เวลาหนึ่งปีในเวียงจันทน์เป็นช่วงเวลาที่สงบเรียบง่าย ชีวิตตัวเองเหมือนหยุดอยู่กับที่แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรายรอบทั้งใกล้และไกลเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ลูกชายตัวสูงใหญ่ขึ้นจนแม่จำภาพตัวเองคุกเข่าลงไปพูดคุยกับลูกไม่ได้แล้ว เพราะภาพประจำกลายเป็นลูกชายต้องขยับตัวออกห่างเพื่อจะได้คุยสบตากันได้โดยไม่ต้องก้มหน้าลงมาหา เสียงแจ๋ว ๆ กลายเป็นเสียงห้าวแปลกแปร่งของหนุ่มน้อยและถ้อยคำพูดเล่นเจรจาเริ่มเปลี่ยนไป ประโยคที่ได้ยินบ่อย ๆ กลายเป็น วันนี้แม่เตี้ยลงอีกแล้ว!
ระหว่างวันเวลาเงียบ ๆ เหล่านั้น ได้ติดตามอ่านบล็อกคุณแมลง (//buginthegarden.bloggang.com) ทั้งในฐานะเพื่อนและนักเรียนร่วมโลก คุณแมลงแบ่งปันประสบการณ์การดูแลคู่ชีวิตซึ่งป่วยเป็นมะเร็งสมอง เรื่องราวในบล็อกนั้นย้ำยืนยันเสมอว่าเวลาเป็นของมีค่า สายน้ำแห่งชีวิตไหลไปไม่หวนกลับ เราควรเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับชีวิตวันนี้และวันที่พร้อมจะไปจากโลกนี้ ไม่ว่าเป็นเราจากไปเองหรือเพื่อช่วยเหลือเตรียมตัวผู้ที่กำลังจะจากไป เรื่องราวต่อเนื่องในบล็อกนั้นให้ภาพชีวิตความหมายของชีวิต และความเป็นคู่ชีวิตในวาระสุดท้ายได้เป็นอย่างดี และในช่วงชีวิตเช่นนี้ เรามีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องบ้านที่แท้จริง
คุณแมลงแนะนำให้อ่านหนังสือของติช นัท ฮันห์เรื่อง TOGETHER WE ARE ONE เนื้อหาในนั้นบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนต่างเบื้องหลังต่างผิวพรรณแหล่งกำเนิด แต่ไม่แตกต่างกันในเรื่องการแสวงหาความรู้สึกเติมเต็มเพราะต่างมีภาวะและความรู้สึกขาดวิ่นจากการเป็นอะไรที่ แตกต่าง หนังสือเล่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นคำสอนของท่านนัทฮันห์ และหลายส่วนหลายบทตอนเป็นเรื่องราวของคนสีผิวต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมฝึกภาวนาเพื่อเรียนรู้จักบ้านที่แท้จริงของตนเอง เพื่อที่จะไม่รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว เพื่อที่จะสามารถดำรงอยู่อย่างมีความสุขและมั่นใจได้ในสังคมที่ตนเองดำรงอยู่... ในสังคมที่โครงสร้างทางสังคมตีกรอบแบ่งแยก กดขี่บีบคั้น ในสังคมที่ชูคำขวัญว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในหนังสือเล่มนี้สามารถเข้าถึงรากเหง้าที่แท้จริงและกลับสู่บ้านในจิตวิญญาณของตนเองได้อย่างอบอุ่นผ่านชุมชมแห่ง สังฆะ และการฝึกเจริญสติภาวนา ประสบการณ์ตรงหลายอย่างในหนังสือกระทบใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปิดใจอ่านและซึมซาบได้ว่า ไม่เพียงคนสีผิวต่าง ๆ หรอกที่ประสบปัญหาความแปลกแยกโดดเดี่ยวทั้งในทางกายภาพ สังคมและจิตวิญญาณ คนสีผิวเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกันก็เผชิญสภาพเหล่านี้เช่นกัน หากคนเหล่านั้นคิดคำนึงอยู่เสมอว่าเราเหนือกว่าเขา เราต้อยต่ำกว่าเขา เราเท่าเทียมเขา
ความคิดเหล่านี้ในอีกนัยหนึ่งก็คือตัวกำหนดความแปลกแยกโดดเดี่ยว และความทุกข์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในสังคม
วันเวลาเงียบ ๆ ในลาวทำให้มีโอกาสใคร่ครวญเรื่องราวของชีวิตและความหมายของคำว่าบ้านได้มากขึ้นกว่าตอนที่วิ่งวุ่นอยู่ในสังคมเดิมของตัวเองที่เมืองไทย ได้มองเห็นว่าชีวิตที่ดูเหมือนซ้ำซากจำเจอยู่กับกิจวัตรไม่กี่อย่างในแต่ละวันกลับมีรายละเอียดของสิ่งที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องราว ผู้คน อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และการเรียนรู้จักตนเองและผู้อื่น มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ยังไปไม่ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่าบ้านที่แท้จริงในหนังสือของท่านนัทฮันห์ แต่บ้านที่แท้จริงในอีกความหมายหนึ่งก็ปรากฏชัดเจน หากเข้าใจและตั้งใจจริงบ้านของเราก็สามารถเป็นอะไรได้หลายอย่างรวมทั้งเป็น สังฆะในความหมายของการเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติภาวนาด้านในด้วย
ก่อนจะไปถึงเรื่องบ้านที่แท้จริงข้างใน มาคุยกันเรื่องบ้านข้างนอกที่เห็นได้ง่ายๆ ก่อนดีกว่า มุมแรกของบ้านขอเริ่มที่รั้วก็แล้วกัน
โปรดติดตาม รั้วบ้าน-ประตูใจ เป็นตอนต่อไปนะ :)
แต่เพื่อนย้อนกลับมาว่า แกอยู่ไม่ได้หรอกเพราะไฮเปอเกินไป