เตือนใจ เจริญพงษ์
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ทาง มติชนรายวัน
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11548
ตลอดหลายช่วงอายุของผู้คนในสังคมไทย
ต่างคุ้นเคยกับวิถีชีวิต ที่ผูกพันกับคำว่า ....โชห่วย เสมอมา
เนื่องจากเป็นทางเลือกทางเดียวที่บ้านทุกบ้าน และ ชุมชนส่วนใหญ่
ได้พึ่งพาซื้อหาข้าวของสินค้าจากร้านโชห่วยมาบริโภคและใช้กันในครัวเรือนเป็นกิจวัตร
.............................................................................................
โชห่วยจึงน่าจะเป็นอาชีพเก่าแก่อาชีพเดียว
ที่ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิมเป็นคนไทยที่ยังเหลืออยู่
บัดนี้......ตำนานของโชห่วยกำลังจะเลือนหายไปจากความเป็นอยู่แบบไทยๆ
.............................................................................................
ปัจจุบันมีเรื่องของ ModernTrade
ที่เป็นการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่หลายยี่ห้อของต่างประเทศ ได้เข้ามาแทนที่ในประเทศไทยอย่างรวดเร็วตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของการแข่งขันทางเศรษฐกิจนั่นเอง
................................................................................................
จากการติดตามเรื่องนี้พบว่า
การขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ .....
.......คือขยายเข้าสู่ ชุมชน อำเภอ และต่างจังหวัดมากขึ้น
โดยปี พ.ศ.2544 มีจำนวนเพียง 1,800 สาขา
เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 สาขา ในปี พ.ศ.2549
และมีแนวโน้มจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 5,700 สาขา
............................................................................................
สำหรับ....ส่วนแบ่งตลาดของ Modern Trade
ในตลาดค้าปลีกค้าส่งของประเทศ ได้เพิ่มอย่างรวดเร็ว
จากร้อยละ 25 -30 ของปี พ.ศ.2545 เป็นร้อยละ 50-60
ในปี พ.ศ.2550
ส่วนตัวเลขของปี 2551-52 จะเป็นอย่างไรคงคาดเดากันได้
..............................................................................................
ปรากฎการณ์ดังกล่าว.....ส่งผลกระทบต่อ....
กลุ่มคนไทยที่ประกอบอาชีพด้านการค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิมอย่างรุนแรง
แม้ว่าส่วนหนึ่งผู้บริโภคในบ้านเราพึงพอใจกันไปแล้ว
เพราะ.....สามารถซื้อสินค้าในราคาถูก
......มีลดแลกแจกแถม
......มีหลายสิ่งหลายให้เลือกอย่างครบวงจร
และตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย
............................................................................................
อย่างไรก็ตาม....เรื่องนี้ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล
และ ผู้เกี่ยวข้อง...ต้องหันหน้าเข้าหากัน.
....และร่วมมือกัน
........เพื่อหาแนวทาง...และมาตรการในการแก้ไขอย่างรวดเร็ว
..........................................................................................
กล่าวคือ....
ให้...กลุ่มผู้ประกอบอาชีพค้าปลีกค้าส่งดั้งเดิม หรือโชห่วย
....สามารถอยู่ได้ ....
..........................................................................................
อีกทั้ง......ยังต้องรักษาบรรยากาศการลงทุนของนักลงทุน
.....จากต่างประเทศให้เป็นไปด้วยดีโดยตลอด ...
.............................................................................................
ปัญหานี้....รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้เริ่มแก้ไขมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2543
และมี....การยกร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ระหว่างปลายปี 2543-2544 ......
............................................................................................
แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ แม้จะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเท่าไรก็ตาม
.................................................................................................
ที่ผ่านมา....
การบริหารจัดการเรื่องนี้ทำได้
แค่...ให้...กระทรวงพาณิชย์...และ...หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
.....ร่วมกันยกร่างกฎหมายฉบับนี้...
แล้ว...ให้ทำประชาพิจารณ์...กับ...ภาคประชาสังคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.............................................................................................
เส้นทางการทำงานเรื่องนี้....ยืดเยื้อถึงขนาด
มี....ตั๋วไป-กลับ
จาก.....กระทรวงพาณิชย์ ไปที่....คณะรัฐมนตรี
อยู่หลายเที่ยวนานกว่า 10 ปี
โดยให้เหตุผลว่า....
...ให้กระทรวงพาณิชย์...ไปปรับแก้บางมาตราให้เหมาะสม
และ...ทำประชาพิจารณ์กันต่อไป
หรือ...อาจสะดุดกับช่วงเวลาของการเลือกตั้ง
และ....เสถียรภาพทางการเมืองของไทย
.................................................................................................
ตลอดเวลาที่ผ่านมา...
กลุ่มชาวโชห่วยจำนวนมากของไทย
ตกอยู่ในสภาพ....ร่อแร่ และ...ต่างเฝ้ารอความช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อ
................................................................................................
เพื่อให้การพัฒนากฎหมายของประเทศเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ .
..... พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ........
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ได้ใช้อำนาจตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 308 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 .... แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มีการดำเนินการที่เป็นอิสระขึ้น เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 25 50
โดยให้มีหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ศึกษาและเสนอแนะการจัดทำกฎหมายที่จำเป็นต้องตราขึ้นเพื่ออนุวัติการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
.............................................................................................. ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ ได้แต่งตั้ง... คณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายว่าด้วยการค้าที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น เพื่อพิจารณาสภาพปัญหา ข้อเท็จจริง เสนอแนะแนวทางในการปรับปรุง และ พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้า ที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ
...............................................................................................
นับแต่นั้นคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายว่าด้วยการค้าที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค มีผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นกรรมการด้วย ร่วมกับ สำนักงานกิจการยุติธรรม
.......ได้นำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. ....
ฉบับของกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งเป็นร่างฉบับของรัฐบาลมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน
.............................................................................................
อีกทั้ง.....ได้จัดให้มีการประชุมระดมความเห็นจากบรรดานักกฎหมาย นักวิชาการ กลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีก กลุ่มผู้ประกอบการค้าส่ง และภาคประชาสังคมในเรื่องเกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายฉบับนี้
และ........จัดให้รับฟังปัญหาเฉพาะกลุ่ม ได้แก่
.....กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่
......ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิม
.......ผู้ค้าและผู้ผลิต (supplier)
........และผู้บริโภคทั้ง ในกรุงเทพมหานคร
ส่วนภูมิภาค...ที่จังหวัดชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551- มีนาคม 2552 รวม 10 ครั้งทั่วประเทศ โดยมีผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมทุกครั้ง
..............................................................................................................................
ทำให้รู้ถึงสภาพปัญหา ผลกระทบ และข้อเสียเปรียบทางการค้าของอาชีพคนไทยในประเทศ หลายประการ ได้แก่
..............................................................................................................................
1. พบว่าผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ได้มีการปรับเปลี่ยนประเภทและลดขนาดสาขา จากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Discount Store) เป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็ก เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูก (Discount Convenience Store) เพื่อเข้าไปแข่งขันโดยตรงกับร้านค้าปลีกรายย่อยที่อยู่ในพื้นที่ดั้งเดิม
................................................................................................................................
2. พบว่าข้อได้เปรียบจากจำนวนสาขาและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้นของผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ทำให้มีอำนาจต่อรองในการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตสินค้าในราคาต่ำจากการซื้อสินค้าในปริมาณมาก มีการกำหนดเงื่อนไข ขอส่วนลด และการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทำให้สามารถกำหนดราคาขายต่ำและทำการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการบริการที่ดี ขณะที่ร้านค้าปลีกรายย่อยไม่มีความสามารถและโอกาสในการพัฒนาตัวเอง เพื่อให้แข่งขันและอยู่รอดได้ นอกจากนี้ยังมีเสียงโอดโอยที่บ่งบอกว่ากลุ่มโชห่วยไปไม่ไหวแล้ว ดังนี้
..............................................................................................................................
- ผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าปลีกรายย่อยดั้งเดิมในชุมชนระดับอำเภอ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั่วประเทศจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน ยอดขายลดลง บางรายลดลงมากกว่าร้อยละ ๕๐ และบางรายต้องเลิกกิจการจำนวนมาก
..............................................................................................................................
- การใช้กฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคารยังไม่สามารถแก้ปัญหากลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
.............................................................................................
(ข้อมูลต่อไปนี้อ้างอิงจากเอกสารการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
ที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี)
ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ กระทรวงพาณิชย์ได้ยกร่างกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นก่อนโดยใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ต่อมา ปี พ.ศ.๒๕๔๖ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทยได้มีการออกประกาศ กฎกระทรวงตามกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้างอาคารค้าปลีกค้าส่งในเขตผังเมืองรวม จำนวน ๑๔๕ ฉบับ ส่วนนอกเขตผังเมืองรวมได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตเพื่อวางผังเมืองรวมและออกประกาศฯ ใน ๗๒ จังหวัด กำหนดพื้นที่การก่อสร้างอาคารค้าปลีกค้าส่งที่มีพื้นที่เกิน ๑,๐๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป โดยมีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖-๒๕๔๙ แม้ได้มีการใช้กฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคารแล้วก็ตาม แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ยังคงมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการปรับลดขนาดพื้นที่สาขาให้เล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคาร และกระจายเข้าไปในชุมชนระดับอำเภอทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เพื่อทำการแข่งขันโดยตรงกับร้านค้าปลีกรายย่อย
.................................................................................................
ข้อเท็จจริง....เรื่องนี้ปรากฏว่า
.......ได้มีการเร่งการก่อสร้างในหลายพื้นที่
..........มีการร้องเรียนและชุมนุมประท้วงของร้านค้าปลีกรายย่อยอย่างกว้างขวางมากขึ้น
.........มีการรวมกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มใหม่ ใช้วิธีการที่รุนแรงมากขึ้น โดยใช้วิธีทั้งการชุมชุมประท้วง การปิดถนน
นอกจากนี้ ......ยังมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองขอให้ระงับการขยายสาขาของห้างค้าปลีกสมัยใหม่
..........และมีการเร่งรัดการออกกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง
.............................................................................................................................
3. สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งในส่วนของผู้ผลิตโดยผู้ผลิต (Supplier) และผู้ค้า
กำลังประสบปัญหาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม การเรียกรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Entrance Fee) ที่ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเรียกเก็บอย่างไม่เป็นธรรม หรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสินค้าที่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย ได้ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หลังจากที่ได้วางจำหน่ายแล้ว โดยคุณภาพและปริมาณของสินค้านั้นไม่เปลี่ยนแปลงโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น การคืนสินค้าโดยไม่เป็นธรรม การบังคับให้ซื้อหรือให้จ่ายค่าบริการอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อันเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนแก่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เช่น การบังคับผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายให้จ่ายค่าโฆษณาเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าที่ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งได้รับประโยชน์เป็นส่วนใหญ่อย่างไม่มีเหตุผล การผลิตสินค้าตราเฉพาะของผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (House Brand หรือ Private Brand ) ที่มีรูปลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกับสินค้าของผู้ผลิต เป็นต้น
..................................................................................................................................
สถานการณ์โดยรวมของการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งและการคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบันของประเทศไทย
....ผู้เกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่า....
....... ควรจะมีกฎหมายควบคุมการขยายตัวของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ และให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
.......ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการค้าที่เสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรม และอาจใช้กฎหมายที่มีใช้อยู่แล้ว ได้แก่
................................................................................................................................
-พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.๒๕๔๒
-พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.๒๕๔๐
-พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมจากการทำสัญญาที่ถูกผู้ที่มีอำนาจต่อรองเหนือกว่าเอาเปรียบกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง มาพิจารณาก่อนด้วยวิธีบริหารจัดการหรือประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีระบบที่ดี
-ให้มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... โดยเร็ว
...............................................................................................................................
....เพื่อให้เรื่องนี้มีความคืบหน้ายิ่งขึ้น คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และสำนักงานกิจการยุติธรรม
จึงได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะทางกฎหมายเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ....
...ต่อคณะรัฐมนตรี ว่า.....ควรสนับสนุนผลักดันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว
และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้แก่
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนขนาดกลางและขนาดย่อม
รับไปพิจารณาต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่เสนอเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552นี้
................................................................................................................................
หลายฝ่ายสงสัย....?????.....ถึง....?????
ความล้าช้า.....ต่อการออกกฎหมายฉบับนี้ว่า
...ปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่ .
..อยู่ที่ฝ่ายบริหาร ...หรือ... อยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ
...............................................................................................................................
จนเป็นเหตุ......
ให้มี...ช่องว่างในการตัดสินใจของ....นักการเมืองท้องถิ่น
.....ว่าเอื้อประโยชน์ให้ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ตั้งในเขตเมือง
หรือชุมชนต่างๆมากมาย
..................................................................................................................................
ทั้งๆที่...เรามีนักอะไรต่อมิอะไรเคลื่อนไหวกันตลอด
มีการเรียกร้องเรื่องของสิทธิชุมชนกันขนานใหญ่
แต่มิอาจทัดทานได้
..............................................................................................................................
...... เห็นทีควร....
รณรงค์เรื่องบทบาทหน้าที่ของผู้บริโภคของคนไทยแต่ละคน
ให้มีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา
และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการขยายตัวของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ด้วยอย่างแท้จริง / จบ
.................................................................................................................................
....ข้อเขียนรื่องนี้
ได้เผยแพร่ลงใน....
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา
ผู้เขียนขอนำมาเผยแพร่ทาง bloggang.com ของ pantip อีกครั้ง
เพราะมีหลายท่านถามหากัน
...............................................................................................................................
และเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ข่าววงในเล่าว่า...ท่านนายกสุดหล่อขวัญใจสาวๆ
..... ได้สอบถามเรื่องร่างกฎหมายโชห่วย...
กับ....รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...ถึงความคืบหน้าว่าไปถึงไหนแล้ว
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์..ชี้แจงว่ากำลังทำประชาพิจารณ์อยู่
................................................................................................................................
......ก็ต้องช่วยกันจดจำ วัน...เดือน...ปี....กันไว้ให้ดีนะคะ
เพราะไม่อยากเห็น...การ...จองตั๋วไป-กลับ...
ที่เป็นประวัติศาสตร์ของหลายรัฐบาลไทย
และเป็นเหตุผลเดียวกัน....แบบเก่าๆ แต่เหมือนกันอีกว่า......
...ให้กระทรวงพาณิชย์ไปปรับแก้กฎหมายบางมาตรา
แล้วประชาพิจารณ์กันอีกครา......
.................................................................................................................................
ไม่อยากให้หายไปจากสังคมไทย ถึงมันจะแพงกว่าร้านสมัยใหม่ทั่วไปก็เถอะ