หัวหน้าเผ่า กุ๊ก กุ๊ก กู๋
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 

แนวคิดเรื่องปรับบทบาท... ตอนจบ

สวัสดีครับ


หลังจากที่ได้เสนอรายละเอียดไปในตอนที่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดการปรับบทบาทฯนะครับ สำหรับตอนนี้ คงจะเป็นตอนสุดท้าย ที่จะนำเสนอนะครับ ซึ่งก็มีผู้ร่วมอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง มีเหตุผลอะไรกันบ้าง เราลองติดตามกันดูนะครับ



ความคิดเห็นเพิ่มเติม


แจม แจม สืบเนื่องจากคุณข้าวใหม่


เรื่องการถ่ายทอดความรู้นั้น คงต้องมีระบบช่วย และทั้งผู้ให้และผู้รับมีเครื่องรับ-ส่ง ที่มีคลื่นในช่วงความถี่ที่ส่งถึงกันได้ด้วย รวมทั้งระบบความดี-ความชอบต้องสอดคล้องกัน ผลจึงกระจายได้กว้างขวาง ไม่เช่นนั้นก็จะมีแต่คนที่กินอุดมคติบ้างบางคนที่ทำ เพราะเป็นเรื่องที่เหนื่อยและวัดผลยาก และบางครั้งก็ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล

ซึ่งเป็นคำตอบว่าทำไมคนไทยชอบสร้างตึก ถนน สะพาน... เพื่อวัดผลงานเพราะเห็นชัด ดูง่ายกว่าสร้างคนมาก

เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยองค์ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย และต้องทำทั้งระบบราชการ หรือไม่ก็ต้องแยกเป็นระบบเฉพาะที่ดูทุกอย่างครบ ทั้งเรื่อง ความก้าวหน้าในอาชีพ ผลงานที่เป็นประโยชน์ ได้รับการนำไปปฏิบัติในวงกว้าง กลไกที่ช่วยให้ทำงานนั้นๆได้ตามบทบาท ฯลฯ

ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการพูดๆๆ แต่ไม่เกิด เพราะคนที่มี knowledge นั้นต้องหา สั่งสมด้วยความอุตสาหะ การถ่ายทอดให้ก็ต้องอุตสาหะอีก อาจต้องเหนื่อยเป็นอีกหลายเท่าเพราะบางคนแค่ hint ก็ใช้ได้แล้ว แต่บางคนเคี้ยวแล้วป้อนใส่ปากก็ยังไม่กลืน/ย่อยเลย



: แฟนลิเวอร์พูล


การปรับบทบาทมีความน่าสนใจและสำคัญ เนื่องจากสถานการณ์ของเหตุณ์การณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกขณะ และมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเพื่อตามให้ทันกับกระแสของโลกและกระแสโลกาภิวัตน์ แม้แต่ภายในองค์กร การเน้นบทบาทเพื่อที่จะทำให้รู้และปฏิบัติให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพราะจะเป็นการสร้างเสริมความเข้มแข็งทั้งทางด้านต่างๆ ติดตามมา เช่น ทางด้านวิชาการและการสร้างภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ เพื่อเป็นเกราะป้องกันในกรณีที่อาจจะต้องเผชิญ บทบาทหนึ่งที่นับได้ว่ามีความสำคัญได้แก่การที่จะต้องดำเนินการเพื่อทำให้การปฏิบัติงานดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งด้านกำลังของบุคลากร ความรู้ความสามารถ และการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งจากภายในองค์กรเองและจากภายนอกองค์กร เป็นอาทิ เช่น การดำเนินการเพื่อให้มีสวัสดิการที่ดี มีการปฏิบัติงานในลักษณะของการมีความเพียบพร้อมทั้งด้านกำลังใจและความรู้ความสามารถ และมีผลงานเป็นที่ยอมรับและเป็นประโยชน์โดยสามารถมีความพร้อมที่จะถ่ายทอดให้แก่สาธารณะชนและผู้ที่มีความสนใจได้ทราบและรู้จัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประชาสัมพันธ์และแสดงถึงการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมแท้จริงประการหนึ่ง


: ข้าวใหม่


แผนกลยุทธ์ของ ... ก็เหมือนแผนชาติ กว้าง ครอบคลุม แต่ไม่รู้จะเริ่มปฏิบัติจากตรงไหน
นอกจากนี้ (เท่าที่เห็นมา) แผนกลยุทธ์ของ ... ต่างจากแผนกลยุทธ์ขององค์กรที่ประสบความสำเร็จอื่นๆ ตรงการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับ พูดง่ายๆ คือ มีการร่วมกันทำแผนกลยุทธ์จากทุกแผนก ทุกระดับการบริหาร เพื่อให้ได้รู้ปัญหาอุปสรรค ข้อดี ของทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่คนไม่กี่คน ไม่กี่ฝ่ายมาคิดมาเขียน นั่งเทียนบ้าง เหมือนแผนของเรา
การที่บุคคลากรทุกฝ่ายมาทำแผนร่วมกัน ใช่ อาจต้องใช้เวลามาก แต่คุ้มค่า เนื่องจากจะทำให้ทุกคนในองค์กรตระหนักในความสำคัญ มีความเข้าใจในกระบวนการในการขับดันให้เกิดผลตามวิสัยทัศน์ร่วมกัน มีความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าขององค์กรร่วมกัน ไม่ใช่องค์กรของชั้นคือ สำนัก หรือ ฝ่าย แต่เป็น ... ... และคราวนี้ จะเป็นทุกฝ่ายทุกคน ร่วมพลังกันผลักดันให้องค์กรมุ่งสู่วิสัยทัศน์นั้นได้จริง หรูมั้ย

ซึ่งจากระดับนี้ คือถ้าทุกคนมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการพัฒนาองค์กร ก็ไม่ยากในการดำเนินการขั้นต่อไป ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน สร้างวัฒนธรรมใหม่ หรือ การถ่ายทอดความรู้ต่างๆ เพราะทุกอย่างที่พูดมาทั้งหมด จะอยู่ในแผนกลยุทธ์อยู่แล้ว

ใครจะรู้ ช่วงนี้อาจเป็นเวลาที่เหมาะ ในการที่ ... จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จะลองกันดูมั้ยพวกเรา



ความเห็นเพิ่มเติมจากคุณ Oppenheimer


: ขอเรื่อง การจัดกระบวนการทำงานก่อน



ขอต่อประเด็นจากคุณแจม แจม สักนิด

เราต้องปรับกระบวนการทำงานของเราใหม่ให้มีการบริหารจัดการความรู้ Knowledge management(KM) ในการทำงานจริงๆ ...จึงจะเป็น learning org ได้ มองอย่างเป็นระบบอาจพูดได้ว่า ขณะนี้ เรามี infrastructure ทางด้าน IT ที่พร้อมมากพอที่จะทำ KM ได้แล้วเช่น intranet, e-mail, หรืออื่นๆ ใช่มั้ยคุณ...

ที่เหลือคือการสร้างระบบ กระบวนการ เพื่อทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และใช้ความรู้อย่างมีระบบ เพื่อสร้างความรู้และผลงานให้กับ ...

กระบวนการมีอย่างน้อย 3 ประเด็น
ประเด็นแรก เนื่องจากธุรกิจของ ...เป็นธุรกิจความรู้เพราะฉะนั้นการทำงานทุกวันจึงเป็นการสร้างความรู้ใหม่ๆให้เกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว

เราจึงต้องมีวิธีการที่จะ capture ความรู้ที่เกิดขึ้นกับภารกิจประจำวันของเจ้าหน้าที่นี้ ให้เข้าไปสู่ระบบศูนย์ความรู้ ที่ต่อไปจะเรียกว่า Knowledge Stock(KS) ของสำนักงานฯ ซึ่งการสั่งสมแบบนี้ต้องพยายามให้เป็น automatic และ digitized ให้มากที่สุด เพื่อจะได้สามารถ share หรือ combine เพื่อสร้างเป็นความรู้ใหม่ และ retrive ได้ง่าย เช่น

ให้มีการการแปร file บันทึกหรือบทวิเคราะห์ เพื่อเสนอความเห็นไป ครม. ทุกชิ้นเข้าไปใน KS แล้วที่สำคัญ คือการจัดระบบ index และการสืบค้น เพื่อดึงเป็นความรู้มาใช้ทีหลัง งานชิ้นนี้ ไม่สร้าง extra load เพิ่มขึ้นมากนัก เจ้าหน้าที่ทุกคนควรจะควรจะทำได้เลย ที่เป็นส่วนเพิ่มคือต้องหาวิธี เทคโนโลยีสำหรับทำ index และระบบการสืบค้นที่ง่ายและ web based ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วในราคาถูก

ต่อเนื่องจากการ capture everyday K ก็คืบต้องมีวิธีการที่เป็นระบบสำหรับ จนท.... ที่จะ tab การทำงานของตัวเองเข้ากับ องค์ความรู้ระดับสูงที่อยู่ใน form ของผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ... ตรงนี้เรามีปัญหานิดหน่อย อย่างแรกคือ เราไม่ค่อยนับถือว่า ผชช.ใน... เป็น ผชช.ของจริง ซึ่งก็ใช่ คงต้องเลือกหน่อย แต่ผมกล้ารับประกันว่า เรามีผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ซ่อนตัวอยู่พอสมควร และมี ผชช.ที่ไม่ใช่ของจริงและไม่ซ่อนตัวอยู่เหมือนกัน

ตรงนี้ ขยายความแตกแขนงไปอีกนิด ว่า ผู้เชี่ยวชาญ นี้ไม่ได้หมายถึงผู้มีความรู้ในด้านใดด้านหนึ่งแบบเจาะลึกแคบๆ แต่หมายถึงผู้ที่มีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องก็ได้ แต่รู้ลึกรู้แตกฉาน เขาจะสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้เกือบทุกเรื่อง และที่สำคัญจากทุกแง่มุม นี่คือการเป็น ผชช.ตัวจริง ส่วนเรื่องอื่นรู้น้อยบ้างก็ไม่เป็นไร

อย่างที่ 2 คือเราไม่มีกระบวนการที่ install ไว้เพื่อให้ จนท.เราสามารถ tab เข้าหา expertise ตรงนี้ และอีกปัญหาคือ จนท.เรายังไม่คุ้นเคยกับวิธีการแบบนี้มากนัก ซึ่งจริงๆก็ทำอยู่ตลอดเวลาบ้างแล้วแต่กับบุคคลข้างนอก เช่น การออกไปพูดคุยกับ จนท.ของหน่วยงานอื่นที่รู้ดีในเรื่องนั้นๆ

ตรงนี้คงต้องมีวิธีการเพิ่มเติมสักนิด เช่น
เราต้องทำ Expert Yellow Pages เพื่อ locate experts ทั้งภายในและภายนอก ... โดยทำอย่างต่อเนื่องและมีการ update ตลอดเวลา อันนี้รวมทั้งการสร้าง connection เพื่อการติดต่อด้วย เช่น เบอร์โทร email ที่อยู่ ประวัติการทำงาน(ดูๆแล้วคล้ายๆคลังสมอง แต่ยังไม่เกษียณ และต้อง very active)

จากนั้นก็สร้างกระบวนการ หรือวัฒนธรรมของการใช้หรือ share องค์ความรู้จาก ผชช.เหล่านี้ ที่สำคัญคือจะต้อง easy to access, commit to response, no heirarchy, and proper rewarding to the knowledge giver ความสัมพันธ์จะเป็น purely academic, fact and knowledge base, and sometimes can be im-personal. นั่นคือ ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้จักการเป็นส่วนตัวถึงจะเข้าหากันได้แต่ความเกรงใจตามธรรมเนียมไทยคงมีอยู่แล้ว


ประเด็นต่อไปคือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์ร่วมกัน

ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีการเสวนาแบบ informal เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด(ข้อมูล+ความเห็น+idea) มากขึ้นและถึงแม้จะเป็น informal แต่ในระยะแรกของการสร้างกลุ่มที่มี substance and productive การเสวนานั้นก็ต้อง work related พอสมควร ตรงนี้เป็นเรื่องยาก แต่ต้องช่วยกันที่สำคัญคือ ทุกคนต้องพยายาม contribute และช่วยกันสร้างให้เกิด value added จากการถกเถียง ขอย้ำว่าต้องมี value added

วงถกเถียงนี้สำคัญมาก เพราะจะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีอยู่ในหัวและในstock ของแต่ละคนซึ่งเป็น tacit knowledge ที่ส่วนใหญ่แล้วจะช่วยทำให้เกิด value added ต่อการทำงานมากกว่า explicit knowledge

หลักการตรงนี้ คือ fair sharing, และ proper rewarding to the sharer สำนักงานฯจะต้องมีการ reward ให้กับคนที่สร้างองค์ความรู้เพิ่มเติมให้กับ KS หรือ จนท.คนอื่นๆ ตรงนี้เป็นงานใหม่และสำคัญแต่ก็มีแบบอย่างจากภาคเอกชนให้ดูอยู่หลายกรณีแล้ว

ประเด็นต่อไป คือการกระตุ้นให้การทำงานของ จนท.ใน... จะต้องเป็น knowledge based จริงๆไม่ใช่เพียง opinion based หรือ just information based หรือ authority based

ตรงนี้ ตัวละครสำคัญคือพวกที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานทุกระดับ คุณจะต้องรู้วิธีที่จะตั้งคำถามเพื่อให้เกิด การคิดแบบสร้างสรรค์ เป็นระบบและพึ่งพาความรู้ ซึ่งคำถามเหล่านี้มีหลัก พื้นฐานอยู่ แต่ในสภาพที่ องค์ความรู้พัฒนาไปตลอดเวลา ความรู้ส่วนหนึ่งจะเกิดใหม่ ความรู้ส่วนหนึ่งจะล้าสมัย คุณก็จะต้องเป็น learning person ที่รับรู้สิ่งใหม่ๆและพร้อมที่จะ share

ไม่ใช่อมไต๋ไว้เพราะกลัวลูกน้องจะรู้ดีกว่า แบบนั้นไม่เอา ผู้นำตัวจริงจะต้องมีลูกน้องที่เก่งกว่าเยอะๆ ถ้าคุณกลัวก็ถอยไป อย่ามาขวางทางความเจริญ ทั้งลูกน้องและหัวหน้าจะต้องเข้าใจให้ซึ้ง ว่า ตำแหน่งต่างๆเป็นหมวก

ขอโทษที เผลอเทศน์ไป


ความคิดเห็นเพิ่มเติม



: ปื๊ด สะพานดำ


อนุโมทนา สาธุในความรู้และประสบการณ์ที่ได้ช่วยชี้แนะ ขอให้ท่านเจริญๆ

Collectiion of Data is Information, Information leads to Knowledges, Knowledges lead to Wisdom, finally Wisdom can tackle Problems.

" A world of differences, partnership for the future"

APEC 2003

การประชุมเอเปคครั้งนี้ เจ้าภาพต้องพยายามลดข้อขัดแย้งต่างๆ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ยอมรับถึงความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการสร้างความหวังและอนาคต (preferences)

"หมวก เขามีไว้ให้สรวมใส่(ทำหน้าที่ให้สมตำแหน่ง) ไม่ใช่มีไว้ให้ถือ(ยึดมั่น พอถึงเวลาทุกคนก็ต้องถอดออก)"


ตราบใดที่ยังไม่สามารถตัดอวิชชาซึ่งเป็นรากเหง้าของอุปาทาน ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ .... ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดภพ ชาติ แล้วความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบก็เกิดขึ้น

ทุกคน ล้วนมีเวรมีกรรมเป็นของของตน ไม่อาจล่วงพ้นเวรกรรมของตนไปได้

ทางปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง (มัชฉิมาปฏิปทา)ที่เกิดจากการเจริญในสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายาโม(เพียรชอบ) สัมมาอาชีโว สัมมากัมมันโต สัมมาสังกัปโป และสัมมาวาจา(มรรคมีองค์ 8) จะเป็นทางที่สามารถล่วงพ้นจากวัฏสงสารที่เป็นวงจรอุบากท์ (vision circle) ที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมของเรา


จบการอภิปราย



ก็จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับการสนทนาเรื่อง แนวคิดเรื่องการปรับบทบาทฯ ซึ่งสิ่งที่ได้มานั้น ก็คงจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ


สำหรับวันนี้ ขอบคุณและสวัสดีครับ




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2548
0 comments
Last Update : 25 พฤษภาคม 2548 7:16:42 น.
Counter : 849 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คุณเบ๊สะพานขาว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คุณเบ๊สะพานขาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.