Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
19 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
มาร ฟ้า เทพ หิมะ (นิยายจีน) บทที่ 3

บทที่ 3

ณ ป่าไผ่ ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองลั่วหยางไปเพียงเล็กน้อย

ณ ป่าไผ่ซึ่งสงบเงียบและร่มเย็น อีกทั้งแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านใบไผ่เป็นริ้วๆ ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้น่าชื่นชมยิ่ง อีกทั้งใบไผ่มากมายที่ค่อยๆ ร่วงหล่นตามแรงลมหมุนพริ้วไหวกลางอากาศยิ่งเสริมเด่นให้น่าดูชม เพียงแต่ ณ ตรงนั้นยังคงมีอีกสองคนที่หันปลายคมของอาวุธเข้าหากัน

ชายผู้หนึ่งอยู่ในชุดสีเทาเรียบ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นศิษย์สำนักเทพกระบี่แดนใต้ ชายผู้นี้อายุประมาณยี่สิบได้ รูปร่างสูงโปร่ง ไว้ผมดำยาวปล่อย ใบหน้าดูหล่อเหลาในแบบผู้ดีที่มีปัญญา นับว่าดูเป็นสุภาพชนยิ่ง เขาหันกระบี่ตรงไปยังชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยเทียบเคียงกันซึ่งหันปลายทวนเข้าหา อีกทั้งแต่งชุดสีแดงสลับขาวแสดงให้เห็นว่าเป็นคนของสำนักคุ้มภัย ทวนพยักษ์ ชายหนุ่มผู้นี้ รูปร่างสูงใหญ่สมเป็นชาวบู๊ ผมเผ้าเป็นสีออกแดงดำไม่สั้นไม่ยาวแต่ดูรุงรัง ใบหน้าคมเข้มดุดัน ทว่าดูจริงใจ

ทั้งคู่ต่างชี้ปลายคมอาวุธเข้าหากันอย่างแน่วแน่ แต่ยังไม่มีผู้ใดขยับจนกระทั้ง ณ เมื่อใบไผ่หนึ่งปลิวร่วงผ่านหน้า ตรงกลางระหว่างสองคน

“รับมือ” ชายหนุ่มถือทวน ควงทิ่มแทงทวงไม่ยั้ง ในตำแหน่งที่แตกต่างกันแต่ว่าล้วนเล็งจุดสำคัญสิ้นในขณะที่ชายถือกระบี่ไม่ลนลานใช้กระบี่ปัดรับอย่างเรียบง่าย สลัดปลายทวนให้พ้นภัยไปอย่างไม่ลำบาก

“รับมือ” ครานี้เป็นชายหนุ่มผู้ดีกล่าวขึ้นบ้าง พร้อมทั้งเปลี่ยนรับเป็นรุก จากปัดป้องเป็นจู่โจม วาดกระบี่ฟันขวางสลับจู่โจมซ้ายขวาอย่างเรียบง่ายแต่ว่ารวดเร็วนัก

ฝ่ายมือทวนรับปัดป้องสลับซ้ายขวาอย่างรวดเร็วด้วยด้ามทวนง่ายดาย แต่สุดจะคาดฝ่ายมือกระบี่กลับยิ้มรับอีกทั้งเพิ่มระดับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำเอามือทวนรีบเร่งต้องปัดป้องให้ดูมั่วไปหมด สุดท้ายมือทวนจึงต้องละถอยหนีเงากระบี่ที่ฟาดฟันตามติด แต่นั้นยังไม่ดีพอ

เงากระบี่เปลี่ยนจากฟาดฟันเป็นพุ่งเข้าทุ่มแทง ติดตามผู้ล่าถอยอย่างฉับไว้ พริบตามือทวนต้องรับมือไปถอยไปกว่ายี่สิบเก้า ท้ายที่สุดก็ถูกจี้จนเซไร้หลักเตรียมล้มครือ

แต่เหตุการณ์หาใช่ธรรมดาไม่ มือทวนผู้ร้ายกาจกลับอาศัยจังหวะเซนั้นวาดเท้าเตะกวาดเอาฝุ่นดินจากพื้นพุ่งเข้าจู่โจมไปที่ดวงตาของศัตรู อีกทั้งอาศัยปลายทวนค่ำยันพื้นพยุงร่างไม่ให้ล้มครือ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังเสียจังหวะด้วยว่าฝุ่นเข้าตา

“บัดซบ วิชานอกรีต” ชายุหนุ่มผู้ดีกล่าวทั้งที่มองไปด้านหน้าได้ไม่ชัดเจนแจ่มใส

มือทวนไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไป นอกจากจะใช้ปลายทวนพยุงร่างซ้ำยังถ่ายพลังลงไปช่วยให้มันดีดตัวพุ่งโจมตีทิ่มแทง ประกายทวนนับสิบเข้าจู่โจมทันควัน

แม้นมือกระบี่จะมองเห็นภายหน้าไม่ชัด แต่กลับไม่เปิดจุดอ่อนโดยง่ายร่ายรำเพลงกระบี่ปัดป้องเป็นวงกว้าง อีกทั้งพยายามดีดตัวหนีจากระยะปะทะให้จงได้
แต่ประกายเงาทวนกลับติดตามโหมกระหน่ำรุนแรงไม่ลดละ

“ทิ้งกระบี่ซะ” มือทวนรวมพลังปราณไว้เพียงแขนขวา สบัดหมุนวนทวนเป็นพลังคลื่นพลังหมุนควงกระหน่ำรุนแรง แม้นยามนั้นมือกระบี่จะกลับมามองชัดอีกคราแต่พอได้ใช้กระบี่ต้านรับ กระบี่นั้นก็โดนพลังวัตรกระแทกจนกระเด็นหลุดมือไปในทันที

พริบตาแห่งชัยชนะปลายทวนพุ่งติดตามเข้าหาผู้ใช้กระบี่ทันใด แต่มือกระบี่นั้นกลับยังไม่หวั่นไหวยอมแพ้ เดินลมปราณถ่ายพลังลงแขนขวา วาดดรรชนีจู่โจมแก้ไข

“เปลี่ยนดรรชนีเป็นกระบี่”

พริบตาก่อนที่ปลายทวนจะถึงตัว ฉับพลันดรรชนีของมือกระบี่ก็วาดผ่านตัดอากาศเป็นเสียงประดุจกระบี่คม พริบตาด้ามไม้ใกล้ปลายทวนก็ถูกตัดขาดสิ้น ทำเอาปลายทวนร่วงหล่นดินไร้ท่า

“อะไรกัน” ไม่ทันที่มือทวนจะหายตะลึงงัน ปลายนิ้วดรรชนีของมือกระบี่ก็ปราดมาหยุดจ่ออยู่ตรงคอหอยของมือทวนเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเสียงกล่าวดังจากวงนอก

“พี่ใหญ่ชนะอีกแล้วใช่หรือไม่?” เป็นเสียงกล่าวดังจากผู้สังเกตการณ์อีกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เพียงว่าประหลาดยิ่งที่ผู้สังเกตุกาณ์ผู้นี้ไม่ได้แม้นแต่จะลืมตามอง เขาเป็นชายหนุ่มในชุดชาวบ้านธรรมดา รูปร่างสูงทว่าดูบอบบาง ผิวขาวราวสาวน้อยอีกทั้งใบหน้าที่ดูจะเรียบร้อยใสซื่อ เขาเพียงนั่งหลับตาคล้ายทำสมาธิอยู่บนหินสูงลูกหนึ่ง

“ใช่แล้วน้องเล็ก พี่ใหญ่ชนะเพราะขี้โกงใช้กระบวนท่านั้น ทั้งที่ก่อนแข่งก็บอกจะไม่ใช้แล้วแท้ ๆ” มือทวนกล่าวแทรก

“อะไรกัน ไม่ใช่เจ้าเหรอที่ใช้วิชานอกรีตเตะฝุ่นทรายใส่ตาข้าก่อน” พี่ใหญ่หรือมือกระบี่กล่าวก่อนจะละปลายดรรชนีออกจากคอน้องรองของตน

“ว่าแต่น้องเล็กรู้ได้ไงว่าใครชนะทั้งที่ไม่ลืมตามองด้วยซ้ำ” มือทวนกล่าว

“ข้าพเจ้าเพียงฟังเสียงปะทะก็ตอบได้แล้ว นี้หาใช่ครั้งแรกที่ท่านทั้งสองประลองฝีมือกันเสียมือไร หากนับไปมิใช่เกินพันครั้งแล้วหรือ?”

“ร้ายกาจจริง มีปัญญาสามารถเช่นนี้น่าเสียดายที่เจ้าไม่ฝึกยุทธ์” พี่ใหญ่กล่าว

“ฝึกยุทธ์มีแต่เจ็บตัว สู้นั่งทำสมาธิเช่นนี้มิไม่ นอกจากไม่เจ็บตัวแล้วยังช่วยทำให้จิตใจสงบ สบายอย่างยิ่ง” น้องเล็กกล่าวในขณะที่ยังคงนั่งสมาธิบนหินใหญ่และไม่แม้นจะลืมตา

“จำเมื่อครั้งที่พวกเรายังอายุเก้าขวบได้หรือไม่ เมื่อครั้งที่มีหลวงจีนประหลาดมาสอนน้องเล็กนั่งสมาธิและ ทำนายอนาคตพวกเราน่ะ” น้องรองหรือมือทวนกล่าว

“จำได้สิพี่รอง มันน่าตลกมิน้อย ตอนนั้นหลวงจีนบอกพวกเราว่า ยามใดเมื่อเห็นหิมะ ชะตาชีวิตจะนำทางให้หนึ่งในพวกเราไปสู่มาร อีกหนึ่งไปสู่เทพ อีกหนึ่งเป็นฟ้า ตอนนั้นพวกเรายังล้อกันอยู่เลยว่าใครจะเป็นมาร ฮะฮะฮะ” น้องเล็กกล่าวพร้อมทั้งลืมตาก่อนจะกระโดดกระโจนเข้าหาพี่ชายทั้งสอง

“แต่ไม่ว่าผ่านไปกี่ฤดูหนาวกี่หิมะ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ช่างไร้สาระยิ่งนัก” พี่ใหญ่กลับเขินทุกครั้งเมื่อนึกย้อนถึงตัวเองตอนเด็ก

ฉับพลันคนรองไม่ทราบนึกอย่างไรกลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังต่อไปว่า

“ทว่า ณ ตอนนี้เพื่อเป็นยอดยุทธ์สร้างชื่อในยุทธภพ หากแม้นต้องเป็นมาร ฝึกคัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรข้าพเจ้าก็จะทำ” คำกล่าวเช่นนี้ทำเอาคนที่เหลือพากันเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเป็นน้องเล็กที่กล่าวขึ้นว่า

“เรื่องว่าคัมภีร์มารเปลี่ยนอสูรที่เคยหายสาปสูญได้กลับปรากฎขึ้นอีกครั้ง ย่อมเป็นข่าวลือแน่นอน มันไม่มีจริงหรอกพี่รอง” น้องเล็กกล่าว

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ข้าก็อยากเก่งยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้ อยากสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก อยากจะมีชื่อติดทำเนียบยอดยุทธ์ในงานจัดอันดับยอดยุทธ์ของสำนักกระจ่างแจ้งบ้าง” น้องรองกล่าวน้ำเสียงมุ่งมั่น

“ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องพยายามชนะพี่ใหญ่ให้ได้ก่อนนะ” พี่ใหญ่กล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะเดินมาตบไหล่น้องรองอย่างเอ็นดู

ชายหนุ่มทั้งสามคนนี้แท้จริงแล้วย่อมไม่ได้เป็นพี่น้องกันตามสายเลือดเป็นเพียงกลุ่มเด็กที่ถูกทิ้งไว้ด้วยกัน ทั้งสามล้วนมีอายุราวยี่สิบปีทั้งหมดโดยต่างเพียงแก่หรืออ่อนเดือนเท่านั้น โดยทั้งสามนั้นรู้เพียงว่าได้ถูกทิ้งไว้ที่หน้าวัดเก่าแก่ประจำเมือง และเจ้าอาวาสได้รับไปเลี้ยงจนเติบใหญ่ โดยที่ทั้งสามนั้นหารู้ไม่ว่าพวกตนนั้นได้มีดวงชะตาที่เป็นดาวข่มเจ้ามาร และเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะหยุดหายนะจากการหวนคืนของจ้าวมาร

พี่ใหญ่หรือคนที่แก่เดือนที่สุดได้ถูกเจ้าอาวาสตั้งชื่อไว้ว่า หวงเย่ว์ ส่วนคนที่สองได้ชื่อไปว่า อู๋จิง ในขณะที่น้องคนสุดท้ายนั้นได้ชื่อไปว่า หลินฟง


ณ ป่าไผ่อีกด้านหนึ่งของลั่วหยาง

ตัดกระบี่ ซึ่งได้เดินทางมาแต่ไกลบนหลังม้าเพื่อตามล่านางมารหิมะ โดยมีเพียงเบาะแสอันน่าเชื่อถือจากแหล่งข่าวของสำนักกระจ่างแจ้งซึ่งบอกต่อเขาเมื่อหลายวันก่อน

เขาควบม้าอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็หาได้เย็นใจไม่ โดยผ่านเข้ามาในป่าไผ่หลังจากได้ข่าวคืบหน้าจากคนในท้องที่ว่ามีผู้พบเห็นนางมารหิมะ

“ตรงนั้นมีคนยืนอยู่ คาดว่าไปถามทางน่าจะดี” ตัดกระบี่ มองเห็นชายผู้ชาวบ้านผู้หนึ่งยืนพึงก่อไผ่แต่ห่างจึงควบม้าเข้าหา

ทว่าเมื่อถึงตรงหน้าชายหนุ่มชาวบ้าน ตัดกระบี่ ก็ตกตะลึงงั้นยิ่งนักด้วยว่า ชายหนุ่มชาวบ้านผู้นั้นตัวซีดขาวไม่มีชีวิตอีกทั้งตามเนื้อตัวยังเหมือนมีเกร็ดหิมะคราบน้ำแข็งจับต้องตามตัวอีกต่างหาก ทั้งที่อากาศนั้นร้อนอย่างยิ่ง

“นี้มันอะไรกัน” แม้น ตัดกระบี่ ก็ยากจะรู้ได้ แต่ชั่วครู่ไม่นานนัก ตัดกระบี่ ก็พลันได้ยินเสียงตะโกนร้องเหมือนจะขาดใจดังขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของป่าไผ่ เขาจึงไม่รอช้ารีบขึ้นควบม้าตามไปยังต้นเสียงทัน

ภาพที่เห็นก็เป็นนางมารหิมะซึ่งกำลังใช้มือทั้งสองข้างจับข้อมือของชาวยุทธ์ผู้เคราะห์ร้ายผู้หนึ่งไว้ แต่เพียงใช่แค่จับเปล่าไม่ เธอได้ปล่อยพิษไอเย็นที่คั่งค้างทำร้ายเธอจากภายในซึ่งได้รับมาหลังจากพ่ายแพ้แก่มังกรเย็นให้ไหลผ่านไปยังชาวยุทธ์ผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นแทน

ร่างของผู้เคราห์ร้ายค่อยๆ เหมือนโดนเกร็ดหิมะ น้ำแข็ง ไอเย็นจับต้องเรื่อยๆ และในที่สุดเสียงร้องตะโกนลั่นเหมือนจะขาดใจก็เงียบหายไปเมื่อชายเคราะห์ร้ายนั้นสิ้นชีพไปด้วยพิษไอเย็น

“อำมหิตยิ่งนัก” ตัดกระบี่กล่าวก่อนจะชักดาบเลื่อยฟันปลาออกจากฝัก แล้วจึงดีดตัวออกจากหลังม้าขึ้นกลางอากาศแล้วฟาดฟันเป็นเป็นเงาดาบพลังปราณที่รุนแรงเข้าใส่มารหิมะทันที

“วันนี้ข้าจะลงทัณฑ์แกแทนสวรรค์เอง”

แม้นเงาดาบที่เปี่ยมพลังวัตรอันสูงส่งจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้นางมารน้อยเข้าไปทุกที แต่นางกลับไม่ตื่นตระหนึกร้อนใจ เพียงแต่ยิ้มเย้ยอย่างไร้เดียงสาก่อนจะวาดมือเปล่าใต้ถุงมือเงินเข้าขวางคมดาบ และชั่วพริบตานั้นเองนางก็ใช้ยอดวิชาซึมซับดึงดูดพลังวัตรนั้นมาก่อนจะถ่ายออกไปสู่มืออีกข้างหนึ่งแล้วใช้ออกด้วยดรรชนีโจมตีเข้าใส่ตัดกระบี่ที่ไร้ทางป้อง

“วิชามารอะไรกัน” ตะลึงงันสุดจะคาด ตัดกระบี่ครานี้ถึงกลับใจหายวาบ ดรรชนีของนางมารที่ใช้ออกด้วยพลังวัตรที่ยืมมาจากตัดกระบี่ช่างเฉียบคมยิ่งนัก อีกทั้งยังรวดเร็วตรงเข้าเล่นงานย้อนกลับ

ตัดกระบี่จะอย่างไรก็ได้ชื่อว่ายอดยุทธ์ย่อมไม่เพลี้ยงพล่ำในหนึ่งกระบวนท่าเพียงนี้แน่ เขารีบใช้ไหวพริบเอาตัวรอด ใช้อีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ชักกระบี่ที่สพายไว้ด้านหลังออกมาต้านรับดรรชนีนั้นอย่างรวดเร็ว

จะอย่างไรก็ดีพลังวัตรที่โจมตีย่อมอยู่ในระดับที่สามารถฟันกระบี่ให้ขาดได้ พริบตากระบี่ที่ชักมาขวางก็ขาดกลางอย่างง่ายดายอีกทั้งพลังดรรชนียังคงเหลืออยู่และแผ่พุ่งเข้าหา ยามนี้ตัดกระบี่จึงทำได้แต่เพียงรีบเบี่ยงหน้าหลบให้เร็วที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นสักทีเดียว แก้มซ้ายของเขาถูกบาดไปอย่างฉิวเฉียดเรียกเลือดให้หลั่งได้เพียงง่าย

“ประมาทมันเกินไป” ตัดกระบี่เมื่อรวมพลังได้ใหม่ก็รีบดีดตัวหนีออกห่างระยะปะทะทันที

“ชิ มันรอดไปได้” มารหิมะรำพึงในใจ ก่อนจะลอบกล่าวในใจต่อไปอีกว่า “นี้ถ้าไม่ใช่ว่าจังหวะถ่ายโอนพลังเกิดติดขัดด้วยพิษไอเย็นในตัวข้า ปานนี้มันคงเหลือเพียงร่างไร้วิญาณไปแล้ว”

ทว่าแม้นคิดเช่นนั้นมารน้อยกลับยิ้มให้พร้อมทั้งกล่าวอย่างชื่นชมชัดแย้งไปว่า

“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีนามสูงส่งว่าอันใด”

“อันตัวข้านามตัดกระบี่ มาเพื่อกำจัดนางมารเยี่ยงเจ้า”

“ตัดกระบี่” นางมารหิมะลอบกล่าวเสียงสูงทวนคำก่อนคิดต่อไปว่า

“หากเป็นชายผู้นี้ไม่แน่เราอาจถ่ายพิษไอเย็นออกไปจากร่างเราได้จนหมด”

หากจะกล่าวไปแล้วหลังจากวันที่มารหิมะได้สู้พ่ายแพ้ให้แก่มังกรเย็น ภายในร่างของนางก็เต็มไปด้วยปราณไอเย็นซึ่งทำร้ายนางจากภายใน ซึ่งเป็นปราณเย็นเกาะแข็งที่นางไม่สามารถขับออกโดยตรงได้นอกจากจะใช้พลังวัตรภายในถ่ายโอนไอเย็นไปยังผู้อื่นจากการสัมผัส ซึ่งนางก็พยายามทำมาโดยตลอดหากเพียงไม่สามารถพานพบผู้ที่มีร่างกายอันสามารถบรรจุปราณได้จำนวนมาก แต่หากผู้นั้นเป็นผู้มีพลังปราณสูงส่งเชกเช่น ตัดกระบี่ นางย่อมสามารถถ่ายพิษไอเย็นได้อย่างมากมายเป็นแน่

“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าใคร่จะขอคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโส เรื่องเพลงกระบี่เสียหน่อย เพราะได้ยินมาว่าท่านนั้นตัดกระบี่”

“ถ้าเจ้าใช้เพลงกระบี่ได้ก็เอาไป” ตัดกระบี่ไม่พูดพร่ำอีกต่อไปเขากระโดดลอยตัวขึ้นเหนืออากาศก่อนจะใช้มือซ้ายขวาสลับกันหยิบขว้างซัดมวลกระบี่ที่สพายอยู่ด้านหลังจนหมด พริบตาเดียวกระบี่เก้าเล่มก็พุ่งเข้าหานางมารอย่างดุเดือด

นางมารน้อยไม่ตื่นเต้นตระหนกแต่อย่างใดพลันเรียบเฉยคิดอ่านวางแผนต่อสู้ในใจว่า “พลังพิษไอเย็นที่อยู่ในร่างไม่รู้จะกำเริบขึ้นเมื่อไร ทางที่ดีต้องเอาชนะมันให้เร็วที่สุด”

นางมารน้อยที่ร้ายกาจไม่เคลื่อนที่เลยแม้นสักก้าวกลับเพียงเบี่ยงตัวหลบคมกระบี่อย่างฉิวเฉียดไปมาอย่างเหนือชั้นพริบตาเดียวกระบี่ทั้งเก้าก็เสียบเข้าเพียงพื้นดินเปล่า ๆ เท่านั้นเอง

“ตัดกระบี่ของศัตรูเพียงหนึ่งย่อมง่าย แต่จะตัดกระบี่ที่ใช้ออกทั้งเก้าย่อมเป็นไปไม่ได้” นางมารน้อยตัดสินใจพิสูจน์แพ้ชนะในคราเดียวนางโคจรพลังปราณชักนำกระบี่ทั้งเก้าลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะซัดออกไปด้วยพลังวัตรเกือบทั้งหมดสิ้นของนาง

ฉับพลันคมกระบี่ทั้งเก้าต่างพุ่งแหวกอากาศไปด้วยพลังวัตรที่สูงล้ำเข้าหาตัดกระบี่ แต่ตัวตัดกระบี่เองหาคิดถอยไม่ มันยังคงทะยานเข้าหานางมารน้อยหมายผ่าคมกระบี่เข้าไปปลิดชีพนางให้จงได้ ช่างไร้แผนสัปรายุทธ์สิ้นดี มันเหวี้ยงคมดาบเข้าฟาดฟันตัดกระบี่ที่พุ่งเข้าหาอย่างอาจหาญ

เสียงกระบี่แตกหักดังกึกก้องไปทั่วป่าไผ่ อีกทั้งเกิดเป็นลมพายุพัดเอาใบไผ่ปลิวไหวไปทั่ว กระบี่ที่หนึ่ง สอง และสามถูกเงาดาบตัดขาดไปสิ้น

“นี้มันอะไรกัน ทุกกระบี่ที่พุ่งเข้าหาเหมือนแฝงปราณที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย” ตัดกระบี่ลอบคร่ำครวญในใจ ในขณะที่เมื่อวงดาบของเขาเข้าปะทะกระบี่ที่สี่ก็พบว่ามือของตนนั้นสั่นครืนแทบทำดาบหลุดมือไปเลยทีเดียว เพราะปราณนางมารหิมะอันไม่ธรรมดา

“ไม่มีทาง” ตัดกระบี่ดึงพลังทั้งหมดวาดวงดาบต้านรับกระบี่ ห้า หก เจ็ด อย่างสุดกำลัง และแต่ละดาบที่ฟาดพันนั้นแทบพาเอากระดูกแขนของมันแตกไปเสียให้ได้

แต่เพียงงานของตัดกระบี่ก็ยังไม่จบสิ้น คมกระบี่ที่แปดพุ่งเข้าหาอย่างดุดันยิ่งกว่าทุกกระบี่ที่ผ่านมา อีกทั้งงานของเขายังยากขึ้นไปอีกเมื่อนางมารดีดตัวพุ่งตามกระบี่ที่เก้าด้วยความเร็วที่สุดประมาณจนคว้าจับด้ามกระบี่ที่เก้าแล้วจึงพุ่งปลายกระบี่เข้าใส่ตัดกระบี่ทันที

“นังมารชั่วช้า” ตัดกระบี่ลอบด่าทอก่อนจะวาดดาบเข้าปะทะตัดกระบี่ที่แปดไปอย่างเต็มกำลังและดูเหมือนจะสุดกำลังเสียแล้ว แรงปะทะครั้งนี้รุนแรงจนดาบเขี้ยวฟันปลาสบัดอย่างหนักจนทั้งมือและแขนของตัดกระบี่ต้องถ่างออก ทำให้ไม่อยู่ในวิสัยจะชักกลับมาต้านรับกระบี่ที่เก้าซึ่งนางมารใช้ออกด้วยตนเองได้

“ตาย” นางมารกล่าวอย่างเลือดเย็นก่อนจะหมายทิ่มคมกระบี่เข้าที่คอหอยซึ่งไร้การปกป้องของตัดกระบี่

พริบตาดุจประกายไฟ เลือดสีแดงฉานก็พุ่งกระจายไปทั่วแปดเปื้อนกระบี่เสียเต็มไปหมด แต่สุดจะคาดที่แท้กลับเป็นตัดกระบี่ที่ยกเอาแขนข้างหนึ่งออกมารับคมกระบี่อย่างเด็ดเดียวจึงทำให้ปลายกระบี่ยังไปไม่ถึงคอหอยของมัน

“ทำได้ก็เพียงซื้อเวลาเท่านั้น” นางมารกล่าวก่อนจะโคจรพลังอีกครั้ง ครานี้หมายให้ทะลุเข้าไปถึงคอหอยของตัดกระบี่ให้จงได้

แต่สุดจะคาดเมื่อนางมารโคจรพลังอีกครั้ง พิษไอเย็นกลับกำเริบและยิ่งหลังจากนางมารน้อยได้ใช้พลังวัตรออกไปแล้วอย่างมากมายจึงไม่สามารถใช้ปราณของตนควบคุมพิษไอเย็นในร่างได้อย่างทุกทีเลยทำให้พิษไอเย็นครานี้กำเริบรุนแรง

นางมารน้อยถึงกลับกระอักเป็นเลือดหมดสิ้นเรี้ยวแรงขาอ่อนพลันต้องปล่อยมือจากกระบี่ทรุดกายนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้

พริบตานั้นเองเลยเป็นทีของตัดกระบี่ที่ได้มีเวลาพักพื้นโคจรพลังวาดควงดาบเข้าหมายปลิดชีพนางมารน้อยทันที

“นี้ข้าพเจ้าจะต้องสิ้นชื่อเพียงเท่านี้เหรอ” นางมารน้อยที่สิ้นเรี่ยวแรงแม้นจะยกแขนปัดป้องได้แต่ลอบคร่ำครวญเสียใจ

อันความตายและชะตาเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดแท้จริง



Create Date : 19 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2550 15:52:24 น. 2 comments
Counter : 602 Pageviews.

 
แวะอ่านค่ะ


โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:28:51 น.  

 
ชอบมากเลยตอนนี้ตื่นเต้นดี



โดย: ตุ้ย (LovelyPanda ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:26:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bluejade
Location :
Birmingham Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ช่วงนี้ออกนิยายชื่อ จอมเทพกระบี่มาร จ้า ใครชอบแนวนิยายจีนลองหามาชมได้นะเออ

Friends' blogs
[Add Bluejade's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.