The World is a book
|
||||
เหย้าบาหยัน : บทที่ ๑๐ : เสียกบาล
บทที่ ๑๐
เสียกบาล แพร่งตรงกลางที่เลือกเดินมานั้นดูรกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีเพียงกิ่งก้านที่แตกระแหงแห้งทับซ้อนไขว้ไปมาปกคลุมเป็นเงามืด สร้างความสลัวลงมาสู่เบื้องล่างตลอดระยะทาง ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยได้ว่า ปลายทางข้างหน้านั้นจะมีโบสถ์อย่างทีบ่าวหญิงบอกหรือไม่ แต่แก้วบาหยันก็เชื่อมั่นว่ามันจะต้องปลอดภัยมากกว่าตอนอยู่ที่ท่าน้ำโพธิ์สามแพร่งแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็มีอำแดงดวงคอยคุ้มภัย แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก เสียงคนเดินบนใบไม้แห้งด้วยความเร็วดังมาจากด้านหลัง แต่พอหันกลับไปดู เสียงนั้นก็เงียบไป ไร้ซึ่งเงาของผู้ใด จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสียงนั้นคือคนหรือตัวอะไร แต่มันตามหลังมาได้สักระยะแล้ว ซึ่งมันต้องไม่ได้มาดีแน่นอน เพราะถ้ามาดี ก็คงปรากฏตัวไปนานแล้ว หญิงสาวจึงไม่รอช้า ก็เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้บ่าวหญิงเดินทิ้งระยะห่างจากตัวเธอไปไกลมากแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้ ก็อาจจะพลัดหลงกันได้ แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก ฝีเท้าปริศนายังคงไล่ตามแก้วบาหยันมาเรื่อยๆในทุกจังหวะที่เธอเดินหนี แต่เมื่อหยุดหันหลังไปดู เสียงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจถอดรองเท้า เพื่อให้วิ่งให้ถนัดขึ้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้น เมื่อถอดรองเท้าเสร็จและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ไม่เห็นอำแดงดวงอยู่ที่ด้านหน้าอีกแล้ว มิหนำซ้ำ เส้นทางบนพื้นก็หายไป เหมือนกับว่ามีคนมากลบดินและลบทางไม่ให้ใครสามารถเดินต่อไปได้ ในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้กอหญ้าหรืออะไรเลยที่จะถางเป็นทางบอกใบ้ได้เลยว่าควรจะเดินไปไหนต่อ แกรก...แกรก .แกรก...แกรก ....แกรก ....แกรก . เสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่คราวนี้มันมาในจังหวะที่ช้าลง ช้าลง จนเสียงเงียบหายไปอย่างสงัด เสมือนกับเสือที่กำลังซุ่มเตรียมขยุ้มเหยื่อในอีกไม่ช้า หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ กำรองเท้าไว้แน่นเพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่มีอยู่ เธอตัดสินใจเผชิญหน้าสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งจริงๆแล้วแค่วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หรือตะโกนเรียกบ่าวหญิงให้ช่วยเหลือก็ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะหยุดสู้กับมัน และรอดูว่าสิ่งที่ตามหลังมานั้นคืออะไรกันแน่ เพราะตอนนี้ความกล้าเท่านั้นที่จะชนะความกลัว วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า สู้เอาแรงทั้งหมดมาปะทะให้หมดเรื่องเสียดีกว่า ทันใดนั้น เสียงปริศนานั้นก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้มาจากทางเดิม แต่มันวิ่งมาจากรอบทิศด้วยความเร็วสูงนับสิบราวกับกองทัพ แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก ยังไม่ทันที่จะจ้องดูให้แน่ชัด ศัตรูในเงามืดก็มาประชิดที่ด้านหลัง มันใช้ความกำยำของร่างกายบังคับเธอไม่ให้ดิ้น และบีบข้อมือให้ปล่อยรองเท้า เมื่อเห็นว่าเริ่มอ่อนแรง มันก็ใช้กระสอบครอบหัวเธอไว้ไม่ให้มองเห็น แล้วฉุดกระชากลากพาออกไปจากบริเวณนั้นทันที ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน! ดวง! ดวงอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย! หญิงสาวร้องตะโกนทั้งๆที่มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้ได้ยินแต่เพียงเสียงสนทนาของอีกฝ่ายเป็นภาษาจีนที่แปลไม่ออกว่าพูดว่าอะไร แต่ฟังดูแล้วก็พอจะคาดคะเนได้ว่ามันมากันหลายคนและเป็นผู้ชายทั้งหมด ถ้าหากต่อสู้โดยใช้กำลังก็คงจะไม่ไหว ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด เผื่อว่าใครจะได้ยิน แต่ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องให้สิ้นเสียง ก็ต้องมาจุกที่ท้องเพราะโดนต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงอย่างไม่ปรานีจากหนึ่งคนในกลุ่มนั้น หญิงสาวหมดแรงอย่างราบคาบที่จะขัดขืนฝืนสู้ จึงยอมเดินตามไปอย่างจำนน พอเดินมาได้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก หนึ่งในนั้นก็เปิดกระสอบออกจากหัวเธอ และใช้เชือกผ้ามามัดไขว้มือผูกติดไม่ให้ต่อสู้ได้ ในนาทีนี้แก้วบาหยันยังคงรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ จึงไม่อยากต่อกรใดๆไปมากกว่านี้ เลยได้แต่นั่งจดจำหน้าตาของผู้ที่กระทำเธอให้ครบถ้วน เผื่อว่ารอดออกไป ก็จะได้แจ้งหลวงหรือกระทรวงนครบาลให้มาจับพวกมันเข้าคุกในคราหลัง ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวเล็กล่ำสันราวยี่สิบกว่าคน มันกำลังสุมหัวสูบฝิ่นกินเหล้าเถื่อนในไหกันอย่างสนุกสนาน ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่ต่างจากยาจกหรือเจ๊กลากรถในสยาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือผมเปียหางยาวพันรอบคอ ส่วน ด้านหน้าศรีษะก็โล้นเตียนตั้งแต่หน้าผากไปถึงเกือบกลางหัว ทุกคนสนทนากันด้วยภาษาจีนเหมือนตั้งใจจะสื่อสารกันแค่ในกลุ่มไม่อยากให้คนนอกรับรู้ ในขณะที่แก้วบาหยันกำลังจดจำลักษณะของคนทั้งหมดอยู่นั้น ก็มีชายจีนหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาอย่างไม่น่าไว้วางใจ แล้วจู่ๆก็เรียกใครคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังพระประธานในโบสถ์ร้าง ผู้ที่ถูกเรียกค่อยๆเดินขโยกเขยกออกมา พร้อมคำนับผู้เป็นหัวหน้าอย่างนอบน้อม และสทนากันด้วยภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นภาษาชาติกำเนิด หญิงสาวเห็นผู้ที่ถูกเรียก ก็แน่ใจว่าเป็นใคร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ ดวง! ช่วยฉันด้วย! อำแดงดวงได้ยินทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา ยังคงยืนคุยอยู่กับผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจีนอย่างเป็นปกติ พร้อมยื่นสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งให้อีกฝ่าย และเดินออกจากโบสถ์ไปทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแก้วบาหยันเลยสักนิด หัวหน้าโจรโยนสร้อยไข่มุกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกระสอบที่มีของมีค่าชิ้นอื่นๆจากการปล้น พร้อมหันมายิ้มเยาะเล็กน้อยที่หญิงสาว และแกล้งหยิบกล้วยมากินยั่วต่อมความหิวของอีกฝ่าย พอกินหมดก็โยนเปลือกใส่หน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็ลงไปนั่งสังสรรค์สูบฝิ่นกับพรรคพวกคนอื่นต่ออย่างครึกครื้น สายสร้อยไข่มุกเส้นนั้นห้อยย้อยออกมาจากกระสอบที่วางอยู่ใกล้กับหญิงสาวแค่คืบ ความวาวละเลื่อมของมันงามวับจับตาทันทีเมื่อแรกเห็น พอโน้มตัวดูมันใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่า สร้อยมุกนั้นเป็นของเธอ เพราะที่คอเธอตอนนี้มันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสร้อยมุกที่ใส่มาตั้งแต่แรก และในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงก้อนกรวดหล่นมาจากขอบหน้าต่างที่แก้วบาหยันกำลังนั่งพิง ตุบ เมื่อแหงนหน้าไปดูก็พบหัวคนแค่กระหม่อมโผล่มาแวบเดียว ด้วยความตกใจไม่ได้ตั้งตัว หญิงสาวก็เลยหันหน้าหนีกลับมา และพยายามคิดว่าหัวนั้นอาจจะเป็นของคนจีนคนอื่นที่เฝ้าอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ แต่แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนใหญ่กว่าเดิมตั้งใจตกมาใส่หัวของเธอ ตุบ! หญิงสาวรีบหันไปดูทันที ก็ไม่พบใครเช่นเคย แต่ถูกดอกไม้หนึ่งดอกปาใส่เข้าหน้า และดูเหมือนว่าผู้ที่ปาคงต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ เพราะดอกไม้ที่ปามานั้นคือดอกการเวก ซึ่งบริเวณรอบโบสถ์หรือเส้นทางที่เดินผ่านมา ไม่น่าจะมีดอกไม้หอมสักต้น ถ้ามีก็คงได้กลิ่นไปแล้ว เพราะดอกการเวกให้กลิ่นหอมแรงในตอนกลางคืน พื้นที่รอบๆก็ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเลยแม้แต่ต้นเดียว ที่มีอยู่ก็แค่ต้นกล้วยกอเล็กๆที่ขึ้นข้างกำแพงโบสถ์ แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอันใด ที่จู่ๆโจรใจร้ายพวกนั้นจะไปหาดอกไม้มาปาเล่นใส่เธอ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงกระซิบถามคนที่อยู่ข้างนอกด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด ใครน่ะ? คนที่อยู่ด้านนอกยังคงไม่ปรากฏตัว แต่กระซิบตอบกลับมาว่า ฉันเอง ขจร พอแก้วบายันได้ยินชื่อขจร ก็รู็สึกดีใจอย่างมาก จนแทบอยากจะกระโดดออกจากหน้าต่างไปหา แต่ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้ เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรกระโตกกระตากไปในตอนนี้ นอกจากจะหมดโอกาสรอดแล้ว มีหวังอาจได้ตายคู่แน่นอน กลุ่มโจรก็มีจำนวนเยอะ และพร้อมด้วยอาวุธครบมือที่พร้อมจะฆ่าใครทิ้งได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวเลยแกล้งก้มหน้าไม่ให้กลุ่มโจรจับพิรุธได้ และเอนหัวไปทางขอบหน้าต่างเพื่อให้เสียงพูดส่งไปถึงอีกฝ่ายให้ชัดเจนที่สุด คุณขจร คุณพาใครมาช่วยด้วยหรือไม่ พวกมันมีกันเยอะนะ ฝ่ายชายหนุ่มนั่งยองๆหลบที่มุมด้านข้างหน้าต่าง และป้องปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ฉันมาคนเดียว ฉันแค่มาส่งสัญญาณบอกให้หล่อนสบายใจเท่านั้น คนเดียวงั้นรึ แล้วคุณตามฉันมาได้อย่างไร หญิงสาวพูดแบบปิดปากสนิท ขยับปากเล็กน้อย หล่อนอย่าเพิ่งถามมาก ประเดี๋ยวฉันช่วยหล่อนเอง พอพวกมันเมาฝิ่นเมาเหล้า ฉันก็จัดการมันได้ง่าย มิยากดอก ชายหนุ่มตอบ ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ได้ยินเสียงซุบซิบและเหลือบไปเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวที่เหมือนขยับปากพูดกับใครที่ริมหน้าต่าง ก็เลยรีบเดินตรงปรี่มาทันที โชคดีที่หญิงสาวส่งสัญญาณบอกขจรทัน ก็เลยหลบหลีกไปได้ หัวหน้าโจรมองสำรวจที่ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงตะคอกถามหญิงสาวเสียงดังเป็นภาษาสยามแบบสำเนียงจีน ลื้อคุยกับใคร! หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าโจรพูดภาษาสยามได้ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพูดได้เแต่ภาษาจีน ก็เลยตอบกลับไปทันที พูดภาษาสยามได้งั้นรึ อั๊วถามว่าลื้อพูดกับใคร! หัวหน้ากลุ่มโจรตะคอกถามอีกครั้ง และชักดาบไปจ่อที่คอหอยของหญิงสาวเหมือนจะบั่นให้ขาดออกจากบ่าในไม่ช้าถ้ายังไม่ได้คำตอบ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกกลัวที่โดนขู่ถามด้วยดาบ เธอพยายามควบคุมอารมณ์ ใช้เพียงแววตาที่ดุข่มกลับไปบ้าง และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า ฉันสวดมนต์ภาวนา มิได้พูดกับผู้ใดทั้งนั้น เมื่อหัวหน้าโจรได้ยินคำตอบก็ไม่เชื่อ เลยง้างดาบขึ้นสุดแขนเพื่อจะบั่นคอหญิงสาวผู้ทำหน้าอวดดี ส่วนขจรที่หลบไปแอบอีกด้าน ก็เตรียมหยิบดาบของตัวเองให้กระชับถนัดมือ เพื่อที่จะเตรียมบุกไปช่วยในกรณีที่หญิงสาวเกิดอันตราย ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าโบสถ์มาเห็นเหตุการ์ณเข้า เลยรีบวิ่งมาห้ามไว้ก่อน ชายผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวสยาม มีเพียงเสื้อผ้าและผมเท่านั้นที่เป็นเหมือนคนจีน ชายผู้มาใหม่ใช้ความกำยำยั้งมือของชายจีนไว้ไม่ให้ลงมือฟัน แล้วก็พยายามพูดเกลี้ยกล่อมอย่างพินอบพิเทา ท่านหัวหน้าขอรับ อย่าโมโหโทสะสิขอรับ ใจเย็นๆก่อนเถิด แม่หญิงคนนี้ดูจากรูปร่างผิวพรรณก็หาใช่ชาวบ้านร้านตลาดไม่ ถ้าเกิดหญิงผู้นี้เป็นลูกขุนน้ำขุนนาง เราฆ่าไปอาจจะเป็นเรื่องใหญ่นะขอรับ หัวหน้าโจรลดดาบลงและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำไมอั๊วจะฆ่าอีนังนี่ไม่ได้ กุดหัวมันเสร็จ ก็ค่อยๆแล่เนื้อเป็นชิ้นถ่วงน้ำให้ปลาตอดกินก็หมดเรื่อง ใครก็หารู้ได้ไม่ว่ามันหายไปไหน อย่าเลยนะขอรับท่านหัวหน้า ชายผู้มาใหม่เก็บดาบของอีกฝ่ายมา และพาไปนั่งที่หน้าพระประธานเพื่อให้สงบสติอารมณ์ พลางส่งเหล้าจีนหนึ่งไหให้ ใจเย็นๆเถิดขอรับ กระผมว่า สวยๆเยี่ยงนี้ เก็บไว้เวียนบำเรอสวาทแก่พวกเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ ฝ่ายหัวหน้าโจรไม่ได้สนใจข้อเสนอ ได้แต่ดื่มเหล้าในไหอย่างกระหายเพราะเมาฝิ่น แต่ก็พอมีสติที่จะตอบกลับ เก็บมันไว้ทำไม ให้อีนี่ตายเป็นผี แลให้ชาวบ้านเล่าลือยังดีเสียกว่า ต่อไปใครที่ไหนก็มิกล้าเข้ามาแถวนี้ อั๊วจะได้ใช้เป็นกงสีประชุมกลุ่มอั้งยี่ได้ง่ายยิ่งขึ้นไงล่ะ แก้วบาหยันได้ยินคำว่าอั้งยี่ก็รู้สึกตกใจ จากที่กล้าผยองก็รู้สึกสยองแทน เพราะกิตติศัพท์คำร่ำลือความโหดของกลุ่มอั้งยี่ที่ได้ยินมามันน่ากลัวเหลือเกิน ซึ่งอั้งยี่นั้นได้หายไปจากสยามนานมากแล้ว การที่มารวมตัวกันอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา และคงจะก่อการใหญ่อะไรสักอย่าง ที่ผ่านมาแม้ทางหลวงจะจัดการพวกอั้งยี่มาหลายรัชสมัยแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกำราบปราบได้หมดสิ้น เลยได้แต่ใช้วิธีประนีประนอมเลี้ยงไว้ และในส่วนที่เหลืออยู่ บ้างก็เป็นอั้งยี่จริง บ้างก็เป็นอั้งยี่ปลอม แต่ดูจากกลุ่มอั้งยี่ที่ซ่องสุมกันในโบสถ์ร้างแห่งนี้ก็น่าจะเป็นของจริง จะมีผิดเพี้ยนแปลกจากคนอื่นก็คือชายผู้มาทีหลัง ชายผู้มาทีหลังเห็นอาการของหญิงสาวที่สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินคำว่าอั้งยี่ ก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าอาจไม่ปลอดภัยถ้าได้ยินข้อมูลไปมากกว่านี้ เลยหันมาเตือนหัวหน้า กระผมว่าเราพูดจีนกันไหมขอรับ ลื้อกลัวว่ามันจะรู้แผนของเรางั้นรึ หัวหน้าโจรถาม ชายผู้มาทีหลังพยักหน้าแทนการพูดตอบรับ แต่ฝ่ายหัวหน้าโจรยังคงพูดต่อ งั้นก็ฆ่าปิดปากมันเสีย! ถ้าท่านหัวหน้าจะฆ่ามันให้จงได้ อย่างนั้นให้กระผมเป็นคนทำเองเสียดีกว่าขอรับ ชายผู้มาทีหลังยื่นขอเสนอหัวหน้า และมองที่หญิงสาวอย่างมีเลศนัย หญิงสาวเห็นแววตาไม่ประสงค์ดีของอีกฝ่ายก็รู้สึกกลัว แต่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีขจรคอยช่วยอยู่ ไม่เหมือนกับอำแดงดวงที่ทรยศหักหลังกันอย่างเลือดเย็น เธอไม่คิดเลยว่า คนที่ไว้ใจกลับร้ายที่สุด แทนที่จะร่วมเป็นร่วมตายช่วยกันหาทางหนี กลับใช้เล่ห์กลหลอกล่อให้สร้อยมุกกำนัลโจร เพื่อที่จะรอดพ้นออกไปได้อย่างอิสระเพียงคนเดียวเท่านั้น +++++++++++++ มึต่อที่ช่องคอมเม้นท์ด้านล่างค่ะ เหย้าบาหยัน :บทที่ ๙ : โพธิ์สามแพร่ง
บทที่ ๙ โพธิ์สามแพร่ง ขจร ชื่อของชายหนุ่มแปลกหน้าจำได้ขึ้นใจทันทีเมื่อแรกได้ยิน ประกอบกับรอยยิ้มจริงใจที่ดูเป็นมิตร จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกสนิทใจที่จะสร้างความไมตรีที่ดีด้วย อีกทั้งรูปพรรณสันฐานและการแต่งตัว ก็ดูดีมีชาติตระกูล จึงทำให้รู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจได้ง่ายอย่างไร้ขัอกังขา ซึ่งตอนนี้เป็นโอกาสเดียวที่จะสามารถออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ต้องสวมหัวโขนปั้นหน้าสวย หรือนั่งพับเพียบเรียบร้อยราวกับตุ๊กตาชาววังที่ไร้ชีวิต และไม่จำเป็นต้องพูดคำหวานวางกิริยาให้สมกับกุลสตรีสยาม ดังนั้น การได้ก้าวออกจากกรอบเดิม เพื่อไปลองอะไรแปลกใหม่กับคนแปลกหน้า มันจึงเป็นเรื่องตื่นเต้นมากสำหรับแก้วบาหยัน แม่แก้ว หล่อนจะไปดูตัวสงกรานต์ด้วยฉันหรือไม่ ชายหนุ่มถามอีกครั้ง หญิงสาวยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าตอบรับหลายครั้งด้วยความตื่นเต้น ไปสิคุณขจร ฉันใคร่ไปเห็นไอ้ตัวสงกรานต์เสียเต็มประดาละ ไปกันเถิดเร็วๆหนา หาชักช้าอยู่ใย พูดเสร็จแก้วบาหยันรีบเดินนำลิ่ว แล้วก็มาหยุดที่ดงมะพร้าวเตี้ยข้างวิหารพระนอน ชะโงกด้อมๆมองๆอยู่สักพักจนคนหายพลุกพล่าน ก็รีบถกโจงกระเบนให้กระชับ ขยับเสื้อให้ถนัด แล้วขโย่งตัวกระโดดยงโย่ไปมาเหมือนกบไชโยสะดุ้งไฟ เมื่อขจรเห็นเข้าก็ตกใจ จึงรีบพูดปรามไว้ก่อน นี่หล่อนคิดจะปีนต้นมะพร้าวรึ ยกแข้งยกขาขยับถกเขมรเยี่ยงนั้น มันไม่งามนะ ถ้าฉันจะปีนต้นมะพร้าว แล้วคุณจะทำไมรึ หญิงสาวแกล้งพูดประชด ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เธอแค่จะกระโดดดึงทางมะพร้าวอ่อนเพื่อมาไว้ใช้เขี่ยตัวสงกรานต์เล่น ฝ่ายชายหนุ่มไม่รู้จะทำยังไง เพราะกลัวใครจะมาเห็นกิริยาที่ไม่งามของหญิงสาวเข้า ครั้นจะจับตัวไว้ก็ไม่ได้ ก็เลยได้แต่พูดห้ามอีกครั้ง เป็นหญิงหน้างามนุ่งห่มสวย กลับมาปีนต้นไม้มอมแมมทะโมนเป็นลิง มันไม่งามดอกนะแม่แก้ว หญิงสาวหยุดกระโดด และหันมาค้อนใส่อีกฝ่าย มะพร้าวเตี้ยเรี่ยดินเยี่ยงนี้ เด็กห้าขวบก็เขย่งถึง แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า ถ้าฉันคิดอยากจะปีน ทำไมจะปีนเสียไม่ได้ล่ะเจ้าค่ะ แล้วตอนนี้หล่อนอายุกี่ขวบกันล่ะ สิบสี่เต็มเจ้าค่ะ ทำไมรึเจ้าคะ เขาห้ามคนอายุสิบสี่ปีนต้นมะพร้่าวเตี้ยหรือเจ้าคะ คุณขจรเจ้าขา หญิงสาวลากหางเสียงคำลงท้ายยาวแบบประชดประชัน มันหาได้เกี่ยวกับเรื่องอายุไม่ มันเกี่ยวกับกิริยาที่ไม่พึงงามอันไม่ควรแก่สถานที่ เชื่อฉันเถิด หล่อนใส่ชุดสวยงามเยี่ยงนี้ มันไม่งามดอกนะแม่แก้วถ้าจะปีนต้นมะพร้าว หญิงสาวก้มมองดูชุดตัวเองที่ใส่มาในวันนี้ ที่เป็นชุดแขนยาวสีขาวคอตั้งแบบตะวันตกมีลูกไม้ระบายฟูฟ่อง คอสวมประดับด้วยสร้อยมุกระย้าสองชั้น มีสะพายเป็นสไบแพรไหมสีชมพูสด นุ่งโจงผ้าลายพื้นสีลิ้นจี่ สวมถุงน่องร้องเท้าสีขาวเข้ากันอย่างดี ซึ่งชุดที่สวยสมสง่าแบบนี้ มันก็คงไม่เหมาะไม่ควรกับการทำอะไรโลดโผนอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่ที่ทำไปแบบนั้นเพราะความเคยชินเมื่อตอนอยู่ในโรงเรียน ที่มักจะปีนไปเก็บผลหมากรากไม้อยู่เป็นประจำ ประกอบกับว่าเพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ไม่กี่วัน เลยทำให้บางครั้งลืมปรับสภาพกิริยาตัวเองไปบ้างเมื่ออยู่นอกสายตาผู้ใหญ่ ทว่าแก้วบาหยันจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ฝ่ายชายตักเตือน แต่ด้วยความเป็นคนดื้อเงียบ เธอก็เลยไม่พูดยอมรับหรือแสดงอาการเชื่อฟัง กลับตะแบงรั้นเดินไปหากิ่งไม้ยาวๆมาเกี่ยวทางมะพร้าวอีก นี่หล่อนจะเอาไม้มาสอยอะไร ใคร่จะกินมะพร้าวงั้นรึ ขจรถาม คุณขจรเจ้าขา เห็นฉันเป็นลิงเก็บมะพร้าวหรือไงเจ้าคะ เยี่ยงนี้ก็ไม่งาม เยี่ยงนั้นก็ไม่งาม ไฮ้! ฉันใดก็ฉันนั้น ฉันไม่ทำแล้วเจ้าค่ะ หึ! หญิงสาวทำท่าตะบึงตะบอนงอนใส่ ทิ้งกิ่งไม้ลงด้วยความเคือง และเดินดุ่มออกไปทันที ฝ่ายชายหนุ่มรีบหยิบกิ่งไม้แล้วสอยในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แล้ววิ่งตามไปยื่นให้ เอาไปเสีย นี่ใช่ไหมที่อยากได้ หญิงสาวเหล่ตาดูก็รู้สึกพอใจที่ได้ทางมะพร้าวอ่อนๆขนาดพอดีมือมาไว้ตีน้ำเล่นและเขี่ยตัวสงกรานต์ตามประสา แต่ก็แกล้งไม่รับสิ่งที่ชายหนุ่มนำมาให้ และวางท่าหน้าบึ้งตึงใส่
คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยากได้ทางมะพร้าว คุณมิได้หมายว่าฉันเป็นลิงเป็นจิ้งเหรนกระรอกกระแตหรอกหรือเจ้าคะ คุณขจรเจ้าขา หญิงสาวยังคงลากหางเสียงประชด เด็กๆที่ไหนเขาก็ชอบเอาทางมะพร้าวไปเขี่ยตัวสงกรานต์เล่นทั้งนั้น ทำไมฉันจะไม่รู้ เอ๊ะ! คุณหมายว่าฉันเป็นเด็กอยู่รึไม่ ฉันสิบสี่เต็มแล้วนะ รู้ดอกว่าอะไรควรมิควร ที่ฉันทำท่าจะปีนต้นไม้ ก็มิได้ตั้งใจจะปีนจริงๆเสียหน่อย ยังไม่ทันฟังอีร้าค้าอีรม คุณก็เอ็ดฉันเสียงขรมราวกับว่าฉันเป็นเด็กตัวเท่าเมี่ยงเท่ามดที่ยังไม่ได้กัญจุกอย่างนั้นแหละ " หญิงสาวพูดรัวกลับไปราวกับประทัดจีนจุดไฟ พอพูดเสร็จหมดตับ ก็เดินแต้กๆทำหน้ามุ่ยไปรอที่ท่าน้ำ และหยิบก้อนกรวดปาลงน้ำเพื่อระบายอารมณ์โกรธ ขจรเห็นกิริยาของหญิงสาว ก็ส่ายหน้าที่หมดหนทางจะกำราบพยศเด็กดื้อที่เพิ่งโต เมื่อใช้ไม้แข็งด้วยคำพูดไม่ได้ ก็เลยต้องหาไม้อ่อนมาประโลมความโทสะของหญิงสาวให้ทุเลาลง แม่แก้ว ขจรเรียกเสียงหวาน หญิงสาวหยุดปาก้อนกรวด ปัดมือ แล้วรีบยืนปกติ เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะมาดุเรื่องปาก้อนกรวดลงน้ำอีก ก็เลยชิงพูดประชดประชันก่อน คุณหายไปไหนมา ทำไมมิหายไปสักชั่วยามหนึ่งเลยล่ะ ฉันกำลังยืนรอจวนปลีน่องแข็งเป็นไม้ตีพริกอยู่แล้วเชียว หันมานี่ซี ขจรพูดเสียงหวานนุ่มเหมือนคนออดอ้อน แก้วบาหยันได้ยินก็รู้สึกรื่นหู พอหันไปก็ยิ้มออกทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของขจร จากอารมณ์ที่เดือดพล่านวิ่งไปมาเป็นเจ้าเข้า ก็กลับทุเลาลงอย่างง่ายดาย และพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานขึ้น นี่คุณหายไปทำไอ้นี้มาหรอกหรือ ชายหนุ่มยิ้มเล็กๆ แล้วยื่นสิ่งของนั้นให้หญิงสาว มันคือทางมะพร้าวที่เลาะใบออกหมดให้เหลือแค่ก้านมะพร้าวให้เป็นด้ามขนาดย่อมมีรูปร่างเรียวคล้ายคันเบ็ด โดยที่ด้านปลายมีปลาตะเพียนติดห้อยอยู่หนึ่งตัวเหมือนจำลองที่ตกปลาของเด็กเล็กเล่น แต่นอกเหนือจากนั้นก็คือ ที่ครีบของปลาตะเพียนนั้นห้อยด้วยดอกการเวกเป็นระย้าดูน่ารักแปลกตา หญิงสาวรับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน มองดูเจ้าปลาตะเพียนสานใกล้ๆ และดมกลิ่นการเวกอย่างสดชื่นด้วยใจที่เย็นสบายขึ้น นี่ถ้าเป็นเย็นย่ำค่ำเข้าหน่อย การเวกคงส่งกลิ่นหอมมากกว่านี้สินะ เอ .นี่มันปลาตะเพียนอะไรของคุณกัน มีดอกการเวกมาห้อยเป็นต้อยติ่งกระรุ่งกระริ่งน่าพึลึกนักเชียว ปลาตะเพียนแก้วไงเล่า ชายหนุ่มพูดโดยที่สายตาจ้องมาที่ฝ่ายหญิง หญิงสาวรีบเบนสายตาหนี เพราะจู่ๆก็รู้สึกร้อนวาบที่แก้มเมื่อต้องสบตากับอีกฝ่าย ก็เลยถามเรื่องชื่อปลาตะเพียนสานที่ชายหนุ่มทำให้ ปลาตะเพียนแก้วมันมีด้วยรึ ฉันมิเห็นคุ้นหูรู้จักไอ้เจ้าปลาตะเพียนพึลึกอะไรของคุณนั่น ปลาตะเพียนตัวนี้ฉันทำให้หล่อน ฉันเลยใช้ชื่อหล่อน แล้วดอกการเวกมันเกี่ยวเนื่องอันใดด้วยล่ะ ชายหนุ่มอมยิ้มเขินอาย หลบสายตาไปทางอื่น พยายามรวบรวมความกล้าอีกครั้งก่อนจะพูดออกไป เพราะถ้าไม่บอกเหตุผล อีกฝ่ายก็คงจะดื้อรั้นที่จะถามให้ได้แน่นอน ก่อนอื่นต้องขออภัยหล่อนด้วย ฉันมิได้ตั้งใจจะล่วงเกินอันใด คือฉัน ...คือฉันได้กลิ่นหอมดอกการเวกมาจากตัวหล่อนนะซี หอมนักแม้จะอยู่ห่างกันเป็นศอกเป็นวา ด้วยฉันนี้ ฉันจึ่งห้อยดอกการเวกที่ครีบปลาตะเพียนตัวนี้ฉันนั้น ขจรพูดเสร็จก็เกิดอาการตกประหม่าเพราะไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่เขาเป็นคนที่ปากนั้นตรงกับใจ จึงไม่อ้อมค้อมหรือบิดเบือนต่อความรู้สึก ถ้าเป็นเรื่องอื่นทั่วไป เขาคงใช้ความคิดไตร่ตรองกรองคำพูดให้ดีก่อนเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องพูดจากับผู้หญิง ก็แทบจะไม่มีความถนัดเลยสักนิด เพราะชีวิตส่วนใหญ่ทำงานอยู่กับขุนนางและเจ้านายที่เป็นผู้ชาย เขาจึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พูดออกไปเกิดจากอะไร แต่ที่แน่แท้ก็คือ เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์มนตราทุกครั้งที่จ้องมองใบหน้าอันสวยคมคายของหญิงสาว อีกทั้งกลิ่นการเวกที่หอมมาจากกายนั้น มันแสนจะรัญจวนจิตจนเกินที่จะห้ามใจได้ ฝ่ายหญิงสาวเมื่อได้ยินคำอธิบายดังกล่าวก็เกิดอาการอายจนต้องม้วนหน้าหนี ยืนบิดนิ้วไปมาแก้เขิน เธอไม่คิดว่ากลิ่นกายที่อาบจากน้ำฝนอบดอกการเวกมันจะหอมขจรขจายไปถึงชายผูันั้นถึงเพียงนี้ ครั้นจะเอ่ยปากว่าก็ไม่กล้า เพราะจะเหมือนกลายเป็นว่ามาเที่ยวโพทะนาเล่าเรื่องส่วนตัวจนเกินงาม และด้วยอายุเพียงเท่านี้ จึงไม่ประสีประสาเท่าใดนักกับการสทนาแบบนี้ อยู่ในโรงเรียนแหม่มก็มีแต่นักเรียนหญิงเป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายที่เจอก็เป็นผู้ใหญ่คนโต พูดคุยกันก็เรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ขจรพูดมันเรียกว่าเกี้ยวพาราสีได้หรือไม่ ชายหนุ่มอมยิ้มแอบขบขันในความเดียงสาของสาวสกูลหน้าคม ถึงแม้จะไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน แต่กลับรู้สึกถูกชะตาเมื่อได้คุยด้วยเรื่อยๆ ทั้งความคิดความอ่านและการพูดการจา มันดูผิดแผกจากสาวสยามคนอื่นๆที่เขาเคยพบปะมา ในขณะที่แก้วบาหยันนั้นเริ่มตั้งสติได้ ก็ดันหันมาเห็นอากัปกิริยาสายตาของชายหนุ่มที่กำลังเหมือนยิ้มกรุ้มกริ่ม ก็เข้าใจผิดคิดว่ากำลังถูกกะลิ้มกะเหลี่ยทางแววตา แต่เมื่อสายตาของเธอต้องไปสบประสานดวงตาสีฟ้าครามของอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็ทำให้หลุดหลงไปในภวังค์เสน่หาหน้าตาที่คมสันของชายผู้นั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นอะไรไปรึแม่แก้ว หล่อนจ้องตาฉันไม่กระพริบเชียว ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นหญิงสาวมองหน้าตนไม่ละสายตาไปไหนเป็นเวลาครู่ใหญ่ หญิงสาวรีบเบนสายตาไปที่คลองด้วยอาการตกประหม่า และพยายามหาคำแก้ตัวเพื่อให้คำตอบกับอีกฝ่ายอย่างจับพิรุธไม่ได้ เอ่อ...ฉันแค่สงสัยน่ะ ว่าทำไมหน้าตาคุณมันละม้ายคล้ายพวกแขกมลายูคละฝรั่ง ถ้าจะเจาะจง ก็คงจะเป็นโปรตุเกสผสมอังกฤษก็เป็นได้ แต่รวมๆแล้วเป็นยุโรปผสมญ่อก็เข้าที แต่ดูจากผิวพรรณแลผมเผ้าก็ละม้ายคล้ายคนสยามเหมือนกัน ชายหนุ่มเดินเข้ามายืนข้างๆ และหัวเราะเบาๆ ฮ่าๆ หล่อนนี่ช่างฉันพินิจฉัยนัก ตัวฉันเอง ฉันก็มิแน่ใจดอกว่าฉันเป็นแขกมลายู พุทเกด รุสเซีย วิลาส อีหรอบ ฤาญ่อ ฉันน่ะคงได้เชื้อสายมาหลายเสี้ยว ก็มาจากเทียดของเทียดฉันกระมัง ท่านเป็นมิชชันเนรีตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์โน้นแน่ะ ฉันมันรุ่นลืบท่านแล้ว เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มกล่าว จู่ๆหญิงสาวก็ฉุกคิดบางอย่างได้ราวกับฟ้าผ่ามาแวบหนึ่ง มันมีความรู้สึกคล้ายๆกับว่าเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อสายลมอ่อนๆมากระทบที่กาย เธอก็กลับมาสทนาต่อเรื่องตระกูลของขจร โดยลืมเรื่องที่แวบเข้ามาในใจไปได้สนิท เทียดของเทียดเป็นมิชชันเนรีสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มันดูกระไรอยู่นะคุณขจร แต่ถ้าเทียดของเทียดคุณอยู่สมัยอโยธยาก็คงจะเข้าที ฉันไม่สนใจเท่าใดดอกว่าสาแหรกวงศ์วานว่านเครือฉันมีมาแต่ใดมาบ้าง พ่อฉันท่านก็บอกมาอีกที บอกก็แค่ให้รู้ว่ามาจากเหล่าไหนก๊กไหนก็เท่านั้น ถ้าอย่างนั้น พ่อหรือแม่คุณขจรคงหน้าละม้ายฝรั่ง แม่ฉันเป็นคนสยาม ส่วนพ่อฉันเป็นจีน พ่อฉันท่านชื่อเจ๊สัวสุ่น อีกไม่กี่วันท่านจะรับตำแหน่งเป็นพระยาโชฏึก หล่อนอาจจะเคยได้ยินชื่อเจ๊สัวสุ่นอยู่บ้าง เพราะตระกูลฉันตั้งแต่บุราณจวบปัจจุบัน ก็มีโรงไม้ โรงต่อเรืออยู่ริมน้ำคลองบางหลวง ไม่ไกลจากวัดรั้วเหล็ก คนฝั่งธนบุรีก็รู้จักกันทุกคน เมื่อรู้ว่าขจรเป็นลูกใคร หญิงสาวก็ตกใจและเกิดอาการวิตกกังวล เพราะกลัวว่าขจรจะนำเรื่องโลดโผนของเธอไปฟ้องหลวงเจริญจิตโอสถ แต่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่ไม่ได้แสดงตัวไปตั้งแต่แรกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เจ๊สัวสุ่นงั้นรึ ฉันไม่รู้จักดอก ฉันไม่ใช่คนแถวนี้ ฉันอาไศรยอยู่ฟากพระนคร ก็เคยได้ยินพ่อบอกเสมอ ว่าถ้าจะต่อเรือแลหาไม้ดีๆมาปลูกบ้าน ก็ให้ไปซื้อฟากขะโน้นแถวๆโรงไม้ใกล้วัดรั้วเหล็ก แก้วบาหยันพูดปดไปเพื่อกลบพิรุธ หล่อนอยู่ฝั่งพระนครหรอกหรือ ฉันทำงานสังกัดกรมท่าซ้าย ต้องสัญจรไปมาระหว่่่่างกรมท่าแลศาลาว่าการต่างประเทศที่วังสราญรมย์ด้วยบ่อยครั้ง ฉันรู้จักฟากนั้นเป็นดียิ่ง เรือนหล่อนอยู่ละแวกไหนกันล่ะ แก้วบาหยันหันหน้าหนี เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะซักเพิ่ม และไม่รู้ว่าจะโกหกไปยังไงต่อ เพราะในชีวิตก็ได้อยู่หลักๆเพียงแค่สามที่ นั่นก็คือ โรงเรียนแหม่มใกล้โรงพยาบาลวังหลัง เรือนไม้ไทยหลังเก่าของหลวงเจริญจิตโอสถที่วัดหนัง และเรือนไม้ทรงปั้นหยาที่ย่านถนนใหม่ใกล้กรมท่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อก็คงจะไม่ดี จะจากไปก็กระไรอยู่ เลยหาเรื่องอื่นคุยเลี่ยงตอบคำถาม เอ๊ะ! นี่ใช่ตัวสงกรานต์ใช่รึไหมคุณขจร หญิงสาวชะโงกหน้าไปที่คลอง ทำหน้าตาตื่นตระหนก ชายหนุ่มรีบก้มตามดู แต่ก็พบว่าสิ่งที่หญิงสาวบอกมันคือลูกอ๊อด ที่กำลังว่ายหลบกระแสน้ำเข้ามาใต้สะพานไม้ท่าน้ำ นี่หาใช่ตัวสงกรานต์ไม่ นี่หล่อนไม่รู้จักลูกอ๊อดหรอกหรือ หญิงสาวรู้จักดีว่าลูกอ๊อดเป็นยังไง เพราะตอนเด็กๆเคยแอบเอาลูกอ๊อดมาเลี้ยงในตุ่มอีเลิ้ง จนโดนลงหวายด้วยหลวงเจริญจิตโอสถซะหลายครั้งจนหลาบจำ แต่ที่ทำทีเป็นไม่รู้จัก ก็เพราะต้องการให้ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องตัวสงกรานต์แทน แล้วไหนกันเล่า ตัวสงกรานต์ที่คุณจะพาฉันมาดู ไม่เห็นมีสักกะตัว เห็นแต่ลูกอ๊อดลูกน้ำปลาเข็มเต็มไปหมด เอ...สงสัยตรงท่าน้ำนี้จะขุ่นด้วยโคลนเพราะเรือเพิ่งมาเทียบท่า ถ้าจะเห็นเป็นเยอะตัว คงจะแถวๆท่าน้ำวัดนางนองใกล้ๆโบสถ์หลวงพ่อผุดกระมัง ชายหนุ่มชี้ไปทางวัดอีกทิศหนึ่งที่แก้วบาหยันมา ซึ่งถ้าเกิดกลับไปที่นั้น ก็คงได้เจอกับหลวงเจริญจิตโอสถ และคงโดนฟ้องเรื่องกิริยาคำพูดที่ไม่งามสมเป็นกุลสตรีแน่นอน แต่ใจก็ยังอยากเห็นตัวสงกรานต์อยู่ จึงขอร้องฝ่ายชายให้พาไปที่อื่น ตัวสงกรานต์มันขึ้นที่หน้าวัดนางนองที่เดียวรึคุณขจร ที่อื่นมีอีกไหม วัดนี้ก็คงมี แต่ฉันมิรู้ว่ากว่ามันจะลอยมาถึงที่นี้ เด็กๆหน้าวัดนางนองคงเล่นสนุกตีมันซะแตกละลายหายไปหมดแล้วกระมัง ให้ตายซี ฉันจะไม่มีโอกาสได้เห็นตัวสงกรานต์กับเขาบ้างเลยรึ งั้นเราลองไปตรงโค้งน้ำโน้นท้ายตลาดแพดีไหม ชายหนุ่มชี้ไปอีกทิศทางหนึ่งที่ไม่ไกลมากนัก แต่ต้องเดินทางโดยเรืออย่างเดียว ด้วยความที่อยากเห็นตัวสงกรานต์มาก แก้วบาหยันเลยตอบตกลงอย่างไม่ปฏิเสธ เพราะแถวนั้นเธอรู้จักดี และเคยไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดแพบ่อยๆ คุณขจรมีเรือรึ หญิงสาวถาม มีสิ นี่ไงเรือฉัน ชายหนุ่มชี้ไปที่เรือมาดลำเล็กนั่งขนาดสองคน มีประทุนเป็นไม้สานทรงโค้ง พร้อมมีผ้าม่านสีขาวคลุมปิดที่ซุ้มโค้งเพื่อกันแดดกันลม ด้านหัวเรือมีริ้วธงสีแดงและสีเหลืองประดับไว้ หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่ขจรทำงานดีมีชาติตระกูล ทำไมถึงมีแค่เรือมาดลำเล็กธรรมดา แทนที่จะเป็นเรือเก๋งไม้อย่างดี แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเรือเก่าลำเล็กเลยสักนิด รีบเข้าไปนั่งทันทีหลังขจรเอาเชือกออกจากท่า แต่ก็ไม่วายจะแอบถามด้วยความสงสัยในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพายเรือที่ด้านท้าย เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง ทำไมมีแค่เรือมาดประทุนลำเล็ก ไหนบอกว่าบ้านคุณเป็นโรงต่อเรือแลมีไม้มากมาย เรือเก๋งไม้ดีคงหาได้มิยากดอกหนา ขจรอมยิ้ม ตั้งหน้าตั้งตาพายเรือ มองหน้าตรงอย่างเดียว แต่ปากยังคงพูดอยู่ ฉันมันแค่ขุนนางคนเล็กๆ หากใช้เรือใหญ่เรืองามเกินหน้าเกินตาขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นๆ มันจะไม่ดีหนา กอปรกับฉันแค่แวะเอาของมาให้ตามธุระ มิได้ตั้งใจจะอยู่นานเสียเมื่อไหร่ ฉันมิได้ตั้งใจจะดูถูกดูแคลนคุณดอกนะ ฉันเพียงแค่สงสัยก็เท่านั้น อย่าถือฉันเลยนะ หญิงสาวหันไปยิ้มหวานให้ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด ถ้าฉันถือเดียงสาหล่อน ฉันก็คงไม่พาหล่อนมาด้วยดอกแม่แก้วหน้าม้า ขจรอมยิ้มในขณะพูด คุณเรียกฉันมาแก้วหน้าม้ารึ หญิงสาวถามและเริ่มทำหน้าบูดบึ้ง หล่อนควรจะชื่อแก้วหน้าม้านะ เพราะหล่อนมันช่างแก่นกะโหลกกะลาเหมือนแก้วหน้าม้าเสียจริง ฮ่าๆ ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมาดังเล่นเหมือนเห็นหน้าตาบึ้งตึงของหญิงสาว หญิงสาวโกรธจัดเลยขยับไปที่ท้ายเรือ และวักน้ำรดใส่ตัวขจรอย่างสนุกสนานจนเรือโคลงไปโคลงมาเกือบล่ม ส่วนฝ่ายชายก็ไม่ยอม ก็ใช้ไม้พายวักน้ำรดไปที่ตัวหญิงสาวบ้างเพื่อเป็นการแก้แค้นคืน ทั้งสองเล่นน้ำกันไปมาเหมือนเด็ก ต่างคนต่างหัวเราะดังลั่นคลอง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มแฉะไปหมด แต่ก็ยังเล่นกันต่อไม่เลิก ตอนนี้ขจรและแก้วบาหยันเหมือนได้ใกล้ชิดสนิทใจกันมากขึ้น ต่างคนต่างเริ่มมีอาการตกประหม่าออกมา จนหน้าออกสีแดงระเรื่อเป็นลูกตำลึงในจังหวะที่จ้องมองกัน ทั้งคู่ก็เลยต้องหยุดเล่นและทำทีเหมือนว่าไม่มีเกิดอะไรขึ้น แก้วบาหยันกลับไปนั่งหน้าเรือ และตลบผ้าม่านขึ้นเพื่อดูบรรยากาศด้านนอกให้เต็มที่ ในมือยังคงถือปลาตะเพียนที่ห้อยดอกการเวกอยู่ แอบยิ้มแอบมองอย่างมีความสุข ส่วนขจรก็เร่งฝีพายเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยความเขินอาย ทั้งๆที่ใจอยากให้เรือมันล่องช้ากว่านี้ ตอนนี้หญิงสาวพยายามควบคุมความคิด และทำความเข้าใจว่า ตัวเองนั้นคงตกประหม่ากับครั้งแรกที่มีมิตรสหายเป็นชาย ส่วนขจรเข้าใจว่าตัวเองคงตกประหม่าในความงามคมขำของหญิงสาว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่า ต่างก็มีอีกหนึ่งอย่างที่ประทับใจซึ่งกันและกัน นั่นก็คือความต่างที่ลงตัว ที่เข้ามาเติมสีสันสดใสให้กับชีวิตเดิมที่เคยเป็นอยู่ ฝ่ายหญิงนั้นแสนแก่นแก้วซนไม่สมกุลสตรี แต่มีความคิดทันสมัยก้าวไกลแบบผู้ใหญ่ อาจจะติดนิสัยเด็กบ้างในบางที แต่ก็ดูดื้อน่ารักน่าปราบในสายตาของขจร ส่วนตัวฝ่ายชายเองก็ดูเป็นผู้ใหญ่หัวโบราณ แต่มีความใจดีอันอบอุ่นแอบแฝงอยู่ตลอดเวลา อาจจะติดนิสัยขี้บ่นปากจัดจ้านบ้าง แต่ก็ดูท้าทายน่ากลั่นแกล้งในสายตาของแก้วบาหยัน ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระเมื่อได้อยู่ด้วยกัน ได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ได้ทำได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ขจรและแก้วบาหยันต่างเกิดความพอใจในกันและกันอย่างเล็กๆแบบไม่รู้ตัว เพียงแต่ไม่แน่ใจและไม่กล้าแสดงออกมากมายเพราะคิดว่ามันอาจเร็วเกินไป และไม่คิดว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริง ++++++++ อ่านต่อในกล่องcommentด้านล่างได้เลยเจ้าค่ะ เหย้าบาหยัน : บทที่ ๘ : แฝดกาฝาก
บทที่ ๘ แฝดกาฝาก ![]() ฟ้าหลังฝนทิ้งความชื้นเกาะกระจกรถเป็นคราบเม็ดฝน ภิกษุหนุ่มใช้มือลู่ไอน้ำที่กระจกข้างออกแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งถูให้กระจ่างชัด มันก็กลับมาเลือนลางเป็นรอยอีกเช่นเคย อุณหภูมิในรถเย็นราวกับจุดเยือกแข็งทั้งๆที่ปิดแอร์ไปนานแล้ว จีวรที่ห่มอยู่ก็ไม่ได้อุ่นพอที่จะกันความหนาวผิดปกติแบบนี้ได้ ผิวหนังชั้นนอกตึงดึงรั้งขนให้ตั้งลุกชัน การเต้นของจังหวะหัวใจช้าลงจนทำให้หายใจแทบไม่ออกเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ อากาศวิปริตและอาการประหลาดแบบนี้ พระไมค์เคยประสบมาแล้วสองครั้งที่อเมริกาและที่ไทย ครั้งแรกคือการเจอกับวิญญาณขุนขจร และครั้งที่สองคือการพบกับวิญญาณหญิงโบราณที่ยืนอยู่ด้านหลังแก้วตอนสทนาที่ข้างโลงศพ หน้าตาของหญิงโบราณผู้นั้นยังคงติดตาภิกษุหนุ่มให้ครุ่นคิดอยู่เสมอ ทั้งชื่อที่หญิงผู้นั้นที่เรียก กับทั้งท่าทางและสีหน้าอากัปกิริยาที่แสดงออกมาเหมือนกับรู้จักกันมาก่อน มันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า วิญญาณหญิงโบราณที่หน้าคล้ายแก้วคนนั้น เขาเป็นใคร หยงยิหวาเองเจ้าค่ะ เสียงหวานนุ่มของหญิงสาวตอบกลับมาในขณะที่ภิกษุหนุ่มกำลังคิด พอหันไปดูด้วยความตกใจ ก็พบกับวิญญาณหญิงโบราณที่เคยเจอ กำลังนั่งพับเพียบอยู่ที่เบาะด้านหลัง กราบนมัสการพระคุณเจ้า วิญญาณหญิงโน้มศรีษะจรดพุ่มมือพนมไหว้อย่างนอบน้อบ ฝ่ายพระไมค์ทำหน้านิ่งตัวแข็งทื่อเพราะไม่เคยประจันหน้ากับวิญญาณแบบใกล้ขนาดนี้มาก่อน พอรวบรวมสติได้ จึงพูดกลับไปอย่างสุภาพ เจริญพรนะโยม วิญญาณหญิงสาวยิ้มรับ หยงดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ท่านขรัวเขมชาตินึกถึงเรื่องเมื่อวาน หยงเลยออกมาพบท่านได้ เดี๋ยวก่อนนะ โยมเรียกอาตมาว่าเขมชาติ? โยมหมายถึงใครกัน เห็นเรียกอาตมาชื่อนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว ท่านไงเจ้าคะ ท่านขรัวเขมชาติ อาตมาชื่อไมค์ แต่มีชื่อไทยเป็นชื่อจริงว่าเจมชาติ โยมหมายถึงเจมชาติแต่ออกเสียงผิดเป็นเขมชาติใช่ไหม ไม่ผิดดอกเจ้าค่ะ ท่านคือขรัวเขมชาติ น้องชายของขุนขจรไงเจ้าคะ ขุนขจร!? ขุนขจรสุนทรวานิชท่านเป็นบรรพบุรุษของอาตมา อาตมาไม่ใช่น้องชายท่าน หยงเชื่อว่าท่านคือขรัวเขมชาติ มีท่านเพียงคนเดียวในชาติที่แล้ว แลชาตินี้ที่จะเห็นวิญญาณกรรมเหล่านี้ได้ ชาติที่แล้วท่านเป็นถึงขรัว ชาตินี้ท่านจึ่งมาเป็นพระอีกครา เป็นบุญหนาที่หยงได้นมัสการท่านอีกหน ภิกษุหนุ่มได้ฟังคำบอกเล่าของวิญญาณหญิงสาวก็รู้สึกยังไม่ค่อยเชื่อ ในใจมีถามคำถามอีกมากมาย แต่ก็ยังไม่กล้าซักถามต่อ เพราะรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ของวิญญาณหญิงโบราณ เหมือนมีอะไรมากกว่านั้น แววตาที่ดีใจแฝงด้วยท่าทางร้อนรนอย่างมีพิรุธ คอยมองไปที่หลังกระบะรถและหน้าศาลาวัดเป็นระยะ " โยมมาหาอาตมา โยมต้องการอะไรหรือเปล่า ต้องการเจ้าค่ะ อยากให้อาตมาช่วยเรื่องอะไรก็บอกมาเลย โยมอยากให้ท่านขรัวเขมชาติช่วยแก้วเจ้าค่ะ โยมหมายถึง พระไมค์หันกลับไปที่ศาลาตามสายตาของวิญญาณหญิงที่มองไป ก็รู้เลยทันที่ว่าหมายถึงกิ่งแก้วกาหลง โยมหยงเจอวิญญาณแก้วด้วยเหรอ เราได้พบกันแล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ดวงจิตของแม่แก้วยังคงหลงทางอยู่ มีเพียงแสงสว่างจากล็อคเก็ตของท่านขรัวเท่านั้น ที่จะนำพาดวงจิตกลับไปหาร่าง ล็อคเก็ต? ภิกษุหนุ่มหยุดคิดครู่ใหญ่ ก็นึกออกว่าตนนำล็อคเก็ตเก็บไว้ที่ย่าม เลยรีบเอาออกมาให้วิญญาณหญิงสาวดูเพื่อให้แน่ใจว่าคืออันเดียวกันกับที่กำลังพูดอยู่ ล็อคเก็ตอันนี้น่ะเหรอโยม ใช่เจ้าค่ะ แต่โยมแก้วเสียชีวิตแล้วนะ อาตมาจะใช้ล็อคเก็ตนำวิญญาณมาคืนร่างได้ยังไง แม่แก้วยังไม่ตายเจ้าค่ะ แค่ดวงจิตหลุดออกจากร่าง อาตมายังไม่เห็นโยมแก้วเลย แล้วอาตมาจะช่วยได้ยังไง ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แม่แก้วไม่ใช่วิญญาณที่ตายแล้ว ท่านจึ่งเห็นไม่ได้ บัดนี้แม่แก้วก็ไม่ได้อยู่ไกลจากท่านขรัวดอกนักเจ้าค่ะ วิญญาณหญิงมองไปด้านหลังเพื่อบอกให้ภิกษุฝรั่งรู้ว่าแก้วอยู่ตรงไหน พระไมค์มองไปที่กระบะท้ายรถ ที่มีแต่ความว่างเปล่า แต่เมื่อเพ่งดูชัดๆอีกครั้ง ก็มีรอยน้ำเป็นคราบเหมือนฝ่ามือคนให้เห็นเป็นจางๆอยู่บนแผ่นกระจกรถ ก็เลยเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่วิญญาณหญิงกล่าวอาจเป็นความจริง แล้วอาตมาต้องทำยังไงล่ะ ท่านขรัวจงถือล็อคเก็ตไว้ เพื่อเดินนำดวงจิตแม่แก้วกลับร่าง รีบเถิดเจ้าค่ะท่านขรัว ก่อนที่จะมีคนนำร่างของแม่แก้วไป แม้จะเป็นคำสั่งที่แปลกประหลาด แต่พระไมค์ก็ยอมทำตามที่วิญญาณหญิงสาวกล่าว เพราะดูเหมือนเจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังนำศพแก้วเข้ารถเพื่อนำไปส่งที่ห้องชันสูตรศพสถาบันนิติวิทย์ศาสตร์ ภิกษุฝรั่งรีบเปิดประตูรถ เดินถือล็อคเก็ตมุ่งตรงไปที่ศาลาวัด คอยเรียกแก้วในใจหวังว่าจะได้ยิน โยมแก้ว ถ้าได้ยินเสียง ก็ตามอาตมามานะ อาตมาจะพากลับร่าง แก้วที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่เห็นหรือได้ยินแม้กระทั่งการสทนาระหว่างพระไมค์กับหยงยิหวาก่อนหน้านี้ มีเพียงแสงสว่างเรืองๆจากสร้อยล็อคเก็ตเท่านั้นที่ส่องทางเหมือนหิ่งห้อยในคืนเดือนดับ ให้เดินตามไปเรื่อยๆ ในระหว่างทางนั้น เธอสัมผัสได้ตลอดเวลาว่า เหมือนมีวิญญาณอีกตนเดินนำหน้าเธอ แต่ก็ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร วิญญาณหยงยิหวาเดินนำหน้ามาตลอด คอยปกป้องไม่เห็นผีร้ายหรือสัมภเวสีเร่ร่อนมายุ่งกับดวงจิตของแก้ว ระยะทางจากเจดีย์ไปหน้าศาลาสวดศพห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ทว่าทุกๆก้าวเดินเต็มไปด้วยมือนับร้อยนับพันที่โผล่มาจากพื้นดินคอยกั้นขวางทางไม่ให้ไป แต่ด้วยบุญบารมีของภิกษุฝรั่ง จึงทำให้รอดพ้นไปได้อย่างง่ายดายจนมาถึงรถพยาบาลที่จอดด้านหน้าศาลาวัด ทำอย่างไรต่อโยมหยง ภิกษุฝรั่งถามในใจ เพราะไม่กล้าพูดต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาลที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย นำสร้อยไปสวมที่คอแม่แก้วเจ้าค่ะ แม่แก้วจะได้เห็นร่างตนเอง แลกลับเข้าร่างได้เจ้าค่ะ วิญญาณหญิงสาวบอก อาตมาเป็นพระ จับต้องตัวผู้หญิงไม่ได้ มันต้องอาบัติ ทำอย่างไรก็ทำเสียเถิดเจ้าค่ะ รีบทำเถิด ก่อนที่จะไม่ทันกาล ภิกษุหนุ่มเดินวนไปมารอบรถพยาบาล พยายามคิดตรึกตรองอยู่นานสองนาน ก็เลยตัดสินใจทำตามที่วิญญาณหญิงสาวบอก โดยอาศัยจังหวะที่เจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังกลับเข้าไปในศาลา รีบเปิดกระจกรถด้านข้าง แล้วพยายามโยนสร้อยไปวางทาบไว้ที่คอ ทำอะไรอ่ะหลวงเพื่อน เสียงสารวัตรศรัณย์ทักมาจากด้านหลัง พระไมค์สะดุ้งตกใจเล็กน้อย พยายามสำรวมอาการและหันกลับไปทำหน้าตาปกติ อ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ เพราะไม่สามารถโกหกได้ เอ่อ..คือ..อาตมา สารวัตรศรัณย์เห็นพิรุธที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของภิกษุฝรั่งที่กำลังยืนบังกระจกรถที่เปิดอยู่ เลยขอให้หลบเพื่อเช็คดูความผิดปกติ นิมนต์หลวงเพื่อนเขยิบหน่อยนะครับ พระไมค์ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ และยังคงออกอาการอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไร แต่ในระหว่างนั้นเอง เจ้าหน้าที่พยาบาลก็ออกมาด้านนอกพอดี มีอะไรกันหรือเปล่าครับคุณสารวัตร หนึ่งในเจ้าหน้าที่พยาบาลถาม อ่อ ก็ไม่มีหรอกครับ คือผมจะขอดูศพอีกสักครั้งได้ไหม ช่วยเลื่อนออกมาหน่อย พนักงานพยาบาลพยักหน้า วิ่งไปเปิดท้ายรถแล้วเลื่อนศพออกมา ศพอยู่ในถุงพลาสติกทึบรูดซิบอย่างดี แต่ที่บริเวณห่วงตะขอซิบด้านบน มีสายสร้อยเกี่ยวติดอยู่ สารวัตรหนุ่มรีบแกะออกมาดู แล้วมองไปที่ภิกษุฝรั่งด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยคำถาม ก็ได้ยินเสียงคนหายใจกระหืดกระหอบอยู่ภายใต้ถุงใส่ศพ ทุกคนในที่นั้นตกใจกับเสียงหายใจในถุงใส่ศพ จู่ๆศพก็ดิ้นพล่านไปมาภายใต้ถุง และมีเสียงพูดออกมาอู้อี้ว่า ช่วยด้วย ทั้งสารวัตรศรัณย์ และพนักงานพยาบาลต่างตกใจ มีเพียงพระไมค์ที่มีสติ ดึงที่รูดซิบออกทันที หญิงสาวในถุงใส่ศพลุกขึ้นมานั่งหายใจหอบสักพัก แล้วก็สลบไปทันที พนักงานพยาบาลมาเช็กสภาพร่่างกายแก้วอีกครั้งอย่างเร่งด่วน ก็พบว่าหัวใจกลับมาเต้นปกติเหมือนคน คนตายยังไม่ตายครับ หนึ่งในเจ้าหน้าที่พยาบาลตะโกนตอบแบบรวดเร็ว พูดผิดๆถูกๆด้วยความงง สารวัตรหนุ่มเอามือเกาหัวด้วยความงงเช่นกัน มีเพียงพระไมค์ที่ยืนนิ่งเฉยเพราะรู้ว่าเหตุการณ์ปาฏิหารย์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ฟื้นแล้วครับ คนตายฟื้นแล้วครับ เจ้าหน้าที่พยาบาลอีกคนตะโกนหลังจากที่ปฐมพยาบาลแก้วได้ไม่นาน พระไมค์ สารวัตรศรัณย์ และทุกคนที่เพิ่งรู้เรื่อง ต่างรีบมามุงดูอาการของหญิงสาวกันอย่างใกล้ชิด คนที่ดีใจพอๆกับพ่อของแก้วก็คือ ยายจรูญ เพราะจะได้หลุดพ้นคำครหาว่าเป็นฆาตกร เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าหนูแก้วยังไม่ตายก็ไม่มีใครเชื่อ กล่าวหาคนแก่ๆอย่างฉันแบบมั่วซั่ว ฝ่ายศุภจิตไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ยายจรูญพูด เพราะกำลังรู้สึกดีใจมากที่ได้ลูกสาวกลับมา สายตาจับจ้องดูแก้วอย่างเป็นห่วง แก้วลูกพ่อ ปลอดภัยแล้วนะลูก แก้ว หญิงสาวเอ่ยคำแรกออกมา พร้อมค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง เอามือกุมศรีษะเหมือนปวดหัว ค่อยๆลุกสิแก้ว แก้วงั้นรึ ก็แก้วไงลูก ขวัญเอ้ยขวัญมาของพ่อ กลับมาแล้วนะลูก พ่อพูดไปพลางลูบหัวลูกสาวไปด้วยความรัก หญิงสาวทำหน้างง จับร่างกายตัวเองด้วยท่าทางแปลกๆ หันไปมองเงาสะท้อนที่กระจกรถพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง และตอบกลับพ่อ ค่ะ แก้วกลับมาแล้ว ++++++ แก้วกลับมานอนพักฟื้นที่บ้านหลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จแล้ว ผลสรุปคือไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น แต่ยายจรูญยังถูกคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับนำสารเสพติดเข้ามาใช้ในวัด และเมื่อคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ทางหน่วยเลยส่งสารวัตรศรัณย์ไปจัดการคดีอื่น โดยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยอื่นมาจัดการเรื่องนี้แทน เป็นอย่างไงบ้างลูก หายปวดหัวหรือยัง ศุภจิตเดินเข้ามาในห้องนอนลูกสาว ถือกระติกน้ำร้อน และชุดชามาวางไว้ที่โต๊ะรับแขกข้างเตียง ค่ะ หญิงสาวตอบสั้นๆโดยไม่ได้สนใจพ่อที่เดินเข้ามา ตายังคงมองที่กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อมยิ้มเล็กๆด้วยความพอใจ จริงๆพ่อไม่อยากให้ลูกดื่มชาจีนนี่หรอกนะ เพราะมันจะทำให้นอนไม่หลับ แต่ก็เอาเถอะ ดื่มพอให้ร่างกายอุ่นๆล่ะกันนะ ศุภจิตเดินมาหาลูกสาวที่โต๊ะเครื่องแป้ง และจับที่หน้าผากลูกสาวเพื่อเช็กอาการอีกครั้ง หนูหนาวไหมลูก ดูซิตัวยังเย็นเฉียบอยู่เลย ไม่เจ้าค่ะ ไม่เลย ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณพ่อ หญิงสาวหันมาตอบ มือยังคงใช้หวีสางผมเล่นอย่างเพลิดเพลิน แก้ว
เจ้าคะ หญิงสาวมองพ่อผ่านกระจกและยิ้มให้ หนูไม่เป็นอะไรแน่นะลูก พ่อถามลูกสาวอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกจากห้อง เพราะรู้สึกได้ถึงอาการแปลกประหลาดของลูกสาวหลังจากฟื้น ทั้งสีหน้าท่าทาง แววตา และการใช้คำพูด ดูไม่เหมือนกับไม่ใช่แก้วคนเดิมที่เคยรู้จัก เจ้าค่ะ หญิงสาวตอบสั้นๆเช่นเคย งั้นพักผ่อนเยอะๆนะลูก พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่น พ่อไปนอนล่ะนะ ฝันดีนะลูก เจ้าค่ะ เมื่อพ่อปิดประตู หญิงสาวก็มองตัวเองที่กระจกอีกครั้ง และแสยะยิ้มประหลาดออกมา แต่ในมิติมุมหนึ่งในความมืดมิด มีดวงจิตของกิ่งแก้วกาหลงยังคงยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังโต๊ะเครื่องแป้ง พยายามร้องเรียกผู้ที่นั่งอยู่ แต่ก็ดูเหมือนไร้ความหมาย เพราะเหมือนบุคคลนั้น ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆตั้งแต่สวมรอยเข้าสิงร่างเธอที่หน้าศาลาวัด คุณหยงยิหวา เอาร่างฉันคืนมา ดวงจิตหญิงสาวร้องตะโกนบอก เหย้าบาหยัน :บทที่ ๗ : ฆาตกรกรรมอำพราง
บทที่ ๗ ฆาตกรกรรมอำพราง ![]() ศาลาสวดศพถูกปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อกันสายฝนกระเซ็นเข้ามาด้านใน เสียงน้ำที่กระทบหลังคาดังอึกทึกอื้ออึงไปรอบบริเวณเหมือนกับว่ามีคนมาตีกลองระรัวไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าเฉียดยอดจั่วหลังคาไปมา ทำให้ศาลาวัดแห่งนี้ดูเหมือนกำลังร้องคำรามเสียงดังครืนด้วยความโกรธเคืองอะไรบางอย่าง ครืนนนน! ครืนนนน ! สายฟ้าแลบแสงวาบเข้ามาสว่างควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายในศาลาดูโหวงเหวงวังเวง เก้าอี้หลายตัวถูกเรียงเป็นแถวยาวเรียบร้อยแต่ไร้ซึ่งคนนั่ง เสาแต่ละต้นถูกบดบังจากเงามืดจนไม่สามารถเห็นอะไรก็ตามที่จะซ่อนเร้นอยู่ด้านหลัง คืนนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงหน้าศพและเทียนไขช่วยให้ความสว่างแก่สามผู้ค้างแรม เพราะเนื่องมาจากไฟฟ้าของวัดเกิดเหตุลัดวงจร จึงถูกตัดดับอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย พนักงานการไฟฟ้าจะมาจัดการซ่อมอีกทีก็คือตอนฝนซาหรือฟ้าสางเท่านั้น ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังแบบเนี้ย เห็นทีการไฟฟ้าจะมาพรุ่งนี้ซะแล้วมั้ง เสียงยายจรูญบ่น พลางใช้แสงเทียนมองเพ่งสำรวจไปรอบๆศาลา ไฟฉายก็แบตอ่อน สงสัยต้องเก็บไว้ส่องตอนเข้าห้องน้ำดีกว่าเนอะหนูแก้ว หญิงชราปิดไฟฉาย แล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อให้หยิบหาง่ายในตอนที่ต้องการใช้ ใช้ไฟจากมือถือหนูก็ได้ค่ะยาย หญิงสาวตอบกลับ ตายังคงจ้องไปที่มือตัวเองที่กำลังเทน้ำมันลงตะเกียงอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าจะทำมันหกเลอะพรม หวีดดดดดดดดดด .หวีดดดดดดดดด . ลมหวิวพัดดังหวีดลอดรูไม้แตกที่หน้าต่าง ส่งเสียงเข้ามาให้ได้ยินคล้ายกับเสียงคนร้องครางโหยหวญ หญิงสาวหยุดเทน้ำมันตะเกียงเพราะความตกใจ รีบมองตรงไปที่หน้าต่างเก่าบานเดิมมุมขวาสุดเหนืออาสนะสงฆ์ ที่กำลังขยับไปมาตามแรงกระแทกของพายุด้านนอก ฟังแล้วขนลุก ยั่งกะเสียงผีเปรตแน่ะ! โฮ้ย!ยายทนไม่ไหวแล้ว เอาอะไรไปอุดสักหน่อยดีไหมหนูแก้ว หญิงชรารีบจัดการเอาผ้าขี้ริ้วเก่าๆไปปิดรูแตก พร้อมใช้เชือกคล้องดึงหน่วงหน้าต่างไว้กับกลอนอีกทีเพื่อความแน่น และเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวค่ำยังไม่เห็นฝนตั้งเค้าเลย พอตกดึกเข้าหน่อยก็เอาเชียว ที่ดูฤกษ์ไว้วันนี้ฟ้าเปิดนี่หน่า ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เงียบ หญิงสาวตอบกลับ มือยังค่อยๆบรรจงเทน้ำมันตะเกียงอย่างช้าๆ พยามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวนด้านนอก ถึงแม้ผู้ค้างแรมทั้งสองจะเป็นคนที่จิตแข็ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในใจนั้นเริ่มจะรู้สึกหวิวหวาดระแวงกับการเฝ้าศพในค่ำคืนนี้ มีแต่เพียงลุงโชคผู้เป็นสัปเหร่อที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด นั่งหัวทิ่มหัวตำเมาเหล้าอยู่บริเวณม่านฉากกั้นหลังโลงศพ เมื่อเหล้าหมดขวดก็จะไปหลบนอนที่ประจำหลังม่านที่มีความกว้างแค่สองพื้นกระเบื้องต่อกัน มุมหลังม่านนั่นก็คือช่องส่งศพเข้าเตาเผา หรือที่วัดทั่วไปเรียกว่าเมรุเผาศพ เห็นว่าปีหน้าท่านเจ้าอาวาสคนใหม่จะสร้างเมรุนอกศาลาแล้วนะ หญิงผู้ร่วมค้างแรมพูดกระซิบพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนินทาไปถึงหูสัปเหร่อ แก้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงชรากำลังพูดสักเท่าไหร่ เธอกำลังตั้งใจเทน้ำมันให้หมดขวด แต่ก็ตอบและพยักหน้ากลับไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียมรรยาท เพราะยังไงคืนนี้คงต้องพึ่งพายายจรูญอีกหลายเรื่อง วัดเนี้ยขี้งก! เอาพื้นที่แค่ไม่กี่ศอกหลังที่ตั้งศพมาเจาะผนังแล้วก่อปูนต่อเติมเป็นเตาเผา ไม่เรียกว่างกแล้วจะเรียกว่าอะไร วัดในกรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะค่ะ พื้นที่น้อย แล้วยิ่งเป็นวัดเก่าฝั่งธนด้วย การวางผังก็คงผิดไปบ้าง จะมาแก้ไขตอนนี้ก็คงยาก เพราะพื้นที่ที่เหลือก็ให้ชาวบ้านอาศัยอยู่หมดแล้ว ถ้าได้ที่ดินของตระกูลใหญ่แถวๆนี้บริจาคมา วัดก็คงมีเมรุเผาศพไปนานแล้วล่ะ เสียงของชายสัปเหร่อแทรกการสทนาเข้ามา ยืนเอนไปเอียงมาพิงเสา กระดกเหล้าเข้าปากตลอดเวลาที่พูด ข่างเหน็บช่างแนมเหมือนผู้หญิงจริงนะ เมาทีไรแล้วปากมอมทุกทีนะแกตาโชค อยู่กันแค่สามคน ถ้าไม่ได้ยินก็คงหูฝาดแล้วล่ะยายจรูญ เอ๊ะ! หรือว่ามีมากกว่านั้นล่ะ ฮีฮีฮี นี่ตาโชค! แกอย่ามาพูดหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ ไปไป กลับเข้าไปนอนข้างเตาเผาศพโน้นไป๊ หญิงชราเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้แน่น เอาหลังมาประชิดติดกับแก้ว มองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก หญิงสาวที่เพิ่งเติมน้ำมันตะเกียงเสร็จก็หันมาคุยด้วย คุณยายกลัว... หญิงชรารีบชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณห้ามพูด อย่าพูด! จุ๊ๆ กลางค่ำกลางคืนในวัดในวา ใครเค้าพูดเรื่องผีๆสางๆกันล่ะ เค้าห้ามพูดคำว่าผี เดี๋ยวผีจะได้ยิน อุ้ยตาย! ยายหลุดไปได้ไงเนี้ย ยายจรูญรีบเอามือตบปากตัวเองเบาๆสามที ทำท่ากำมือแล้วปาทิ้งไปในอากาศ ถอนคำพูด ถอนคำพูด ไม่ได้ยินกันนะ หาววว ไปนอนดีกว่า กินเหล้าก่อนนอนนี่มันอุ่นจริงๆ หวังว่าตื่นมาแล้วคงไม่มีใครซนไปเปิดโรงทึมเล่นอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮึฮึฮึ ชายชราหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างมีเลศนัย แล้วรีบหลบเข้าไปหลังม่าน ล้มตัวลงนอนในสภาพที่เมาเต็มที่ ทิ้งไว้แค่คำเตือนปริศนาให้สองผู้ค้างแรมรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ ให้ตายสิ พูดยั่งกะว่าในโรงทึมมีศพอยู่อย่างงั้นแหละ พับผ่าเอ้ย! หญิงชราเอาหนังสือสวดมนต์ตบเข่าตัวเองด้วยความโมโหที่สัปเหร่อแกล้งพูดหลอกให้กลัว แต่แก้วว่ามีนะคะ มีอะไร...อย่าบอกนะว่ามี.. ค่ะ อย่างที่คุณยายคิดนั่นแหละค่ะ แก้วเห็นมากับตาเมื่อหัวค่ำ ศพคนห่อผ้าไว้ค่ะ หญิงชราหน้าถอดสี เริ่มพูดรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง ใช้หนังสือสวดมนต์พัดโบกไปมาที่หน้า อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกยายก่อนล่ะ ศพย่าหนูยังพอไหว เพราะยังไงคืนนี้วิญญาณเค้ายังไม่รู้ตัว ยังไงก็ไม่มาให้เห็นหรอก โอ้ยตาย! แล้วศพที่อยู่ในโรงทึมนั่นกี่วันแล้วเนี้ย ศาลานี้กับโรงทึมเชื่อมติดกันด้วย ตายตายตาย! ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณยาย เห็นลุงโชคบอกว่า ศพที่โรงทึมเพิ่งเข้ามาพร้อมๆกับย่าแก้วนั่นแหละค่ะ คุณยายกลัวเหรอคะ ไหนคุณยายบอกว่าอยากเจอ หญิงชราสูดลมหายใจและค่อยๆพูดช้าลง เฮ้อ...คือ เอ่อ..อยากเจอก็อยากเจอ แต่เจอผีทีละตัวดีกว่าไหม แต่เอาเถอะ ยายไม่กลัวแหละ เพราะคืนแรก คนตายยังไม่รู้ตัวหรอก ยังไม่รู้ตัวงั้นเหรอคะ แต่ทำไมแก้วได้ยินเสียงศพร้องไห้สะอื้นที่โรงทึมล่ะคะ ร้องไห้ด้วยเหรอ คุณพระ! ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ตายคืนแรกแล้วมั้ง แล้วใครบอกคุณยายคะว่าคนตายคืนแรกจะไม่มา ก็เค้าว่ากันว่า ใครก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ ส่วนใหญ่วิญญาณจะกลับมาเก็บรอยเท้าตัวเองคืนวันที่สาม หรือไม่ก็คืนวันที่เจ็ด แต่เสียงเงาที่แก้วเจอที่โรงทึม แก้วว่าคงไม่ใช่คนแน่นอนค่ะ หรือไม่ก็...อาจจะไม่ใช่วิญญาณของคนในโลงก็ได้นิ ถึงแม้หญิงชราจะกลัว แต่ก็ยังเอาไฟส่องเข้าไปที่ประตูเหล็กพับที่โรงทีม เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าถูกปิดสนิท แล้วใครล่ะคะ ยายก็ไม่รู้หรอก เค้าอาจจะมาขอส่วนบุญ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูแก้วอย่างที่ยายคิดไว้ก็ได้ แต่หนูเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่ยายคิดแล้วนะคะ ทำไมล่ะ ก็วิญญาณแปลกๆที่เข้ามาวนเวียนรอบตัวหนูน่ะสิคะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลด้วย น่าสนใจน่าสนใจ เคสนี้น่าสนใจ เอาล่ะ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแหละ เวลากำลังเหมาะเลย หนูแก้วพร้อมหรือยังล่ะที่จะสะกดจิตแสกนกรรมกับยาย แก้วพร้อมแล้วค่ะ เราเริ่มกันเลยไหมคะ +++++++++ เสื่อสีแดงเลือดนกถูกปูรอไว้ที่ริมอาสนะสงฆ์ใกล้โต๊ะหมู่บูชาของพระพุทธรูป มีอุปกรณ์แปลกตาวางเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องวัดชีพจรแบบสัมผัส กล้องตรวจจับรังสีความร้อน กล้องวิดีโอสำหรับถ่ายภาพกลางคืน เทอร์โมมิเตอร์วัดความชื้น และเครื่องวัดความถี่คลื่นเสียงต่ำ นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ที่เคยเห็นในพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็น เทียนไขขาว สายสิญจน์ทาทองคำเปลว ระฆังเล็กทองเหลืองลงอักขระขอม ลูกประคำกะลาตาเดียว ขันน้ำมนต์เจ็ดเกจิ และ ตะเกียงกำยาน คุณยายจะใช้ตะเกียงกำยานไว้ทำอะไรเหรอคะ หญิงสาวก้มลงดูตะเกียงกำยานด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นอะไรในลักษณะนี้มาก่อน มันมีรูปร่างคล้ายกระถางธูปทำด้วยทองเหลืองเก่าสลักตัวอักษรจีนโบราณ มีหูจับเป็นหางมังกร มีขาตั้งสามขาเป็นพยัคฆ์ ฝาปิดมีรูฉลุเป็นลายดอกไม้สวยงาม บนยอดฝามีหน้าสิงโตจีนคล้องห่วงที่จมูกไว้สำหรับหิ้ว ก็ไว้จุดกำยานเรียกดวงจิตกลับร่างไงล่ะ หญิงชราพูดไปพลางเอาสายสิญจน์ล้อมเสาสี่ต้นรอบบริเวณเสื่อที่ปู ไหนคุณยายบอกว่าเราจะสะกดจิตกันไงคะ การที่จะสะกดจิตระลึกชาติ มันเสี่ยงที่ดวงจิตจะหลงทาง หาทางกลับมาร่างไม่เจอน่ะสิ ยายก็ต้องป้องกันไว้ก่อน วิญญาณออกจากร่างเลยเหรอคะ หนูนึกว่าเราจะกลับเข้าไปในใต้จิตสำนึกเท่านั้น ไม่ใช่วิญญาณออกจากร่าง ก็แค่ดวงจิตครึ่งหนึ่ง มันก็เหมือนฝันไง เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว แน่ใจนะคะคุณยาย ยายไม่ได้ทำสมัครเล่นนะ ยายมืออาชีพ เรียนจบด้านนี้โดยตรง ถ้าไม่เชื่อจะดูนามบัตร หรือเคสต่างประเทศที่ยายเคยทำมาไหม หญิงชราลงนั่งกับพื้นและเทกระเป๋าออกมากอง เพื่อหาหลักฐานมาโชว์ให้หญิงสาวรู้สึกมั่นใจ ค่ะๆ ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูเชื่อคุณยาย แต่หนูกลัวตัวเองว่าจะไม่กลับมาเองน่ะสิคะ ไม่ต้องกลัวนะหนูแก้ว หนูไม่ใช่วิญญาณไร้ร่าง หนูยังไม่ตาย หนูเป็นคน หนูยังมีประสาทสัมผัสครบ หนูจะยังคงได้กลิ่น ได้ยิน ได้สัมผัสร้อนอ่อนเย็นแข็งเหมือนคนทุกอย่าง เอางี้ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนเริ่มสะกดจิตกันหน่อยดีไหม ว่ามาเลยค่ะคุณยาย อย่างแรก เลือกกลิ่นกำยานก่อน หญิงชราถาม พร้อมหยิบห่อกำยานทรงกรวยออกมาให้เลือกมากมายในตระกร้า มีให้เลือกด้วยเหรอคะ ใช่ ยายมีให้เลือกหลายกลิ่นเลยนะ ถ้ากำยานเฉยๆกลิ่นมันจะแรงไป เดี๋ยวเวียนหัว อันนี้ยายทำเองเฉพาะเลย มีทั้งกลิ่นมะลิ กลิ่นวนิลา กลิ่นกุหลาบ อ่อ กลิ่นชาเขียวสุขภาพก็มีนะ เนี่ยมีอีกเยอะ เลือกมาอันนึง เอากลิ่นที่คุ้นเคยนะ หนูจะได้จำมันได้แม่นเวลากลับมา หญิงสาวลองหยิบห่อกำยานมาเลือกดู และก็เจอกับกลิ่นที่คิดว่าตัวเองคุ้นเคยที่สุดในตอนนี้ หนูเอากลิ่นนี้ค่ะ กำยานกลิ่นการเวกอย่างงั้นเหรอ เข้าใจเลือกนะ หอมเย็น หอมนาน หอมติดจมูก หญิงชราแกะห่อกำยานกลิ่นการเวกใส่ไปประมาณเก้ากรวยลงในตะเกียงและจุดไฟ เอาล่ะ กว่าจะหมดก็อีกนาน จุดตั้งแต่ตอนนี้เลยหนูแก้วจะได้ชินจมูก อ่ะต่อมาก็นั่งขัดสมาธิในท่าที่สบายนะ ยายจรูญจัดแจงเอาสร้อยประคำมาคล้องที่คอแก้ว แล้วใช้ที่จับชีพจรแบบสัมผัสมาแตะไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย หลังจากนั้นก็ตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้งหมดไว้รอบวงสายสิญจน์ทั้งสี่มุม เพื่อให้เครื่องเหล่านั้นส่งสัญญาณเตือนก่อนมีสิ่งแปลกปลอมกำลังเข้ามาคุกคาม เอาล่ะหนูแก้ว มั่นใจได้เลยนะ ว่าจะไม่มีวิญญาณร้ายตัวไหนเข้ามาในวงล้อมสายสิญจน์นี้ได้ มีเพียงดวงจิตหนูเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ สบายใจได้เลย แล้วยังไงต่อคะ เอาล่ะ อย่างแรก จำไว้นะว่าในทุกๆครั้งที่ดวงจิตหนูอยู่ข้างนอก หนูแก้วต้องพูดออกมาทุกคำพูด เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ยายฟัง เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ยายจะสื่อสารกับหนูได้ ค่ะ แก้วจะเล่าและจะพูดทุกอย่างที่พบเจอ ข้อที่สอง หนูแก้วจะต้องเดินหาอดีต ห้ามเดินตามอย่างอื่นเด็ดขาด เดินหาอดีต จะเดินหาได้ยังไงคะ อดีตแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ภาพอดีตจะปรากฎภาพชัดที่สุดเมื่อดวงจิตออกค้นหา แล้วหนูจะแน่ใจได้ยังไงคะ ว่าที่หนูตามมันคืออดีต ยายเชื่อว่าหนูต้องเจอ จำไว้แค่ว่า อย่าตามสิ่งอื่นเด็ดขาด และอีกอย่างหนึ่งที่อยากให้หนูแก้วจำไว้ ก็คือเสียงนี้ ติ้ง .ติ้ง ..ติ้ง . ยายจรูญเคาะระฆังทองเหลืองสามครั้ง เสียงระฆังเหรอคะ เมื่อหนูแก้วไปไกลมากแล้ว อาจไม่ได้ยินเสียงเรียกจากยาย แต่เสียงระฆังอันนี้จะดังกังวานก้องเพื่อบอกให้หนูรู้ว่ากลับมาได้แล้ว อ่ะจำเสียงไว้นะ ยายจะตีอีกที ติ้ง .ติ้ง ..ติ้ง . ยายจรูญเคาะระฆังทองเหลืองอีกครั้งช้าๆ เอาล่ะ อย่างสุดท้ายที่ยายจะบอกก็คือ ถือเทียนไขสีขาวเล่มนี้ไว้ อย่าให้ดับ หญิงชราหยิบเทียนไขเปล่าๆหนึ่งเล่ม แล้วยื่นไปไว้ที่มือของหญิงสาว เทียนมันจะดับได้ไงคะ ในเมื่อมันยังไม่ได้จุด เทียนเล่มนี้จะสว่างเมื่อยายจุดจริงๆอีกเล่มนึงจากตรงนี้ หญิงชราหยิบเทียนไขอีกเล่มที่อยู่บนเชิงเทียนให้ดู แสงของเทียนจะช่วยพาหนูไปหาอดีตใช่ไหมคะ ยายจรูญยิ้มและพยักหน้า แล้วแสงของเทียนก็จะพาหนูกลับมาที่นี้ด้วย เพราะฉะนั้น อย่าทำมันดับเด็ดขาด เพราะโลกอีกโลกนึงมันมืด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆทั้งสิ้น ค่ะ แก้วจะจำทุกอย่างที่ยายบอก ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ยายจะเริ่มแล้วนะ เหย้าบาหยัน :บทที่ ๖ : ศพสะอื้น
บทที่ ๖ ศพสะอื้น ![]() ความเคลือบแคลงที่คลุมเครือคาใจ ทำให้แก้วยังคงกำที่จับประตูไว้แน่นไม่กล้าออกนอกรถ และมองดูวิญญาณหนุ่มด้วยความกังวลระคนกลัว เริ่มลังเลหวาดหวั่นที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรดี ระหว่างหลักฐานในมือ หรือคำให้การของวิญญาณแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง เพราะรูปภาพของขุนขจรบรรพบุรุษของท่านไมค์ มันไม่ตรงกันกับรูปร่างหน้าตาของขุนขจรที่ยืนรออยู่นอกรถตอนนี้เลยสักนิด ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีแสงไฟสองดวงใหญ่จากรถอีกคันสาดเข้ามาทางด้านหลัง ทิศทางที่รถกำลังแล่นเข้ามา เหมือนจะพุ่งตรงมาหาเธอด้วยความเร็ว แก้วเลยตัดสินใจรีบออกมาจากรถแท็กซี่ทันที ก่อนที่จะโดนรถปริศนามาปะทะชนให้รถที่นั่งอยู่ไถลลื่นตกลงน้ำไป ไปกันเถิดแม่แก้ว เวลาจวนหมดแล้ว ตามฉันมาให้เร็วเข้า ขุนขจรรีบกวักมือเรียกหญิงสาวให้ตามตนไปในอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งแก้วก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามไปโดยไร้ความกังวล ตอนนี้เธอกลัวรถปริศนามากกว่า เพราะมันอาจเป็นรถผีที่อำแดงดวงแฝงมาอีกครั้ง อนึ่งถ้ารถดังกล่าวเป็นรถคนทั่วไป เธอก็ไม่อยากตอบคำถามหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทำให้โชเฟอร์แท็กซี่สลบและจอดรถคาขอบแม่น้ำแบบนั้น ปี๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! เสียงบีบแตรรถดังถี่ติดต่อกันและประชิดเข้ามาเรื่อยๆ วิญญาณหนุ่มและหญิงสาวรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินหลบหนีไปในมุมมืดทางเดินด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันที่จะหลุดรอดแสงไฟจากรถปริศนาสาดแสงส่องหาจนเจอ แก้ว! แก้ว! แก้ว! แก้วแกจะไปไหน! หยุดก่อน คนขับรถปริศนาตะโกนลั่นเรียกชื่อหญิงสาว น้ำเสียงอันคุ้นเคยกับคำสรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบสนิท ทำให้หยุดวิ่งและหันหลังกลับไปดู รถชะลอแล่นช้าลง และค่อยๆไปเทียบจอดริมฟุตบาทใกล้ๆกับบริเวณที่แก้วยืนอยู่ คนขับรีบออกมาจากรถทันที พอเดินก้าวเข้ามาในวงแสงไฟหน้ารถ จึงทำให้เห็นชัดขึ้นว่าชายคนนั้นคือมนตรี แก้ว! แกจะไปไหน! มนตรี! หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนสั้นๆคำเดียวแต่เต็มไปด้วยเสียงสั่นเครือระคนความดีใจที่ได้เจอเพื่อน เมื่อเห็นแก้วทำท่ากำลังจะร้องไห้ มนตรีจึงเข้ามากอดพร้อมเอามือลูบหัวเพื่อเป็นการปลอบใจ แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันเป็นห่วงแกมากรู้ไหม ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ หญิงสาวผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของมนตรี เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการปลอบโยนแบบนี้จากเพื่อนหนุ่ม มนตรี แล้วแกตามฉันมาได้ยังไงเนี้ย ก็ฉันคลาดกับแกนิดเดียวตอนที่แกขึ้นรถแท็กซี่ไปน่ะสิ ถ้าไม่ติดไฟแดงคงตามทันติดๆแล้วล่ะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันตกอยู่ในอันตราย ตอนขับตามไป ฉันเห็นทะเบียนรถของแท็กซี่น่ะสิ ทางตำรวจท้องที่กำลังประกาศจับ เพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว คนขับเมากัญชาแล้ววิ่งไปชนคนทั่วถนน แกก็ซวยจริง ดันไปเจอไอ้แท็กซี่ขี้ยาเข้า ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปไหนวันนี้ เออฉันผิดเองแหละ ขอบใจนะที่ตามมาช่วยฉัน แล้วแกจะเรียกรถแท็กซี่ไปไหนดึกๆดื่นๆแบบนี้ คือฉันจะเรียกไป..ไป....เอ่อ... หญิงสาวอีกอักไม่กล้าบอก พลางมองขจรที่ยังคงยืนรออยู่ที่ข้างทาง แกไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ อันนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกแก เรื่องอะไร แล้วแท็กซี่นั่นจะทำยังไง หญิงสาวมองไปที่ทางที่เธอวิ่งจากมา ซึ่งยังคงเห็นแท็กซี่จอดค้างอยู่ริมขอบแม่น้ำ แท็กซี่นั่นเดี๋ยวฉันให้คนของฉันจัดการเอง แต่ตอนนี้เรื่องแกสำคัญกว่า... เอ่อคือว่า... คืออะไร มีอะไรมนตรี ทำไมต้องอีกๆอักๆด้วย พ่อแกโทรหาฉัน เพราะติดต่อแกไม่ได้ แกไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดมาด้วยใช่ไหม ใช่ โทรศัพท์ฉันแบทหมด ก็เลยชาร์จไว้ที่โรงแรม แล้วตกลงมีอะไร พ่อฉันโทรหาแกทำไม คืิอว่า .....เฮ้อ มนตรีถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองหน้าแก้วด้วยสีหน้าเศร้าสลด และจับมือเพื่อนไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป คือว่าพ่อแกโทรมาบอกว่า .ย่าแกเสียแล้วนะ หญิงสาวตกใจจนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ปากสั่นหายใจถี่ ตั้งคำถามหรือนึกคำพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอหายใจเข้าหนึ่งครั้งและตั้งสติ ฉันไม่เชื่อ แกอย่ามาตลกนะมนตรี ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับย่าเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วเอง ท่านจะเสียไปได้ยังไง แกเล่นมุขนี้ฉันไม่ขำนะมนตรี ฉันพูดจริงๆ ฉันรีบมาตามหาแก ก็เพื่อบอกเรื่องนี้เนี้ยแหละ ฉันเสียใจด้วยนะแก้ว หญิงสาวเกิดอาการทรงตัวไม่อยู่ และเข่าทรุดลงไปแบบไม่ตั้งตัว ฝ่ายเพื่อนจึงรีบมาประคองไว้ไม่ให้ล้ม เมื่อยืนได้ปกติ แก้วจึงถามย้ำอีกทีด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ย่าฉันเสียแล้วจริงๆเหรอมนตรี ฝ่ายเพื่อนไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแทน และคอยลูบมือประคองสติปลอบใจให้แก้ว มันจะเป็นไปได้ไง ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับท่านเอง หญิงสาวเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ใช่แกเพิ่งคุยกับท่าน พอคุยเสร็จ คุณย่าท่านก็เสีย ท่านเสียได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ คุณย่าฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจเฉียบพลันอะไรสักหน่อย คุณย่าตกบันได หัวฟาดพื้นเสียชีวิต ไม่จริง ย่าฉันจะตกบันไดได้ยังไง ย่าฉันเป็นอัมพาตเดินได้ที่ไหน แกเอาอะไรมาพูดมนตรี ใจเย็นๆก่อนนะ รายละเอียดฉันรู้แค่นี้ มีอะไรแกโทรไปคุยกับพ่อแกเอง แต่ตอนนี้พ่อแกกำลังยุ่งเรื่องศพและติดต่อวัดอยู่ ฉันว่าตอนนี้แกรีบกลับโรงแรมไปเก็บของก่อน เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วเครื่องบินด่วนให้เร็วสุดก็พรุ่งนี้เช้าเลย แก้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายแบบขาดสติ และรีบขึ้นรถไปทันที เมื่อหันไปมองกระจกข้างของรถ เธอไม่นึกว่าร่างของขุนขจรจะสามารถเป็นเงาสะท้อนในกระจกให้เห็นได้ วิญญาณหนุ่มยังคงยืนรออยู่ริมข้างทาง เธอจึงเลยรีบเปิดกระจกรถเพื่อที่จะโผล่หัวออกไปบอกกล่าว เปิดกระจกทำไมน่ะแก้ว ฝ่ายเพื่อนถามแทรกขึ้นมาทันที ฉันเอ่อ.. ถ้าร้อนก็เปิดไปเถอะ ใช่ฉันร้อน และฉันไม่อยากร้องไห้ให้มากกว่านี้แล้วน่ะ แกมองทางเถอะ ฉันขอมองอะไรต่ออะไรให้ทำใจได้สักพักนะ หญิงสาวพยายามเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เห็นขุนขจรจากเงากระจกข้างรถได้ถนัด เพราะต้องการจะบอกลาอะไรสักอย่างก่อนไป ก็เลยพูดในใจแทน โดยหวังว่าจะสื่อไปถึงขุนขจรได้ คุณขจรคะ คุณน่าจะได้ยินแล้วว่าย่าแก้วเสีย ตอนนี้แก้วช่วยหรือพาคุณกลับไทยด้วยไม่ได้จริงๆ ขอโทษจริงๆนะคะ แล้วแก้วจะกลับมา แก้วสัญญาค่ะ วิญญาณหนุ่มมองแก้วอย่างละห้อยเศร้าสร้อยผ่านเงาสะท้อนจากกระจกข้างรถ และพยักหน้าตอบรับเพื่อสื่อสารว่าได้ยินในทุกคำพูดในใจ ถึงแม้รถจะเริ่มเคลื่อนตัวไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นร่างวิญญาณหนุ่ม แต่แก้วก็ได้ยินเสียงลอยลมที่คลอกลิ่นการเวกเข้ามาอยู่ในภวังค์ สัญญานะแม่แก้วว่าหล่อนจะกลับมารับฉัน หญิงสาวหลับตา กำสร้อยไว้แน่นประหนึ่งแทนคำมั่นสัญญา และพูดในใจอย่างหนักแน่น แล้วแก้วจะกลับมาค่ะคุณขจร แก้วสัญญา แล้วฉันจะรอหล่อนที่เดิมที่เมืองใต้ดินนะ วิญญาณหนุ่มโบกมือลาอย่างช้าๆ แล้วร่างก็ค่อยๆเลือนลางหายไปตามระยะทางที่รถแล่นห่างออกมา มีเพียงสายลมอันอ่อนโยนลอยตามมาสัมผัสกระทบที่แก้มแก้วเบาๆ ประหนึ่งกับมือนุ่มๆของใครสักคนที่มาช่วยเช็ดคราบน้ำตาให้แห้งหาย โดยมีกลิ่นการเวกเบาบางมาช่วยบรรเทาความเศร้าโศกให้เจือจางลงทีละน้อย ++++++++++++++ งานศพถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะตระกูลดัง เนื่องด้วยคุณย่าสังวนเป็นบุคคลที่รักและเคารพของทั้งตระกูลเจริญจิตโอสถ และตระกูลสนธยาวานิช เพียงแค่คืนแรกของการสวดอภิธรรม ก็มีวงศาคณาญาติและคนในวงสังคมมาร่วมแสดงความไว้อาลัยกันมากมาย บรรยากาศในวัดมีแต่เสียงสะอื้นแทรกสลับกับเสียงสวดพระมาลัย จนทำให้บรรยากาศในศาลาดูเศร้าหมองและน่ากลัวไปในเวลาเดียวกัน แต่ในทุกครั้งที่พระสงฆ์ประสานเอื้อนเสียงคำสวดลากยาว ก็จะมีเสียงคร่ำครวญอาวรณ์โหยหวญประหลาดแว่วมาให้ได้ยินใกล้ๆหูแก้ว เมื่อหญิงสาวมองไปรอบๆตัวและศาลาสวดศพ ก็ไม่พบว่ามีญาติหรือแขกคนไหนนั่งร้องไห้อยู่ใกล้เลยสักคน มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่แอบนั่งเช็ดน้ำตาสะอีกสะอื้นอยู่ที่นั่งด้านหลังสุดของศาลา แต่ความสงสัยไม่สามารถสร้างความสนใจได้ เพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเสียใจที่มาไม่ทันรดน้ำศพและตอนนำร่างคุณย่าใส่โลงศพ ต่อจากนี้ไป แก้วจะไม่มีโอกาสได้เห็นแม้กระทั่งศพคุณย่าอีก เพราะคำสั่งเสียที่ย่าสังวนเคยพูดไว้ตอนมีชีวิตก็คือ ถ้าตายให้ปิดโลงแล้วอย่าเปิดโลงอีก ศุภจิตผู้เป็นบิดาของแก้วที่นั่งอยู่หน้าสุด เดินมาดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง และลงมานั่งด้วยข้างๆ เอามือตบหลังเบาๆเพื่อปลอบใจ ฝ่ายลูกสาวรีบเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มเล็กน้อยเพื่อแสดงความเข้มแข็งให้พ่อเห็น คุณพ่อไปนั่งที่เก่าเถอะค่ะ แก้วนั่งตรงนี้คนเดียวได้ อย่าให้แก้วต้องไปร้องไห้ต่อหน้าศพเลยค่ะ พ่อไม่ได้มาตามหรอก พ่อเป็นห่วงน่ะเลยมาดู เห็นลูกร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่มาถึงแล้วนะ ถึงแก้วจะมาไม่ทันรดน้ำศพและตอนใส่โลง แต่อย่างน้อยลูกก็เป็นคนที่รู้ความต้องการของย่า ว่าท่านต้องการงานศพแบบไหน เพราะท่านเห็นว่าแก้วคือคนสำคัญ ก็เลยสั่งเสียกับลูกเรื่องนี้ไง ค่ะ แก้วจำได้ดีถึงคำสั่งของคุณย่าวันนั้น หญิงสาวเช็ดน้ำตา พลางมองตรงไปที่โลงศพไม้สักสีดำลายเทพพนมประดับด้วยมุกลายก้านขด ซึ่งเป็นโลงศพแบบที่คุณย่าเคยพูดสั่งไว้ก่อนที่แก้วจะเดินทางไปอเมริกา--- แก้วเอ้ย หญิงชราเอามือจับหลานสาวเพื่อบอกให้หยุดเข็นรถ ย่าอยากจะสั่งอะไรไว้กับหลานหน่อยได้ไหม หลานสาวจอดรถวีลแชร์ แล้วนั่งลงด้านข้างหญิงชรา ทำหน้าแป้นแล้น เอาคางเกยที่ตักด้วยความเคยชิน มีอะไรจะใช้แก้วเหรอคะก็ว่ามาเลยค่ะ ย่าจะใช้หนู ให้ทำอะไรสักหน่อย จะได้ไหม ค่ะ แก้วจะทำตามที่ย่าขอทุกอย่างเลยค่ะ ช่วยเข็นย่าไปที่โรงไม้หลังร้านหน่อยสิ หลานสาวค่อยๆเข็นรถเข้าไปโรงไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมน้ำหลังร้านสนธยา ฟิวเนอรัล ภายในมีโลงศพตั้งเรียงกันหลายร้อยอัน แบ่งแยกเป็นสัดส่วนตามขั้นตอน มีทั้งแผนกแปรรูปประกอบ ตัดกลึงไม้ แผนกศิลป์ตกแต่งเคลือบสี ต่อเติมเพิ่มวัสดุพิเศษภายใน และ แผนกตรวจสอบคุณภาพการผลิต วันนี้วันหยุด โรงไม้ปิด คุณย่าจะเข้ามาดูอะไรเหรอคะ หลานสาวถามย่าในขณะที่เข็นรถเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ย่าคิดถึงงานที่เคยทำน่ะสิ เพราะตั้งแต่เดินไม่ได้ ย่าก็ไม่ค่อยมีโอกาสมาตรวจตราที่นี่สักเท่าไหร่ ไม่นึกเลยว่าจากร้านโลงศพเล็กๆ จะกลายเป็นร้านใหญ่โตที่มีโรงไม้ทำโลงศพเป็นของตัวเอง เอาล่ะหยุดตรงนี้แหละ หญิงชราจับมือบอกหลานสาวให้จอดรถเข็นบริเวณแผนกโลงไม้แบบไทยคลาสสิค แต่ก่อนก็เป็นแค่โลงไม้ธรรมดา แต่เดี๋ยวนี้มีลายตั้งหลายแบบให้เลือก มีทั้งแบบผ้าตาดสีทอง ไม้สักแกะสลักลายมังกร ลายเทพพนม ลายพิกุลประดับกระจกและประดับมุข แต่สมัยนี้ขายดีที่สุดก็คงแบบติดแอร์สินะ เฮ้อ..ย่าน่ะเลือกไม่ถูกจริงๆว่าจะเอาแบบไหน ไอ้แบบประดับมุขดันไม่มีแอร์ซะด้วย ถ้าวันนึงย่าตายไป.. คุณย่า! หลานสาวอุทานแทรกด้วยความตกใจ ฟังย่าก่อนนะ คนเรามันจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ แก้วก็น่าจะเห็นมาตั้งแต่เด็ก ว่าโลงศพที่ร้านเราถูกขายทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด ยิ่งเฉพาะเทศกาลพวกสงกรานต์หรือปีใหม่ มีคนมาซื้อโลงจนจะขายกันแทบไม่ทัน คนซื้อไม่ใช่คนตาย คนขายก็ไม่อยากจะซื้อหรอกจริงไหม ฮ่าๆ หญิงชราหัวเราะเสียงดังก้องโรงไม้ แต่ฝ่ายหลานสาวไม่ตลกด้วย ทำหน้าบึ้งตึงเพราะรู้สึกใจคอไม่ดีที่คุณย่ามาพูดเรื่องตายแบบนี้ ฝ่ายย่าก็ไม่สนใจ ทำหน้ายิ้มมีความสุข เอามือแตะโลงแบบต่างๆและพูดต่อ ยังไงเสีย คนขายโลงอย่างเรา ก็หนีความตายไม่พ้นหรอก แก้วเคยได้ยินไหม ถ้าเราคิดว่าเราอยากได้โลงแบบไหน ตอนตายเราจะได้โลงแบบนั้น ค่ะ แก้วเคยได้ยินความเชื่อที่ว่า โลงทุกโลงมีเจ้าของเป็นของมันเอง และถ้าเจ้าของคิดไว้ว่าเป็นแบบไหน ก็จะได้เป็นแบบนั้น ใช่ใช่ ย่าก็ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วยคุณปู่แก้วขายโลงแล้วล่ะ เอ่อแก้วเอ้ย แก้วช่วยเข็นรถไปตรงแถวโลงจำปาหน่อยซิ หลานสาวเข็นรถเข้าไปในมุมด้านขวาสุดของโรงไม้ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยโลงจำปาจีนสามสีเรียงแถวเป็นชั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งสีดำ สีน้ำตาลแดง และสีน้ำตาลเหลือง เมื่อมาถึงชั้นวางโลงจำปาดำลายทอง หญิงชราก็บอกให้หลานสาวหยุดจอดรถ คนจีนเค้าเรียกกันว่าหีบศพ แต่ย่าเป็นคนบอกให้เปลี่ยนเป็นเรียกโลงศพ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็เรียกติดหูแบบนั้น สมัยนั้นนะ ญาติฝ่ายย่าและปู่ไม่มีใครอยากจะมาร่วมก๊กร่วมกอคบค้าสมาคมกับพวกเราเท่าไหร่หร้อก เพราะเค้าคิดว่าเป็นอาชีพอัปมงคล น่ารังเกียจ รุ่นของหลานถือว่าโชคดีที่คนส่วนใหญ่เข้าใจแล้ว แต่ก็ยังกลัวอยู่บ้างใช่ไหม ใช่ค่ะ สมัยตอนเรียนมัธยม เวลาแก้วชวนเพื่อนมาทำการบ้านที่บ้านทีไร ไม่มีใครกล้ามาสักคน โลงศพมันไม่ได้มีผีสักหน่อย มันก็แค่โลงเปล่าๆรอศพมาใส่นั้นแหละ ไม่รู้จะกลัวไปทำไม เป็นใครใครก็กลัว ถึงแม้มันจะเป็นแค่โลงเปล่าๆ แต่มันก็มันมีเรื่องเหลือเชื่อเสมอ เชื่อไหมว่า ปู่ของหลานน่ะเคยพูดกับย่าว่า ถ้าตายไป ก็อยากจะได้โลงไม้ประดู่จำปาสีดำ ลายทองก็คงจะดี แล้วเชื่อไหม ว่าวันที่ปู่ของแก้วเสีย วันนั้นเหมือนมีลางบอกเหตุ เพราะที่ร้านเราไม่มีโลงจำปาสีดำเลยสักอันเดียว พอเห็นว่าหาไม่ได้ ย่าก็เลยจะเอาโลงจำปาสีแดงให้แทน แต่แล้วจู่ๆเย็นวันเดียวกัน ก็มีลูกค้าคนหนึ่งมาคืนโลงจำปาสีดำกับเรา เพราะญาติคนตายเปลี่ยนมาจัดงานศพแบบไทยแทน ปู่ของหลานก็เลยได้โลงจำปาไม้ประดู่สีดำ ลายทองด้วยนะ ตามที่เคยพูดไว้เปี๊ยบเลย แปลกดีนะคะ เวลาซื้อโลงแล้ว เค้าจะไม่นิยมคืนกันไม่ใช่เหรอคะ ก็นั่นน่ะสิ มันแปลกไหมล่ะ แต่ทำยังไงได้ ปู่ของหลานดันเสียวันนั้น โลงมันก็ต้องกลับมาหาเจ้าของมันน่ะสิ จริงไหม คุณย่าคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะคะ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็วันเกิดคุณย่าแล้ว จะพูดเรื่องทำนองนี้ทำไมคะ เดี๋ยวแก้วจะเดินทางไปอเมริกาอย่างไม่สบายใจนะคะ ให้ย่าได้บอกสิ่งที่ย่าต้องการไว้กับหลานเถอะนะ ถ้าไม่พูดตอนนี้ เดี๋ยวอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกก็ได้ เพราะย่าอาจไม่โชคดีแบบปู่เค้า ที่โลงมันกลับมาหาเจ้าของเอง คุณย่า! เอาน่า ให้คนแก่ได้พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหน่อยล่ะกัน เดี๋ยวหลานไม่อยู่หลายอาทิตย์ ไม่รู้ว่าย่าจะพูดกับใคร ช่วยเข็นรถไปตรงโลงไม้สีดำตรงโน้นหน่อยสิ หญิงสาวค่อยๆเข็นรถไปตรงแผนกศิลป์ตกแต่งสี และหยุดจอดตรงโลงไม้สักสีดำขนาดย่อมที่ยังลงลายไม่เสร็จ แต่มีการวางร่างโครงเส้นลวดลายไว้ที่พื้นผิวโลงด้านนอกเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนทาสีและประดับมุกเท่านั้น แก้วเอ้ย ถ้าย่าตายไปในวันนึง ย่าขอโลงศพมุกแบบนี้นะ แต่ช่วยติดแอร์ได้ไหม เพราะย่าน่ะขี้ร้อน แต่ต้องเอาผ้าห่มใส่ไปในโลงด้วยนะ บุนวมอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะนอนตากแอร์เจ็ดคืน ก็คงหนาวแน่ๆ ฮ่าๆ คุณย่าคะ แก้วบอกแล้วไงคะ ว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องแบบนี้ ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งขัดย่า ย่าจะบอกว่า ที่สำคัญที่สุด ถ้าปิดโลงแล้ว ก็อย่าเปิดโลงอีกเด็ดขาด เพราะย่าคงขึ้นบวมอืดจนน่าเกลียด ย่าอยากให้ลูกหลานญาติมิตรคนสนิท จำย่าในแบบที่มีชีวิตอยู่แบบนี้ดีกว่า อ่อขอฝากอีกเรื่อง ในการสวดศพคืนแรก ก็ขอพระสงฆ์สวดบทพระมาลัยเพิ่มเข้ามาด้วยนะ ย่าว่ามันเพราะดี ส่วนคืนที่เหลือ ก็ขอมหรสพเป็นการสวดคฤหัสถ์จากฆราวาสมาไว้ในช่วงท้าย จะได้สนุกสนานหายโศกหายเศร้ากันเนอะ ฮ่าๆ คุณย่า! พอเถอะค่ะ แก้วไม่อยากฟังคำสั่งอะไรนี้แล้ว คุณย่าอายุยืนจะตายไป เปลี่ยนเรื่องเถอะค่ะ แก้วฟังแล้วไม่สบายใจจริงๆนะคะ หญิงสาวลงมานั่งข้างๆวีลแชร์ กุมมือหญิงชราไว้แน่น เอาหัวซบไปที่ตักอ้อนวอนขอให้หยุดเรื่องไม่เป็นมงคล เพราะเธอไม่อยากรู้สึกเศร้าหรือเป็นห่วงก่อนเดินทางไปอเมริกา เอาล่ะ พอแค่นี้ก็ได้ งั้นแก้วมาใกล้ๆหน่อย ย่ามีสร้อยอะไรจะให้แก้ว... สร้อยเส้นนี้ใช่ไหมที่คุณย่าท่านให้น่ะลูก เสียงของศุภจิตถามแทรกเข้ามาในภวังค์ความคิดของแก้ว หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ในมือยังคงจับสายสร้อยล็อคเก็ตทองเหลืองที่เก็บไว้ในคอเสื้อ อ่อใช่ค่ะ คุณย่าท่านให้แก้วไว้ก่อนไปอเมริกา |
ม้าสามศอก
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
Group Blog All Blog Friends Blog |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |