The 8th Habit: From Effectiveness to Greatness
The 8th Habit: From Effectiveness to Greatness เป็นหนังสือเล่มต่อจาก The 7 Habits of Highly Effective People ซึ่งประพันธ์โดย Stephen Covey ผู้แต่งใช้เวลานานกว่า 15 ปีในการรวบรวมข้อมูลและ ประพันธ์ผลงานชิ้นนี้ออกมา
หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงวิธีการผันตัวเองจากคนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กลายเป็นผู้นำที่มีบุญญาบารมี ซึ่งหนังสือเล่มนีมี้ใจความสำคัญดังต่อไปนี้
ก่อนจะกล่าวถึงนิสัยประการที่แปด
กฎข้อที 8. การผันตัวเองให้กลายเป็นผู้นำที่มีบุญญาบารมี (From Effectiveness to Greatness)
ผู้เขียนมีความเชื่อว่า "ในยุคปัจจุบันบุคลากรในองค์กรถูกมองว่าเป็นตัวสร้างหนีสิ้น เป็นตัวสร้างปัญหามากกว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าต่อองค์กร ดูได้จากระบบต่างๆ ที่บริษัทสร้างขึ้น มาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ให้พนักงานทำตามเสมือนกับพนักงานเป็นเพียงเครื่องจักรที่มีหน้าที่ผลิตผลงาน เมื่อไม่ได้ผลกำไรตามที่ตัง้ไว้ ก็คัดคนออกหน้าตาเฉย พนักงานทุกคนจึงขาดขวัญและกำลังใจ ไม่มีความสำนึกรักในองค์กร ขอให้ตนเองอยู่รอดไปวันหนึ่งๆ ก็พอ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จก็คงเป็นไปได้ยาก"
ผู้แต่งจึงนำเสนอวิธีการที่จะเป็นผู้นำที่มีบุญญาบารมีที่สามารถสร้างขวัญกำลังใจและจิตสำนึกให้กับพนักงาน ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์ผลงานให้แก่องค์กร
วิธีการดังกล่าวคือ
1. การสร้างเสียงในใจ (Inner voice)
เสียงนีเ้ป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างขึ้น มาได้
โดยมีขั้นตอนเบื้องต้น 3 ประการ คือ
1. เปิดใจให้กว้างยอมรับความเป็นจริงทุกอย่างในชีวิต มองปัญหาทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ เมื่อยอมรับได้จิตใจจึงจะสงบ
2. มีความปรารถนาดีกับคนรอบข้างอยากให้ผู้อื่นมีความสุข อยากให้องค์กรมีความเจริญรุ่งเรือง
3. คิดบวกหรือมองโลกในแง่ดี ไม่ตีโพยตีพายเมื่อเจอปัญหาและอุปสรรค
1.1 วิธีการสร้างเสียงในใจ (Inner voice) หรือตัวรู้ ให้บังเกิดขึน้ ในจิตของตัวเอง
1.1.1 เลือกพูด เลือกทำ เลือกคิด เลือกตัดสินใจ เมื่อสิ่งภายนอกเข้ามากระทบอายาตนะทั้ง 6 อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และจิตใจ ก่อนอื่นเราจะต้องรู้เนื้อรู้ตัวก่อนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และเรามีความรู้สึกและอารมณ์ต่อสิ่งเหล่านั้น อย่างไร เมื่อเรารู้จักตัวเองดีพอ เมื่อมีสิ่งใดๆ เข้ามากระทบทั้งทางการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การลิ้ม รส และการสัมผัส เราจึงจะเลือกได้ว่าเราจะควรจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้น อย่างไรจึงจะเป็นวิธีที่ดี ที่สุด เมื่อเราเป็นผู้เลือกเอง ถึงแม้ว่ามันจะผิดพลาดไปบ้างเราก็จะไม่โทษผู้อื่น เราจะสามารถยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้อย่างเต็มหัวใจเพราะเราเป็นผู้เลือกเอง เมื่อนั้นแล้วเราจึงจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้อย่างแท้จริง
1.1.2 จงเคารพกฎธรรมชาติว่าด้วยเรื่องศีลธรรมจรรยา เช่น - ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว - มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา - มีศีล 5 - ขจัดซึ่งนิวรณ์ 5 อันได้แก่ ความโลภ หรือความอยากได้อยากมีอยากเป็นมากเกินความเหมาะสมความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความลังเลสงสัย ความเบื่อหน่าย และความอิจฉาริษยาอาฆาตแค้น - มีความกตัญูญูกตเวที - มีความจริงใจ ปากกับใจตรงกัน เมื่อจิตมีธรรมะ จิตก็สงบสบายไม่ว้าวุ่น ไม่ตึงเครียด เสียงในใจจึงจะเกิดขึ้น
1.1.3 ฝึกความฉลาด 4 ด้าน ได้แก่ - ความฉลาดทางความคิด คือการฝึกการวิเคราะห์ปัญหาโดยไม่มีความขุ่นมัวของอารมณ์ จิตใจต้องนิ่งสงบ ไม่ตีโพยตีพาย มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา มองอย่างเป็นตรรกะ(มองอย่างเป็นเหตุผล) มองที่มาของปัญหาและสิ่งที่พอจะแก้ไขได้ตอนนีคื้ออะไร แล้วลงมือกระทำ - ความฉลาดทางกาย คือการฝึกความรู้เนือ้รู้ตัวในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน - ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) คือการฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองในทุกขณะจิต ขณะนี้เ้รารู้สึกอย่างไร ต้องสามารถบอกออกมาได้อย่างชัดเจนเป็นคำพูด เช่น เมื่อเราโกรธเรารู้สึกอย่างไร หน้าตาของอารมณ์โกรธเป็นอย่างไร และสิ่งที่สำคัญคือการรู้ให้ทันถึงจุดเปลี่ยนของอารมณ์ จากอารมณ์ปกติเป็นอารมณ์ต่างๆ ว่าอารมณ์มันเปลี่ยนไปเพราะเหตุใด และเพราะอะไรจึงกลับมาสู่สภาวะปกติ - ความฉลาดทางด้านจิตใจ คือการพยายามทำตัวเป็นคนดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยไม่หวังผลตอบแทน
1.2 วิธีการปลุกเสียงในใจของผู้ร่วมงานและพนักงาน จากวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อผู้นำสามารถปลุกเสียงในใจและมีพลังจิตที่สูงเพียงพอแล้วจึงจะสามารถปลุกเสียงในใจของผู้ร่วมงานและพนักงานทุกคนให้เกิดขึ้นได้ โดยวิธีการดังต่อไปนี้
1.2.1 สร้างความเคารพ ยอมรับและศรัทธาจากพนักงานทุกคน ผู้นำจะต้องแสดงให้ลูกน้องเห็นว่าตนนั้น เป็นคนที่สมควรจะได้รับความเคารพรักและศรัทธาจริงๆ จะทำได้ ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ 7 ประการคือ - ไม่เสียเวลาทำในสิ่งที่เราไม่มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม ถึงแม้ว่าจะเป็นโครงการที่ดีขนาดไหนก็ตาม - ปรึกษาและสอบถามวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากบุคคลภายนอก - ให้คำแนะนำและความช่วยเหลือบุคคลภายนอกองค์กรเพื่อขยายขอบเขตความสัมพันธ์ - มีปัญหาต้องรีบแก้ อย่าปล่อยให้คาราคาซัง - ปรึกษาปัญหาต่างๆ กับหัวหน้าของเรา หรือถ้าตัวเราอยู่ในตำแหน่งสูงสุดแล้วก็ควรปรึกษากับผู้ร่วมถือหุ้น เป็นต้น - รายงานความคืบหน้าในการทำงานแก่หัวหน้าหรือผู้ร่วมถือหุ้นเป็นระยะๆ - ทำงานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนประสบความสำเร็จ
1.2.2 การสร้างความไว้เนือ้เชื่อใจแก่พนักงานทุกคน ทำได้โดย - มีหลักการและคุณธรรมในตัวเอง ปากกับใจตรงกัน (Trustworthiness) - มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีปัญหาค่อยๆ แก้ ไม่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อารมณ์คงที่ไม่แปรปรวน (Maturity) - ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น จิตใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี - มีความรู้และเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอย่างดี ทัง้การติดต่อกับลูกค้า กับซัพพลายเออร์ กับผู้ร่วมงานในระดับเท่าๆ กัน และกับหัวหน้าแผนกต่างๆ และสามารถดูแลลูกน้องได้เป็นอย่างดีด้วย - สร้างพฤติกรรมที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ได้แก่
1) พยายามเข้าใจผู้อื่นก่อนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา 2) รักษาคำมั่นสัญญา 3) ซื่อสัตย์สุจริตและมีความจริงใจ 4) บอกจุดประสงค์และสิ่งที่เราต้องการได้อย่างชัดเจนก่อนมอบหมายงาน 5) ไม่พูดพิงถึงบุคคลที่สามในทางที่ไม่ดี 6) กล้ายอมรับผิดและให้อภัยผู้อื่นเมื่อเขาทำผิดพลาด
1.2.3 สร้างทีมเวิร์ค (One Voice) สามารถทำได้โดย - ผู้นำจะต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกน้องก่อน - ผู้นำต้องมอบหมายงานได้อย่างชัดเจนว่าเราต้องการอะไรจากงานชิ้นนี้ - ผู้นำต้องสามารถบอกได้ว่าลูกน้องแต่ละคนนั้น รับผิดชอบในเรื่องอะไรและมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างไรบ้าง ในการสร้างทีมเวิร์คนั้น ผู้แต่งกล่าวว่าปัจจัยที่มักจะก่อให้เกิดความล้มเหลว คือผู้ร่วมงานไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
2. มีหลักการประจำใจ 3 ประการ ได้แก่
2.1 มีจิตใจฝักใฝ่ต่อจริยธรรมคุณธรรม (Ethos) ทำสิ่งที่ถูกต้องให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้างว่าเขาจะมีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม เมื่อมีคุณธรรม จิตใจของเราจะเข้มแข็ง ไม่หวั่นต่อคำสรรเสริญหรือคำนินทา
2.2 การแสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Pathos) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องหัดเป็นผู้ฟังที่ดี ยิ่งฟังมากย่อมยิ่งเข้าใจอีกฝ่ายว่าเหตุใดเขาจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา และที่สำคัญคือต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง เพราะในโลกนีไ้ม่มีใครสมบูรณ์แบบ และอย่ามั่นใจนักว่าสิ่งที่เราเห็นหรือได้ยินนั้น จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
2.3 การพยายามใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ (Logos) ก่อนจะลงมือทำสิ่งใดต้องมองให้เห็นถึงผลที่จะตามมาก่อน เมื่อรู้แล้วจึงจะเลือกได้ แต่การกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ จะต้องอาศัยสภาวะจิตที่สงบและเบาสบาย จึงจะมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
3. เคารพและให้เกียรติมนุษย์ด้วยกัน (Power of Win-Win Thinking) ทำได้ง่ายๆ โดยการหยุดคิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเสียก่อน รู้จักให้เกียรติผู้อื่นบ้าง ถ้าทำได้ทุกคนที่เราจะต้องร่วมงานด้วย เช่น หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง จะรู้สึกดีที่ได้ทำงานร่วมกับเรา ชื่อเสียงและภาพพจน์ที่ดีก็จะเริ่มแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ จะมีผู้คนรักใคร่เมตตา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างบุญญาบารมี
4. ดูแลและชี้แ้นะลูกน้องให้ทำงานตามภารกิจให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี 4.1 หัวหน้าที่ดีจะต้องถ่อมตนและเห็นความสำคัญของลูกน้องอยู่เสมอ 4.2 มอบหมายงานตรงตามความสามารถของลูกน้อง 4.3 ไว้ใจและให้โอกาสลูกน้องในการแสดงความสามารถ 4.4 บอกเป้าหมายของงานและกำหนดระยะเวลาได้อย่างแน่ชัด 4.5 ให้คำปรึกษาตลอดเวลาเมื่อมีปัญหาในการทำงาน 4.6 สนใจผลของงานมากกว่าขัน้ ตอนการทำงาน 4.7 สามารถดึงเอาศักยภาพของลูกน้องออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม คือสามารถสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าตนเองมีค่าและมีความสำคัญต่อองค์กร
Create Date : 24 เมษายน 2551 |
|
9 comments |
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 14:19:46 น. |
Counter : 1082 Pageviews. |
|
|
|
สบายดีนะคะ