เพราะกลัวจะร่วงหนักจนเอาไม่อยู่ เฉพาะตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้แห่งเดียว
ดัชนีคอมโพสิตร่วงถึง 30% ในช่วงสามสัปดาห์
และหุ้นของ 1,300 บริษัทจากทั้งหมด 2,800 หรือประมาณ 40%
ถูกสั่งระงับการซื้อขายเพราะมีแรงเทออกมาอย่างหนัก
ต้นสัปดาห์นี้ จำนวนหุ้นที่ถูกระงับซื้อขาย
มีมูลค่าเท่ากับประมาณ 1.4 ล้านล้านเหรียญ หรือ 21% ของมูลค่าทั้งตลาด
ถือเป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาแน่นอน
รัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ไม่มองเรื่องความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของตลาดหุ้น
เป็นเรื่องปกติของระบบทุนนิยม
หากแต่ตีความเป็นเรื่อง ความมั่นคง ของรัฐบาลด้วย
เพราะคนจีนก็มองว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการขึ้นลงของตลาดหุ้น
หาก เอาไม่อยู่ ก็จะทำให้เกิดอาการขาดความมั่นใจของชาวบ้านต่อผู้มีอำนาจได้ง่าย ๆ
จึงเป็นที่มาของความพยายามของทางการจีนที่ประกาศมาตรการ อุ้ม
ตลาดหุ้นหลายชุด แต่แม้จะมีข่าวคราวเรื่องจะตั้งกองทุนหนุนช่วยตลาดหุ้น
ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถฟื้นคืนความมั่นใจได้
รัฐบาลหนุนให้กลุ่มโบรกเกอร์ลงขันตั้งกองทุนยักษ์เพื่อซื้อหุ้นหลัก ๆ
เป็นการประคองสภาพตลาดไม่ให้เกิดความโกลาหลมากไปกว่านี้
เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐสภาจีนผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่
ที่ขยายคำนิยามของคำว่า พฤติกรรมที่คุกคามต่อความมั่นคงของรัฐ
ไปครอบคลุมถึงเกือบจะทุกด้านของชีวิตประจำวันของคนจีน
โดยเฉพาะคำว่า ความเสี่ยงทางการเงิน
ที่เพิ่มเติมเข้าไปในกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยกิจกรรมอะไรบ้าง
ที่เข้าข่ายว่าเป็นอันตรายต่อรัฐ
ซึ่งเปิดทางให้ทางการเข้าไปแทรกแซงอย่าเปิดเผยและฉับพลัน
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของประเทศชาตินั่นเอง
ตีความอีกด้านหนึ่งก็คือ หากตลาดหุ้นปั่นป่วน
รัฐก็ต้องถือว่าเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติได้เช่นกัน
จะอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของระบบทุนนิยมไม่ได้
เพราะโดยภาษาทางการแล้ว ระบบการปกครองของจีนวันนี้
ก็ยังเป็น สังคมนิยมบุคลิกแบบจีน ไม่ใช่ ทุนนิยม
แบบตะวันตกที่แยกออกระหว่างระบบทุนของเอกชนกับหน้าที่ของรัฐ
(แม้ว่าในระยะหลังนี้ เจ้าของทฤษฎีทุนนิยมตะวันตกอย่างสหรัฐฯ
ก็ยังต้องเอาเงินภาษีประชาชนเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินที่เจ๊งเพราะฝีมือเอกชนก็ตาม)
ความผันผวนของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีความน่ากลัวตรงที่ขึ้นลงอย่างไร้เหตุผล
เริ่มต้นจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 150% ก่อนที่จะร่วงหล่นลงมา 30%
รัฐบาลสั่งระงับหุ้นใหม่เข้าตลาด ไม่ให้ทำ IPOs ชั่วคราว
และฉีดสภาพคล่องเข้าสถาบันการเงินของรัฐที่มีส่วนเกื้อหนุนการซื้อขายหุ้น
ความกังวลเริ่มมีให้เห็นเมื่อนักวิเคราะห์บอกว่า
หากสถานการณ์ไม่กระเตื้องขึ้น ธนาคารของจีนก็อาจจะเผชิญกับภาวะหนี้เสียเพิ่มขึ้น
เพราะบริษัทในตลาดหุ้นจำนวนไม่น้อยเอาหุ้นของตนค้ำประกันเงินกู้กับสถาบันการเงิน
มีความหวั่นเกรงว่าผลทางลบอาจลามไปถึง ความมั่นคงของธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ
กลายเป็น butterfly effect หรือทฤษฎี ผีเสื้อขยับปีก
แรงกระเพื่อมเล็ก ๆ ของปีกผีเสื้ออาจส่งผลร้ายแรงหนักหน่วงไปได้ไกลอย่างคาดไม่ถึง
ยิ่งนักวิเคราะห์ไทยเราบอกว่าการหดตัวของเศรษฐกิจจีนที่จะโตต่ำกว่า 7% ปีนี้
อาจมีผลร้ายต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังและปีหน้า
ความวุ่นวายในตลาดหุ้นจีนก็อาจจะเป็นปัจจัยแห่งความน่ากังวล
ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดทุกจังหวะทีเดียว/จบ
....................................................................................................................................
และในวันเดียวกันนี้ รมว.คลังของไทยออกมาให้ข้อมูลเรื่องนี้เช่นกัน
ขออนุญาตนำเรื่องนี้จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน
มารวบรวมไว้เป็นกรณีศึกษาต่อไป ดังนี้
'สมหมาย'หวั่นจีนศก.ชะลอกระทบไทยรุนแรง
"สมหมาย" หวั่นเศรษฐกิจจีนชะลอตัว กระทบไทยรุนแรง
เหตุส่งออกไปจีน 12-13% พร้อมเดินหน้าเร่งเบิกจ่ายงบปี 59 ให้ได้ 92-93%
นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
กล่าวถึงดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ร่วงลงแรงนั้น ว่า
จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่ากรณีการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ
เนื่องจากปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังจีนถึง 12-13%
ประกอบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดของตลาดหุ้นจีนยังสูงถึง 2.70 ล้านล้านดอลลาร์
ซึ่งมากกว่ามูลค่าการซื้อขายในไทยที่อยู่ที่ 0.45 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 13 ล้านล้านบาท
ซึ่งถือว่ามากกว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยถึง 6 เท่า
โดยมองว่าปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนนั้น
หากในปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้เพียง 6% ซึ่งต่ำกว่าปี 57 ที่อยู่ที่ 7-7.1%
ทั้งนี้ การลดลงของจีดีพีจีน 1% นั้นเท่ากับการลดลงของจีดีพีของไทยถึง 35%
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2558 (ต.ค.57 -ก.ย.58)
กระทรวงการคลังเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ 92-93%
และวางเป้าหมายขาดดุลงบประมาณปี 2559 (ต.ค.58-ก.ย.59) เพิ่มอยู่ที่ 4%
จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.5% โดยการเพิ่มงบประมาณขาดดุลนั้น
เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย/จบ
..................................................................................................................................
ขออนุญาตมติชนนำข้อมูลเรื่องนี้มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ดังนี้
มะกันกดดันจีนในเวที′จี 20′ ให้ปล่อยหยวน
ตามกลไกตลาด
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐอเมริกากดดันจีนให้ปรับปรุงเรื่องการสื่อสารด้านนโยบายทางเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงการลดค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ในการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ หรือจี20 ที่กรุงอังการา ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา โดยประเด็นหลักในการหารืออยู่ที่การแก้ปัญหาความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลกซึ่งเกิดจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนชะลอตัว และความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การประชุมครั้งนี้ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน มีขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดปัญหาหลายอย่าง ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาพน่าหวั่นวิตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศตลาดเกิดใหม่ แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการเจรจาเปิดเผยว่า มีแนวโน้มว่าปัญหาที่น่ากังวลหลักๆ ทั้ง สภาพเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และนโยบายการเงินของกองทุนสำรองแห่งรัฐ (เฟด) หรือธนาคารกลางสหรัฐ จะไม่ได้รับการกล่าวถึงโดยตรงในแถลงการณ์ของการประชุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีการเจรจาหารือกันในการใช้ทุกๆ ถ้อยคำล่วงหน้ามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
แต่นายจาค็อบ ลูว์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้พบหารือกับนายโหลว จี้เหว่ย รัฐมนตรีคลังในการประชุมทวิภาคีนอกรอบการประชุมจี20 และได้เรียกร้องไม่ให้จีนปรับลดค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกในประเทศของตน โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี) ที่ปฏิบัติหน้าที่ธนาคารกลางของจีนได้ปรับลดอัตราอ้างอิงค่าเงินหยวนลงเกือบ 2 เปอร์เซ็นต์ สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงิน และจุดชนวนให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบจากการเติบโตที่ชะลอตัวของจีนต่อสภาพเศรษฐกิจโลก
โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยด้วยว่า นายลูว์ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการที่จีนจะต้องสื่อสารนโยบายการเงินของตนและมาตรการที่มีต่อตลาดอย่างระมัดระวัง โดยในแถลงการณ์ที่ใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวอย่างที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยหนัก นายลูว์ระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จีนจะต้องส่งสัญญาณออกมาว่า จีนจะปล่อยให้แรงกดดันตามกลไกตลาด ผลักดันเงินหยวนไปในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นได้เช่นเดียวกับการอ่อนค่าลง
ในการประชุมจี20 ครั้งนี้ยังมีการยกประเด็นเรื่องวิกฤตผู้อพยพในยุโรปขึ้นมาหารือเป็นครั้งแรกอีกด้วย จากการที่หลายประเทศกำลังประสบปัญหาการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่า "ระบบการจัดการผู้อพยพที่ดี" สามารถให้ประโยชน์กับประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วได้/จบ
........................................................................................................
...