http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2173&page=3
13-10-2010, 07:59 PM เถรี ผู้ดูแลเว็บ
ถาม : ควรจะมีการตั้งศาลหรือไม่คะ ? ตอบ : ถ้าไม่มีศาลควรจะตั้ง ที่ใช้คำว่า "ควรจะ" เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละเขตจะมีพระภูมิเจ้าที่หรือภุมเทวดารักษาอยู่แล้ว เราตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้
แต่ถ้าเราไม่ตั้งศาล เหมือนกับเราไมได้ให้ความเคารพท่าน ไม่ได้ให้ความนับถือท่าน ถึงเวลาสิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ พอกรรมมาถึง แทนที่จะมีการผ่อนหนักเป็นเบาหรือทำให้เบาเป็นหาย เราก็ต้องรับไปเต็ม ๆ
ถาม : แล้วถ้าแถวบ้านมีศาลใหญ่ เจ้าที่ใหญ่ แล้วเรากราบไหว้ ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้ ถือว่าเราบูชารวมกับเขาไป
ถาม : เวลาตั้งมีฤกษ์มียามไหมคะ ? ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาล เขาใช้ฤกษ์วันพฤหัส ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือ เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้นและเดือนสิบสอง
เดือนแปดและเดือนสิบข้างแรม เขาไม่นิยมเพราะถือว่าอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ควรตั้งศาล
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ดินว่า "สมัยนี้ถ้ามีที่มีทางต้องรักษาไว้ให้ดี ทุกอย่างเราสร้างได้ แต่ที่เราสร้างไม่ได้ ปลูกก็ไม่งอก รดน้ำก็ไม่งอก ยกเว้นใครอยู่ริมน้ำ ตะกอนที่น้ำพัดพามา อาจจะทำให้พื้นที่งอกเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง
ในปัจจุบันจำนวนคนมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินไม่ได้งอกเพิ่มขึ้นเลย เพราะฉะนั้น...เรื่องของที่หรือบ้านควรจะรีบมีไว้ก่อนเลย อย่างเช่น ระหว่างผ่อนรถกับผ่อนบ้าน ให้เลือกผ่อนบ้านไว้ก่อน ยอมลำบากโหนรถเมล์ไปก่อน เพราะว่ากว่าจะผ่อนรถเสร็จก็เหลือแต่ซากรถ แต่ถ้าผ่อนบ้านเสร็จ บ้านก็เป็นของเรา
ต่อไปที่ดินจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจำนวนประชากรจะมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินยังมีอยู่เท่าเดิม รุ่นหลาน รุ่นเหลนจะเจอที่ดินราคาแพงโหดร้ายมาก สมัยอาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาสองแสนบาท เดี๋ยวนี้ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาอย่างต่ำสามสี่ล้านขึ้นไปแล้ว" __________________ ถาม : หนูสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคืน แต่ทำไมหนูฝันร้ายทุกคืนคะ ? ตอบ : การแผ่เมตตาแล้วยังฝันร้าย แสดงว่าจิตยังไม่เป็นสมาธิ ถ้าไม่อยากฝันต้องภาวนาให้สมาธิทรงตัวแล้วค่อยนอน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะความฝันบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตที่ฟุ้งซ่าน
ฝันร้ายนั้น เกิดจากเราเก็บความเครียดจากตอนกลางวัน เอาไปฝันในตอนกลางคืน
ความฝันจะมีธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์
ธาตุวิปริต คือ กินมาก ท้องไส้ไม่ดี ธาตุไม่ปกติ จะฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต คือ ความดีความชั่วที่เราทำมา แสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ คือ เก็บเอาความเครียดจากหน้าที่การงานที่วุ่นวายตอนกลางวันเอาไปฝัน เทพสังหรณ์ คือ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้
ถาม : แล้วหนูแผ่เมตตาทุกคืน ทำถูกใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทำถูกแล้ว ให้ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ไม่ต้องไปกังวลกับฝัน แผ่เมตตาบ่อย ๆ เดี๋ยวชำนาญแล้ว จิตเป็นสมาธิทรงตัวก็จะเลิกฝันไปเอง ยกเว้นกรรมนิมิตหรือเทพสังหรณ์ที่นาน ๆ จะมาสักครั้ง __________________ "ไม่ย่อท้อต่อคำใครในโลกหล้า....ปณิธานหาญกล้ายังคงมั่น
ถาม : ผมจะทำกรรมฐานกองไหนจึงจะได้ฌานครับ? ตอบ : กองไหนก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ เท่านั้นเอง และอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ชอบกองไหนทำไปเลย ถ้ามัวแต่ถามอยู่ ชาตินี้ก็ไม่ได้หรอก
ถาม : ผมไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ไม่แน่ใจแล้วจะไปได้อะไร คนทำกรรมฐานต้องมั่นใจตัวเอง ขาดความมั่นใจก็ไม่ต้องทำ ไปนอนตีพุงดีกว่า
ถาม : ทำกสิณไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ถ้าอยากก็ทำ ถามคนอื่นเสียเวลาไปตั้งนาน ถ้าไปลงมือทำเอง ป่านนี้คงจะเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว มัวแต่ไปไล่ถามคนอื่นอยู่เลยไม่ได้อะไรสักที
ถาม : กสิณกองไหนก็ได้หรือครับ ? ตอบ : เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอ่าน ชอบกองไหนก็ทำกองนั้น ความชอบแปลว่าของเดิมต้องมีอยู่แล้ว ถ้าชอบหลายกองก็เลือกกองที่ชอบที่สุด หรือไม่ก็กองที่หาองค์กสิณได้ง่ายที่สุด __________________ ฉะนั้น...จำไว้ว่า ถ้าหากทำอะไรได้แล้ว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นก็ได้ แต่ตอนภาวนาอย่าให้อยากแบบนั้น ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน" __________________ "ถ้าสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ ต่อไปภาวนาเมื่อไรก็ก้าวหน้า แต่ถ้าเราไปตั้งใจอยากจะให้ดีเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปเลย
ไปเจออาจารย์บางสายท่านบอกว่า "ลูกศิษย์ทำได้ถึงนั่นถึงนี่ พอมาผมฟันธงเลยว่า คุณไม่มีวันทำได้อีก" ถามว่าแล้วเป็นไปอย่างที่อาจารย์ว่าไหม ? ท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบนั้น ก็คือไปอยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างนั้นอีก ทำให้เสียผลการปฏิบัติไป
ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติทุกระดับ จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ตามดู ตามรู้ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ก้าวหน้าเร็ว กว่าอาตมาจะคลำเจอตรงจุดนี้ได้ก็เสียเวลาไปสามปีเต็ม ๆ ต้องการแค่ปฐมฌานตัวเดียว ภาวนาทุกวัน เอาตัวอยากนำหน้าก่อนทุกวัน
ตามดูว่านี่ลักษณะวิตกนะ นี่ลักษณะวิจารณ์นะ ตอนนี้ปีตินะ ขนลุกซ่า ๆ เดี๋ยวต้องเป็นอย่างนั้น เป็นขั้นตอนที่เราเคยผ่านมาก่อน ก็เลยตามจี้อยู่ตลอด จิตจึงฟุ้งซ่านไม่รวมตัวเสียที วันที่ได้เป็นวันที่หมดอารมณ์แล้ว เบื่อแล้ว ทำมาตั้งสามปีไม่ได้เสียที เราจะภาวนาก็แล้วกัน จะเป็นหรือไม่เป็นช่างมัน ผัวะเดียวได้เลย" __________________
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2557 15:54:46 น. |
Counter : 669 Pageviews. |
|
|
|