั้งนั้นว่า ฝีมือมาที่หลัง แต่วัตถุดิบต้องเป็นของดี สด ใหม่ อร่อยไปมากว่าครึ่งทางแล้วค่ะ ถ้าจะไม่อร่อยก็เป็นเพราะว่าเราไม่รู้วิธี ก็เลยทำเสีย ฮ่าๆ