(หอพระแก้ว)
ก่อนประตูใจจะเปิด ขอสารภาพว่า นอกจากโอกาสได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในบ้านเราที่เมืองลาวแล้วไม่รู้สึกชอบสิ่งแวดล้อมอื่นใดอีก นครหลวงเวียงจันทน์แม้ดูเงียบและเรียบง่ายแต่ก็มีความขัดแย้งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอึดอัดขัดใจ ปัญหาพื้น ๆ ส่วนใหญ่เกิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่พ้นการเดินทาง อาหารการกิน สถานที่ซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ ภาษา และทัศนะโดยรวมของผู้คนที่พบเจอ เห็นจะจริงที่ว่าคนเรามักปรับตัวเข้ากับความสะดวกสบายได้ง่ายกว่าความลำบากโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่การท่องเที่ยว แต่เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้องอยู่อาศัย ณ ดินแดนแสนใกล้แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่มาอาศัยประเทศเขาอยู่เลย
หนึ่งปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เวียงจันทน์ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปธรรมที่ชัดเจนหลายอย่าง ถนนเล็กย่อยรอบตัวเมืองที่เดิมเป็นถนนดินเริ่มมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นถนนคอนกรีตหรือลาดยาง บริเวณริมโขงซึ่งทำพนังกั้นน้ำใหญ่โตแข็งแรง มีการจัดสร้างและปรับภูมิทัศน์ให้เป็นพื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้น บางพื้นที่เช่นริมถนนล้านซ้างมีอาคารสำนักงานสูงตระหง่าน อาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มดำเนินการก่อสร้าง บ้านทรงลาวเดิมถูกรื้อปรับปรุงเป็นรูปทรงทันสมัยแบบตะวันตกผสมลาวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดคือการปรับปรุงสนามบินและพื้นที่ริมโขงเพื่อรองรับการประชุมอาเซมในปลายปีนี้ เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีเวียงจันทน์จะเปลี่ยนโฉมใหม่อีกรอบ แต่จะไฉไลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสายตาและทัศนะของคนมอง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต่างกันออกไปตามฐานคติแห่งชีวิตและอาชีพการงาน
(ถนนเสดถาทิลาด หน้าวัดองตื้อ)
ความเปลี่ยนแปลงในส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาแต่สัมผัสได้จากการปฏิสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งนั้น อาจเป็นเรื่องที่บอกเล่าได้ยากกว่าเพราะไม่มีตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม คนไทยที่รู้จักกันคนหนึ่งเล่าว่า สิบปีมานี้ชาวเวียงจันทน์เปลี่ยนไปมาก ทำอะไรเพื่อเงินเหมือนคนกรุงเทพฯบ้านเรา น้ำใจไมตรีแบบที่เธอประทับใจจนตัดสินใจมาตั้งรกรากที่นี่เลือนหายไปมากแล้ว แต่มุมมองที่เขียนถึงในบล็อกนี้ไม่มีตัวตั้งเปรียบเทียบเช่นที่เธอบอก เพราะการเทียบเคียงที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงภายในของตัวเองที่มีต่อเวียงจันทน์และต่อคนลาว
(ฝั่งตรงข้ามวัดองตื้อเป็นร้านหัตถกรรมและของเก่า Indochina Old House ชั้นสองมีมุมกาแฟเวียดนาม บรรยากาศน่านั่งอ่านหนังสือเก่า ๆ เกี่ยวกับศิลปะลาว ประตูวัดที่เห็นคือวัดหายโสก)
เมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ ๆ มักไปไหนมาไหนด้วยจักรยาน แต่บางครั้ง ก็ใช้บริการรถรับจ้างจำพวกตุ๊กๆ หรือจัมโบ้ ซึ่งเคยเขียนถึงแล้วในบล็อกแรก ๆ แต่สิ่งที่ไม่ได้เขียนถึงในครั้งนั้นคือทัศนะของตัวเองซึ่งส่วนใหญ่มักจะหงุดหงิดไม่พอใจ อาจเพราะตามไม่ทันระบบคิดและวิธีการของการใช้รถรับจ้างที่นี่ อย่างเช่น เมื่อเหมารถจากตัวเวียงไปสะพานมิตรภาพ คนขับจะบอกว่า ออกเลย แต่เมื่อรถออกมาแล้ว คนขับจะพาวนไปรับผู้โดยสารที่หน้าตลาดเช้าก่อนและก็มักจะแวะจอดรับระหว่างทางไปตลอดด้วย พอถามคนขับก็บอกว่า-ออกรถเลยจริงๆ แต่ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะไม่รับผู้โดยสารอื่น!?
ส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยตามเลยเพราะคิดว่าจะเอาชนะคะคานอะไรกับคนขับรถ น้ำมันก็แพง ถือว่าช่วย ๆ กันไปก็แล้วกัน แต่บางครั้งสุดจะทน เพราะเมื่อเหมารถ นั่นหมายถึงต้องจ่ายเงินมากกว่าค่าโดยสารปกติ (ค่ารถระหว่างตลาดเช้าและสะพานมิตรภาพคือคนลาวจ่ายหกพันกีบคนต่างชาติจ่ายสิบพันกีบหรือสี่สิบบาท) ปกติราคาเหมาอยู่ที่สองร้อยบาทแต่คนขับรถโดยสารมักจอดรับคนรายทาง ครั้งหนึ่ง เดินทางตอนเย็นเพื่อไปขึ้นรถไฟที่หนองคาย คนขับแวะรับแม่หญิงลาวคนหนึ่งก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะรู้ว่าเกือบค่ำรถโดยสารหายาก แต่ที่ค่อนข้างจะเป็นไรคือเมื่อนั่งมาสักครู่ แม่หญิงคนนั้นบอกอยากซื้อหนังควายให้จอดแวะข้างทางให้หน่อย คนขับพยักหน้ารับแล้วชะลอรถหาร้านอร่อยตามที่บอก อีกหน่อย ๆ เจอเมื่อไหร่แล้วจะบอก ได้ยินเสียงแม่หญิงลาวบอกคนขับแบบนี้ แม่หญิงไทยคนเหมารถเลยอยากจะกลายร่างเป็นแม่ยักษ์ซะให้รู้แล้วรู้รอด กังวลใจกับคิวยาวที่ด่านจนหน้าบึ้งบอกคนขับว่า ถ้ามัวแต่เที่ยวหาและจอดซื้อหนังควายละก้อจะจ่ายเงินเท่าแม่เฒ่าคนนี้เลยนะ คนขับหน้าจ๋อยไม่กล้าจอด เมื่อถึงด่านแม่หญิงไทยควักเงินจ่ายสองร้อยบาทแม่หญิงลาวจ่ายเงินไทยยี่สิบบาท แล้วสองสาว (ที่เกือบเฒ่า) ต่างก็ลากกระเป๋าเดินหันหน้าหนีจากกันไปต่อคิวยาวๆ แถวเดียวกันที่ด่านลาว-ไทย
เคยบ่นเรื่องนี้กับคนลาวที่คุ้นเคย ได้รับคำตอบว่า รถของเขาสิทธิของเขา ครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบรู้สึกฉุนกึก พูดอะไรไม่ออก นึกถึงตอนไปซื้อซีอิ๊วขาวที่ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านแล้วเจอแต่ขวดที่หมดอายุไปปีกว่า อุตส่าห์บอกคนขายเพื่อถามหาสินค้าขวดใหม่แต่เขากลับบ่นงึมงำเอาของลงจากชั้นวาง บอกให้ไปซื้อร้านอื่นก่อนก็แล้วกัน ตอนแรกนึกว่าเพราะสินค้าเขาหมด แต่วันรุ่งขึ้นกลับไปซื้อของอื่นที่ร้านเดิมกลับเห็นสินค้าหมดอายุซึ่งถูกยกลงเมื่อวานกลับขึ้นไปอยู่บนชั้นวางที่เดิมอีก จึงเข้าใจว่า ร้านของเขา สิทธิของเขา ถ้าเราอยากถามหาสิทธิผู้บริโภคก็ไปหาซื้อที่ร้านอื่นเหอะ เรื่องนี้บ่นให้สาวลาวที่บ้านฟังเธอทำหน้าเหรอหราถามกลับมาว่า "ทำไมต้องดูวันหมดอายุด้วยเล่า ตั้งแต่ซื้อของ (ซึ่งส่วนมากมาจากไทย)ไม่เคยดูวันหมดอายุเลย"
ฟังคำตอบซื่อ ๆ เช่นนี้แล้ว ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจหลายต่อหลายอย่างในลาวลดวูบจนหายไปเกือบหมด ลึก ๆ รู้สึกตัวเองเศร้าอยู่ข้างใน ทัศนะหลายอย่างที่มีต่อลาวและคนลาวเริ่มเปลี่ยนแปลง
(ยามเย็นริมโขง สวนสาธารณะเจ้าอนุวง)
ค่าครองชีพในเวียงจันทน์นับว่าสูงมาก สูงกว่าเมื่อครั้งอยู่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนหาเช้ากินค่ำอย่างเช่นคนขับรถที่พบเจอแล้ว รู้สึกไม่สมควรเลยที่ไปโกรธเขา แม้รู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบแต่ก็เป็นความสมยอมของตนเอง จะเพราะไม่รู้หรือเพราะอะไรก็ตามที พวกเขาล้วนทำมาหากินโดยสุจริต การดิ้นรนต่อสู้และรูปแบบกฎกติกาของคนในแต่ละพื้นถิ่นล้วนต่างกัน ตามโอกาส ตามเงื่อนไขและความเป็นไปได้ของการทำมาหากิน ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้ากว่าหรอกหรือ ไม่ใช่การเอาเปรียบมากกว่าหรอกหรือ ที่เมื่อหยิบสินค้าประเภทอาหารอีกหลายอย่างขึ้นมาดูแล้วพบว่าสินค้าที่มีตราสินค้าเดียวกันนั้นมีกำหนดวันหมดอายุเมื่อขายในไทยแต่จงใจไม่มีวันหมดอายุเมื่อส่งมาขายที่ลาว
ผ่านช่วงเวลาแห่งการปรับตัวปรับใจมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงพบว่า ปัญหาที่แท้จริงของความอึดอัดขัดใจที่อยู่ในลาวมีเพียงหนึ่งเดียว ปัญหานั้นคือ ความไม่รู้และทัศนะของตนเองต่อบ้านเมืองและผู้คน ซึ่งทำให้มองเรื่องอื่น ๆ รอบตัวเป็นปัญหาหรือความยากลำบากไปเสียหมด เมื่อเลิกใช้ตนเองและประสบการณ์เดิมเป็นมาตรฐาน ชีวิตในลาวก็ง่ายขึ้นมาก มองย้อนกลับไปตอนนี้ได้คิดว่า แท้จริงแล้ว การได้มาอยู่เวียงจันทน์เหมือนได้ย้อนยุคกลับไปสมัยเป็นเด็กและประเทศไทยเริ่มต้นกระบวนการพัฒนา มีโอกาสได้เห็นแบบจำลองของอดีตในอัตราเร่งที่เร็วและแรงกว่า และแน่นอนว่ามีโอกาสได้เห็น อัตตา ของตนเองในสัดส่วนเดียวกัน
เดี๋ยวนี้ เวลาต้องเดินทางไปไหนจึงมักเผื่อใจไว้สำหรับอะไร ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ระยะหลังเมื่อต้องข้ามมาฝั่งไทย มักเลือกใช้รถตู้หรือรถแท็กซี่แทน เพราะราคาเหมาใกล้เคียงกันมาก นอกจากจะมีแอร์และเร็วกว่าแล้ว คนขับรถตู้หรือรถแท็กซี่จะไม่แวะรับใครระหว่างทาง เพียงแต่ถ้าอยู่บ้านแล้วนัดให้มารับเพื่อเดินทางนั้น อาจต้องเตรียมแผนสองเพราะอาจไม่มาตามนัดหากเขาเจอลูกค้าเหมาไปที่อื่นด้วยราคาที่ดีกว่า แต่หากเดินทางปกติจากบ้านเข้าไปในเวียงก็รู้สึกสบาย ๆ เพราะเตรียมใจเจอภาวะคนมาก อึดอัดยัดเยียด พร้อม ๆ กับเสียงคุยโหวกเหวกของผู้โดยสาร บางเวลาก็รู้สึกสนุกร่วมไปด้วยเงียบ ๆกับบรรยากาศเป็นกันเองของคนบนรถที่ต่างก็ไม่รู้จักกันแต่คุยกันได้สารพัดเรื่อง ตั้งแต่ขึ้นมาเจอกันจนถึงเวลาที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันลงจากรถ บอกตัวเองว่า ไม่เจอแบบนี้ที่กรุงเทพฯ แน่นอน
ครั้งหนึ่ง เคยเรียกเหมารถบริเวณกลางเมืองให้ไปส่งที่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหกกิโลเมตรด้วยราคายี่สิบพันกีบหรือราวแปดสิบบาท บอกคนขับด้วยว่า ออกเลย คนขับก็ขับออกมาเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะรับนักท่องเที่ยวไทยที่ยืนรอรถบริเวณใกล้เคียงกันด้วย สองสาวลงจากรถตรงบริเวณสี่แยกซึ่งอยู่ถัดไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรพร้อมจ่ายค่ารถด้วยราคาหนึ่งร้อยบาท จำได้ว่า ตนเองยิ้มให้กับคนขับรถ รู้สึกดีใจที่เขามีรายได้เพิ่มขึ้น
เมื่อต้องเดินทางคนเดียวโดยรถตู้ แท็กซี่ หรือแม้แต่ตุ๊ก ๆ / จัมโบ้ เพื่อเดินทางในเวียงจันทน์และระหว่างตัวเวียงกับสะพานมิตรภาพ สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือความรู้สึกเฉย ๆ ไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลเรื่องความปลอดภัย แรก ๆ อาจมีบ้างเพราะติดอาการระแวงระวังมาจากเมืองไทย แต่อยู่มาอยู่ไปความรู้สึกนี้หายไปโดยสิ้นเชิง นี่เป็นความประทับใจอย่างมากต่อการเดินทางในเวียงจันทน์ ความรู้สึกไม่กลัวนี้ใช่ว่าจะสร้างง่าย ๆ ด้วยการมีตำรวจหรือระบบตรวจสอบความปลอดภัยอะไรวุ่นวาย แต่การไม่เคยมีข่าวคราวด้านร้าย และการที่ตนเองอยู่รอดปลอดภัยมาด้วยดี รวมทั้งบรรยากาศที่ซึมซับได้ว่าไม่น่าจะมีอะไรที่เลวร้ายรุนแรง การเดินทางที่สามารถรู้สึกได้ว่าปลอดภัย ไม่ถูกคุกคาม แม้ในยามเย็นย่ำค่ำมืด ถือเป็นเสน่ห์ที่น่าอิจฉาของเมืองเวียงจันทน์เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร
เมืองไทยเป็นดินแดนที่มีอะไรหลายอย่างที่คนลาวอยากรู้จัก อยากไปเที่ยวและที่สำคัญอยากไปซื้อของ ทั้งคนรวยที่ข้ามไปเพื่อ ใช้เงิน และคนทั่วไปที่ข้ามไปหนองคายเพื่อซื้อของใช้ประจำวันที่ราคาถูกกว่าและหลากหลายกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อของในเวียงจันทน์ แต่กรุงเทพไม่ใช่หนองคายเพราะมีชื่อเรื่องความไม่ปลอดภัยและความรุนแรง สาวลาวที่บ้านเคยถามถึงสถานการณ์เดือนเมษาเมื่อปี 2553 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า สงคราม สาวเจ้าบอกว่า เมืองไทยน่ากลัว ที่ลาวไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอกบ้านเราสงบมาก หน้าตาตอนที่เธอพูดถึงความสงบในลาวนั้นมีความสุข ดูน่าเชื่อว่าสงบจริง ๆ เธอบอกว่าเดินไปไหนมาไหนก็ไม่กลัวอะไร เมื่อนึกถึงอายุยี่สิบสองปีของสาวเจ้าก็เชื่อได้ว่าเธอเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเจอสภาพสงครามและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและเอกราชของประเทศเมื่อเพียงหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา
คุยกับคนรุ่นเด็กแล้วอดคิดถึงเมื่อครั้งตนเองเป็นเด็กกว่าเธอคนนั้นไม่ได้ ครั้งนั้น ประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบรวมทั้งประเทศลาวเป็นกลุ่มประเทศที่เราคนไทยถูกบอกถูกสอนว่าน่ากลัวรุนแรง ไม่ปลอดภัย และเต็มไปด้วยไฟสงคราม ผ่านมาหนึ่งชั่วอายุคนสถานการณ์และทัศนะของคนในสองประเทศกลับด้านกันไปได้ถึงเพียงนี้ อดคิดต่อไม่ได้ว่า เมื่อลาวเปิดประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ นับจากนี้ไป ปีหน้าหรืออีกห้าปีข้างหน้า เราจะยังสามารถรู้สึกว่า ปลอดภัย และอยู่สบายดีที่เวียงจันทน์เช่นในวันนี้อีกหรือไม่
แต่พอไปจริงๆแล้วกลับกลายเป็นว่าพวกเขาน่ารักมากๆไม่ได้ร้ายอย่างที่เรากลัว:)