วันเวลา ไม่แน่นอน
ขอบคุณไก่ตัวน้อย ที่ขันบอกเวลาในยามใกล้รุ่ง บุญคุณของนกที่ส่งเสียงร้องให้ความเสนาะหู หมู่ดอกไม้ ต้นไม้ สายลมที่ต่างร่วมสัมผัส สัมพันธ์กับชีวิตของคนที่โดดเดี่ยวไกลบ้านคนหนึ่ง ดูซิ ! ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ดวงอาทิตย์ยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น แต่ความคิดของเราต่างหากที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความไม่รู้นี้เองที่ทำให้เกิดความแปรปรวน เสียงหรีดเรไรเริ่มดังขึ้น ก็เกิดจากความไม่รู้ สายน้ำยังคงกระทบกับหินผาดังกึกก้องอยู่เช่นเดิม มันไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงของสิ่งภายนอก
เสียงหรีดเรไรเริ่มดังแข่งกับเสียงน้ำอีกครั้ง หากแต่ตัวเรานั่งกำหนดรู้อยู่กับตัวเองไม่คิดตามไปไกลตามผลของการเกิดเสียง ขอบตาที่ปิดสนิทได้ปิดบังแสง สัญญาณแห่งกาลเวลา สติของตัวเองกำหนดรู้ปิดกั้นความคิดต่างๆ สักครู่จึงลุกขึ้นแล้วไปยืนเกาะอยู่ที่ขอบรั้วระเบียง มองดูกลุ่มก้อนเมฆดำทะมึนเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ กัน ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะทอแสงสว่างจ้า บัดนี้หลังหมู่เมฆเป็นท้องฟ้าสีทอง ยืนกำหนดรู้นึกคิดอยู่กับตัวเอง ทอดสายตา (โดยไม่ต้องใส่น้ำมันพืช) จ้องมองออกไปข้างนอก
สัมผัสได้กับการแปรเปลี่ยนของหมู่เมฆที่ต้องลม ค่อยๆ สัมผัสกับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกันว่าดวงอาทิตย์นี้มาจากไหน ทุกครั้งที่มายืนมองสัมผัสเห็น ดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงอาทิตย์อยู่เช่นเดิม และเรานี้ก็คือตัวเราเอง มันคือความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติหนึ่ง หมู่นกเริ่มส่งเสียงร้องขานตอบรับกัน บ้างก็โผบินออกจากรังทะยานสู่ท้องฟ้า บ้างก็ถลาลงพื้นดิน บ้างกระโดดเต้นไปจับเกาะกิ่งไม้ บ่อยครั้งที่มองออกไปที่ได้สัมผัสกับฝูงนกนานาชนิด ต่างพากันบินไปตามที่ต่างๆ
บางช่วงขณะ ไม่อาจรู้ได้ว่านกนั้นกำลังบินมาหรือกำลังบินไป ไม่อาจกำหนดรู้ด้วยได้จากการเปรียบเทียบเพราะว่าภาพนั้นเป็นเพียงภาพนก ขยับปีกขึ้นลงอยู่ในท้องฟ้าเบื้องหน้า จึงไม่มีผลการเดินทางให้หยั่งรู้ ไม่รู้ว่านกกำลังบินขึ้นหรือกำลังบินลง กำลังมาหรือกำลังไป จนกว่าจะสักขณะหนึ่งที่นกเข้ามาใกล้หรือออกไปไกล นี้คือคำสอนจากธรรมชาติที่แสดงให้เห็น จากบทที่ว่า นิ่งในเคลื่อนไหว
หลักแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ของฟิสิกส์ควอนตัมช่วยทำให้เราสามารถสร้างอนาคตของเราได้ใหม่ ชีวิตของเราไม่ได้ถูกลิขิตตายตัวจากอดีต ชีวิตของเรามีความไม่แน่นอนรออยู่ข้างหน้า เป็นการยากที่จะพยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่าคนที่ทำดีอย่างนั้นๆ จะได้ดีในอนาคตเมื่อไร เพราะว่ามีตัวแปรมากมาย เนื่องจากคนเราทำกรรมดีกรรมชั่วคละเคล้ากันไป จึงเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าที่คนคนนี้ได้ดีครั้งนี้ เพราะทำความดีนั้นไว้เมื่อวันนั้นวันนี้ในอดีต พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเส้นทางการให้ผลของกรรมเป็นอจินไตย คือ เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด
ทฤษฎีเรื่องความไม่แน่นอนของฟิสิกส์ควอนตัมช่วยให้เราเข้าใจได้ว่า เมื่อเราพยายามจะสังเกตความเร็วหรือธรรมชาติของอีเล็คตรอน เราก็จะต้องหยุดอีเล็คตรอนไม่ให้เคลื่อนที่ พออีเล็คตรอนหยุดมันก็จะเสียความเคลื่อนไหว ธรรมชาติของมันก็เปลี่ยนไป เราก็ศึกษาธรรมชาติของมันไม่ได้ เรียกว่ามีผลกระทบจากผู้สังเกตต่อสิ่งที่สังเกต การสังเกตได้เข้าไปเปลี่ยนธรรมชาติของสิ่งที่ถูกสังเกต จึงมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เมื่อเราไปเข้าสังเกตหรือศึกษามันเมื่อใด มันก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อนั้น
วิปัสสนาเป็นวิธีมองโลกที่ช่วยให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ สอนให้ใช้จิตมองจิตของเรา การมองจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา เราสามารถเปลี่ยนความคิดให้บริสุทธิ์ขึ้น นั้นคือ ทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส เป็นสจิตตปริโยทปนะ คือ ทำจิตของเราให้ผ่องใส เราจะทำจิตผ่องใสได้ก็ต่อเมื่อ ผู้มองมีผลกระทบต่อกระแสจิตที่ถูกมอง ฟิสิกส์ควอนตัม ศึกษาความจริงที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจ เพราะโครงสร้างอะตอมนั้นเล็กมากขนาดที่มองด้วยไม่เห็นด้วยตาเปล่า พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน คือ ศึกษาเรื่องจิตที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เวลาที่เรามองเห็น สรรพสิ่งเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้นในตัวของมันเองหรือเราคิดไปเอง บางทีสรรพสิ่งที่เราเห็นนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรือเราเข้าใจ มุมมองของเราต่างหากไปจัดให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โลกเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ดั่งที่ทฤษฎีสัมพัทธ์ของไอน์สไตน์ ถือว่ากาลเวลาขึ้นอยู่กับจุดของผู้สังเกต อะตอมเป็นอนุภาคหรือคลื่น ก็แล้วแต่มุมมองของเรา ฉะนั้นโลกที่เรารับรู้จึงไม่ได้เป็น ปรวิสัย ทั้งหมด บางอย่างเป็น อัตวิสัย คือ เป็นโลกแห่งประสบการณ์ที่เราสร้างขึ้น
เสียงเค้าว่ากันพรรณนั้น
Create Date : 22 พฤษภาคม 2552 |
|
77 comments |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 0:17:50 น. |
Counter : 1626 Pageviews. |
|
|
|
ที่มั่นคงอยู่เสมอ..
*******************
จ้าาาาา..