|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
: : คอร์นฟลาวเวอร์ : ความอ่อนโยน..ละมุนละไม : :
แว่บแรกที่เราเห็นดอกไม้ชื่อแปลกชวนให้คิดไปถึงข้าวโพดนี้ เราก็เกิดความประทับใจแต่แรกเห็น ประหนึ่ง "รักแรกพบ" ทีเดียว ... ดอกไม้อะไรช่างสวยงาม ทั้งสีสันและรูปทรง แต่พอได้ยินชื่อก็งงเล็กน้อย "คอร์นฟลาวเวอร์" เอ๊อ.. คนตั้งชื่อดอกไม้นี้ก็ช่างกระไรเลย ทำไมต้องตั้งชื่อดอกไม้แสนสวยเป็นอย่างนี้ไปได้หนอ ...
เราพบคอร์นฟลาวเวอร์เป็นครั้งแรก ในสวนพฤกษศาสตร์คิวแห่งเกาะอังกฤษนั่นเอง เห็นแล้วก็ออกจะทึ่งในการสรรค์สร้างสีสันโดยธรรมชาติ กลีบดอกสีฟ้าอมม่วงครามสุดสวยแปลกตาที่หาได้ยาก ส่วนใหญ่จะเคยเห็นแต่ดอกไม้กลีบสีฟ้าอ่อน หรือไม่ก็ม่วงไปเลย ...
ตามตำราคู่มือดอกไม้ป่าอังกฤษ (Wild Flowers of Britain and Northern Europe) ของสำนักพิมพ์ DK (Dorling Kindersley) บอกไว้ว่า คอร์นฟลาวเวอร์เป็นพืชในตระกูลเดียวกับเดซี คือ Family : Compositae แม้ว่ารูปทรงของมันจะดูไม่เหมือนดอกเดซีสักเท่าไหร่ แต่ในทางพฤกษศาสตร์ เขาถือว่าเจ้าดอกคอร์นฟลาวเวอร์เป็นญาติโกโหติกากับเดซี รวมทั้ง ชิคคอรี (Chicory) แดนดิเลียน (Dandelion) และทิสเทิล (Thistle)อีกด้วย ...
เราชอบคอร์นฟลาวเวอร์นี้ตรงลักษณะของมัน ดูเป็นป่าๆ ดี ... กลีบดอกฟรีฟอร์ม เป็นฝอยๆ ฟูๆ บางมุมอาจจะคล้ายคาร์เนชั่น แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ... ลักษณะของดอกเป็นแบบที่เรียกว่า ดอกเดี่ยว (Solitary flower head) กลีบดอกด้านนอกใหญ่และแผ่กว้างโดยรอบดอก ลำต้นสูงเพรียวระเหิดระหงเหมือนนางแบบ มีขนอ่อนๆ ปกคลุมลำต้นด้วย รูปใบเรียวยาว มีหนามเล็กๆ อยู่ด้านข้างของใบเป็นระยะๆ ... ดอกไม้งามมักมีหนามแหลมคมอย่างนี้ละหนอ ... มาชมภาพคอร์นฟลาวเวอร์ของเราจากสวนคิวกันก่อน มีรูปเดียวเองละค่ะ ไม่ค่อยสวยจ๊าบโดนใจเท่าไหร่ ... นอกนั้นก็หยิบยืมมาจากในเน็ตนี่ละ ไว้ไปคราวหน้าจะไปถ่ายรูปเก็บไว้ให้สาแก่ใจเลยเชียว...
..ภาพคอร์นฟลาวเวอร์ของเราเอง.. ที่สวนพฤกษศาสตร์คิว บริเทนใหญ่..
ค อ ร์ น ฟ ล า ว เ ว อ ร์
ชื่อพฤกษศาสตร์ (Botanical name) : Centaurea cyanus ชื่อสามัญ (Common name) : คอร์นฟลาวเวอร์ (Cornflower) ชื่ออื่น : Bachelor's Button, Bluebottle, Ragged Sailor, Hurt-sickle, Star Thistle, Knapweed วงศ์ (Family) : Compositae สกุล (Genus) : Centaurea ชนิด (Species) : cyanus การรับแดด (Exposure) : ชอบแดดมาก (Full sun) ภาวะทนแล้ง (Hardiness) : ทนแล้งได้ดี (Hardy) ดินที่ชอบ (Soil type) : ดินแห้งและร่วน ดินเหนียว ดินทราย แห้งๆ และมีความชื้นพอประมาณ (Well-drained/light, Clay/heavy, Chalky/alkaline, Dry, Moist) ถิ่นที่อยู่ (Habitat) : ในแปลงพืชไร่ เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด (Arable land) ความสูง (Height) : 30-90cm การแผ่กิ่งก้านของต้น (Spread) : 30cm เวลาที่ควรหว่านเมล็ด (Time to plant seeds) : มีนาคม-พฤษภาคม (March to May) การออกดอก (Habit) : ปีละครั้ง (Annual) เวลาผลิดอก (Flowering time) : มิถุนายน-สิงหาคม (June-Aug) ขนาดดอก : 15-50mm
(ข้อมูลจาก bbc gardening และ Wild Flowers Handbook ของ DK)
Photo by courtesy of //www.guardian.co.uk
ไม่น่าเชื่อว่าสะสวยขนาดนี้ คอร์นฟลาวเวอร์ยังถูกจัดอยู่ในประเภทวัชพืช (Weed) เพราะความที่มันชอบไปขึ้นอยู่ในฟาร์มพืชไร่นี่ละ แต่ในธรรมชาติตามทุ่งหญ้าป่าละเมาะก็มักจะมีคอร์นฟลาวเวอร์เป็นหนึ่งในดอกไม้ป่าที่พบได้ทั่วไปในอังกฤษและยุโรป
ถ้าเป็นดอกไม้ป่า คอร์นฟลาวเวอร์จะมีแต่สีฟ้าเข้มหรือม่วงครามอย่างที่เห็นนี้ แต่ถ้าเป็นคอร์นฟลาวเวอร์ที่มีการเพาะขยายพันธุ์เพื่อการทำสวน จะมีสีอื่นๆ ด้วย เช่น ขาว ชมพู ม่วง แดง ...
เมื่อเราเดินไปในทุ่งดอกไม้ป่า ดอกไม้ที่มักจะเจออยู่ด้วยกันเสมอๆ ก็มักจะมี ป๊อปปี้ คอร์นฟลาวเวอร์ กับดอกอื่นๆ (ที่เราไม่รู้จัก) เช่น เชพเพิร์ดส นีเดิลส์ คอร์น พาร์สลีย์ เป็นต้น ... อือม์ ... นึกถึงรูปดอกป๊อปปี้ในทุ่งหญ้าที่เราเคยถ่ายรูปมาเหมือนกัน นั่นไง มีคอร์นฟลาวเวอร์ขึ้นแทรกๆ อยู่ด้วยกันจริงๆ เสียด้วย ...
..ภาพถ่ายของเราเอง ถ่ายที่สวนคิวเจ้าเก่า... ..ตั้งใจจะถ่ายรูปดอกป๊อปปี้ แต่คอร์นฟลาวเวอร์ก็อยู่ในภาพด้วยนะเนี่ย.. เพิ่งรู้..
เมื่อเติบโตเต็มที่ คอร์นฟลาวเวอร์จะสูงได้ราว 1 เมตร มีกิ่งก้านสาขามากมาย ใบเรียวยาวมีสีเขียวอมเทา และมีขนอ่อนๆ ปกคลุม ใบล่างๆ ที่โคนต้นจะมีความยาว มากกว่าใบบนๆ ดอกของคอร์นฟลาวเวอร์มีขนาดใหญ่สุดราว 3 เซนติเมตร รูปดอกเหมือนดาว ส่วนที่เห็นเป็นดอกสีม่วงๆ นี้ แท้จริงแล้วตรงกระจุกในใจกลางดอก ยังประกอบด้วยดอกเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วน (คงคล้ายๆ กับทานตะวันกระมัง) ดอกคอร์นฟลาวเวอร์สีฟ้าสดสวยนี้จะบานปีละครั้ง ในช่วงฤดูร้อนของภาคพื้นยุโรป (มิถุนายน - สิงหาคม)
สรรพคุณในทางสมุนไพรของคอร์นฟลาวเวอร์
Picture by courtesy of //www.marona.co.uk
นอกจากรูปสวยแล้วยังรวยเสน่ห์ด้วยนา ... คอร์นฟลาวเวอร์นี้เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้ดีในเครื่องสำอางและใช้ชงเป็นชาก็ยังได้ ด้วยคุณสมบัติที่มีสารแทนนิน (tannin) และ เกลือโปตัสเซียม (potassium salts) คอร์นฟลาวเวอร์จึงมีสรรพคุณด้านการฝาดสมาน (astringent) ช่วยเยียวยาอาการท้องเสียได้ ให้ความชุ่มชื่น บำรุงหัวใจ และบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ (ฟังหูไว้หูก็แล้วกันเนอะ)
ถ้าใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง สารที่ว่ามาข้างต้น จะช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดรอยเหี่ยวย่นรอยตีนกาได้ด้วย (..จริงอ่ะ ... ) ว่ากันว่า ถุงชาคอร์นฟลาวเวอร์ เมื่อนำมาประคบรอบดวงตา จะช่วยลดความหมองคล้ำของรอยวงดำๆ รอบตา (อาการตาหลินปิง) ได้ด้วย บางกระแสก็ว่า คอร์นฟลาวเวอร์เป็นหนึ่งในตัวช่วยการทำดีทอกซ์ (ขับสารพิษ) ออกจากร่างกายได้
กลีบดอกสีฟ้าเข้มของคอร์นฟลาวเวอร์ นำมาตากแห้งและบดละเอียดทำเป็นชาชงดื่มได้ เชื่อกันว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย และช่วยขับปัสสาวะได้ นอกจากนี้ ฝรั่งยังนำมาเด็ดเป็นกลีบๆ ไว้โรยหน้าสลัดเพื่อเพิ่มสีสันให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น (รสชาติเป็นอย่างไรไม่แจ้ง..เราเองก็ยังไม่เคยลอง)
ด้านสรรพคุณทางยา มีภูมิปัญญาพื้นบ้าน (ของฝรั่ง) เชื่อกันว่า กลีบดอกคอร์นฟลาวเวอร์นำมาเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างตาได้ด้วย (อือม์..ไม่กล้าใช้หรอกเรา)
เรื่องเล่าของคอร์นฟลาวเวอร์
Picture from "The Language of Flowers"
จากหนังสือ "The Language of Flowers" by Shiela Pickles เล่าเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับคอร์นฟลาวเวอร์ไว้ว่า ความหมายของดอกไม้นี้ คือ ..ความบอบบางและอ่อนไหว.. (Delicacy) ก็สมกับลักษณะต้นของมันที่ดูสูงเพรียวระเหิดระหง และดอกก็มีกลับเป็นแฉกเล็กๆ ดูอ่อนหวานอยู่ในที ...
ยังมีเรื่องเล่าอีกด้วยว่า ในอดีตกาล หากหญิงสาวตกแต่งเครื่องแต่งกายของเธอด้วยคอร์นฟลาวเวอร์ ก็หมายความว่า เธอยังมิได้สมรส และหากบุรุษใดปักคอร์นฟลาวเวอร์ไว้ที่กระเป๋าเสื้อ มีความหมายว่า เขากำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก ...
นอกจากนี้ยังมีคติความเชื่ออีกว่า ถ้าสตรีใดแอบซ่อนคอร์นฟลาวเวอร์ไว้ใต้ผ้ากันเปื้อน แสดงว่าเธอแอบมีใครบางคนอยู่ในใจของเธอแล้ว นี่ละจึงเป็นที่มาของชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้อีกอย่างหนึ่งว่า 'กระดุมเสื้อของคนโสด' (Bachelor's Button)
Photo by courtesy of //www.bbc.co.uk
คอร์นฟลาวเวอร์เป็นดอกไม้สีฟ้าเจิดจ้าสะดุดตา ยามที่มันเติบโตเยี่ยงดอกไม้ป่าโดยเฉพาะในทุ่งข้าวโพด ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่ออื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น 'บลูบอทเทิล' (Bluebottle) 'แรกจ์เซเลอร์' (Ragged Sailor) และ 'เฮิร์ท ซิคเคิล' (Hurt-sickle) เนื่องจากลำต้นที่แข็งแรงของมันมักจะมีแรงต้านทำให้ใบมีดเครื่องมือทำสวนทำไร่ของชาวสวนทื่อกันไปตามๆ กัน
ชื่อสกุล (Genus) ของคอร์นฟลาวเวอร์ที่ว่า Centaurea มีที่มาจากกรีกยุคโบราณ เมื่อ Chiron the Centaur (คงจะเป็นนักรบกรีกกระมัง..) ได้รับบาดเจ็บจากปลายธนูอาบยาพิษของเฮอร์คิวลิส เขาใช้คอร์นฟลาวเวอร์มาโปะบนแผล ทำให้แผลสมานและหายดีในไม่ช้า
ส่วนชื่อชนิด (Species) คือ cyanus นั้นก็มีเรื่องเล่าคลาสสิกอยู่ว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ชื่อว่า Cyanus เขาเคารพนับถือเทพีฟลอรา (Flora) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดอกไม้ เขาหลงใหลความงามดอกไม้สีฟ้ามากเป็นพิเศษ และได้รวบรวมมาปลูกไว้ในไร่ข้าวโพดข้างๆ บ้านของเขาไว้มากมาย วันหนึ่ง เขาก็เสียชีวิต เทพีฟลอราจึงได้บันดาลให้เขากลายเป็นคอร์นฟลาวเวอร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ความรักอันลึกซึ้งต่อดอกไม้สีฟ้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ และแทนความผูกพันของเขาต่อองค์เทพีด้วย ดังนั้น ความหมายของคอร์นฟลาวเวอร์จึงสื่อถึง "Delicacy" คือความอ่อนโยน ละมุนละไม ของความรู้สึกและความผูกพันที่เด็กหนุ่มผู้นี้มีต่อองค์เทพีและดอกไม้สีฟ้านั่นเอง ... From "The Language of Flowers" by Shiela Pickles
อื่นๆ อีกมากมาย ... เกี่ยวกับ "คอร์นฟลาวเวอร์"
สีฟ้าเข้มจัด (Deep azure-blue) ของคอร์นฟลาวเวอร์ สุดสวยจนฝรั่งนำไปตั้งชื่อเป็นระดับหนึ่งของสีฟ้า เรียกว่า "ฟ้าคอร์นฟลาวเวอร์" (Cornflower Blue) ว่ากันว่า สีฟ้าที่ 'ฟ้าที่สุด' ของดอกไม้ ("Cornflower Blue", the bluest blue in the flower kingdom.)
ในตำนาน "ภูตพฤกษา" ของคุณป้านักเขียนภาพชาวอังกฤษ Cicely Mary Barker ก็มีภูตพฤกษาคอร์นฟลาวเวอร์อยู่ด้วยหนึ่งตน
คอร์นฟลาวเวอร์เป็นไม้ประดับในสวนสำหรับสหรัฐอเมริกา แต่ในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพืชชนิดนี้ คอร์นฟลาวเวอร์ถือเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง เพราะชอบไปขึ้นในไร่ข้าวสาลีและไร่ข้าวโพดไง ...บางทีก็ถูกมองว่าเป็นดอกไม้ป่า ปล่อยให้เติบโตอย่างอิสระ (ไปตามยถากรรม?!) เผลอๆ ก็ถูกผู้คนถอนทิ้งเสียอีก ...โถๆๆๆ ...
นอกจากคน (ที่มีใจสุนทรีย์) จะชื่นชอบคอร์นฟลาวเวอร์ นกและผีเสื้อก็ชอบดอกไม้ชนิดนี้มากด้วยเช่นกัน
คำว่า "Cornflower Blue" นอกจากจะมีการนำไปใช้เรียกชื่อสีแล้ว ยังมีคนเอาไปตั้งเป็นชื่อวงดนตรี (โฟล์ค ดูโอ) และเป็นชื่อเพลงอีกด้วย (ไพเราะแค่ไหนเราก็ยังไม่เคยฟัง เห็นแต่เนื้อเพลง...)
"Cornflower Blue"-Eric Bogle
Cornflower blue, bloomin' in the mornin' sun Tiny flowers that grew, from when our love had just begun Long ago we planted, each dry and dusty row how long has it taken, for the seeds of love to grow? Cornflower blue...
Cornflower blue, like the faded shirt you wore Standing in the shadows, when I opened up the door The smile in your eyes, when you said hello Held me so tenderly, and you would not let me go Cornflower blue...
Cornflower blue, deeper than the evenin' sky peaceful as a river, bluer than goodbye Blue like a diamond, when the light shines true If love came in colors, then I'd choose this one for you Cornflower blue... Cornflower blue...
: : บันทึกวันสีม่วง : : ..๓๐ มกราคม ๒๕๕๓..
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาตกใจนึกว่าหลงเวลาเป็นตอนเย็น เพราะฟ้ามืดครึ้มยังกับเรานอนข้ามคืนข้ามวัน อากาศพิลึกมากๆ จนต้องทำใจให้ชินว่าเป็นธรรมดาของโลกยุค ๒๐๑๐ ที่ต้องมีแต่ความวิปริตแปรปรวน แต่ได้ตื่นนอนสายบ้าง (เจ็ดโมงแน่) ก็ทำให้หายเพลียไปได้เยอะ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราอาการแย่มากๆ เริ่มจากปวดหัว เป็นไข้ ท้องเสียกะปริดกะปรอยสามวัน ซึ่งเราก็กัดฟันมาทำงานทุกวัน ไม่ได้ลาป่วยเลย ... ถ้ายังมาไหวก็ต้องมา แถมส่งท้ายด้วยการปวดตาซ้ายมาก จนเรากลัวตามองไม่เห็น เมื่อวันพฤหัสบดีจึงจำเป็นต้องวิ่งโร่ไป "ศูนย์จักษุรักษา" ในสถานที่ทำงาน เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ตรวจตาด้วยเครื่องไ้เครื่องมือสุดทันสมัย พยาบาลและหมอ ให้เราเอาคางวางบนเครื่องอะไรๆ แล้วก็เอาเครื่องมาสแกนแก้วตา ถ่ายรูปเลนส์ตา ตรวจความดันตา เอกซเรย์ลูกตา ... โอ้ย ... งงมากๆ อะไรจะทันสมัยขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ใช่ตรวจฟรีต้องคิดว่าศูนย์ฯ นี้หาเรื่องเอาเงินคนไข้แน่ๆ สรุปว่า หมอคิดว่าตาเราไม่ได้เป็นไรมาก แต่ปัญหาอาจเกิดจากเรื่องพื้นๆ คือใช้สายตามาก ก็ทำให้ตาล้า หรืออาจเป็นเพราะเรามีสายตาสั้นและยาวในเวลาเดียวกัน การมองเห็นเลยไม่ค่อยสมดุล หมอแนะนำให้ไปทำแว่นใหม่ จะได้ถนอมสายตา ไม่ทำให้ตาข้างใดข้างหนึงทำงานหนัก แต่หมอก็นัดมาตรวจอีกทีว่าเรามีโอกาสที่จะเป็นต้อหินหรือเปล่า (อันเป็นผลมาจากอะไรซักอย่างในลูกตาเราเสื่อมไปตามวัย) คุณหมอน่ารักมากๆ เป็นสาวสวยสู้งาน เห็นตรวจตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่ายโมง คนไข้ไม่หมดแกก็ไม่ออกจากห้องตรวจเลยนะ เราไปตั้งแต่สิบโมง รอถึงเที่ยงครึ่งแน่ะ (คิวที่ ๓๒) หมอใจเย็น พูดเพราะและเก่งด้วย ตรวจมือเบาและแม่นยำมาก ...ประทับใจๆ เฮ้อ.. นี่ละนะ สังขารมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงต่อไปก็ต้องถนอมสายตาไว้หน่อย จะได้มีตาดีๆ ไว้ใช้งานได้อีกนานๆ ..... ..สุขสันต์วันเสาร์สบายๆ ค่ะ..
Create Date : 29 มกราคม 2553 |
Last Update : 30 มกราคม 2553 21:28:33 น. |
|
17 comments
|
Counter : 11617 Pageviews. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:1:02:03 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:6:21:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:8:14:08 น. |
|
|
|
โดย: Dingtech วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:9:13:19 น. |
|
|
|
โดย: ถุงก๊อปแก๊ป วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:10:26:45 น. |
|
|
|
โดย: หนูเมเปิล วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:11:40:23 น. |
|
|
|
โดย: ลุงแว่น วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:15:19:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 มกราคม 2553 เวลา:7:50:04 น. |
|
|
|
โดย: iamsquid IP: 180.180.97.164 วันที่: 31 มกราคม 2553 เวลา:16:11:08 น. |
|
|
|
โดย: minporee วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:6:56:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:7:36:49 น. |
|
|
|
โดย: lullamy IP: 124.121.117.151 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:18:33:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แล้วนอกจากทางยุโรปแล้ว
แถบบ้านเราจะมีบ้างมั้ยค่ะ...
ปล. รายละเอียดของต้นไม้แน่นดีค่ะ..อ่านเพลิน..ลืมดูนาฬิกาเลย..พรุ่งนี้ไม่ตื่นแน่เลย..ฮิๆๆ