|
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 20
บทที่ 20
ณ บ้านร้างอันเป็นที่ซ่อนตัวของมารโลหิต
อันตำนานเล่าขานกันไว้เนิ่นนานว่า เมื่อยามใดที่คัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรปรากฎขึ้นในยุทธภพ ความวุ่นวายอันอาจกลายเป็นหายนะจะก่อเกิด ซึ่งสัมพันธ์กับกระบี่หยกน้ำเงินที่จะหวนคืนกลับเพื่อมาหยุดยั้งเรื่องเลวร้าย
มิคาดช่วงเวลาแห่งตำนานนั้นจะย้อนกลับคืนสู่ยุทธ์ภพรวดเร็วเช่นนี้ โดยสิ่งที่ยืนยันเป็นหลักฐานได้ดีย่อมเป็นการเผอิญหน้ากันครั้งนี้ของมารโลหิต และ ผู้สืบทอดกระบี่หยกน้ำเงิน
มิคาดผู้สืบทอดกระบี่หยกน้ำเงินเป็นหญิง มารโลหิตกล่าวต่อหญิงสาวผู้งดงามราวเทพธิดาในชุดนักรบรัดกุม สพายกระบี่ด้านข้างเอวซ้ายขวาด้านล่ะสามเล่ม ในมือกุมกระบี่หยกสีน้ำเงินไว้แน่น
มารร้าย เจ้าจะทำลายชีวิตตนเองหรือจะให้ข้าเป็นผู้กระทำ ผู้สืบทอดกระบี่น้ำเงินกล่าวองอาจ
แม่นางน้อยช่างมั่นใจไม่ธรรมดา มิทราบคุณหนูมีนามว่าอะไร มารโลหิตกล่าววาจาสุภาพ
เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านก่อนตาย ข้าพเจ้ามีนามว่าเหวินฟาง พอกล่าวจบเซียนหญิงก็ยกกระบี่หยกน้ำเงินอยู่ในท่วงท่าเตรียมเข้าประมือแล้ว
เป็นเกียรติที่ได้พานพบ สิ้นคำกล่าวของมารโลหิต มันก็เดินพลังปราณอย่างรุนแรงไม่คิดผ่อนรั้งเสมือนรู้ว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่ธรรมดา
พลังปราณมารพิษสีดำได้กระจายตัวจากมารโลหิตแผ่ขยายไปทั่วห้องนี้นับว่าน่าตื่นกลัวมากแล้ว แต่แม่นางน้อยเบื้องหน้าหาได้ตื่นตระหนกไม่ กลับเดินเข้าใกล้วงรัศมีของพิษร้ายอย่างไม่ตื่นกลัว
รับมือ!!! สิ้นคำกล่าวนางก็ฟาดกระบี่หยกน้ำเงินเป็นแนวยาว รัศมีกระบี่สีฟ้าตัดขาดอากาศธาตุแยกปราณพิษดำออกเป็นทางทันที และพลังกระบี่นั้นก็พุ่งจี้เข้าใส่มารโลหิตอย่างรวดเร็วเหนือชั้น
ร้ายกาจ มารโลหิตดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน พลันรีบเอี้ยวตัวหลบอย่างสุดแรง แต่ก็สุดจะหลบได้ทั้งหมดสิ้น เพลงดาบนี้เรียกเลือดจากต้นแขนมันไปแล้ว
มิคาดพลังปราณมารพิษกลับแพ้ทางพลังกระบี่หยกน้ำเงิน เมื่อรู้เช่นนี้มันจึงเปลี่ยนแปลงแก้ไขใช้ออกด้วยท่าเท้าท่องแดนอสูรเคลื่อนตัวไร้ร่องรอย พุ่งเข้าโจมตีเซียนหญิงจากทั่วทิศทั่วทางด้วยความเร็วสุดประมาณที่แม้นแต่ผู้ใช้ยังยากจะควบคุม
แต่ทุกจังหวะที่กรงเล็บของมันจะถึงตัวนาง ก็มีกระบี่เหล็กเนื้อดีออกมาปัดป้องขัดขวางไว้โดยตลอด ไม่ว่ามารร้ายจะบุกจู่โจมเข้าที่ทางใดก็ตาม นี้นับว่าเหลือเชื่อมากแล้ว นางทำได้อย่างไรกัน?
มันจึงได้แต่ถอนตัวออกมาประเมิณสถานการณ์ และสุดจะคาดสิ่งที่มันเห็นก็คือกระบี่สี่เล่มที่บินเวียนวนรอบตัวนาง
วิชาควบคุมกระบี่ล่องลอย มิคาดมีจริง มันกล่าวอย่างตื่นตะลึง
ควบคุมกระบี่เหิน!!! นางกล่าวก่อนจะบังคับกระบี่อีกสองเล่มที่สพายเอวซ้ายขวาให้ล่องลอยออกมาบินวนร่วมกับอีกสี่เล่มที่วนเวียนเสมือนคุ้มกันผู้ใช้
มิคาด ชีวิตข้าจะได้เป็นผู้ร่วมพิสูจน์ว่า ควบคุมกระบี่ล่องลอย กับ เปิดวิถีมารฟ้า ใครจะเหนือกว่ากัน พอมารโลหิตพูดจบก็เร่งพลังปราณพิษสีดำอีกครั้ง แต่ครานี้มันรุนแรงยิ่งกว่าทุกครั้งเสมือนพิษร้ายสีดำกระจายออกจากทุกขุมขนของมันเลยทีเดียว
เปิดวิถีมารฟ้า!!! สิ้นคำกล่าวมารโลหิตก็ทยายร่างขึ้นฟ้าพร้อม ๆ กับไอพิษที่ตามติดรอบตัวมันประดุจมังกรดำทะยายพ้นน้ำ ก่อนจะกางแขนประดุจสยายปีก
ณ วินาทีนั้นเอง ก็เป็นอู๋จิงที่สัมผัสพลังปราณของการต่อสู้ได้ รีบกลับเข้าไปที่ห้องโถงทันทีก่อนจะเห็นเสมือนมังกรดำสยายปีก ที่เผอิญหน้ากับเซียนกระบี่หญิงซึ่งมีกระบี่เหิน ล่องลอยเรียงเป็นแนวรบดุจหงสา
นี้มันอะไรกัน อู๋จิงจ้องมองวิชาชั้นเซียนอย่างตะลึงงัน
ควบคุมกระบี่เหิน เหวินฟางกล่าวจบ กระบี่ทั้งหกเล่มก็พุ่งตรงเข้าไปหามารโลหิตทันที
วิถีมาร ถล่มฟ้า!!! มารร้ายตวัดวาดกรงเล็บเหินร่างดุจพญามังกรดำพุ่งเข้าหาเซียนหญิงอย่างไม่เกรงกระบี่บินที่เข้าขวางเลยแม้แต่น้อย และก็เป็นดั่งมันคาดกระบี่หกเล่มที่โฉบบินเข้าทิ่มแทงหาได้ทะลุผ่านม่านพลังปราณสีดำไม่
เหวินฟางจ้องมองวิชามารอย่างตื่นตะลึงเหนือคาด คิดไม่ถึงว่าวิชามารจะแก้กล้าเพียงนี้ ยามนั้นเธอต้องกระโจนหลบถอยหลังหนีรัศมีการโจมตีของกรงเล็บมารที่ทำลายกำแพงพนังห้องพังง่ายดายดุจปุยนุ่น นางเลือกหนีออกไปนอกห้องรับแขกจนถึงสวนหลังบ้านแทนที่ แต่มิเพียงหนีเปล่านางยังคงเคลื่อนไหวสองแขนบังคับกระบี่ทั้งหกของนางให้เหินติดตามโจมตีทิ่มแทงมารร้ายต่อเนื่อง
พลังปราณมารพิษสีดำ ช่างแข็งแกร่งจริง ไม่ว่านางจะบังคับกระบี่บินโจมตีอย่างไร ตำแหน่งใด ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านม่านพลังสีดำเข้าไปหามารโลหิตได้ หรือคงมีเพียงกระบี่หยกน้ำเงินกระมังที่ต่อกรได้
ผู้สืบทอดกระบี่หยก ใยหนีเป็นโจรจรจัด มารโลหิตตะโกนลั่น พร้อมทั้งวาดกรงเล็บปลดปล่อยพลังปราณตัดอากาศออกไป พลังนั้นคมกริบยิ่งกว่าเพลงกระบี่ใดใด ยามพลังนั้นลากผ่านสิ่งใดก็ตัดขาดสิ้น ต้นไม้ใหญ่ในสวนพลันขาดกลางง่ายดายเพียงเพราะมันขวางทางวิ่งของการโจมตีนั้น
แม้นพลังกรงเล็บรุนแรงร้ายกาจจะบุกเข้าใกล้ ผู้สืบทอดกระบี่หยกก็ยังไม่เสียสมาธิ ร่ายรำกระบี่หยกน้ำเงินฟาดฟันสลายพลังปราณพิษไปได้ อีกทั้งยังคงมีสมาธิควบคุมหกกระบี่บินให้โจมตีไม่ท้อถอย
นี้มันเซียนสู้กันเสียแล้ว อู๋จิงที่เฝ้าดูได้แต่ตื่นตะลึงงันท่าเดียว
รับมือข้า มารโลหิตครานี้ทะยานเข้าหาเต็มกำลัง วาดสองมือโอบกรงเล็บสร้างพลังปราณขนาดยักษ์เข้ากดดันเซียนหญิงอีกครั้ง ครานี้ปราณพิษเคลื่อนตัวยิ่งใหญ่ดุจคลื่นสมุทรยักษ์ยากจะหนีได้ง่าย
กลับมาหกกระบี่ เหวินฟางเรียกหกกระบี่กลับมาหาผู้ใช้ ยามนี้เธอเริ่มเกรงวิชามารอย่างช่วยไม่ได้
เป็นตายฟ้ากำหนด เธอกล่าวเรียบเฉียบ สีหน้ามิสู้ดีนัก และเธอก็ย่อมรู้ว่าทางเลือกมีไม่มากเท่าใด
ประสานกระบี่บิน เธอบังคับชี้ปลายกระบี่บินทั้งหกให้เพ่งเล็งไปที่จุดเดียว
กระบี่เทพเหินเมฆา เธอทุ่มพลังปราณทั้งหมดสิ้นบังคับกระบี่ทั้งหก ให้เหินบินพร้อมเพียงรวดเร็วเป็นแสงสีเงินประดุจหอกสวรรค์ทั้งหก พุ่งไปยังจุดเดียวกันอย่างแม่นยำ อีกทั้งตัวเหวินฟางเองก็ทะยายเหินร่าง ร่ายรำเพลงกระบี่หยกน้ำเงินเข้าปะทะด้วยพลังที่มีทั้งหมดอีก
ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ มารโลหิตทุ่มสุดกำลังประสานสองกรงเล็บและปราณพิษทั้งหมดทั้งมวลเตรียมเข้าต้านทานหกกระบี่อย่างเต็มที่
บัดนั้นเสียงปะทะของพลังดังกึกก้องไปทั่ว หกกระบี่แตกหักกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแต่ทว่าหน้าที่ของมันก็ได้บรรลุแล้ว ม่านพลังปราณมังกรพิษสีดำได้แตกกระจายเป็นช่องให้เหลือเพียงพอที่คมกระบี่หยกน้ำเงินจะพุ่งเข้าดวลตัวต่อตัวกับกรงเล็บมาร ยามนี้ผู้ใดได้เปรียบยากจะบอก เป็นตายฟ้ากำหนด
อู๋จิงผู้สังเกตุการณ์ได้แต่มองตาค้าง การต่อสู้เช่นนี้นับเป็นระดับสูงที่เค้ามิอาจเอื้อมไปถึงได้ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงจ้องมองผ่านม่านฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายหลังการโหมกระหน่ำการโจมตีแบบสุดขั้วของสองยอดยุทธ์
และเมื่อฝุ่นควันค่อยๆ จางลง ภาพที่เขาเห็นก็เป็นภาพการปิดฉากของศึกครั้งใหญ่ เงาของกระบี่หยกได้เสียบทะลุตัวของมารโลหิตไปในขณะที่กงเล็บมารของมันก็เหมือนดูคล้ายทะลุผ่านร่างของเซียนหญิงเช่นกัน
ท่านอา อู๋จิงตะโกนเรียกมารโลหิตด้วยสรรพนามที่ใกล้ชิด ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า แม้นมารโลหิตจะเป็นฝ่ายมาร แต่อู๋จิงมองเห็นส่วนลึกแล้วภายในภาพลักษณ์นั้น ซึ่งแท้จริงแล้วมารโลหิตกลับนับว่าเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง
อู๋จิงรีบวิ่งเข้าไปใกล้นักบู๊ทั้งสองคนอย่างใกล้ชิดจนเห็นเป็นชัดเจนว่า คมกระบี่หยกนั้นได้เสียบทะลุกลางตัวมารอย่างเฉียบขาด แผลฉกรรจ์ยากจะรอดได้ จากนั้นหนุ่มน้อยจึงลากสายตาไปมองฝ่ายหญิงบ้าง สิ่งที่เห็นกลับต่างออกไป กรงเล็บมารนั้นมิใช่ทะลุผ่านร่างไป แต่เพียงได้ผ่านช่องว่างใต้รักแร้ไปเท่านั้นเอง
เมื่อรู้ผลว่าผู้ที่พ่ายแพ้เป็นใครอู๋จิงจึงหันกลับไปหามารโลหิตเพื่อดูใจเป็นครั้งสุดท้าย
ท่านอา อดทนไว้
อู๋จิง เจ้าอย่าลืมสัญญาเรื่องส่งคืนมีดบิน ในใจของเขาเป็นห่วงเพียงสิ่งอื่นนอกจากชีวิต
ข้าพเจ้าไม่ลืม อู๋จิงกล่าว
ชีวิตอันผ่านมาเนิ่นนานนี้ รอเพียงการตายที่คู่ควรเท่านั้น เมื่อพลาดพลั้งเข้าสู่วิถีมารแล้ว คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจะหวนกลับคืนฝั่งได้ มารโลหิตรำพึงก่อนตาย
ในใจแม่นางเหวินฟางย่อมถือว่าการกำจัดผู้สืบถอดวิชามารเป็นภารกิจที่มิอาจหลีกเลี่ยง แต่กระนั้นแววตาของนางก็ยังคงสับสน เสมือนย้อนถามตัวเองว่าครั้งนี้พลาดพลั้งผิดไปอย่างไรหรือไม่
วินาทีแห่งความเป็นความตายในการดวลเมื่อครู่นั้น ในแววตาของนางเห็นได้ชัดเจนว่ากงเล็บมารของศัตรูที่กำลังพุ่งเข้าหาจุดตายที่หัวใจ ได้เบี่ยงหลบเป้าหมายอย่างไร้เหตุผล คล้ายกับมันไม่ต้องการชีวิตนางก็ว่าได้ หรือว่ามันเพียงรอการตายอันคู่ควรจริงๆ เหวินฟางได้แต่สับสนในใจแสดงออกในแววตา
เซียนน้อย มารโลหิตกล่าวเรียกเหวินฟางก่อนที่นางจะตื่นจากภวังค์ไปหันมอง
แม่นางตอนนี้ยังไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ โปรดเลี่ยงผู้ที่ท่านกำลังค้นหา
คนที่ข้ากำลังค้นหา ข้าเลี่ยงไม่ได้ หากเพียงข้าตาย ก็เสมือนเพียงหนึ่งดอกไม้แห้งเหี่ยวไป เซียนหญิงตอบ
ท่านอาแข็งใจไว้ อู๋จิงเริ่มเห็นใบหน้าของมารโลหิตค่อย ๆ ซีดเผือดไปทุกที ๆ
อู๋จิง ภายภาคหน้าเจ้าต้องมีความสำเร็จไม่ธรรมดาแน่ นับเป็นเกียรติของข้าที่ได้เจอเจ้า สิ้นคำกล่าวของมารโลหิต มันก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบเหลือเชื่อ ผิดกับมารร้ายอื่นใดที่เมื่อยามสิ้นจะดิ้นรนตายอย่างทรมาณ
อาจารย์ท่านไปสบายเถอะ อู๋จิงเอ่ยเรียกมารโลหิตด้วยน้ำเสียงโศกเศร้ายิ่งนัก ในส่วนลึกของเด็กหนุ่มนามอู๋จิงเคารพทุกสิ่งบนโลกเป็นอาจารย์สอนตน และยิ่งมารโลหิตที่เคยสอนมีดบินให้แล้ว เขาย่อมแอบนับถือมันอยู่ไม่น้อย
มันเป็นอาจารย์เจ้าหรือ เซียนหญิงกล่าว
ใช่ ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น แม้นท่านอาผู้นี้จะไม่เคยนับข้าว่าเป็นลูกศิษย์ อู๋จิงกล่าวด้วยแววตาที่รันทดยิ่ง ก่อนจะหันไปมองเซียนหญิงเหวินฟางแล้วกล่าวตอบโต้ไปว่า
เจ้ามันไร้หัวใจไม่รู้จักแยกแยะ ผู้ฝึกวิชามารใช่จะต้องมีจิตใจเป็นมารเสียทุกคนเมื่อไร
แต่ยามนั้นเซียนหญิงดูคล้ายจะไม่ฟังคำกล่าวของเด็กหนุ่มใด ๆ นางมองเขาด้วยสายตายที่จริงจังก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
ถ้าเจ้าเป็นศิษย์มัน ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าด้วย
บัดซบ เจ้ามันไร้สำนึกเกินไปแล้ว อีกทั้งไม่รู้จักแยกแยะ อู๋จิงกล่าวน้ำเสียงเกรียวกราด
สำนึกอะไรกัน แยกแยะอะไรกัน ผู้ใดฝึกวิชามารย่อมต้องถูกทำลายไปสิ้น
ไร้จิตสำนึกสิ้นดี วัดคนเพียงเปลือกนอก ข้าพเจ้าจะหยุดท่านตรงนี้เอง อู๋จิงกล่าวก่อนจะชักดาบดำเตรียมรับศึก
เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทาง นางชักกระบี่หยกน้ำเงินเตรียมรับมือเช่นกัน
จบสิ้นบทสนทนาอู๋จิงก็ฟาดดาบสีดำสีขี้เถ่าออกด้วยพลังทั้งมวล เพลงดาบนี้ยิ่งนับว่าร้ายกาจขึ้นมากหากจะเทียบกับเมื่อตอนผลัดจากตัดกระบี่มา
ไม่เบา เหวินฟางรับดาบดำด้วยกระบี่หยก เสียงปะทะดังกึกก้องสนั้น จนมือนางต้องสั่นเทา
เตรียมรับมือ อู๋จิงไม่หยุดยั้งง่าย ๆ ร่ายรำดาบยักษ์สีดำตวัดไปมาตัดอากาศบังเกิดเสียงประดุจลมพายุพัดโหมกระหน่ำ แต่เซียนหญิงนั้นย่อมหาใช่บุคคลธรรมดาไม่ เมื่อรู้ว่ากำลังปราณเด็กหนุ่มไม่อาจดูเบาได้จึงเปลี่ยนกลยุทธ์เพียงหลบหลีกอย่างสวยงามด้วยท่าเท้าที่ประดุจการร่ายรำ
เพียงพริบตานางก็หนีออกจากวงต่อสู้ไปได้ แต่อู๋จิงก็ถือว่าพัฒนาฝีมือยุทธ์ไปมากพลันโยกเปลี่ยนจังหวะหันกลับไปใช่ทวนในมือซ้ายที่แทงเข้าหาเป้าหมายให้นางเซียนต้องตวัดกระบี่ปัดป้อง
ใช้สองศาสตรารึ นางกล่าวก่อนจะดีดตัวถอยห่างคมทวน ซึ่งก็นับว่าแปลก ที่ฝีมือระดับนางใยยังไม่คิดตอบโต้
พริบตาที่นางหนีห่างออกรัศมีทวนไป ชายหนุ่มพลันปักดาบฝังดินเปลี่ยนเลื่อนมือไปหยิบมีดบินข้างกาย
มันใช้สามศาตรา!!! เหวินฟางเริ่มตื่นตัวมากขึ้นแล้ว ประมาทมิได้แล้ว
มีดบินวิหกเหิน อู๋จิงใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาสุดยอดมีดบิน ประกอบกับยิ่งใช้ออกด้วยมีดวิเศษแล้ว คมมีดที่เหินเข้าหาเหวินฟางจึงเร็วเหนือล่ำยิ่ง เพียงวินาทีที่เห็นอู๋จิงปล่อยมีดจากมือ นางรู้สึกตัวอีกครั้งมีดบินนั้นก็ประชิดตัวมากแล้ว นางเอี้ยวหลบอย่างสุดตัวและรอดไปได้อย่างหวุดหวิด วินาทีนั้นเองย่ำเตือนว่านางว่า มิสามารถเพียงต้านรับอย่างเดียวได้แล้ว
ควบคุมกระบี่เหิน พริบตาเดียวกันนั้น ปลายคมกระบี่ที่แตกหักเรียงร่ายบนดินทั้งหกก็เหินร่างจากพื้นพุ่งเข้าโจมตีอู๋จิงทันทีดุจพญาเหยี่ยวเปลี่ยนวัตถุเป็นคล้ายสิ่งมีชีวิต นี้นับว่าเป็นวิชาเซียนที่แท้จริง
บ้าที่สุด อู๋จิงจ้องมองตะลึงงันร่ายรำเพลงดาบ เพลงทวนทั้งสองมือ เข้าต้านรับคมกระบี่ทั้งหกที่ทั้งพุ่งเข้าหาดุจมีชีวิต ร่ายรำโจมตีดุจมียอดยุทธ์ใช้อยู่
เช่นนี้สองมือจะสู้หกกระบี่ได้อย่างไร อู๋จิงเพียงปัดป้องไปได้ไม่เนิ่นนานก็ต้องเหนื่อยล้า ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้ว
หกกระบี่นี้ทั้งเร็วทั้งแม่นยำ ตัวข้ายิ่งต้านยิ่งเหนื่อล้า เช่นนี้ต้องเผด็จศึกให้เร็วพลัน
หนึ่งดาบปราบสิบ อู๋จิงใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาของตัดกระบี่ วาดดาบด้วยพลังปราณเต็มขั้นปัดป้องกระบี่ทั้งหกให้พ้นทางก่อนจะพุ่งทะยานตัวเข้าหา เหวินฟาง อย่างเด็ดเดี่ยว
ปลายคมทวนพุ่งจี้เข้าหาลำคอของนางอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ทว่าเช่นนั้นนางก็ยังคงยืนนิ่งอย่างสบายอารมณ์ สองมือกอดอกอย่างไม่ใยดีคมอาวุธเบื้องหน้า และพริบตาเดียวก่อนที่คมทวนจะถึงคอหอยคอนาง มันก็ต้องหยุดนิ่งทันทีด้วยว่า อู๋จิงผู้ใช้ต้องหยุดนิ่งไม่สามารถขยับตัวได้
ร้ายกาจ อู๋จิงกล่าวน้ำเสียงเจ็บแค้น จุดตายทั้งหกบนร่างต่างถูกจี้ไว้ด้วยคมกระบี่บินแล้ว หากเขาเคลื่อนไหวอีกเพียงนิด ปลายคมกระบี่บินย่อมทิ่มแทงให้ดับสูญ
ในเมื่อเจ้าไม่รู้วิชามาร ข้าก็ไม่มีธุระอันใดกับเจ้าอีกต่อไป ที่แท้ที่นางไม่ตอบโต้ในตอนแรกเพื่อจะรอดูว่าอู๋จิงรู้วิชามารหรือไม่ และเมื่อไม่ใช่นางจึงหันหลังจากไปและปลดปล่อยพันธนาการกระบี่บินจากจุดตายของอู๋จิง
นางเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบผ้าคลุมยาวพร้องทั้งหมวกปิดหน้าใบกว้างเตรียมตัวจะออกเดินทางต่อไป แต่วินาทีนั้นก็ต้องหยุดเหลียวมามองที่ด้านหลัง
เจ้าตามข้ามาทำไมกัน นางกล่าว
ที่นี้มันบ้านเจ้าหรือไง ทำไมข้าจะเดินไปทางนี้ไม่ได้ อู๋จิงเถียง แต่พอนางเดินห่างจากบ้านร้างไปได้อีกสักหน่อยก็ต้องมองย้อนหลังกลับมาอีกครั้ง
เจ้าตามข้ามาทำไมกัน
ที่นี้ที่ดินของเจ้าหรือไงกัน ทำไมข้าจะเดินทางนี้ไม่ได้ นางได้ฟังคำเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็ชักเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
เจ้าต้องการอะไรกัน
ข้าเชื่อว่ายังมีผู้ฝึกวิชามารอีกหลายคนที่ไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายเช่นท่านอา เพราะฉนั้นข้าจะตามเจ้าไปทุกแห่ง หากข้าเห็นเจ้าคิดทำลายผู้ใดที่ไม่สมควรข้าก็จะขัดขวางทันที
น่าสนใจดี นางยิ้มที่มุมปากและด้วยความที่อยากจะพิสูจน์ว่าความคิดเด็กหนุ่มนั้นไม่ถูกต้อง นางถึงยอมปล่อยให้อู๋จิงตามติดสืบไป และเมื่อคิดเห็นเป็นเช่นนั้นเธอก็หันหน้าเดินทางต่อไปอย่างไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น
Create Date : 06 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2550 17:05:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 605 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|