ต้นทุนชีวิตคือการสะสมความเคยชินที่ดี
รั้วบ้านประตูใจ (๒): สบายดีที่เวียงจันทน์


(หอพระแก้ว)

ก่อนประตูใจจะเปิด ขอสารภาพว่า นอกจากโอกาสได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในบ้านเราที่เมืองลาวแล้วไม่รู้สึกชอบสิ่งแวดล้อมอื่นใดอีก นครหลวงเวียงจันทน์แม้ดูเงียบและเรียบง่ายแต่ก็มีความขัดแย้งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอึดอัดขัดใจ ปัญหาพื้น ๆ ส่วนใหญ่เกิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่พ้นการเดินทาง อาหารการกิน สถานที่ซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ ภาษา และทัศนะโดยรวมของผู้คนที่พบเจอ เห็นจะจริงที่ว่าคนเรามักปรับตัวเข้ากับความสะดวกสบายได้ง่ายกว่าความลำบากโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่การท่องเที่ยว แต่เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้อง“อยู่อาศัย” ณ ดินแดนแสนใกล้แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่มาอาศัยประเทศเขาอยู่เลย

หนึ่งปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ย้ายมาอยู่เวียงจันทน์ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปธรรมที่ชัดเจนหลายอย่าง ถนนเล็กย่อยรอบตัวเมืองที่เดิมเป็นถนนดินเริ่มมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นถนนคอนกรีตหรือลาดยาง บริเวณริมโขงซึ่งทำพนังกั้นน้ำใหญ่โตแข็งแรง มีการจัดสร้างและปรับภูมิทัศน์ให้เป็นพื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้น บางพื้นที่เช่นริมถนนล้านซ้างมีอาคารสำนักงานสูงตระหง่าน อาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มดำเนินการก่อสร้าง บ้านทรงลาวเดิมถูกรื้อปรับปรุงเป็นรูปทรงทันสมัยแบบตะวันตกผสมลาวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดคือการปรับปรุงสนามบินและพื้นที่ริมโขงเพื่อรองรับการประชุมอาเซมในปลายปีนี้ เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีเวียงจันทน์จะเปลี่ยนโฉมใหม่อีกรอบ แต่จะไฉไลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสายตาและทัศนะของคนมอง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต่างกันออกไปตามฐานคติแห่งชีวิตและอาชีพการงาน


(ถนนเสดถาทิลาด หน้าวัดองตื้อ)

ความเปลี่ยนแปลงในส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาแต่สัมผัสได้จากการปฏิสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งนั้น อาจเป็นเรื่องที่บอกเล่าได้ยากกว่าเพราะไม่มีตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม คนไทยที่รู้จักกันคนหนึ่งเล่าว่า สิบปีมานี้ชาวเวียงจันทน์เปลี่ยนไปมาก ทำอะไรเพื่อเงินเหมือนคนกรุงเทพฯบ้านเรา น้ำใจไมตรีแบบที่เธอประทับใจจนตัดสินใจมาตั้งรกรากที่นี่เลือนหายไปมากแล้ว แต่มุมมองที่เขียนถึงในบล็อกนี้ไม่มีตัวตั้งเปรียบเทียบเช่นที่เธอบอก เพราะการเทียบเคียงที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงภายในของตัวเองที่มีต่อเวียงจันทน์และต่อคนลาว


(ฝั่งตรงข้ามวัดองตื้อเป็นร้านหัตถกรรมและของเก่า Indochina Old House ชั้นสองมีมุมกาแฟเวียดนาม บรรยากาศน่านั่งอ่านหนังสือเก่า ๆ เกี่ยวกับศิลปะลาว ประตูวัดที่เห็นคือวัดหายโสก) 

เมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ ๆ มักไปไหนมาไหนด้วยจักรยาน แต่บางครั้ง ก็ใช้บริการรถรับจ้างจำพวกตุ๊กๆ หรือจัมโบ้ ซึ่งเคยเขียนถึงแล้วในบล็อกแรก ๆ แต่สิ่งที่ไม่ได้เขียนถึงในครั้งนั้นคือทัศนะของตัวเองซึ่งส่วนใหญ่มักจะหงุดหงิดไม่พอใจ  อาจเพราะตามไม่ทันระบบคิดและวิธีการของการใช้รถรับจ้างที่นี่ อย่างเช่น เมื่อเหมารถจากตัวเวียงไปสะพานมิตรภาพ คนขับจะบอกว่า “ออกเลย” แต่เมื่อรถออกมาแล้ว คนขับจะพาวนไปรับผู้โดยสารที่หน้าตลาดเช้าก่อนและก็มักจะแวะจอดรับระหว่างทางไปตลอดด้วย พอถามคนขับก็บอกว่า-ออกรถเลยจริงๆ แต่ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะไม่รับผู้โดยสารอื่น!?

ส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยตามเลยเพราะคิดว่าจะเอาชนะคะคานอะไรกับคนขับรถ  น้ำมันก็แพง ถือว่าช่วย ๆ กันไปก็แล้วกัน แต่บางครั้งสุดจะทน เพราะเมื่อเหมารถ นั่นหมายถึงต้องจ่ายเงินมากกว่าค่าโดยสารปกติ (ค่ารถระหว่างตลาดเช้าและสะพานมิตรภาพคือคนลาวจ่ายหกพันกีบคนต่างชาติจ่ายสิบพันกีบหรือสี่สิบบาท) ปกติราคาเหมาอยู่ที่สองร้อยบาทแต่คนขับรถโดยสารมักจอดรับคนรายทาง ครั้งหนึ่ง เดินทางตอนเย็นเพื่อไปขึ้นรถไฟที่หนองคาย คนขับแวะรับแม่หญิงลาวคนหนึ่งก็คิดว่าไม่เป็นไร  เพราะรู้ว่าเกือบค่ำรถโดยสารหายาก แต่ที่ค่อนข้างจะ”เป็นไร”คือเมื่อนั่งมาสักครู่ แม่หญิงคนนั้นบอกอยากซื้อหนังควายให้จอดแวะข้างทางให้หน่อย คนขับพยักหน้ารับแล้วชะลอรถหาร้านอร่อยตามที่บอก “อีกหน่อย ๆ เจอเมื่อไหร่แล้วจะบอก” ได้ยินเสียงแม่หญิงลาวบอกคนขับแบบนี้ แม่หญิงไทยคนเหมารถเลยอยากจะกลายร่างเป็นแม่ยักษ์ซะให้รู้แล้วรู้รอด กังวลใจกับคิวยาวที่ด่านจนหน้าบึ้งบอกคนขับว่า “ถ้ามัวแต่เที่ยวหาและจอดซื้อหนังควายละก้อจะจ่ายเงินเท่าแม่เฒ่าคนนี้เลยนะ” คนขับหน้าจ๋อยไม่กล้าจอด เมื่อถึงด่านแม่หญิงไทยควักเงินจ่ายสองร้อยบาทแม่หญิงลาวจ่ายเงินไทยยี่สิบบาท  แล้วสองสาว (ที่เกือบเฒ่า) ต่างก็ลากกระเป๋าเดินหันหน้าหนีจากกันไปต่อคิวยาวๆ แถวเดียวกันที่ด่านลาว-ไทย

เคยบ่นเรื่องนี้กับคนลาวที่คุ้นเคย ได้รับคำตอบว่า “รถของเขาสิทธิของเขา” ครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบรู้สึกฉุนกึก พูดอะไรไม่ออก นึกถึงตอนไปซื้อซีอิ๊วขาวที่ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านแล้วเจอแต่ขวดที่หมดอายุไปปีกว่า อุตส่าห์บอกคนขายเพื่อถามหาสินค้าขวดใหม่แต่เขากลับบ่นงึมงำเอาของลงจากชั้นวาง บอกให้ไปซื้อร้านอื่นก่อนก็แล้วกัน ตอนแรกนึกว่าเพราะสินค้าเขาหมด แต่วันรุ่งขึ้นกลับไปซื้อของอื่นที่ร้านเดิมกลับเห็นสินค้าหมดอายุซึ่งถูกยกลงเมื่อวานกลับขึ้นไปอยู่บนชั้นวางที่เดิมอีก จึงเข้าใจว่า “ร้านของเขา สิทธิของเขา” ถ้าเราอยากถามหาสิทธิผู้บริโภคก็ไปหาซื้อที่ร้านอื่นเหอะ เรื่องนี้บ่นให้สาวลาวที่บ้านฟังเธอทำหน้าเหรอหราถามกลับมาว่า "ทำไมต้องดูวันหมดอายุด้วยเล่า ตั้งแต่ซื้อของ (ซึ่งส่วนมากมาจากไทย)ไม่เคยดูวันหมดอายุเลย"

ฟังคำตอบซื่อ ๆ เช่นนี้แล้ว ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจหลายต่อหลายอย่างในลาวลดวูบจนหายไปเกือบหมด ลึก ๆ รู้สึกตัวเองเศร้าอยู่ข้างใน ทัศนะหลายอย่างที่มีต่อลาวและคนลาวเริ่มเปลี่ยนแปลง



(ยามเย็นริมโขง สวนสาธารณะเจ้าอนุวง)

ค่าครองชีพในเวียงจันทน์นับว่าสูงมาก สูงกว่าเมื่อครั้งอยู่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนหาเช้ากินค่ำอย่างเช่นคนขับรถที่พบเจอแล้ว รู้สึกไม่สมควรเลยที่ไปโกรธเขา แม้รู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบแต่ก็เป็นความสมยอมของตนเอง จะเพราะไม่รู้หรือเพราะอะไรก็ตามที พวกเขาล้วนทำมาหากินโดยสุจริต การดิ้นรนต่อสู้และรูปแบบกฎกติกาของคนในแต่ละพื้นถิ่นล้วนต่างกัน ตามโอกาส ตามเงื่อนไขและความเป็นไปได้ของการทำมาหากิน ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้ากว่าหรอกหรือ ไม่ใช่การเอาเปรียบมากกว่าหรอกหรือ ที่เมื่อหยิบสินค้าประเภทอาหารอีกหลายอย่างขึ้นมาดูแล้วพบว่าสินค้าที่มีตราสินค้าเดียวกันนั้นมีกำหนดวันหมดอายุเมื่อขายในไทยแต่จงใจไม่มีวันหมดอายุเมื่อส่งมาขายที่ลาว

ผ่านช่วงเวลาแห่งการปรับตัวปรับใจมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงพบว่า ปัญหาที่แท้จริงของความอึดอัดขัดใจที่อยู่ในลาวมีเพียงหนึ่งเดียว ปัญหานั้นคือ ความไม่รู้และทัศนะของตนเองต่อบ้านเมืองและผู้คน ซึ่งทำให้มองเรื่องอื่น ๆ รอบตัวเป็นปัญหาหรือความยากลำบากไปเสียหมด เมื่อเลิกใช้ตนเองและประสบการณ์เดิมเป็นมาตรฐาน ชีวิตในลาวก็ง่ายขึ้นมาก มองย้อนกลับไปตอนนี้ได้คิดว่า  แท้จริงแล้ว การได้มาอยู่เวียงจันทน์เหมือนได้ย้อนยุคกลับไปสมัยเป็นเด็กและประเทศไทยเริ่มต้นกระบวนการ“พัฒนา” มีโอกาสได้เห็นแบบจำลองของอดีตในอัตราเร่งที่เร็วและแรงกว่า และแน่นอนว่ามีโอกาสได้เห็น ”อัตตา” ของตนเองในสัดส่วนเดียวกัน

เดี๋ยวนี้ เวลาต้องเดินทางไปไหนจึงมักเผื่อใจไว้สำหรับอะไร ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ระยะหลังเมื่อต้องข้ามมาฝั่งไทย มักเลือกใช้รถตู้หรือรถแท็กซี่แทน เพราะราคาเหมาใกล้เคียงกันมาก นอกจากจะมีแอร์และเร็วกว่าแล้ว คนขับรถตู้หรือรถแท็กซี่จะไม่แวะรับใครระหว่างทาง เพียงแต่ถ้าอยู่บ้านแล้วนัดให้มารับเพื่อเดินทางนั้น อาจต้องเตรียมแผนสองเพราะอาจไม่มาตามนัดหากเขาเจอลูกค้าเหมาไปที่อื่นด้วยราคาที่ดีกว่า แต่หากเดินทางปกติจากบ้านเข้าไปในเวียงก็รู้สึกสบาย ๆ เพราะเตรียมใจเจอภาวะคนมาก อึดอัดยัดเยียด พร้อม ๆ กับเสียงคุยโหวกเหวกของผู้โดยสาร บางเวลาก็รู้สึกสนุกร่วมไปด้วยเงียบ ๆกับบรรยากาศเป็นกันเองของคนบนรถที่ต่างก็ไม่รู้จักกันแต่คุยกันได้สารพัดเรื่อง ตั้งแต่ขึ้นมาเจอกันจนถึงเวลาที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันลงจากรถ บอกตัวเองว่า ไม่เจอแบบนี้ที่กรุงเทพฯ แน่นอน

ครั้งหนึ่ง เคยเรียกเหมารถบริเวณกลางเมืองให้ไปส่งที่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหกกิโลเมตรด้วยราคายี่สิบพันกีบหรือราวแปดสิบบาท บอกคนขับด้วยว่า “ออกเลย” คนขับก็ขับออกมาเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะรับนักท่องเที่ยวไทยที่ยืนรอรถบริเวณใกล้เคียงกันด้วย สองสาวลงจากรถตรงบริเวณสี่แยกซึ่งอยู่ถัดไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรพร้อมจ่ายค่ารถด้วยราคาหนึ่งร้อยบาท จำได้ว่า ตนเองยิ้มให้กับคนขับรถ รู้สึกดีใจที่เขามีรายได้เพิ่มขึ้น

เมื่อต้องเดินทางคนเดียวโดยรถตู้ แท็กซี่ หรือแม้แต่ตุ๊ก ๆ / จัมโบ้ เพื่อเดินทางในเวียงจันทน์และระหว่างตัวเวียงกับสะพานมิตรภาพ สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือความรู้สึกเฉย ๆ ไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลเรื่องความปลอดภัย แรก ๆ อาจมีบ้างเพราะติดอาการระแวงระวังมาจากเมืองไทย แต่อยู่มาอยู่ไปความรู้สึกนี้หายไปโดยสิ้นเชิง นี่เป็นความประทับใจอย่างมากต่อการเดินทางในเวียงจันทน์ ความรู้สึกไม่กลัวนี้ใช่ว่าจะสร้างง่าย ๆ ด้วยการมีตำรวจหรือระบบตรวจสอบความปลอดภัยอะไรวุ่นวาย แต่การไม่เคยมีข่าวคราวด้านร้าย และการที่ตนเองอยู่รอดปลอดภัยมาด้วยดี รวมทั้งบรรยากาศที่ซึมซับได้ว่าไม่น่าจะมีอะไรที่เลวร้ายรุนแรง การเดินทางที่สามารถรู้สึกได้ว่าปลอดภัย ไม่ถูกคุกคาม แม้ในยามเย็นย่ำค่ำมืด ถือเป็นเสน่ห์ที่น่าอิจฉาของเมืองเวียงจันทน์เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร

เมืองไทยเป็นดินแดนที่มีอะไรหลายอย่างที่คนลาวอยากรู้จัก อยากไปเที่ยวและที่สำคัญอยากไปซื้อของ ทั้งคนรวยที่ข้ามไปเพื่อ “ใช้เงิน” และคนทั่วไปที่ข้ามไปหนองคายเพื่อซื้อของใช้ประจำวันที่ราคาถูกกว่าและหลากหลายกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อของในเวียงจันทน์ แต่กรุงเทพไม่ใช่หนองคายเพราะมีชื่อเรื่องความไม่ปลอดภัยและความรุนแรง สาวลาวที่บ้านเคยถามถึงสถานการณ์เดือนเมษาเมื่อปี 2553 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “สงคราม” สาวเจ้าบอกว่า “เมืองไทยน่ากลัว ที่ลาวไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอกบ้านเราสงบมาก” หน้าตาตอนที่เธอพูดถึงความสงบในลาวนั้นมีความสุข ดูน่าเชื่อว่าสงบจริง ๆ เธอบอกว่าเดินไปไหนมาไหนก็ไม่กลัวอะไร เมื่อนึกถึงอายุยี่สิบสองปีของสาวเจ้าก็เชื่อได้ว่าเธอเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเจอสภาพสงครามและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและเอกราชของประเทศเมื่อเพียงหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา

คุยกับคนรุ่นเด็กแล้วอดคิดถึงเมื่อครั้งตนเองเป็นเด็กกว่าเธอคนนั้นไม่ได้ ครั้งนั้น ประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบรวมทั้งประเทศลาวเป็นกลุ่มประเทศที่เราคนไทยถูกบอกถูกสอนว่าน่ากลัวรุนแรง ไม่ปลอดภัย และเต็มไปด้วยไฟสงคราม ผ่านมาหนึ่งชั่วอายุคนสถานการณ์และทัศนะของคนในสองประเทศกลับด้านกันไปได้ถึงเพียงนี้ อดคิดต่อไม่ได้ว่า เมื่อลาวเปิดประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ นับจากนี้ไป ปีหน้าหรืออีกห้าปีข้างหน้า เราจะยังสามารถรู้สึกว่า “ปลอดภัย” และอยู่สบายดีที่เวียงจันทน์เช่นในวันนี้อีกหรือไม่




Create Date : 17 เมษายน 2555
Last Update : 18 เมษายน 2555 11:01:34 น. 12 comments
Counter : 1845 Pageviews.

 
เมื่อ7ปีก่อนเคยกลัวการไปเที่ยวลาวกับกัมพูชามากๆเพราะผู้ใหญ่สอนให้กลัว
แต่พอไปจริงๆแล้วกลับกลายเป็นว่าพวกเขาน่ารักมากๆไม่ได้ร้ายอย่างที่เรากลัว:)


โดย: maistyle วันที่: 17 เมษายน 2555 เวลา:17:26:52 น.  

 
พี่พีถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีเหลือเกินค่ะ เล่าเรื่องต่าง ๆ อ่านแล้วเห็นภาพตาม พูดถึงรถโดยสารแล้วคิดถึงตัวเองเมื่อปีที่ผ่านมา เคยเรียกแท็กซี่กลับบ้านช่วง 4 โมงเย็น เรียกประมาณ 10 คัน ไม่มีคันไหนยอมไปส่ง เพราะเป็นเวลาส่งรถ แต่อยากหารายได้ก่อนส่งรถเผื่อว่าเราจะไปทางเดียวกัน แต่ใจหนูพอเริ่มคันที่ 7-8 เริ่มโมโหแล้วค่ะ พอคันที่ 10 เค้าไม่ไปก็เลยถามว่า ถ้าไม่ไปแล้วจอดทำไม เกือบโดนคันขับลงมาเตะ พอได้คันที่ยอมไปก็บ่นให้คนขับฟัง เค้าก็อธิบายฟังแล้วรู้สึกเหมือนพี่ที่รู้สึกกับรถรับจ้างในลาว เพราะคนขับเค้าบอกว่า ก่อนส่งรถถ้าได้อีกสักหน่อยเป็นค่ากับข้าวก็ยังดี เฮ้อเพราะพิษเศรษฐกิจทำให้คนเราปากกัดตีนถีบมากขึ้น ความเป็นมิตร ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยลดลงมาก ฟังแล้วเศร้าและได้คิด อารมณ์โกรธค่อย ๆ ลดลง เพราะรีบใจเราก็เลยร้อนพอไม่ได้ตามที่คิดก็โกรธ โมโห จนเกือบเจ็บตัว...


โดย: นก IP: 203.151.15.245 วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:8:04:15 น.  

 
คุณไหมคะ ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาจะกลัวบ้านเมืองเราแทนหรือเปล่าน้า..? สักวันต้องไปกัมพูชาแล้วล่ะ อยากเห็นความน่ารักของเขามากกว่าความน่ากลัวที่เราถูกยัดใส่หัว

อ่านเรื่อง "เกือบโดนคนขับรถลงมาเตะ" ของนกแล้วอยากหัวเราะ เพียงแต่รู้ว่ามันทั้งขำทั้งขื่นกันทั้งสองฝ่าย เรื่องราวไม่ดีต่าง ๆ เวลามองย้อนกลับไปมักมีอะไรให้มองหลายมุม และบางมุมมันก็ขำมากด้วย ถ้าตอนนั้นใจคนเรามีที่ว่างให้อารมณ์ขันบ้างเราคงเรียนรู้อะไร ๆ จากกันและกันได้มากกว่าที่ผ่านมานะ เสียดายที่พี่เองก็มักเป็นพวกเถรตรงและมองโลกในแง่ร้าย อามรณ์ขัน ณ จุดนั้นเลยไม่ค่อยเกิด หลัง ๆ มานี้เปลี่ยนทัศนคติ บางคราวเห็นขันหัวเราะออกมา แต่คนอื่นไม่เห็นด้วย ก็เคย "เกือบถูกตะ" มาเหมือนกัน 55555



โดย: กังสดาล IP: 202.137.156.43 วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:8:50:01 น.  

 
วันนี้หน้าบล็อกพี่พีตัวหนังสือสวยเนาะ

เปลี่ยนฟ้อนท์ก็เปลี่ยนอารมณ์เหมือนกันนะ
ภาพที่เราเห็น มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า ส่วนมากความประทับใจแรกจะเป็นสิ่งที่เราติดเอาไว้ บางครั้งอาจจะเหมาไปเลยว่ามันต้องเป็นแบบนั้น

ก็ไม่แปลกนะคะ ถ้าพี่พีจะรู้สึกอะไรตอนไปถึงใหม่ ๆ
แต่ก็ยังมีมุมมองที่เปลี่ยนไป เพราะเปิดประตู"ใจ" รับ สัมผัสด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยตาอย่างเดียว
คนส่วนมากก็คงไม่เป็นแบบนี้ ..หรือเปล่า



โดย: secreate (secreate ) วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:13:32:15 น.  

 

ถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าติดตามดีค่ะ อ่านแล้วนึกภาพตาม

เวลาที่เราไปเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว เราก็คงจะหยวนๆ ได้ แต่ถ้าต้องไปอยู่เลยนี่ คงจะคนละอารมณ์

จริงอย่างคุณว่า ปรับตัวให้เข้ากับความสบาย ทันสมัย มันก็ง่ายกว่าปรับตัวเข้าหาความลำบากจริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะผ่านจุดนั้นมาแล้วก็ตาม ถ้าก่อนหน้านั้นเราชินแต่ความสบาย มันยากจริงๆ

Photobucket


โดย: ก๋าสะลองเงิน วันที่: 19 เมษายน 2555 เวลา:5:13:16 น.  

 
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงพวกเพื่อนฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทยบางคน ภูมิหลังที่มาแตกต่างกัน ถ้าเราใช้ตาดู กับใช้หัวใจดู ยังไงๆ ผลของการรับรู้ก็ต้องต่างกันอยู่แล้วนะคะ..ตอนที่พีพีพูดถึงเรื่องดีใจที่เห็นสามล้อหาตังค์ได้เพิ่มจากลูกค้าคนไทย นึกถึงเพื่อนเจอรี่ที่บอกแมลงว่า เวลามีคนฝรั่งมาบ่นว่าเมืองไทย เขาบอกว่าให้กลับไปบ้านเมืองตัวเองเลย เพราะเมืองไทยนี่เขาแสนดี และคนเขาก็ไม่ได้บังคับให้เธอมาอยู่ ถ้าเห็นว่าเมืองไทย คนไทยไม่ดี ก็กลับบ้านไป ..พูดง่ายๆว่าไม่เอาไม้บรรทัดของตัวเองไปตัดสินคนอื่น และให้เจ้าถิ่นเปลี่ยนเพื่อตัวเองที่เพ่ิงจะมา..เหมือนเราพยายามจะไล่หนูนา งู และตะกวดในหนองน้ำข้างบ้านเนอะ


โดย: แมลงจ่่่่่่อย (Bug in the garden ) วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:20:54:08 น.  

 
เขียนได้ดีจังค่ะ เคยไปเที่ยวลาวเมื่อแปดปีที่แล้ว ก็ไปทางเวียงจันทน์แล้วไปจบที่หลวงพระบาง ชอบอาหารการกินค่ะ เพราะเค้าใส่ผงชูรสเยอะ ฮ่าๆ



โดย: มารน้อยไร้สังกัด วันที่: 22 เมษายน 2555 เวลา:0:35:34 น.  

 
สบายดี.....

Photobucket


โดย: ก๋าสะลองเงิน วันที่: 26 เมษายน 2555 เวลา:6:26:52 น.  

 
โส่ย พี่ไม่ได้ทำอะไรกับฟอนท์ในบล็อกเลย (ทำไม่เป็น) การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทางภาพ สี ฯลฯ เป็นสิ่งเกินความสามารถ แล้วแต่โชคชะตา (หรือบล็อกมาสเตอร์)

คุณก๋าสะลองเงินคะ ขอบคุณสำหรับคำชมและของฝากจากฮอลแลนด์แดนดอกไม้งาม อยากไปเที่ยวที่นั่นจังเลย ช่วงนี้นา (ไม่น่าจะเป็นสวนแล้วนะ) ทิวลิปน่าจะยังบานสะพรั่ง ไว้เดี๋ยวจะตามไปค้นหาที่บ้านนะคะ ว่าเก็บแอบภาพงาม ๆ เหล่านั้นไว้ตรงไหนเมื่อไหร่

ชอบคอมเม้นคุณมารน้อยไร้สังกัด เหอ ๆ เป็นคอมเม้นท์ที่แปลกมากเลย ตรงที่ชอบผงชูรสอ่ะ คนข้างตัวอยู่มาปีกว่าผมบางลง ๆ ทุกวันนี้เลยตกหนักแม่บ้านผู้จำต้องกลายเป็นแม่ครัวทำข้าวกล่องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งมื้อต่อวัน และเอ้อ, ถ้ากลับมาเที่ยวลาวครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเวียงจันทน์หรือหลวงพระบาง รับรองว่าจำไม่ได้แน่...

คุณแมลงขา ไม่ใช่ทุกคนชอบหรือกล้าที่จะให้มีหนูนา งูและตะกวดอยู่ข้างหนองน้ำใกล้บ้านหรอกน้า...แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหมือนที่ตนต้องการได้ คนบางคนเลยต้องจัดการใจตัวเองก่อนไง


โดย: kangsadal วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:8:00:05 น.  

 
พี่พีคร๊า..ที่น้องพูดมาก็หมายความว่าอย่างนี้ไง.. จัดการตัวเอง เพราะเราเปลี่ยนข้างนอกไม่ได้ และบางทีเราก็ไม่ควรจะไปเปลี่ยนมันไง..เค้าอยู่กันมาก่อน หรือเขาทากาวติดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ขืนเราไปคิดจะให้เป็นอย่างที่เราต้องการทุกเรื่อง คงเหนื่อยใจตายยย..อี่ๆ หรือแมลงเป็นคนขี้เกียจก็ไม่รู้ มาถึงเรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ไม่ยากลำบากในการจัดการข้างในใจ เรื่องนี้มักเป็นปัญหาของพวกคนเก่ง คนขยัน และคนสมบูรณ์แบบนะ แมลงว่า ฮี่ๆ


โดย: แมลงจ่่่อย (Bug in the garden ) วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:19:26:20 น.  

 
พี่พี อะไรกัน จะถอดใจไปไว้ที่ไหนหือ แค่ยังไม่ทันเริ่มเลยนา อย่าเพิ่ง ๆ
อาหารเป็นเรื่องน่าสนุกที่สุด แถมกินได้ด้วย
เพิ่งค้นพบตัวเองไม่นานมานี้เองแหละ ว่าจะชอบหนังสือทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ในทุกแง่มุม ไม่ค่อยชอบตำราอาหารเท่าไหร่ บอกจริง ๆ

เราคิดว่าการยอมรับสิ่งที่เป็นไปรอบตัว เป็นเรื่องไม่ยากเท่าไหร่ แต่ต้องเปิดใจ
เหมือนกับที่เราไม่ชอบฆ่ามด ไล่ฆ่างู หรือตัวอะไร ๆ พวกนั้น
เราแค่ทำบ้านเราให้เหมาะสมกับเรา ไม่ใช่เหมาะกับเขา และอย่าให้มีสิ่งจูงใจให้เขาอยากมาอยู่ใกล้ ก็จะไม่ค่อยเจอกันนะ


โดย: Secreate (secreate ) วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:21:14:38 น.  

 
มานั่งฟังเรื่องเล่าจากประสบการณ์ในประเทศลาวครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 19 พฤษภาคม 2555 เวลา:12:06:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kangsadal
Location :
เวียงจัน Laos

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]






พระจันทร์เต็มดวงคนมองเห็นได้บางวัน
เช่นกันกับวันที่เห็นพระจันทร์เสี้ยว
แต่ทุกวัน....
พระจันทร์เต็มดวง
online
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
17 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kangsadal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.