ความเป็นอิสระของศาลยุติธรรม..........
เตือนใจ เจริญพงษ์
วันนี้ได้รับบทความของ ....ท่านสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ว่าด้วยเรื่อง.....ความอิสระของศาลยุติธรรม จึงนำมาฝากให้อ่านกันคะ .................................................................................................
ศาล.....เป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ................................................................................................. ศาลยุติธรรมมี.....อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่....คดีที่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของ ศาลอื่น ทั้งนี้ศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 197 คือต้องเป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ................................................................................................
อย่างไรก็ดี ..... การจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ให้เป็นไปโดยยุติธรรมได้นั้น ผู้พิพากษาต้องมีอิสระเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นไป โดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม และต้องไม่ถูกแทรกแซงการใช้อำนาจจากบุคคลหรือองค์กรใด ซึ่งหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษานั้นมีการรับรองไว้ทั้งตามรัฐ ธรรมนูญและกฎหมาย ................................................................................................ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ กำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจของฝ่าย บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อให้มีการดุลและคานกัน ทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถมีอำนาจในการให้คุณ ให้โทษฝ่ายตุลาการได้ ในการแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษผู้พิพากษาจะ ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ............................................................................................... นอกจากนี้ผู้พิพากษาต้องมีความเป็นกลาง และสามารถใช้ดุลพินิจในการมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยชอบด้วย กฎหมายได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายและพยาน หลักฐานที่เกี่ยวข้อง ............................................................................................... จากการรับรองหลักความเป็นอิสระของตุลาการ เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเพื่ออำนวยความ ยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างเต็มที่นี้เอง ................................................................................................ จึงเป็นหลักการสากลที่ว่าผู้พิพากษาได้รับความคุ้มกันจากการใช้ อำนาจตุลาการ (Judicial Immunity) ................................................................................................. หลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการเป็นแนวคิดอันมีที่มาจาก ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย Common Law โดยมีรากฐานมาจาก แนวคิดของประเทศอังกฤษ ที่ว่า the King can do no wrong ซึ่งมีหลักการในการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มครองแก่พระมหากษัตริย์ และ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ................................................................................................. เช่น ...... ตุลาการ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางการเมืองและตาม กฎหมายใด ๆ ไม่ว่าจะในฐานะส่วนพระองค์ หรือ ในฐานะประมุขของรัฐและไม่อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ................................................................................................ จากแนวคิดดังกล่าวนี้เอง ต่อมาจึงได้มีการพัฒนามาเป็นหลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจ ตุลาการ เพราะผู้พิพากษาถือเป็นบุคคลที่ใช้อำนาจตุลาการภายใต้ พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มกันทางกฎหมายแก่ผู้พิพากษา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาพิพากษาคดี จากการถูกดำเนินคดีในการใช้อำนาจทางตุลาการซึ่งกระทำใน พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาคดีได้อย่างเป็นธรรม โดยไม่จำต้องกังวลถึงภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นนอกเหนือจากการ กระทำตามอำนาจหน้าที่ของตน .............................................................................................. ในขณะเดียวกันก็เพื่อปกป้องผู้พิพากษาจากการกระทำอันมิชอบด้วย กฎหมายของผู้ที่อาจเสียประโยชน์จากคำพิพากษา ................................................................................................. สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา ศาลฎีกาในสหรัฐอเมริกาในคดี Randall v Brigham, 74 US (7 Wall.) 523 (1868) ได้เคยมีคำพิพากษาในกรณีผู้พิพากษามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ว่าความของทนายความ ทนายความผู้นั้นจึงฟ้องผู้พิพากษา ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าทนายความไม่สามารถฟ้องผู้พิพากษาได้ เพราะผู้พิพากษาไม่ต้องรับผิดหากเป็นการใช้อำนาจทางตุลาการ เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริตหรือไม่ ชอบด้วยกฎหมาย ................................................................................................ แม้ผู้พิพากษาจะได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การใช้อำนาจดังกล่าวจะไม่มีขอบเขตจำกัด หรือไม่สามารถตรวจสอบความชอบธรรมได้ ผู้พิพากษาจึงไม่อาจใช้อำนาจได้ตามความพอใจของตน การตรวจสอบการใช้อำนาจทางตุลาการของผู้พิพากษาสามารถกระทำ ได้หลายวิธี เช่น การอุทธรณ์ ฎีกา อันเป็นวิธีการตรวจสอบดุลพินิจในการรับฟ้องพยานหลักฐาน และการทำคำพิพากษาโดยให้คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจคำพิพากษา สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาต่อศาลสูง ซึ่งได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ผู้มีหน้าที่กลั่นกรองคำพิพากษาของศาลล่างอีกชั้นหนึ่ง อันเป็นสิทธิของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณา ความเป็นต้น ............................................................................................... นอกจากหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการ ตามลำดับชั้นศาลแล้ว ผู้พิพากษาอาจถูกตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการได้ หากผู้พิพากษาผู้นั้นได้กระทำความผิดวินัย แต่องค์กรที่ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องทางวินัยของผู้พิพากษานั้น มีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน ในมาตรา 220 ว่าให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากศาลฎีกา 6 คน ศาลอุทธรณ์ 4 คน ศาลชั้นต้น 2 คน และกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒ ซึ่งวุฒิสภาเลือกจากบุคคลที่ไม่เป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม 2 คน ................................................................................................ ก.ต. จึงมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบผู้พิพากษาทางวินัย โดยการให้ความเห็นชอบในการเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม และการให้ความเห็นชอบดังกล่าวของ ก.ต. ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและพฤติกรรมทางจริยธรรมของ บุคคลดังกล่าว ............................................................................................... การได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการนั้น มีขอบเขตจำกัด ผู้พิพากษาจะได้รับความคุ้มครอง ก็ต่อเมื่อได้กระทำภายในกรอบอำนาจหน้าที่ทางตุลาการ ของตนเท่านั้น เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริต หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากเป็นการกระทำนอกกรอบอำนาจหน้าที่ หรือเป็นการกระทำความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้อง กับการปฏิบัติหน้าที่ เช่น การเรียกรับสินบน ผู้พิพากษาย่อมต้องรับผิดในการ กระทำของตนโดยอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ ................................................................................................. ดังนั้น...... ความอิสระและเป็นกลางของศาลยุติธรรม เป็นหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย ที่จะนำมาซึ่งความปลอดภัยและมั่นคงในสังคม ทั้งยังเป็นการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนที่ให้สิทธิที่จะได้รับ การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอีกด้วย ................................................................................................ ......จบแล้วคะ ....เป็นความรู้ที่เป็นหลักการสำคัญและน่าสนใจมาก ....ตอนนี้ประชาชนเขามีคำถามเรื่อง 2-3 มาตรฐานกัน แล้วต้องทำอย่างไรต่อคะ....
Create Date : 18 มกราคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 18 มกราคม 2553 8:55:48 น. |
Counter : 2397 Pageviews. |
|
|
|
เสียงเค้าว่ากันพรรณนั้น จ๊ะ