Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
เที่ยวไป งงไป กับยัยเป๋อ 37 (ออสเตรเลีย)~

21 เมษายน 2550 ~ หนาวหัวใจ..ใน Melbourne

บ่ายอ่อน ๆ ของวันนี้ พวกเราก็ยังคงกระดี๊กระด๊าเป็นปลากระดี่ได้น้ำอยู่ในเมลเบิร์ลเฮ่าะ

ก่อนจะออกเดินย่ำต๊อก กินลมชมวิวของเมลเบิร์นกันต่อ เรามารู้จักกับเมืองนี้คร่าว ๆ กันสักเล็กน้อยก่อนนะคะ

อันว่า เมืองเมลเบิร์น (Melbourne) นี้ เป็นเมืองหลวงของรัฐวิคตอเรียที่ได้รับคำชื่นชมว่า เป็นเมืองที่สวยงามที่สุดของ ออสเตรเลียฮ่ะ

ที่กล่าวกันเช่นนั้น ก็เพราะที่เมืองนี้ มีบรรยากาศคล้าย ๆ กับเมืองในยุโรป มีสวนสาธารณะที่อุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ และรวมไปถึงการเป็นเมืองที่เป็นสถานที่แข่งขันกีฬาระดับโลกอีกหลายประเภทอีกด้วย

เมลเบิร์นเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากซิดนี่ย์ มีประชากรราว 3 ล้านคน และสภาพอากาศของที่นี่ก็ออกจะเย็นกว่าแถบอื่น ๆ อีกทั้งอากาศยังแปรปรวนเอาแน่เอานอนมิค่อยได้เหมือนหัวใจใครบางคนแถวนี้อีกด้วย T_T

ประวัติความเป็นมาของเมลเบิร์ล เริ่มขึ้นในปี ค.ศ 1835 ค่ะ เมื่อนาย จอห์น แบตแมน นักเก็งกำไรที่ดินจาก แทสเมเนีย เข้ามากว้านซื้อที่ดินจาก ชาวอะบอริจิ้น ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในยุคนั้น ถึง 600,000 เอเคอร์ โดยทำสัญญาว่าจะจ่ายด้วย สินค้าจำพวก ผ้าห่ม กระจก ขวาน ฯ (เอ่อ..คุงพี่คะ..คุงพี่ขา คุงพี่ขาด "ไข่" ไปอีกอย่างนึงอ่ะนะคะคุงพี่) แต่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของเขาก็เป็นอันโมฆะไป เพราะไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษในยุคนั้น(ทางการถือว่าเป็นการละเมิดที่ดินของรัฐบาลอังกฤษอ่ะนะคะ)



1 ปีถัดมา ที่ดินซึ่งเริ่มก่อตั้งเป็นชุมชนและได้รับการตั้งชื่อตาม ลอร์ด เมลเบิร์น นายกรัฐมนตรีอังกฤษเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านแห่งนี้ ก็ได้เริ่มส่อแววของความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ ประกอบกับมีการค้นพบทองคำใกล้เมืองแบลลารัตในปี 1851 ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของประชากร และเกิดความมั่งคั่งในพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทองที่ขุดพบนั้น ห่างจากเมลเบิร์นเพียงไปแค่ 115 กม. เท่านั้นเอง และแน่นอน ว่าเมื่อมีทองที่ไหน ก็ย่อมมีโกโบริที่นั่น...อั้น ๆ ๆ ๆ ...โค-ตะ-ระ ทอง..ได้ดึงดูดนักแสวงโชคนับพันจายุโรป อเมริกาและจีนมาตั้งถิ่นฐาน เมื่อหมดยุคตื่นทอง ไม่มีทองให้ขุดแล้ว นักขุดทองนับพันเหล่านั้นจึงย้ายสำมะโนครัวมาออกันที่เมลเบิล์น เชื่อมั้ยคะ..ว่าช่วงนั้น ประชากรเมลเบิร์นเพิ่มขึ้นกว่าสี่เท่า ภายในเวลาเพียงแค่ 10 ปี เท่านั้นเอง

ในปี 1895 เมื่อมาร์ค ทเวน มาบรรยายที่เมลเบิร์น เขาถึงกับงงเต๊ก กับสิ่งที่ได้พบเห็น เขาได้กล่าวสรุปย่อ ๆ ตามความเข้าใจของ i'm not superman ว่า..เมืองนี้ช่างอเมซิ่ง (ลิงกิ้ง พาร์ค) และพรั่งพร้อมไปด้วยทุกสิ่งให้เลือกสรร เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองใหญ่ อันทันสมัย ไฉไลสุดยอด พระเจ้าจ๊อดที่ 17 ในออสเตรเลียเมืองหนึ่ง ซึ่งแน่นอน คำกล่าวของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงในปัจจุบันสักเท่าใดนัก (เจ๋งไม่เจ๋ง..ในปี 1901 เมลเบิร์นได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของออสเตรเลีย ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปยัง แคนเบอร่า ในปี 1928 ก็ละกัน)

ร้อยปีถัดมา

ถึงแม้เมลเบิร์น จะมิได้กลายเป็นเมืองที่ "ใหญ่" ที่สุดในออสเตรเลีย (ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากซิดนี่ย์) แต่เมลเบิร์นก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีผู้คนจากซิดนี่ย์มาหาชีวิตที่เร่งรีบน้อยกว่า (จริงเหรอฟระ ตรูเดินตามถนนก็เห็นมีต๊ะคนรีบ ๆ กันทั้งนั้น) บ้านเรือนราคาย่อมเยากว่า การมีผู้อพยพจากยุโรปและเอเชียมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ทำให้เมืองนี้เป็นแหล่งผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลายน่าสนใจกว่าที่อื่น ๆ

เริ่มเมาข้อมูลกันรึยังเค๊อะ อิอิ..

กลับมาถึงเรื่องของเรากันบ้าง...บ่ายนี้ พวกเราก็ยังไม่ไปเยือนที่ไหนไกลดอกค่ะ แต่จะลองนั่งรถรางฟรี หรือ City Circle Tram เหมือนที่นั่งกันเมื่อวานก่อนอีกรอบ รถรางประเภทนี้ จะวิ่งผ่านถนนฟลินเดอร์ส สปริง นิโคลสัน วิคตอเรียพาเหรด ลาโทรป แฃะถนนสเปนเซอร์ สังเกตุง้าย..ง่ายเฮ่าะ เพราะตัวรถรางจะทาสีแดงเข้มคาดด้วยสีทอง และจะมาทุก ๆ 10 นาที ในช่วงเวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น



เหนือท้องถนนเมืองเมลเบิร์น เราจะได้เห็นภาพสายไฟที่พาดผ่านไปมาดังใยแมงมุมเส้นโตแบบนี้



มาแย้วค่า..มาทีเดียวสองขาคู่เยยอ่ะนะคะ กรั่ก ๆ ๆ



ถ่ายบรรยากาศบนรถรางมาให้ดูกันบ้าง..มีเอกสารแจกสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยเน้อ อิชั้นอยากให้กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรบ้านเรามีรถรางไฟฟ้าแบบนี้บ้างจัง เพราะนอกจากรถจะไม่ติดหนึบเป็นตังเมในเวลารีบด่วนแล้ว ยังปลอดมลพิษทางอากาศอีกด้วย นี่สมาชิกกลุ่ม กรีนปริ๊ดดดด..มาเองเลยนะเนี่ย...



นั่งรถรางมาได้สักพัก พวกเราก็โดดลงเดินค่า...ลัดเลาะไปตามสวนสาธารณะในเมืองนั่นแหละ...อิชั้นชอบไม้ใหญ่ที่บางส่วนเริ่มทะยอยกันเปลี่ยนสี กับสีทองของใบไม้แห้งที่ร่วงดารดาษอยู่บนพรมหญ้าสีเขียวนั่นแฮะ..นี่ถ้ามีเวลา ขอกาแฟร้อน ๆ สักแก้ว หนังสือดี ๆ สักเล่ม คนข้างใจสักคน..เท่านั้นก็สวรรค์บนดินแว้ววว..







นางแบบไม่ค่อยได้เรื่องเยยง่ะ ......ดูวิวด้านหลังแทนละกันเน้อออ

...................

ตบท้ายกันด้วยริมฝีปาก เอ๊ย..ตบท้ายกันด้วยเพลงเพราะ ๆ เช่นเคยค่า



คิดถึงนะคะ

i'm not superman










Create Date : 27 สิงหาคม 2550
Last Update : 11 มีนาคม 2554 21:40:45 น. 5 comments
Counter : 726 Pageviews.

 


เดินตามพี่แหม่มมาเรยยย
นู๋ใจง่าย อิอิ






โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:20:45:25 น.  

 
a href="https://www.bloggang.com/data/aumteerama/picture/1188482068.jpg" target=_blank>


แวะมาเกาะล้อคุณแหม่มเที่ยวด้วยคนเน้อ
ภาพสวยบรรยายแจ่ม
เริ่ดมากๆ ค่ะท้องฟ้า


โดย: อุ้มสี วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:21:39:41 น.  

 
BG อันใหม่ส๊วยยยมากเรยค่ะ

ชอบรุปที่ใบไม่หล่นตรงพรมหญ้า อะค่ะ

อยากให้กรุงเทพมีรถรางเหมือนกันค่ะ


โดย: ซซ วันที่: 1 กันยายน 2550 เวลา:17:24:03 น.  

 
รูปสุดท้ายนี่ล่ะ แจ่มสุดแล้วค่ะพี่แหม่มขา
ชอบบรรยากาศสวนจังค่ะ เอาเสื่อไปปูนอน ท่าจะสบาย


โดย: กระต่ายลงพุง วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:18:01:56 น.  

 


เอาเสื่อมาขายคับ...ผืนละ30 บาทครับ..อิออิ



โดย: pooktoon วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:14:54:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i'm not superman
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




ผู้ใหญ่ไซส์ S ที่พยายามจะทำให้ชีวิตมีความสุขไซส์ L
เสมอ~

...................

สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๘ ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และโดยอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

..................................

ถ้าอยากมีความสุขหนึ่งปี ก็แค่ถูกหวย แต่ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ก็จงรักงานที่ทำ~













Friends' blogs
[Add i'm not superman's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.