เมื่อจีนลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ ไทยก็ต้องปรับตัวทุกฝีก้าว/สุทธิชัย หยุ่น
ขออนุญาตนำข้อเขียนของคุณสุทธิชัย หยุ่น และกรุงเทพธุรกิจรายวัน
มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ขอขอบคุณมากคะ ดังนี้
//www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635298
เคยบอกไว้ในคอลัมน์นี้ว่าถ้าจีนจาม เราต้องระวังจะติดหวัดด้วย
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาจีนไม่ใช่จามเฉย ๆ เกิดอาการ ฮัดเช้ย! อย่างแรง
ช็อกโลกด้วยการประกาศลดค่าเงินหยวน 1.9%
ถือว่าเป็นการลดค่าเงินสกุลเหรินหมินปี้ครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปี
ไม่ทันข้ามคืนก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นสงครามค่าเงิน
สื่อตะวันตกหลายสำนักฟันธงว่า
การลดค่าเงินหยวนของจีนครั้งนี้จะนำไปสู่สงครามค่าเงินระลอกใหม่
ที่เป็นการประทุมาจากเอเชีย ท่ามกลางการค้าโลกที่ชะลอตัวลง
ธนาคารกลางของจีนได้ตรึงเงินหยวนที่ 6.2095-6.2097 ต่อดอลลาร์
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณชะลอตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้
มองย้อนกลับไปไม่นานก็จะเห็นอาการแปลก ๆ ก่อนหน้านี้แล้ว
ฟองสบู่ ตลาดหุ้นแตกเมื่อเดือนก.ค. ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต
ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 5,166 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.โดยขึ้นไปถึง 150%
ในช่วงเวลาแค่ 1 ปีก่อนที่จะถูกเทขายทิ้งโดยนักลงทุนต่างชาติ
กองทุนเก็งกำไร Hedge Funds และนักลงทุนจีนที่ใช้เงินกู้ Margin Loans ทั้งหลาย
เหล่าบรรดาอาแป๊ะอาตี๋ที่เข้ามาเล่นหุ้นเสี่ยงโชคอย่างบ้าคลั่งก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้นของจีนถึงวันนี้ก็ยังมีอาการผันผวนอย่างแรง
ดัชนีหุ้นดิ่งลงถึง 32% ทำให้มูลค่าของหุ้นในตลาดหรือ market cap หดหายไปเกือบ 50%
และมีการขอพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวถึง 1,,422 บริษัท
ตามมาด้วยมาตรการป้องกันการทุบหุ้น และพยุงหุ้น 24 มาตรการ
ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ทรงตัวที่ 3,700-3,800
หลังจากที่ลงไปต่ำสุดต่ำกว่า 3,500 เมื่อช่วงต้นเดือนส.ค.
ข่าวทางลบที่ตามมาคือตัวเลขการส่งออกจีน
ร่วงลงหนักสุดถึงกับติดลบ 8.3%ในเดือนก.ค.
ทำให้เกิดความกลัวว่าเศรษฐกิจจีนอาจเจอกับการ หัวทิ่ม หรือ hard-landing
ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างแน่นอน
จีนนำร่องมาตรการรุกด้วยการลดค่าเงินหยวน 1.9% เมื่อวันอังคาร
ทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างเฉียบพลัน เคลื่อนไหวที่ระดับ 6.32-6.35 ต่อดอลลาร์
เท่ากับเป็นระดับที่อ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี
ปฏิกิริยาต่อเนื่องคือเงินหยวนอ่อนค่า 1.8% เมื่อเทียบกับวอนเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ดอลลาร์
และอ่อนค่า 1.2% เมิ่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลีย
หนีไม่พ้นว่าจะเกิดความหวาดหวั่นทันทีว่า
นี่คือจุดเริ่มต้นของ สงครามค่าเงินระลอกใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียหรือไม่
ยังต้องเฝ้ามองตลาดการเงินโลกต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงจะสรุปได้ว่านี่เป็นสงครามเศรษฐกิจในรูปแบบไหน
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเมื่อเงินหยวนอ่อนตัวลง ผลที่ตามมาทันทีคือราคาน้ำมันที่ร่วงลง
เพราะคาดการณ์ว่าจีนจะต้องสั่งน้ำมันเข้าน้อยลงเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง
เมื่อเงินหยวนอ่อนค่าลง นักท่องเที่ยวจีนก็จะต้องทบทวนแผนการเดินทางท่องเที่ยว
และการไปซื้อหาข้าวของในต่างประเทศ
ต้องดูว่าการที่จีนขยับอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้
จะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือไม่...
หลังจากที่แช่แข็งอัตราดอกเบี้ยมาตั้งแต่ ค.ศ. 2006
เพราะความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนจะส่งผล
ต่อการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของสหรัฐและยุโรปอย่างปฏิเสธไม่ได้
สำหรับประเทศไทย เมื่อเงินหยวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยด้วย
เพราะจีนจะได้เปรียบด้านการส่งออกมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นการที่เงินบาทอ่อนลงในช่วงหลัง
ก็จะไม่สร้างความได้เปรียบให้การส่งออกของไทยมากนัก
##และเมื่อเงินหยวนอ่อนค่าลง จีนก็จะต้องใช้เงินมากขึ้นในการสั่งสินค้าเข้า
จะทำให้การส่งออกของไทยเข้าจีนมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นอีกปัจจัยหนึ่ง
...มังกรกำลังดิ้นพล่าน
งูดินตัวน้อยใหญ่ก็ต้องปรับตัวให้ทัน
ถ้าไม่อยากโดนแรงกระแทกบาดเจ็บเกินไป/จบ
..................................................................................................................................