โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒

ภ.ม. ภาิคิโน


อากาศของวันนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ฉันกลับรู้สึกร้อนยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อเดินไปไหนต่อไหนก็ได้ยินเสียงแต่คนเรียก “ครูพัทซี่ ครูพัทซี่ วันนี้จะสอนอะไรดีฮะ!”

ฉันเหลียวหาต้นเสียง ไอ้เยิ้มนั่นเอง มันกำลังจับกลุ่มกับรุ่นน้อง ฉันเท้าสะเอว “ไปตัดหญ้าเลยไป หุบปาก!”

“ครูพัทซี่จะให้ผมนวดตรงไหนฮะ บอกได้เลยนะฮะ ผมช้อบชอบ...” มันทำท่าทำทางนวดในอากาศ แล้วกำลังเดินตรงมา ฉันรีบเอามืออุดจมูกแล้วไล่มันไปไกล ๆ “มึงอย่าเข้ามาใกล้เลย ไอ้เยิ้ม มึงล้างตัวสะอาดหรือเปล่าเนี่ย?”

ไอ้เยิ้ม หรือพลทหารเอกลักษณ์หยุดชะงัก มันทำท่าขยะแขยงตัวเอง แหงละ... เมื่อคืน จ่ากองดักรอตรงบันได มันกลับมาเกือบจะสองทุ่ม จ่ากองสั่งให้มันถอดเสื้อผ้าให้หมดเหลือแต่กางเกงใน แล้วทำโทษชุดใหญ่ ตั้งแต่วิดพื้น ลุกนั่ง ฯลฯ อย่างละ ๑๐๐ ครั้ง แล้วลากตัวมันไปหลังห้องน้ำ สั่งให้โดดลงบ่อนรก ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำฟักทองหมักนั่น อรึ๋ย!!!!!!!!!!!!

“แหม แซวเล่นเฉย ๆ อย่าเอาของแสลงมาเย้ยกันดิ” มันทำหน้าออดอ้อน “ถามจริง ๆ พัทซี่ จ่ากองคิดยังไงถึงเอามึงไปด้วยนะ?”

“ไม่รู้สิ” ฉันตอบตรง ๆ สีหน้าของไอ้เยิ้มมีแววใครรู้ เลยยกมาสักคำตอบหนึ่ง “แกคงอยากหาใครไปช่วย จริง ๆ ละมั้ง”

“ไอ้น้ำได้ไปก็เหมาะอยู่ แต่ตอนแรกคิดว่าไอ้เอน่าจะได้ไป กลายเป็นไอ้เชฟน้อยเสียนี่ จะเอาไปเป็นเชฟหน่วยฝึกหรือไงหว่า?” ไอ้เยิ้มตั้งข้อสังเกต พวกเรามักเรียก น้อย หรือพลทหารสุรเทพ ว่า เชฟน้อย เพราะมันเรียนจบหลักสูตรเชฟมาจริง ๆ แถมเคยทำงานในครัวโรงแรมใหญ่มาแล้วก่อนจะมาเป็นพลทหาร

“แล้วไง? คนเป็นเชฟไปเป็นผู้ช่วยครูฝึกไม่ได้หรือไง?” ฉันย้อนเข้าให้

“เออนั่นสิเน๊าะ อย่างน้อยมันก็เป็นผู้ชาย...” ไอ้เยิ้มชะงักเมื่อเห็นหน้าเจื่อนลงของฉัน จึงรีบปฏิเสธพัลวัน “กูไม่ได้ว่ามึงนะไอ้พัทซี่ อย่าคิดมาก... มึงไปเป็นก็เหมาะอยู่หรอก จบถึงปริญญาตรีนี่นา อีกอย่างปกติผู้ช่วยครูฝึกมันมี ๘ นายนี่หว่า อันนี้ให้โควตามา ๙ นาย ถ้านายหลุดไปเป็นคนที่ ๙ จริง ก็อาจได้ไปช่วยงาน บก.หน่วยฝึกฯ ละมั้ง คงไม่ได้ไปฝึกหรอก กูว่า!”

“อือ” ฉันพยักหน้า แต่ก็อดเก็บเอาไปคิดไม่ได้

รุ่นน้องที่คุยอยู่เดิม เขยิบมาใกล้มัน เห็นหยิบขวดแก้วใบเล็กส่งให้กันด้วย ฉันสังเกตเห็นพอดี

“เฮ้ย! ทำอะไรนะ? ค้ายาหรือเปล่า?”

“ค้ายาบ้านพ่อบ้านแม่มึงสิ ไอ่พัทซี่ กูกำลังคุยธุรกิจกันอยู่ ไอ้ของสิ่งนี้แหละที่กูอุตส่าห์ไปหามาจนทำให้กูกลับมาช้า แล้วต้องโดดลงบ่อนั่นไงละ อ้าว... ดูซะ!”

มันยื่นขวดแก้วให้ดู ฉันเห็นเม็ดพลาสติกใสขนาดราวครึ่งเซนติเมตร กลิ้งไปมาในขวดที่เหมือนจะเคลือบน้ำมันอะไรไว้ภายใน

“อะไรเนี่ย?” ฉันอุทาน

“เดี๋ยวตอนค่ำ มึงก็จะรู้เอง” มันหลิ่วตาใส่ ก่อนจะกระโดดขึ้นรถกระบะกับพวกเราที่เหลือ เพื่อไปปฏิบัติภารกิจประจำวัน นั่นคือ การตัดหญ้า!



อันที่จริง พลทหารที่ประจำอยู่บน บก.ร้อยฯ ไม่ได้มีแต่ฉันนายเดียวเท่านั้น ยังมีพลทหารรุ่นพี่ก่อนหน้าฉันหนึ่งผลัดอีก ๑ นาย ฉันเรียกว่า พี่เกียรติ พี่เกียรติก็จะทำงานของแกไปเรื่อย ๆ เนื่องจากงาน บก.ร้อยฯ ไม่ได้มีเฉพาะการพิมพ์ยอดแจกแจงพลทหารเหมือนอย่างที่ฉันเคยบอกไว้เท่านั้น มันยังมีงานเอกสารอื่นอีกมากมายมหาศาล

พี่เกียรติจะรับผิดชอบเขียนรายงานประจำวัน โต้ตอบ – เก็บเอกสารรายงานประจำวัน เขียนใบลาหรือเอกสารต่าง ๆ ให้ผู้กองรอลงนาม ประสานงานและสั่งงานกำลังพล เช่น มีการขอกำลังพลทหารไปช่วยงานที่ต่าง ๆ มักจะมีการโทรศัพท์มาแจ้ง พี่เกียรติจะเป็นคนแจ้งสิบเวรฯ และผู้ช่วยสิบเวรฯ ในการจำหน่ายพลทหาร ช่วยจัดว่า ผลัดไหน พลทหารนายไหน ไปกับใคร ใครจะมารับ จำนวนเท่าไร เป็นต้น เพราะพี่แกอาวุโสกว่าและรู้นิสัยของพลทหารแต่ละคนดีว่าเป็นอย่างไร งานไหนชอบไม่ชอบหรือพูดจาอย่างไรให้เขาออกไปทำงานให้เรา บางวันไม่มีพลทหารเหลืออยู่เลยเพราะออกไปช่วยงานกันหมด พี่เกียรติก็จะสวมปลอกแขนผู้ช่วยสิบเวรฯ แทนบ้าง (ยกเว้นเมื่อวาน แกเองก็วิ่งร่อนไปงานยิงปืนกับเขาด้วย)

ส่วนฉันจะช่วยงานแจกแจงยอดพลทหาร ตรวจเช็คยอดประจำวัน ช่วย จ่ากองทำเงินเดือนพลทหาร จัดเวรรักษาการณ์ที่กองพันรับผิดชอบ ซึ่งมีอยู่ 2 จุด ช่วยงานนายสิบพิมพ์รายงาน ต่าง ๆ งานหลังสุดที่ว่านี้ จะรวมไปถึงที่ บก.พันฯ ด้วย ซึ่งปกติจะได้ไปเกือบทุกวัน จนมีเพื่อน ๆ ล้อว่ามีสามีเป็นนายสิบอยู่กองพันฯ ซะแล้ว พลทหารอีกนายที่ถือว่าประจำอยู่ บก.ร้อยฯ เพียงแต่ไม่ได้ประจำอยู่บน บก.ร้อยฯ เท่านั้น ก็คือ เอ เพื่อนพลทหารที่ประจำร้านค้าของ ร้อยฯ บก. นั่นเอง

ตอนนี้เข้าสู่ช่วงปลายฤดูฝนแล้ว เดือนหน้าก็จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว ซึ่งปลายเดือนต้องมีผลัดทหารปลดออกไปอีกหนึ่งผลัด พลทหารรุ่นพี่ผลัดนี้มีความสำคัญต่อฉันมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ช่วยครูฝึกตอนที่ฉันและเพื่อนเข้าหน่วยฝึกทหารใหม่ เราจึงเรียกรุ่นพี่ที่เป็นผู้ช่วยครูฝึกรุ่นเรานี้ ว่า ครู นำหน้าชื่อแทนคำว่า พี่ (ใครที่ไม่ได้เป็นผู้ช่วยครูฝึก ก็จะเรียกว่า พี่ ตามปกติ)

ครูที่ฉันนับถือมาก ชื่อ ครูสาม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ช่วยครูฝึกประจำหมู่ฉันก็ตาม แต่ด้วยความที่แกเอ็นดู อบรมสอนเรามาดีมาก และรู้ดีว่า จะได้ขึ้นกองพันมาอยู่ด้วยกัน ทำให้สนิทกันตั้งแต่ตอนฝึก ครูสามเป็นพลทหารที่แข็งแรง บึกบึนสมชายชาตรี แกชอบพูดกระโชกโฮกฮาก แต่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น เต็มไปด้วยข้อคิดดี ๆ มากมาย ดังนั้น ช่วงเวลาฝึก หากฉันมีปัญหาอะไร ก็มักจะไปปรึกษาแกเสมอ จนเพื่อนทั้งหน่วยฝึกคิดว่าฉันจะจับแกเป็นสามี (ดูพวกมันคิดสิ....!) ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง

“พี่เกียรติ พวกครูสามเขาไปไหนกันนะ?” ฉันถามรุ่นพี่ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

“ไปโรงรถ หมู่มาขอไปช่วยล้างรถ”

ฉันผละจาก บก.ร้อยฯ ลงบันไดกลางอ้อมไปด้านข้างอาคารใหญ่ ก่อนจะข้ามถนนกรวดเล็ก ๆ ตรงไปยังหมวดยานยนต์ของ กองพันฯ แม้ว่าฉันจะผ่านพ้นการฝึกทหารใหม่มานานแล้วก็ตาม แต่ครูสาม ก็ยังเป็นครูของฉันวันยังค่ำ ดังนั้น วันนี้ ฉันขอใช้สิทธิ์ในฐานะลูกศิษย์ขอคำปรึกษาสักเล็กน้อย

รถโดยสารของกองทัพสีเขียวเข้มจอดอยู่ด้านนอกอาคาร ข้าง ๆ กันนั้น มีรถยีเอ็มซีอีกคันหนึ่ง พลทหาร สี่นายในชุดเสื้อยืดทหารคอกลมตัวบาง กำลังฉีดน้ำทำความสะอาดอยู่ น้ำจากปลายสายยางแตกกระเซ็นเป็นฝอยเมื่อกระทบกับตัวรถ แล้วกระเด็นโดนร่างพลทหารทั้งหมดนั้นอย่างเปียกปอน ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่แนบไปกับลำตัว ฉันแอบกลืนน้ำลายเฮือก เอ๊ย! ....แอบอมยิ้มเล็ก ๆ ขำขัน เมื่อเห็นครูสามฉีดน้ำเข้าใส่เพื่อนแกที่เหลือ จนเหลือบมาเห็นฉันเข้า เลยตั้งท่าจะฉีดน้ำมาทางนี้ ฉันจึงรีบวิ่งแจ้นหลบไปอีกทาง

“มึงจะไปไหนไอ้พัทซี่ ไม่อยากเล่นน้ำหรือ?” พี่ยูร้องถาม

“อื้อ... ไม่เอาอ่ะครับ”

“มีเรื่องอะไรหรือ?” พี่ยูถามต่อ แกก้มลงดูหุ่นตัวเองที่เปียกน้ำ “หรือว่า... มาแอบดูหุ่นผู้ชายล่ำ ๆ ? ดูของครูสามถ้าจะดีกว่ามั้ง... รายนั้นนะ สามนิ้ว....สมชื่อ”

ฉันได้ยินเสียงครูสามสบถเป็นคำเรียกอวัยวะเพศชาย “มึงมาฆ่ากูให้ตายดีกว่า ไอ้ยู ถ้ามึงดูถูกกูขนาดนั้น”

“กูนึกว่า พ่อแม่มึงตั้งชื่อมึงตามขนาดเสียอีก” พี่ยูพูดพลางหัวเราะ ฉันก็พลอยขำไปด้วย

“กูเป็นลูกคนที่สามโว้ย พ่อเลยเรียกกูว่าไอ้สาม แน่จริง! มึงเปิดของมึงให้ไอ้พัทซี่ดูเลยว่า เลยสามนิ้วมาสักเท่าไหร่กันเชียว... ของมึงอ่ะ”

“จะบ้าตาย ใครจะโรคจิตอยากดูขนาดนั้น... ” ฉันทำท่าแหวะ ก่อนจะบอกเสียงเรียบ ๆ “มีธุระกับครูสาม อ่ะครับ”

“มีอะไร?” คนฉีดน้ำเดินไปปิดก๊อกน้ำ แล้วช่วยกันหยิบแปรงเตรียมขัดล้าง “ว่าที่ผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่มีอะไรกับผู้ช่วยครูฝึกรุ่นเก่า”

“ว่าที่ผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่ จะมาบอกผู้ช่วยครูฝึกรุ่นเก่าว่า เขาไม่อยากไป”

ครูสามชะงักมือจากงานที่ทำอยู่เล็กน้อย นิดเดียวจริง ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อพลางพูดกับฉันไปด้วย “ทำไมไม่อยากไปละ?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับครู บอกไม่ถูก” ฉันทรุดตัวนั่งยอง ๆ ใกล้แก

“เงินเดือนก็ได้เพิ่ม ฝึกเสร็จขึ้นกองพันมีเด็กเรียกเป็นครูเต็มเลย ดีกว่ามึงมานั่งหงอยเหงาอยู่หน้ากองเอกสารไปอีกตั้งเกือบปี ไม่งั้นมึงจะทำเรื่องขอต่ออายุรับราชการไปทำไม... ในเมื่อมีชีวิตแบบเดิม ๆ ไปวัน ๆ สู้ไปหาอะไร ใหม่ ๆ ทำบ้างจะดีกว่านา” เหตุผลของครูสามฟังดูดี แต่ยังไม่เข้าหูฉันเสียทีเดียว

“ผม... ไม่รู้สิ ขนาดฝึกมาตั้งเกือบสองเดือนกว่า ผมยังจะไม่ไหว อันนี้อะไร จ่ากองจะเอาผมไปฝึกอีก ต้องตื่นเช้าออกกำลังกายทู้ก...วัน วิ่งวันละห้าหกกิโล ยืนกลางแดดอีก ท่าวิ่งผมก็เหมือนตุ๊ด เสียงก็เหมือนกะเทยควาย ไปออกคำสั่งใครเขาอายจะตาย”

“อ้าว... ทุกวันนี้ มึงไม่ได้เป็นตุ๊ดหรือ?” พี่ยูแซว ฉันเลยวักน้ำสบู่ที่ใช้ล้างรถใส่ แกกระโดดหนีหัวเราะเสียงดัง

“แต่ที่ครูได้ยินจ่ากองพูดเมื่อคืน เหมือน ๆ แกจะเอามึงไปช่วยงานเอกสารมากกว่านะ แต่ถ้าได้ออกฝึกกับเขาก็ทำเหมือนตอนเราโดนฝึกนั่นแหละ มึงจะไปองไปอายอะไรเขา ตอนฝึกมึงก็วิ่งแบกธงมาแล้วนี่นา ฝึกเดินสวนสนามมาก็แล้ว แค่ทำให้แมนกว่านั้นนิดนึงก็โอเคแหละ ครูว่านะ” ครูสามสรุปเข้าให้

“มันจะไม่โอเคอ่ะดิ ขนาดไอ้เยิ้มยังพูดเมื่อเช้าประมาณว่า เสียดายที่จ่ากองเลือกเชฟน้อยไปฝึกแทนที่จะเป็นเอ แต่ก็ยังดีเพราะเป็นผู้ชายทั้งแท่ง”

“มึงเอาคำพูดของคนอย่างไอ้เยิ้มมาคิดเนี่ยนะ!” ครูสามอุทานเสียงดัง “มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย? กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

ฉันอึกอัก เลยหลุดความในใจออกไป “ผมกลัวเด็กเขาไม่ฟัง เขาจะว่าได้ว่า...เอาทหาร ไม่แมนไปสอนทหารแมน ๆ แล้วมันจะเป็นเรื่องไหมนั่น? มันจะกลายเป็นเรื่องตลกประจำค่าย แล้วเด็กที่ไหนเขาจะมาเคารพ”

“หมายถึงจะไม่เคารพ เพราะมึงเป็นกะเทย ว่างั้น!” แกพยายามทำความเข้าใจ

ฉันเงียบ

ครูสามลุกขึ้นยืน แกสั่งห้าวหาญ “มึงเตรียมท่าวิดพื้นสิ ไอ้พัทซี่”

“เตรียม!” ฉันตะโกนเสียงดัง สองมือแตะพื้นดันลำตัวตรงขนานไปกับพื้น ก้มหน้าฟังเสียงแกอธิบาย

“ถ้าคิดว่าเรื่องแค่นี้ มันจะทำให้มึงอับอายขายหน้า มึงก็คงคิดผิดตั้งแต่สมัครเป็นทหารแล้ว” ครูสามยังคงมองดูฉันตั้งท่าเตรียมวิดพื้นต่อไป “ตั้งแต่ฝึกจนเป็นทหารเต็มตัวนี่ ได้อะไรบ้าง?”

“ได้ความอดทนครับ” หน้าฉันเริ่มแดง

“ตอบมาอีก”ครูสามสั่ง

“ได้ความมีระเบียบวินัย ได้ความแข็งแรง ได้เพื่อนใหม่ ได้ความรู้ใหม่ ๆ ได้รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้ความสามัคคี ได้ฝึกการทำงานเป็นทีม ได้รู้จักการรับผิดชอบต่อหน้าที่ ได้...”

“พอ ๆ ๆ” ครูสามบอกหยุด “แล้วถ้าคิดแค่ว่า... มึงไปสอนเขาให้ได้แค่ที่มึงบอกว่าเมื่อกี้ มึงคิดว่า มึงพอจะทำได้ไหมวะ?”

“ได้ครับ” ฉันรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองเริ่มร้อน

“เอาละ พอได้ละ”

“ขอบคุณครับ” ฉันยืนตัวตรง มองเข้าไปในตาของครูสาม มีแววพอใจอยู่ในนั้น

“ระเบียบวินัย ความอดทน ของอย่างนี้แหละที่เขาฝึกกัน ส่วนนิสัยใจคอของคนเรานะ... มันสอนกันยาก ถ้าฝึกเขาสอนเขาให้ได้เท่าที่เราบอกว่าเราได้มาเท่านั้น บวกกับแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เขาคิด ให้เขานำไปใช้บ้าง มันก็น่าจะเพียงพอต่อการที่เราจะเป็นครูของเขาได้แล้ว มึงอย่าไปคิดอะไรมาก...”

ฉันเริ่มยิ้มออก แกเห็นดังนั้นเลยยิ้มตอบมาให้บ้าง

พี่ยู ซึ่งอุตส่าห์หยุดทำงานเพื่อกอดอกฟังบทสนทนาระหว่างเราทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้นเห็นเข้า เลยหยอกขึ้นว่า “เอ้า... จบแล้วเหรอ เอาละ ๆ พวกมึงสองคนก็เปิดห้องไปนอนกระชับช่องทวารหนัก เอ๊ย! ...กระชับความสัมพันธ์ด้วยกันได้ละ”

“ไอ้เชี่ย! ... กูเป็นครูไอ้พัทซี่นะเว้ย!”

“งั้น... แสดงว่าถ้ามึงไม่ได้เป็นครู มึงก็คงจะกินถั่วดำมันอยู่ใช่ไหมละ?”

ครูสามไล่เตะก้นพี่ยูรอบรถโดยสารจนเหนื่อย แล้วพวกแกก็กลับมาช่วยกันทำงานที่ค้างต่อ ถึงกระนั้น ครูสามก็เอ่ยปากถามฉันอีกคำถามหนึ่ง

“พัทซี่ มึงคิดว่า การเป็นทหารได้สอนให้มึงเป็นผู้ชายมากขึ้นไหมวะ?”

ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไป “ไม่ได้สอนครับ ผมก็เป็นของผมอย่างเดิม”

แกก็ไม่ว่าอะไรต่อ ฉันเองแหละที่เป็นฝ่ายสงสัย “ครูถามทำไมครับ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ครูแค่อยากจะพิสูจน์คำพูดของครูเมื่อกี้ก็เท่านั้นแหละ”

ตอนที่ฉันสืบเท้าก้าวข้ามถนนสายหลักกลับมายังอาคาร บก.ร้อยฯ นั่นแหละ ถึงได้คิดออกว่าคำพูดของครูที่พิสูจน์ไปแล้วนั้น คือคำพูดเรื่องอะไร!






Create Date : 08 มีนาคม 2555
Last Update : 8 มีนาคม 2555 15:26:22 น.
Counter : 497 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มีนาคม 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog