.. หลวงพ่อ .. ตอนที่ ๓
                 เมื่อวานเป็นวันพระแรกของเดือน นับดูแล้วเท่ากับว่า วันนี้จึงตรงกับวันพุธ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ  และเป็นอีกวันที่อากาศน่าจะดี  

                 ช่วงเช้าเมื่อแรกฟ้าสางอากาศสดชื่น หมู่นกกาบินออกจากรวงรังไปหากิน เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงแต่ละหลังก็ออกไปประกอบสัมมาอาชีพ ไม่ว่าจะไปเฉพาะหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักหรือมีสมาชิกในครอบครัวติดตามไปด้วยก็สุดแท้แต่  ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำมาหากินเน้นไปในด้านเกษตรกรรม คือถ้าไม่เข้าสวนเข้าไร่ ก็ไปลงนาตามที่ทำกันมาจากรุ่นสู่รุ่น  ยิ่งเข้าช่วงเดือนห้าแบบนี้พวกที่เป็นชาวนาจะเริ่มทำนาปีเพราะใกล้เข้าหน้าฝน และจะลากยาวไปจนถึงเดือนยี่ปีหน้าโน่น ส่วนพวกที่เข้าสวนเข้าไร่ก็จะเพาะปลูกจำพวกผักผลไม้ตั้งแต่เป็นก้าน ช่อ ใบ ยันลูกไปจนถึงเป็นเครือ ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชพันธุ์


                 จุดนัดพบในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ ทุกคนมาพร้อมกันตามที่นัดหมายพร้อมด้วยอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นจอบ พลั่ว ชะแลง เสียม ถังใหญ่ ที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันช่วยกันแบกช่วยกันถือมาเรียกว่าอาวุธครบมือทีเดียว

                 พวกผู้ชายที่มาลงแรงช่วยงานวันนี้นอกจากทิดริด ทิดปลอด ทิดสายแล้ว ยังมีไอ้แก้ว ไอ้ทิวและไอ้มา สามคนหลังเป็นหนุ่มรุ่นกระทงอยู่หมู่บ้านถัดไปไม่ไกล แต่ยายเมี้ยนก็พอจะเคยเห็นหน้าอยู่บ้างเรียกว่า ต่างหมู่บ้านมันก็ไอ้ตำบลเดียวกันนั่นล่ะ

                 กลุ่มเด็กหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าจึงยกมือไหว้ทักทายยายเมี้ยนที่ถือว่าอาวุโสที่สุดในงานครั้งนี้ หลังจากนั้นยายเมี้ยนก็ยกหน้าที่ควบคุมงานทั้งหมดให้ทิดริดตามแต่เห็นสมควร ส่วนตัวแกก็ทำหน้าที่ชี้ตำแหน่งว่าต้องการให้ขุดตรงไหน

                  เป็นอันรู้กันในที่นี้ว่า งานในวันนี้คือการขุดหาตาน้ำ นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์ ทิดริดมองบริเวณที่ยายเมี้ยนบอกตำแหน่งแล้วถามแกขึ้นมาว่า

                  “พี่เมี้ยนเอาน้ำมารดรอให้ดินอ่อนตัวก่อนพวกข้ามารึ”

                  เพราะโดยปกติการที่จะขุดดินลงไปนั้น ควรที่จะนำน้ำมารดทิ้งไว้สักระยะจนดินพออ่อนตัวลงจะทำให้ง่ายต่อการขุดแซะเปิดหน้าดิน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากยายเมี้ยน จึงยุติคำถามทั้งหมด หันมาสนใจกับการทำงานร่วมกับพรรคพวกที่รออยู่



                  ด้วยเริ่มงานกันตั้งแต่เช้าทุกอย่างจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว พวกที่ดูมีแรงมากกว่าคนอื่นอย่างทิดปลอดกับทิดสาย ช่วยกันขุดเปิดหน้าดินในวงที่คะเนระยะไว้ หลังจากนั้นจึงสลับสับเปลี่ยนกับไอ้แก้วและไอ้มาให้มาขุดต่อจากที่ขุดลงมาได้พอสมควร ถึงแม้ดินจะอ่อนง่ายต่อการขุด หากก็ใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ต้องให้หนุ่มๆมาแทนพวกแกที่ออกมานั่งพักพลางมวนยาเส้นด้วยใบจากสูบพ่นควันผุยๆ

                   ส่วนทิดริดกับไอ้ทิวสองคนสลับกันขนดินที่ขุดขึ้นมาไปกองเป็นเนินอีกทาง กะเอาไว้ว่ากินข้าวช่วงหลังเพลเสร็จแล้วค่อยไปเปลี่ยนทำหน้าที่ขุดบ้าง

                   ชั่วเวลาไม่นานเสียงโหวกเหวกของไอ้แก้วกับไอ้มาก็ดังขึ้น ทิดปลอดที่กำลังมวนยาเส้นส่งให้ทิดสายถึงกับทิ้งมันลงพื้นรีบวิ่งไปดู เพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มสองคนจะเกิดอันตรายขึ้นซึ่งทิดสายก็ไม่ชักช้าเหมือนกัน ทิดริดกับไอ้ทิวนั้นมาถึงตัวต้นเสียงก่อนหน้าทั้งสองคนเพียงประเดี๋ยวเดียว

                   คนสุดท้ายที่มาถึงคือเจ้าของสถานที่ แกร้อนใจทันทีที่ได้ยินเสียงคิดว่าเกิดเหตุเภทภัยแก่ลูกหลานบ้านอื่นเสียแล้ว รีบร้อนเดินมาสมทบกับกลุ่มชายทั้งหมด ก็เยี่ยมหน้าลงไปมอง ไถ่ถามอย่างเป็นห่วง

                   “ไอ้แก้ว ไอ้มา เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นรึ”

                    หนุ่มรุ่นกระทงทั้งสองคนมองหน้ากันราวกับจะเกี่ยงว่าใครควรเป็นคนพูด ก่อนที่ไอ้แก้วจะเป็นคนละล่ำละลักเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนตื่นเต้น

                    “ป้าเมี้ยนชะโงกลงมาดูเองเถิดจ้ะ  ว่าพวกข้าขุดไปโดนอะไรเข้า”

                    น้ำเสียงของไอ้แก้วไม่สู้ดีนัก ยายเมี้ยนจึงหันไปมองผู้คนที่อยู่รายรอบก่อนจะทำตามคำบอกของเด็กหนุ่มต่างหมู่บ้าน และพอแกเดินเข้ามาใกล้ขอบหลุมที่ขุดลงไปลึกเอาการแล้วชะโงกตัวลงไปดู สิ่งที่แกเห็นนั้นถึงกับทำให้ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบอกก่อนจะอุทานอื้ออึงออกมา

                     “คุณพระช่วย นั่น พระพุทธรูป!!!”



                     ใช่ นั่นคือสิ่งที่ไอ้แก้วแทงพลั่วไปในคราวแรกหลังจากที่มันกระโดดลงไปในหลุมค่อนข้างจะลึกแล้วนั้น มือของมันถึงกับสะท้านด้วยแรงสะท้อนจากวัตถุในดินทีเดียว ไอ้แก้วจึงเรียกไอ้มาให้ลองดูบ้าง มันอยากรู้ว่ามันรู้สึกไปเองคนเดียวหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่ใต้ดินที่กำลังขุดนี้  

                     ไม่ต่างกัน เมื่อไอ้มาทดลองทำในสิ่งเดียวกับไอ้แก้ว ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะช่วยกันลงมือขุดตรงนั้นแซะตรงนี้ ดินส่วนนั้นค่อยๆถูกเปิดจนเห็นบางสิ่งรางๆ ทั้งสองคนจึงค่อยๆเพลาแรงขุดแซะลง  จนกระทั่งสิ่งที่อยู่ใต้ดินปรากฏต่อสายตาทั้งสี่คู่นั่นเอง ที่ทำให้ไอ้แก้ว ไอ้มาตะโกนโหวกเหวก เรียกคนทั้งหมดมารวมกันที่ปากหลุม

                      “เอายังไงดีล่ะ พี่เมี้ยน”

                      ทิดริดเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้จึงถามเจ้าของที่ดินซึ่งขณะนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาต้องถามความเห็นแกเสียก่อนว่าหลังจากนี้แกจะให้ทำยังไงต่อไป

                       “อาราธนาท่านขึ้นมา”

                       คำพูดที่เบาหวิวของยายเมี้ยนลอยออกมาคล้ายคนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทิดริดจึงหันไประดมพรรคพวกทั้งหมดที่ตอนนี้ ซึ่งก็รอเขาเช่นกันว่าจะให้ทำอะไร

                        “เอาเฮ้ย ขุดต่อ เอาท่านขึ้นมาข้างบนนี่”

                        สิ้นเสียงสั่งงานก็เป็นการลงมือทำ คนละไม้คนละมือ ความตื่นเต้น ตกตะลึงที่ขุดเจอพระทำให้ทุกคนลืมเหนื่อย ลืมหิว ตั้งใจว่าจะต้องนำท่านขึ้นมาให้เร็วที่สุด ด้วยแต่ละคนเกรงกลัวบาปที่ก่อนหน้านี้อาจจะไปยืนเหยียบเศียรท่านอยู่ก็เป็นได้

                  ความตั้งใจจริงในการทำสิ่งใดนั้นย่อมจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ เพราะใช้เวลาอีกไม่นานเท่าใดหลังจากรู้ว่าพบองค์พระพุทธรูป  ดินที่ทับถมรอบองค์พระก็ค่อยๆลดน้อยลง น้อยลงจนระทั่งเห็นท่านเป็นรูปเป็นร่างทั้งองค์

                  ไม่น่าเชื่อจริงๆว่า จะมีพระพุทธรูปถูกฝังอยู่ในพื้นที่รกร้างแห่งนี้ จากการคาดคะเนคร่าวๆของนักนิยมพระอย่างทิดริด องค์พระน่าจะมีขนาดหน้าตักประมาณ ๒ ศอก เป็นปางสะดุ้งมาร ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนัก อีกอย่างเพราะมั่นใจว่าตนเองและพรรคพวกที่มีรวมกันถึงหกคนจะช่วยกันยกองค์พระขึ้นมาได้โดยง่าย

                  ทว่า ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร ออกแรงกันไปไม่น้อย องค์พระพุทธรูปก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว

                  ชายฉกรรจ์ทั้งหกคนก็ล้วนแล้วแต่บึกบึนกำยำ ต่างมองหน้ากันโดยไม่พูดออกมา แต่ทุกคนคงมีความคิดตรงกันว่าทำไมองค์พระพุทธรูปถึงมีน้ำหนักมากขนาดนี้  เมื่อไม่สามารถจะยกพระองค์นี้ขึ้นมาจากหลุมที่ขุดได้ ก็ลงความเห็นว่าควรจะมีผู้ทำพิธีสักการะบนบานศาลกล่าวและขอสมาลาโทษ ก่อนที่จะลองยกพระพุทธรูปขึ้นจากหลุมอีกครั้ง

                  ยายเมี้ยนเองก็เห็นดีด้วย จึงรีบกลับบ้านไปเตรียมของจำเป็นเท่าที่จะพอหาได้ ไม่นานแกก็กลับมาพร้อมตะกร้าหวายใบเขื่อง ในนั้นมีทั้งดอกไม้ ธูป เทียน น้ำสะอาด และผ้าขาวที่จะนำมาใช้ในพิธีอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้

                  และเนื่องจากแกเป็นเจ้าของพื้นที่ได้รับที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอด หลังจากไหว้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพยดา ฟ้าดิน เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร และทุกสรรพสิ่งในที่นี้แล้ว แกก็ขออนุญาตบรรพบุรุษในการที่จะนำพระพุทธรูปขึ้นมาประดิษฐานข้างบน โดยแกสัญญาว่า จะปลูกสร้างวิหารตามกำลังทีแกมีและดูแลรักษาไม่ให้เสื่อมเสียหาย

                  เมื่อแกปักธูปลงไปยังเบื้องหน้าพระพุทธรูปก่อนก้มลงกราบสามหนเป็นอันจบพิธีอย่างรวบรัด ท้องฟ้ากลับมีเสียงครางครืน จากที่สว่างก็มืดมัว อากาศเย็นลงอย่างกะทันหันพร้อมแรงลมกรรโชก ทุกคนในที่นั้นถึงกับขนลุกเกรียวต้องรีบยกมือขึ้นพนมบอกกล่าวสำทับกันเองอยู่ในใจ

                  แล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิด เมื่อท้องฟ้าเปิดหลังจากสลัวอึมครึมอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนจึงลงมือทำงานอีกครั้ง สองคนที่ลงไปในหลุมคือทิดริดกับทิดปลอดช่วยกันทำการสอดไม้แข็งใต้ฐานองค์พระพุทธรูป ซึ่งก็คือด้ามพลั่วที่ถอดหัวออกเฉพาะกิจ ขยับซ้ายขยับขวาโดยใช้ชะแลงเป็นตัวช่วยอีกทางจนได้ที่ก็ค่อยๆงัดองค์พระ ถึงองค์พระจะเริ่มขยับเขยื้อนได้บ้างแล้ว แต่เพราะไม่ได้เตรียมการมาว่าจะต้องชักรอกสิ่งใดขึ้นไป ก็ทำให้งานชะงักเป็นครั้งที่สอง

                 คราวนี้เป็นทิดริดเองที่วิ่งกลับไปบ้าน เขาเห็นแล้วว่าขาดอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้งานสำเร็จได้ ก่อนจะกลับมาพร้อมเชือกเหนียวหลายเส้นซึ่งมีขนาดทั้งความใหญ่ความหนาและยาวพอสมควร  

                 บ่ายคล้อยตะวันทิ้งตัวเข้าไปทุกที แต่ทุกคนก็ลืมเหน็ดลืมเหนื่อย ลืมความหิวกระหายกันเสียสิ้น ต่างขะมักเขม้นทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ยายเมี้ยนก็ได้แต่ส่งแรงใจและช่วยลุ้นทุกคราวที่พระพุทธรูปเริ่มเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม

                 เชือกที่ทิดริดนำมาถูกใช้ประโยชน์เต็มที่ ทั้งรัดที่องค์พระแล้วผูกโยงส่งปลายเชือกให้คนที่อยู่บนปากหลุมช่วยออกแรงดึง สี่แรงข้างบนและสองแรงที่ประคับประคองอยู่ข้างล่างทำงานอย่างรู้มือรู้ใจ และด้วยเสียงนับจังหวะแต่ละครั้งที่ส่งให้พระพุทธรูปค่อยๆลอยขึ้นจากใต้ดินสู่ขอบธรณี

                 ยายเมี้ยนนั่งเอาใจช่วยอยู่บนผ้าปูสีขาวที่แกเอามาตอนทำพิธีหลังจากนั้นแกก็ไม่ได้ลุกไปไหนเลย เฝ้ารอคอยพระพุทธรูปขึ้นมาอย่างใจจดใจจ่อ  และแล้ว แกถึงกับยกมือพนมที่อกเตรียมพร้อมที่จะก้มลงกราบตรงนั้นทันที เมื่อ ...

                 พระเกตุมาลา ซึ่งก็คือส่วนยอดสุดเศียรขององค์พระพุทธรูปปรากฏสู่สายตาเป็นอันดับแรก ก่อนที่ทั้งองค์จะขึ้นมายังพื้นดิน คนชักพระก็ใจเย็นไม่ได้รีบร้อนดึงรั้ง ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหาย คนข้างล่างก็ช่วยระมัดระวังในการประคองส่ง จนกระทั่งผ่านขึ้นมาได้ครึ่งองค์ ทิดริดกับทิดปลอดจึงปีนขึ้นจากหลุมมาช่วยอีกสี่แรงข้างบน

                 ในที่สุดการเคลื่อนย้ายองค์พระพุทธรูปก็สัมฤทธิ์ผล แม้จะลำบากยากเย็น แต่เมื่อเห็นเต็มๆตาอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็อดที่จะปลาบปลื้มยินดีไม่ได้ ต่างก็หันหน้ามาปรึกษากันว่า ควรจะทำอย่างไรดีเพราะเวลาตอนนี้ล่วงเข้าบ่ายคล้อยเต็มที

                 “เห็นทีว่า จะต้องปลูกเพิงแล้วอาราธนาท่านไปไว้ชั่วคราวก่อนเสียกระมัง พ่อทิด ข้ามองๆแล้ว ปลูกด้านหน้าสถูปนั่นล่ะ เหมาะดี”

                 ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ต่างคนจึงแยกย้ายไปหาวัสดุที่พอจะทำเป็นเพิงง่ายๆชนิดที่เรียกว่า หวังพึ่งน้ำบ่อหน้ากันไปก่อน ทิดริดกับทิดปลอดไปตัดลำไผ่ได้มาจำนวนหนึ่งพอที่จะใช้ปักหลักทำเสาทำคาน ส่วนที่เป็นลำขนาดย่อมลงมา ก็นำมาทำแคร่ผูกมัดให้แน่นหนาสำหรับวางองค์พระ ส่วนทิดสายคุมหนุ่มรุ่นกระทงทั้งสามไปหาทางมะพร้าว ใบตอง มาทำข้างฝากับหลังคา

                 ได้มาแล้วก็ไม่รอช้าลงมือสร้างเพิงประดิษฐานชั่วคราวพร้อมแคร่ทันที รูปร่างเพิงพักเมื่อแล้วเสร็จหลังนี้ดูจะคล้ายกระต๊อบอยู่บ้างแม้ไม่ประณีตเท่าแต่ก็ถือว่าผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งๆที่วัสดุอุปกรณ์ก็มีอย่างจำกัดจำเขี่ย แล้วหลังจากนี้ค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะคิดอ่านทำประการใดต่อไปดี  

********************************************



โปรดติดตามตอนต่อไป...



Create Date : 30 มีนาคม 2556
Last Update : 30 มีนาคม 2556 3:21:27 น.
Counter : 856 Pageviews.

2 comments
  
แวะมาทักทายคะ คุณโค
เดี๋ยวไปที่กระทู้ อิอิ

โดย: lovereason วันที่: 30 มีนาคม 2556 เวลา:23:19:21 น.
  

โดย: โค อัสดง วันที่: 30 มีนาคม 2556 เวลา:23:34:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โค อัสดง
Location :
สุพรรณบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



.. ตามนั้น อย่างที่มันควรจะเป็น ..
New Comments
มีนาคม 2556

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
31