เหย้าบาหยัน : บทที่ ๘ : แฝดกาฝาก
บทที่ ๘
แฝดกาฝาก

ฟ้าหลังฝนทิ้งความชื้นเกาะกระจกรถเป็นคราบเม็ดฝน  ภิกษุหนุ่มใช้มือลู่ไอน้ำที่กระจกข้างออกแต่ก็ไม่เป็นผล  เพราะยิ่งถูให้กระจ่างชัด มันก็กลับมาเลือนลางเป็นรอยอีกเช่นเคย


อุณหภูมิในรถเย็นราวกับจุดเยือกแข็งทั้งๆที่ปิดแอร์ไปนานแล้ว  จีวรที่ห่มอยู่ก็ไม่ได้อุ่นพอที่จะกันความหนาวผิดปกติแบบนี้ได้ ผิวหนังชั้นนอกตึงดึงรั้งขนให้ตั้งลุกชัน  การเต้นของจังหวะหัวใจช้าลงจนทำให้หายใจแทบไม่ออกเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ


อากาศวิปริตและอาการประหลาดแบบนี้ พระไมค์เคยประสบมาแล้วสองครั้งที่อเมริกาและที่ไทย ครั้งแรกคือการเจอกับวิญญาณขุนขจร  และครั้งที่สองคือการพบกับวิญญาณหญิงโบราณที่ยืนอยู่ด้านหลังแก้วตอนสทนาที่ข้างโลงศพ


  หน้าตาของหญิงโบราณผู้นั้นยังคงติดตาภิกษุหนุ่มให้ครุ่นคิดอยู่เสมอ ทั้งชื่อที่หญิงผู้นั้นที่เรียก  กับทั้งท่าทางและสีหน้าอากัปกิริยาที่แสดงออกมาเหมือนกับรู้จักกันมาก่อน  มันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า วิญญาณหญิงโบราณที่หน้าคล้ายแก้วคนนั้น เขาเป็นใคร


“ หยงยิหวาเองเจ้าค่ะ  ” เสียงหวานนุ่มของหญิงสาวตอบกลับมาในขณะที่ภิกษุหนุ่มกำลังคิด   พอหันไปดูด้วยความตกใจ  ก็พบกับวิญญาณหญิงโบราณที่เคยเจอ กำลังนั่งพับเพียบอยู่ที่เบาะด้านหลัง


“ กราบนมัสการพระคุณเจ้า ” วิญญาณหญิงโน้มศรีษะจรดพุ่มมือพนมไหว้อย่างนอบน้อบ


ฝ่ายพระไมค์ทำหน้านิ่งตัวแข็งทื่อเพราะไม่เคยประจันหน้ากับวิญญาณแบบใกล้ขนาดนี้มาก่อน พอรวบรวมสติได้ จึงพูดกลับไปอย่างสุภาพ “ เจริญพรนะโยม  ”


วิญญาณหญิงสาวยิ้มรับ “ หยงดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ท่านขรัวเขมชาตินึกถึงเรื่องเมื่อวาน หยงเลยออกมาพบท่านได้ ”


“ เดี๋ยวก่อนนะ โยมเรียกอาตมาว่าเขมชาติ? โยมหมายถึงใครกัน เห็นเรียกอาตมาชื่อนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว  ”


“ ท่านไงเจ้าคะ ท่านขรัวเขมชาติ ”


“ อาตมาชื่อไมค์ แต่มีชื่อไทยเป็นชื่อจริงว่าเจมชาติ  โยมหมายถึงเจมชาติแต่ออกเสียงผิดเป็นเขมชาติใช่ไหม ”


“ ไม่ผิดดอกเจ้าค่ะ ท่านคือขรัวเขมชาติ น้องชายของขุนขจรไงเจ้าคะ ”


“ ขุนขจร!? ขุนขจรสุนทรวานิชท่านเป็นบรรพบุรุษของอาตมา อาตมาไม่ใช่น้องชายท่าน ”


“ หยงเชื่อว่าท่านคือขรัวเขมชาติ มีท่านเพียงคนเดียวในชาติที่แล้ว แลชาตินี้ที่จะเห็นวิญญาณกรรมเหล่านี้ได้ ชาติที่แล้วท่านเป็นถึงขรัว ชาตินี้ท่านจึ่งมาเป็นพระอีกครา เป็นบุญหนาที่หยงได้นมัสการท่านอีกหน  ”


ภิกษุหนุ่มได้ฟังคำบอกเล่าของวิญญาณหญิงสาวก็รู้สึกยังไม่ค่อยเชื่อ ในใจมีถามคำถามอีกมากมาย แต่ก็ยังไม่กล้าซักถามต่อ เพราะรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ของวิญญาณหญิงโบราณ เหมือนมีอะไรมากกว่านั้น แววตาที่ดีใจแฝงด้วยท่าทางร้อนรนอย่างมีพิรุธ คอยมองไปที่หลังกระบะรถและหน้าศาลาวัดเป็นระยะ


" โยมมาหาอาตมา โยมต้องการอะไรหรือเปล่า ”


“ ต้องการเจ้าค่ะ ”


“ อยากให้อาตมาช่วยเรื่องอะไรก็บอกมาเลย ”


“ โยมอยากให้ท่านขรัวเขมชาติช่วยแก้วเจ้าค่ะ ”


“ โยมหมายถึง” พระไมค์หันกลับไปที่ศาลาตามสายตาของวิญญาณหญิงที่มองไป ก็รู้เลยทันที่ว่าหมายถึงกิ่งแก้วกาหลง   “ โยมหยงเจอวิญญาณแก้วด้วยเหรอ ”


“ เราได้พบกันแล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ดวงจิตของแม่แก้วยังคงหลงทางอยู่ มีเพียงแสงสว่างจากล็อคเก็ตของท่านขรัวเท่านั้น ที่จะนำพาดวงจิตกลับไปหาร่าง ”


“ ล็อคเก็ต? ” ภิกษุหนุ่มหยุดคิดครู่ใหญ่ ก็นึกออกว่าตนนำล็อคเก็ตเก็บไว้ที่ย่าม  เลยรีบเอาออกมาให้วิญญาณหญิงสาวดูเพื่อให้แน่ใจว่าคืออันเดียวกันกับที่กำลังพูดอยู่  “ ล็อคเก็ตอันนี้น่ะเหรอโยม ”


“ ใช่เจ้าค่ะ  ”


“ แต่โยมแก้วเสียชีวิตแล้วนะ อาตมาจะใช้ล็อคเก็ตนำวิญญาณมาคืนร่างได้ยังไง ”


“ แม่แก้วยังไม่ตายเจ้าค่ะ แค่ดวงจิตหลุดออกจากร่าง ”


“ อาตมายังไม่เห็นโยมแก้วเลย แล้วอาตมาจะช่วยได้ยังไง ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ”


“ แม่แก้วไม่ใช่วิญญาณที่ตายแล้ว ท่านจึ่งเห็นไม่ได้  บัดนี้แม่แก้วก็ไม่ได้อยู่ไกลจากท่านขรัวดอกนักเจ้าค่ะ  ”  วิญญาณหญิงมองไปด้านหลังเพื่อบอกให้ภิกษุฝรั่งรู้ว่าแก้วอยู่ตรงไหน


พระไมค์มองไปที่กระบะท้ายรถ ที่มีแต่ความว่างเปล่า แต่เมื่อเพ่งดูชัดๆอีกครั้ง ก็มีรอยน้ำเป็นคราบเหมือนฝ่ามือคนให้เห็นเป็นจางๆอยู่บนแผ่นกระจกรถ ก็เลยเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่วิญญาณหญิงกล่าวอาจเป็นความจริง   “ แล้วอาตมาต้องทำยังไงล่ะ ”


“ ท่านขรัวจงถือล็อคเก็ตไว้ เพื่อเดินนำดวงจิตแม่แก้วกลับร่าง รีบเถิดเจ้าค่ะท่านขรัว ก่อนที่จะมีคนนำร่างของแม่แก้วไป ”


แม้จะเป็นคำสั่งที่แปลกประหลาด แต่พระไมค์ก็ยอมทำตามที่วิญญาณหญิงสาวกล่าว เพราะดูเหมือนเจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังนำศพแก้วเข้ารถเพื่อนำไปส่งที่ห้องชันสูตรศพสถาบันนิติวิทย์ศาสตร์


  ภิกษุฝรั่งรีบเปิดประตูรถ เดินถือล็อคเก็ตมุ่งตรงไปที่ศาลาวัด คอยเรียกแก้วในใจหวังว่าจะได้ยิน   “ โยมแก้ว  ถ้าได้ยินเสียง ก็ตามอาตมามานะ  อาตมาจะพากลับร่าง  ”


แก้วที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่เห็นหรือได้ยินแม้กระทั่งการสทนาระหว่างพระไมค์กับหยงยิหวาก่อนหน้านี้  มีเพียงแสงสว่างเรืองๆจากสร้อยล็อคเก็ตเท่านั้นที่ส่องทางเหมือนหิ่งห้อยในคืนเดือนดับ  ให้เดินตามไปเรื่อยๆ ในระหว่างทางนั้น เธอสัมผัสได้ตลอดเวลาว่า เหมือนมีวิญญาณอีกตนเดินนำหน้าเธอ แต่ก็ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร  


วิญญาณหยงยิหวาเดินนำหน้ามาตลอด คอยปกป้องไม่เห็นผีร้ายหรือสัมภเวสีเร่ร่อนมายุ่งกับดวงจิตของแก้ว  ระยะทางจากเจดีย์ไปหน้าศาลาสวดศพห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร  ทว่าทุกๆก้าวเดินเต็มไปด้วยมือนับร้อยนับพันที่โผล่มาจากพื้นดินคอยกั้นขวางทางไม่ให้ไป  แต่ด้วยบุญบารมีของภิกษุฝรั่ง จึงทำให้รอดพ้นไปได้อย่างง่ายดายจนมาถึงรถพยาบาลที่จอดด้านหน้าศาลาวัด


“ ทำอย่างไรต่อโยมหยง ” ภิกษุฝรั่งถามในใจ  เพราะไม่กล้าพูดต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาลที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย


“ นำสร้อยไปสวมที่คอแม่แก้วเจ้าค่ะ แม่แก้วจะได้เห็นร่างตนเอง แลกลับเข้าร่างได้เจ้าค่ะ ”  วิญญาณหญิงสาวบอก


“ อาตมาเป็นพระ จับต้องตัวผู้หญิงไม่ได้ มันต้องอาบัติ ”


“ ทำอย่างไรก็ทำเสียเถิดเจ้าค่ะ รีบทำเถิด ก่อนที่จะไม่ทันกาล ”


ภิกษุหนุ่มเดินวนไปมารอบรถพยาบาล พยายามคิดตรึกตรองอยู่นานสองนาน  ก็เลยตัดสินใจทำตามที่วิญญาณหญิงสาวบอก โดยอาศัยจังหวะที่เจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังกลับเข้าไปในศาลา  รีบเปิดกระจกรถด้านข้าง แล้วพยายามโยนสร้อยไปวางทาบไว้ที่คอ


“ ทำอะไรอ่ะหลวงเพื่อน ” เสียงสารวัตรศรัณย์ทักมาจากด้านหลัง


พระไมค์สะดุ้งตกใจเล็กน้อย พยายามสำรวมอาการและหันกลับไปทำหน้าตาปกติ อ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ เพราะไม่สามารถโกหกได้ “ เอ่อ..คือ..อาตมา ”


สารวัตรศรัณย์เห็นพิรุธที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของภิกษุฝรั่งที่กำลังยืนบังกระจกรถที่เปิดอยู่ เลยขอให้หลบเพื่อเช็คดูความผิดปกติ  “ นิมนต์หลวงเพื่อนเขยิบหน่อยนะครับ ”


พระไมค์ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ และยังคงออกอาการอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไร  แต่ในระหว่างนั้นเอง เจ้าหน้าที่พยาบาลก็ออกมาด้านนอกพอดี


“ มีอะไรกันหรือเปล่าครับคุณสารวัตร ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่พยาบาลถาม


“ อ่อ ก็ไม่มีหรอกครับ คือผมจะขอดูศพอีกสักครั้งได้ไหม ช่วยเลื่อนออกมาหน่อย ”


พนักงานพยาบาลพยักหน้า วิ่งไปเปิดท้ายรถแล้วเลื่อนศพออกมา  ศพอยู่ในถุงพลาสติกทึบรูดซิบอย่างดี แต่ที่บริเวณห่วงตะขอซิบด้านบน มีสายสร้อยเกี่ยวติดอยู่   สารวัตรหนุ่มรีบแกะออกมาดู แล้วมองไปที่ภิกษุฝรั่งด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยคำถาม ก็ได้ยินเสียงคนหายใจกระหืดกระหอบอยู่ภายใต้ถุงใส่ศพ   ทุกคนในที่นั้นตกใจกับเสียงหายใจในถุงใส่ศพ  จู่ๆศพก็ดิ้นพล่านไปมาภายใต้ถุง และมีเสียงพูดออกมาอู้อี้ว่า “ ช่วยด้วย ”


ทั้งสารวัตรศรัณย์ และพนักงานพยาบาลต่างตกใจ  มีเพียงพระไมค์ที่มีสติ ดึงที่รูดซิบออกทันที  หญิงสาวในถุงใส่ศพลุกขึ้นมานั่งหายใจหอบสักพัก แล้วก็สลบไปทันที พนักงานพยาบาลมาเช็กสภาพร่่างกายแก้วอีกครั้งอย่างเร่งด่วน ก็พบว่าหัวใจกลับมาเต้นปกติเหมือนคน


“ คนตายยังไม่ตายครับ ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่พยาบาลตะโกนตอบแบบรวดเร็ว พูดผิดๆถูกๆด้วยความงง


สารวัตรหนุ่มเอามือเกาหัวด้วยความงงเช่นกัน  มีเพียงพระไมค์ที่ยืนนิ่งเฉยเพราะรู้ว่าเหตุการณ์ปาฏิหารย์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร    


“ ฟื้นแล้วครับ คนตายฟื้นแล้วครับ ”  เจ้าหน้าที่พยาบาลอีกคนตะโกนหลังจากที่ปฐมพยาบาลแก้วได้ไม่นาน


พระไมค์ สารวัตรศรัณย์ และทุกคนที่เพิ่งรู้เรื่อง ต่างรีบมามุงดูอาการของหญิงสาวกันอย่างใกล้ชิด คนที่ดีใจพอๆกับพ่อของแก้วก็คือ ยายจรูญ  เพราะจะได้หลุดพ้นคำครหาว่าเป็นฆาตกร


“ เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าหนูแก้วยังไม่ตายก็ไม่มีใครเชื่อ กล่าวหาคนแก่ๆอย่างฉันแบบมั่วซั่ว ”


ฝ่ายศุภจิตไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ยายจรูญพูด เพราะกำลังรู้สึกดีใจมากที่ได้ลูกสาวกลับมา สายตาจับจ้องดูแก้วอย่างเป็นห่วง  “ แก้วลูกพ่อ ปลอดภัยแล้วนะลูก ”


“ แก้ว ”  หญิงสาวเอ่ยคำแรกออกมา พร้อมค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง เอามือกุมศรีษะเหมือนปวดหัว


“ ค่อยๆลุกสิแก้ว ”  


“ แก้วงั้นรึ ”


“ ก็แก้วไงลูก ขวัญเอ้ยขวัญมาของพ่อ กลับมาแล้วนะลูก ” พ่อพูดไปพลางลูบหัวลูกสาวไปด้วยความรัก


หญิงสาวทำหน้างง จับร่างกายตัวเองด้วยท่าทางแปลกๆ หันไปมองเงาสะท้อนที่กระจกรถพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง และตอบกลับพ่อ  “ ค่ะ แก้วกลับมาแล้ว  ”



++++++


แก้วกลับมานอนพักฟื้นที่บ้านหลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จแล้ว  ผลสรุปคือไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น  แต่ยายจรูญยังถูกคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับนำสารเสพติดเข้ามาใช้ในวัด  และเมื่อคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ทางหน่วยเลยส่งสารวัตรศรัณย์ไปจัดการคดีอื่น  โดยส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยอื่นมาจัดการเรื่องนี้แทน   



“ เป็นอย่างไงบ้างลูก หายปวดหัวหรือยัง ” ศุภจิตเดินเข้ามาในห้องนอนลูกสาว ถือกระติกน้ำร้อน และชุดชามาวางไว้ที่โต๊ะรับแขกข้างเตียง


“ ค่ะ ” หญิงสาวตอบสั้นๆโดยไม่ได้สนใจพ่อที่เดินเข้ามา ตายังคงมองที่กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อมยิ้มเล็กๆด้วยความพอใจ


“ จริงๆพ่อไม่อยากให้ลูกดื่มชาจีนนี่หรอกนะ เพราะมันจะทำให้นอนไม่หลับ แต่ก็เอาเถอะ ดื่มพอให้ร่างกายอุ่นๆล่ะกันนะ ”    ศุภจิตเดินมาหาลูกสาวที่โต๊ะเครื่องแป้ง และจับที่หน้าผากลูกสาวเพื่อเช็กอาการอีกครั้ง  “ หนูหนาวไหมลูก ดูซิตัวยังเย็นเฉียบอยู่เลย  ”


“ ไม่เจ้าค่ะ ไม่เลย ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณพ่อ  ” หญิงสาวหันมาตอบ มือยังคงใช้หวีสางผมเล่นอย่างเพลิดเพลิน


“ แก้ว ”  

“ เจ้าคะ ” หญิงสาวมองพ่อผ่านกระจกและยิ้มให้


“ หนูไม่เป็นอะไรแน่นะลูก ”  พ่อถามลูกสาวอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกจากห้อง เพราะรู้สึกได้ถึงอาการแปลกประหลาดของลูกสาวหลังจากฟื้น ทั้งสีหน้าท่าทาง แววตา และการใช้คำพูด   ดูไม่เหมือนกับไม่ใช่แก้วคนเดิมที่เคยรู้จัก   


“ เจ้าค่ะ ” หญิงสาวตอบสั้นๆเช่นเคย


“ งั้นพักผ่อนเยอะๆนะลูก พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่น พ่อไปนอนล่ะนะ ฝันดีนะลูก ”


“ เจ้าค่ะ ”


เมื่อพ่อปิดประตู  หญิงสาวก็มองตัวเองที่กระจกอีกครั้ง และแสยะยิ้มประหลาดออกมา  แต่ในมิติมุมหนึ่งในความมืดมิด   มีดวงจิตของกิ่งแก้วกาหลงยังคงยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังโต๊ะเครื่องแป้ง พยายามร้องเรียกผู้ที่นั่งอยู่   แต่ก็ดูเหมือนไร้ความหมาย เพราะเหมือนบุคคลนั้น ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆตั้งแต่สวมรอยเข้าสิงร่างเธอที่หน้าศาลาวัด


“ คุณหยงยิหวา เอาร่างฉันคืนมา ” ดวงจิตหญิงสาวร้องตะโกนบอก






Create Date : 12 ตุลาคม 2556
Last Update : 12 ตุลาคม 2556 7:51:46 น.
Counter : 609 Pageviews.

3 comments
  
หยงยิหวาในร่างแก้วไม่ตอบอะไร ยังคงนั่งสางผมเหมือนเดิม จะมีในบางชั่ววินาทีบ้างที่หางตามองไปตรงที่ดวงจิตแก้วยืนอยู่ ดูแล้วเหมือนกับว่าเห็นและได้ยินทุกอย่าง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ ฉันรู้นะว่าคุณได้ยินและเห็นฉัน ได้โปรดเถอะค่ะ คืนร่างฉันมา ”

หยงยิหวายังคงไม่ตอบอะไร เดินไปนั่งที่โซฟา หยิบผงชาเป็นกำมือแล้วเทลงไปในกระติกน้ำร้อน แล้วดื่มไปทันทีอย่างคนหิวกระหาย โดยไม่ได้สนใจว่ารสชาติจะเป็นยังไง หรือว่าน้ำมันจะร้อนแค่ไหน พอดื่มจนหมด ก็หัวเราะออกมาเบาๆ มองเงากระจกของหน้าต่างที่สะท้อนภาพด้านหลัง และพูดออกมาเหมือนจงใจให้แก้วได้ยิน “ ตราบใดที่กายนี้ยังคงตื่น ฉันก็คงยังอยู่เยี่ยงนี้ หึหึ ”

“ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้! เอาร่างฉันขึ้นมา! เอาร่างฉันคืนมา! ” แก้วตะคอกใส่ด้วยความโกรธ

หยงยิหวาหันหลังกลับไปมองตรงจุดทีแก้วยืนอยู่ และตะเพิดไล่ดวงจิตของแก้ว “ ออกไป! ออกไป! อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไป! ”

“ คุณนั่นแหละออกไป! อย่ามายุ่งกับร่างของฉัน!”

“ ฉันไม่ออก! แกนั่นแหละนังแก้ว ออกไป! ” หยงยิหวาเริ่มชี้หน้า และใช้น้ำเสียงดังตวาดดังใส่ แสดงถึงธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงออกมา

“ ร่างฉันไม่ใช่ร่างของคุณ ยังไงคุณก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ได้นานหรอก ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะติดตามเฝ้าร่างฉันแบบนี้ตลอดไปจนกว่าคุณจะออก ”

“ นังแก้ว! อยากลองดีกับฉันรึ ได้! อีดวง! เอ็งออกมาได้แล้ว! ”

เมื่อได้ยินชื่อดวง แก้วก็เกิดอาการกลัว ถอยหลังห่างออกไปทันที เพราะขนาดตอนเป็นคนยังเคยเจอทำร้ายหนักปางตาย แล้วตอนนี้เป็นแค่ดวงจิตไร้ร่าง ก็อาจจะถูกทำร้ายได้มากขึ้นกว่าเดิม

เพียงแค่ชั่ววินาทีที่หยงยิหวาเรียกวิญญาณอำแดงดวง ไฟในห้องก็ดับสนิท หน้าต่างบานใหญ่เปิดออก ลมจากด้านนอกกรรโชกแรงเข้ามาพร้อมกับกลิ่นคาวคลุ้งเลือดน่าสะอิดสะเอียน เสียงหัวเราะใหญ่หนาแหบพร่าดังลั่นไปทั่วทิศ

“ ฮ่าๆๆๆๆๆ ”

แก้วรู้สึกไม่ปลอดภัยและเตรียมตัวหนี แต่ทันใดนั้นวิญญาณอำแดงดวงก็ปรากฏตัวขึ้นจากเพดานด้านบน ใช้มือเหี่ยวๆจิกหนังหัวรั้งไว้ไม่ให้ไปไหน “ เอ็งจะหนีข้ารึ อีแก้ว! ”

“ โอ้ยยยย! ” ดวงจิตหญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“ หนังกบาลเอ็งมันน่าทำเครื่องแขวนนัก ฮ่าๆ ” ผีร้ายหัวเราะชอบใจ

“ ใจเย็นก่อนเถิดอีดวง มันก็แค่ดวงจิต หาได้มีหนังหัวให้เอ็งไม่ ถ้าเอ็งอยากได้ ข้าจะค่อยๆเลาะหนังหัวร่างนังแก้วไปให้เอ็งทีหลัง ไม่ดีกว่ารึ ” หยงยิหวาจับผมมาม้วนที่ปลายนิ้วทั้งห้า และดึงกระตุกไปมาด้วยความสะใจ

“ เจ้าค่ะคุณหยง ” ผีร้ายก้มหัวและยิ้มตอบรับ

“ อย่านะคุณหยง อย่าทำอะไรร่างแก้ว อย่านะ! ” ดวงจิตแก้วตะโกนอ้อนวอน

“ กลัวเจ็บงั้นรึ ” หยงยิหวาเดินเข้ามาใกล้แก้ว “ ไม่ต้องกลัวดอกน้องแก้วบาหยัน น้องจะเจ็บได้เยี่ยงไร ในเมื่อน้องไม่ได้อาไศรยร่างนี้อยู่เสียหน่อย พี่ต่างหากเล่าที่จะเจ็บแทนน้อง ฮ่าๆ ”

พอพูดเสร็จ หยงยิหวาก็หยิบกรรไกรตัดผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วปักไปที่มือตัวเองอย่างไม่คิด ไม่มีเสียงร้องหรือน้ำตาไหลจากหยงยิหวาในร่างแก้วเลย ทั้งๆที่ตอนนี้เลือดไหลออกมาไม่หยุด มีแต่เสียงหัวเราะแบบสะใจ “ ฮ่าๆ มิเห็นเจ็บเสียหน่อย ถ้ามากกว่านี้ ก็คงจะไม่เจ็บปวดเลยสักนิด จริงรึไม่จริง ฮ่าๆๆ เพราะมันหาใช่ร่างพี่ไม่ จริงรึไม่จริง ฮ่าๆ ”

แก้วโกรธสุดขีดแต่ทำอะไรไม่ได้ ตัวยังคงห้อยโตงเตงเหนืออากาศ เลยได้แต่พูดตอกกลับไปด้วยอารมณ์ที่ดุดันมากกว่าเดิม “ คุณหยงยิหวา! ถ้าคุณคิดจะแฝงร่างแก้ว แล้วคิดจะทำร้ายมากกว่านี้ สภาพร่างกายก็จะไม่สามารถทนได้ ในที่สุดก็จะตาย! คุณเองก็จะกลับมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ร่างเหมือนเดิม ”

“ พิโธ่เอ้ย แม่แก้วบาหยันน้องพี่ พี่รู้ดีดอกหนา ว่าวิญญาณพี่หาได้อาไศรยในร่างน้องจวบนิจนิรันดร์ไม่ พอพี่พอใจ แลเห็นน้องแก้ววายวอดบรรลัย พี่ก็จะคืนร่างให้น้องเอง ไม่ต้องห่วงดอก น้องเอ๋ย ”

“ แก อีผีชั่ว! ไม่ต้องนับญาติเรียกพี่เรียกน้องกับฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ”

“ จุ๊ๆ กิริยามิงามเลยหนาน้องแก้วบาหยัน เป็นถึงบุตรีบุญธรรมของหลวงเจริญจิตโอสถ ทำไมพูดจาหยาบเหมือนหนังหลังเท้าเยี่ยงนี้เล่า ”

“ ฉันไม่ใช่แก้วบาหยัน ”

“ ฉันก็ให้แกดูอดีตแล้วมิใช่รึ หากหล่อนหาใช่แม่แก้วบาหยันไม่ ดวงจิตหล่อนจะเชื่อมอดีตมายังฉันได้อย่างไรเล่า ” หยงยิหวาดึงกรรไกรออกจากมือ และชี้ไปที่ดวงจิตแก้ว

“ ถ้าฉันเป็นแก้วบาหยันกลับชาติมาเกิด แล้วทำไมเวรกรรมไม่จบให้หมดสิ้นตั้งแต่ชาติที่แล้วล่ะ ทำไมคุณต้องจองล้างจองผลาญฉันมาถึงชาตินี้ด้วย ”

“ มึงคิดว่ากูไม่อยากหลุดพ้นจากความทรมานอันนี้งั้นรึ อีแก้ว! ” หยงยิหวาเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง และมองแก้วด้วยแววตาอาฆาตแค้น น้ำตาเริ่มคลอเบ้าเหมือนจะร้องไห้

“ คุณหยง เลิกแล้วต่อกันได้ไหม อโหสิกรรม แล้วฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณไปเกิด ”

“ เกิด! เกิดงั้นรึ ถ้ากูไปเกิดได้ กูคงไม่มาอยู่เยี่ยงนี้หรอกอีแก้ว! ” หยงยิหวาพูดไปร้องไห้ไป และปากรรไกรใส่ดวงจิตไร้ร่างของหญิงสาว

“ เชื่อฉันเถอะนะคะ เชื่อฉัน แล้วฉันจะหาทุกวิถีทางให้คุณไปเกิดในภพภูมิที่ดี ”

“ เชื่อ! ” หยงยิหวาตวาดใส่ “ เชื่องั้นรึ เพราะกูเชื่อมึงไงเล่า กูถึงต้องเป็นเยี่ยงนี้ ”

“ ฉันไปทำอะไรให้คุณหนักหนา คุณก็บอกมาสิ ฉันจะชดใช้ให้ทุกอย่าง แต่ขออย่างเดียว อย่าชดใช้ด้วยชีวิตก็พอ เพราะถ้าฉันตายไป ฉันก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้อีกแล้วนะคะ ”

“ มึงจะอยู่หรือตาย หาได้สำคัญกับกูไม่ ถ้ามึงตาย กูก็จะลากมึงลงนรกกับกู ถ้ามึงอยู่ กูก็จะทำให้มึงวายวอดไม่มีความสุข ”

“ แต่ว่า..”

“ หยุด! หมดเวลาพรรณาของมึงแล้วอีแก้ว! ได้เวลาพามึงกลับสู่เรือนหอที่รักของมึงแล้ว ”

“ เรือนหอ!? ”

“ อีดวง! ”

“ เจ้าคะคุณหนู! ”

“ พาอีแก้วไปเยี่ยมเหย้าเยี่ยมเรือนอันเป็นที่รักยิ่งของมัน แลจองจำมันไว้ที่นั่นอย่าได้ออกมาจนกว่ากูจะพอใจ ”

“ เจ้าค่ะคุณหนู! ” ผีร้ายยิ้มรับคำสั่ง

ยังไม่ทันที่อำแดงดวงจะลากแก้วออกไป ก็มีเสียงสวดมนต์จากพระสงฆ์ดังเข้ามากังวานในห้อง ทำให้วิญญาณร้ายทั้งสองตนรู้สึกอ่อนแรงลง ในจังหวะนั้นเอง แก้วก็ได้โอกาสหนีออกจากห้องไป โดยมีเสียงกรีดร้องลั่นของวิญญาณทั้งสองตามหลังมา

++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:7:47:59 น.
  
เมื่อออกมานอกห้อง บรรยากาศรอบด้านก็กลับมามืดสนิทอีกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ แก้วเลยเดินตามเสียงสวดมนต์ไปเรื่อยๆ เดินไปไกลเป็นเวลานาน เสียงสวดมนต์ภาษาบาลีบทไม่คุ้นหูยังคงดังอยู่ แต่ยังหาต้นเสียงไม่ได้ ในขณะที่เดิน ก็มีความรู้สึกว่า ภายใต้เงามืดรอบด้าน มีบางอย่างกำลังจับจ้องอยู่ตลอดเวลา และเหมือนสิ่งนั้นกำลังตามมาไม่ห่าง

“ ฮืออออออออออออออ ” เสียงฮือลากยาวดังแทรกเข้ามา

“ ฮืออออออออออออออ ” เสียงฮือลากยาวดังเพิ่มเข้ามาอีกเสียง

“ ฮืออออออออออออออ ” เสียงฮือลากยาวดังเพิ่มเข้ามาอีกเป็นเสียงที่สาม

“ ฮืออออออออออออออ ” เสียงทั้งสามร้องดังขึ้นสั่นเครือดูโหยหวน

แก้วไม่รู้ว่าเสียงทั้งสามนั้นมาจากทางไหน ได้แต่วิ่งวนไปมาอย่างไร้จุดหมาย แต่แล้วเสียงฮือลากยาวก็ดังเข้ามาอีกเป็นกลุ่มใหญ่ “ ฮืออออออออออออออออออออ ”

และทันใดนั้น เสียงฮือร้องครางอย่างโหยหวนนับร้อยก็ดังเข้ามาพร้อมกัน และเหมือนกำลังวิ่งกรูมาที่แก้ว “ ฮืออออออออออออออออออออออ ”

สิ่งที่กำลังเข้ามาไม่รู้คืออะไร วิ่งหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ แก้วเลยตั้งหลักตัดสินใจต่อสู้กับศัตรูในความมืด สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างกับการปิดตารบกับคนนับร้อยที่ล่องหน

“ เข้ามาเลย! เข้ามา! อยากได้อะไรก็เข้ามา! ” แก้วตะโกนท้าทายออกไปเพื่อเรียกความกล้าให้กับตัวเอง เพราะไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว และในเพียงไม่กี่วินาที ก็มีมือนับร้อยมาจับแขนขาแก้วไว้ ดึงทึ้งร่างราวกับนกแร้ง ยื้อแย่งกันไปมาเหมือนสุนัขป่าผู้หิวโหยเนื้อ

“ อ้ายยยย ” แก้วกรีดร้องด้วยความกลัว แต่ก็กัดฟันตั้งสมาธิตั้งจิตแผ่เมตตา “ สัพเพสัตตา..”

ถึงแม้จะพยายามแผ่เมตตาจนจบบทก็แล้ว ศัตรูนับร้อยในเงามืดก็ไม่หยุดหรือหนีหายไปไหนเลย กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะฉีกร่างแก้วให้แหลกออกเป็นชิ้นๆ

ในเมื่อพูดดีๆแล้วไม่ไป แก้วเลยโกรธจัด จึงใช้วิธีสาปแช่งกลับไป “ เอาเลย อยากทำก็ทำเลย ชาตินี้ก็ไม่ต้องไปผุดไปเกิดหรอก ฉันจะสาปแช่งให้ทุกตัวตกนรกหมกไหมเ ให้มันทรมานไปอย่างงี้แหละ เอาเลย! ”

หลังจากสาปแช่งไป มือนับร้อยก็ค่อยๆคลายออกไป และปล่อยแก้วให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย เหลือไว้เพียงความมืดที่ว่างเปล่าเช่นเคย ไม่มีเสียงครวญครางจากวิญญาณนับร้อยอีก หรือแม้กระทั่งเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีก่อนหน้านี้ แต่มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมา

“ โยมแก้ว โยมแก้วอยู่ที่ไหน ได้ยินอาตมาไหม ” เสียงพระไมค์ดังก้องมาจากด้านหน้า พร้อมกับแสงสว่างสีทองที่ส่องนำทาง เมื่อเดินตามแสงไปก็ไปพบพระไมค์นั่งสมาธิอยู่หน้าโบสถ์เก่าที่กำลังซ่อมแซม ภายในมีพระประธานขนาดใหญ่สององค์ตั้งเรียงติดกัน

“ แก้วอยู่นี่ค่ะท่านไมค์ ” หญิงสาวดีใจที่เห็นภิกษุหนุ่มอยู่เบื้องหน้า เลยอดกลั้นน้ำตาไม่ได้

พระไมค์ค่อยๆลืมตา และมองไปที่แก้วด้วยความดีใจเช่นกัน “ อาตมาคิดอยู่แล้ว ว่าโยมต้องมา ”

“ ท่านไมค์รู้เหรอคะ ว่าแก้วยังไม่ได้กลับเข้าร่าง ”

“ รู้สิ ก็อาตมาเป็นคนเห็นตอนโยมหยงยิหวาสิงร่างโยมแก้วต่อหน้าเลย แต่ยังไม่กล้าพูดอะไร ”

“ ถ้าอย่างงั้น ท่านไมค์ก็คงรู้เรื่องหมดแล้ว ”

“ ก็อาจไม่หมดซะทีเดียว แต่อาตมาต้องขอโทษโยมแก้วด้วยนะ อาตมาไม่นึกว่า วิญญาณหยงยิหวาจะหลอกให้อาตมาใช้สร้อยล็อคเก็ตนี้ นำพาดวงวิญญาณของหยงยิหวาเข้าร่างโยมแก้ว ” พระไมค์วางสร้อยล็อคเก็ตที่พื้น มันยังคงส่องแสงเรืองรองเล็กน้อยเหมือนหิ่งห้อย

“ งั้นแสดงว่า วิญญาณคุณหยิงยิหวา ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากแก้ว ที่มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความมืดมิด อาศัยหาคนที่เชื่อมต่อ นำพาตัวเองให้หลุดพ้นใช่ไหมคะ ”

“ มันก็คงจะเป็นอย่างงั้น โลกที่สามเป็นอย่างไร อาตมาว่าโยมแก้วก็คงจะรู้ดีแล้วสินะ ”

“ ค่ะ แก้วรู้ดี ว่ามันหนาวและมืด น่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน ”

“ ในขณะที่อาตมานั่งวิปัสสนาอยู่ ก็เกิดได้ยินเสียงร้องของโยมแก้ว อาตมาก็เลยสวดมนต์ภาวนา เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง และก็ร้องเรียกโยมดู ซึ่งโยมก็มาจริงๆ ”

“ แก้วกราบขอบพระคุณท่านไมค์มากเลยนะคะที่ช่วยมาตลอด ” ดวงจิตหญิงสาวก้มลงกราบขอบคุณอย่างนอบน้อบ

“ ไม่เป็นไรหรอก มันคงมีบางอย่างกำหนดไว้แล้ว เอาล่ะ โยมแก้วลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ”

“ ได้ค่ะ แก้วจะเล่าทุกอย่างให้ท่านไมค์ฟัง ตั้งแต่ที่ซีแอตเทิ้ลเลยนะคะ ”


++++++++

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ภิกษุฝรั่งก็ยังจับต้นชนปลายถึงสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมวิญญาณหยงยิหวาและอำแดงดวงถึงอาฆาตแค้นแก้วถึงขนาดนั้น และใครเป็นคนซ่อนศพย่าสังวน

“ จากที่โยมเล่ามาทั้งหมด อาตมาว่า มันคงไม่ใช่แค่ผีที่จะทำบางเรื่องได้ อาตมาว่ามันต้องคนที่อยู่เบื้องหลังนี้แน่ๆ ”

“ จากที่ท่านไมค์เล่าเพิ่มมา และดูจากหลักฐาน แก้วเชื่อว่ายายจรูญไม่ใช่คนผิด เพราะแก้วเห็นกับตาและได้กลิ่นกับตัวเองว่าตะเกียงที่จุดเป็นตะเกียงกำยานกลิ่นการเวก ”

“ เสียดายนะ ที่มีการยอมความกันไป สารวัตรศรัณย์โยมเพื่อนอาตมาเลยไม่ได้มาช่วยสืบคดีจากหลักฐานต่อ ”

“ แต่ท่านไมค์บอกแก้วว่า เทปที่บันทึกภาพหายไปนี่คะ ”

“ ใช่ หายไป ยังหาไม่เจอเลยนะ ที่ตำรวจเก็บหลักฐานไปก็มีแต่พวกยาเสพติด และเครื่องมือของโยมยายจรูญนั่นแหละ ”

“ แล้วลุงโชคที่เป็นสัปเหร่อให้การเพิ่มว่ายังไงคะ ”

“ โยมลุงโชคแกก็ให้การว่า แกเมาหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่อาตมาไปพบศพโยมนั่นแหละ ”

“ ตกลงลุงแกเมาเพราะเหล้า หรือเมาเพราะสลบควันจากสารเสพติดที่ตำรวจบอกว่ายายจรูญจุดกันแน่คะ ”

“ นั่นน่ะสินะ ถึงศาลาจะใหญ่ แต่ก็ปิดหน้าต่างทึบทุกบานแบบนั้น อย่างน้อยกลิ่นก็ต้องกระจายไปทั่วสิ ถ้าสารเสพติดที่วินิจฉัยตอนแรกว่าทำให้โยมแก้วตายเพราะสูดดมมากเกินไป แล้วทำไมโยมยายจรูญกับโยมลุงโชคไ่ม่ได้เป็นอะไรเลย ”

“ ตอนที่ท่านไมค์พบศพแก้ว ท่านไมค์เห็นยายจรูญอยู่ในสภาพสลบเหมือนกันใช่ไหมคะ ”

“ ใช่ โยมยายจรูญสลบ อ่อ และก็ไม่มีอะไรปิดหน้าหรือจมูกด้วยนะ ”

“ งั้นก็ยิ่งมั่นใจได้เลยค่ะ ว่ายายจรูญไม่ใช่คนผิด แต่คนที่อยู่เบื้องหลังตั้งใจป้ายความผิดไปให้ยายจรูญ ”

“ งั้นการที่วิญญาณโยมแก้วกลับเข้าร่างไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะวิญญาณหยงยิหวาใช่ไหม ”

“ ค่ะ แก้วเชื่อว่าไม่ได้เกี่ยวกับสารเสพติดอะไรนั่นหรอก คงมีคนมาใส่ไว้ตอนที่แก้วและยายจรูญสลบไปแล้ว เพื่อเลี่ยงประเด็น แก้วว่า งานนี้มีคนบางคนร่วมมือกับผีค่ะ ”

“ แล้วคนคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับวิญญาณหยงยิหวาและวิญญาณดวงล่ะ ”

“ แก้วไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่แก้วเชื่อว่าอดีตอาจมีคำตอบให้เรา ”

“ อดีตงั้นเหรอ แล้วเราจะหาคำตอบจากอดีตได้ยังไง ”

“ ถ้าแก้วอยู่ในร่างคน แก้วคงใช้วิธีเดิมจากยายจรูญอีกครั้ง แต่ตอนนี้เป็นแค่ดวงจิต แก้วไม่กล้าไปไหนแล้วค่ะ แก้วกลัวว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ”

“ อืม...งั้นลองวิธีอาตมาไหม”

“ วิธีไหนคะ ”

“ นั่งวิปัสสนากรรมฐาน ”

“ มันจะได้ผลเหรอคะ ”

“ อาตมาไม่รู้หรอก แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอ อาตมามีความรู้สึกว่า สร้อยล็อคเก็ตอันนี้จะพาเราไปพบความจริงบางอย่างในอดีตได้ ” ภิกษุหยิบสร้อยมาดูอีกครั้ง

“ มีคนเคยบอกแก้วว่า ที่ที่เราเคยมาหรือสิ่งของที่เราเคยใช้ในอดีต เมื่อเรากลับมาเจอมันอีกครั้ง เราจะรู้สึกเหมือนกับอาการเดจาวู ท่านไมค์รู้สึกแบบนั้นไหมคะ ”

“ กับสร้อยนี่น่ะเหรอ ”

“ ไม่ใช่ค่ะ แก้วหมายถึงที่นี่ค่ะ ”

“ โบสถ์นี้น่ะเหรอ ”

“ ค่ะ แก้วรู้สึกคุ้นกับที่โบสถ์นี้อย่างบอกไม่ถูก ”

“ ที่โยมคุ้น เพราะโยมเคยมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า โบสถ์นี้ก็อยู่ใม่ไกลจากวัดที่โยมจัดงานศพย่าสังวนเลยนะ ”

“ เหรอคะ ทำไมแก้วไม่เคยมาเลยล่ะคะ ”

“ อาจจะเป็นเพราะบ้านโยมอยู่ใกล้วัดอีกฟากนู้น วัดฝั่งนี้เลยไม่ค่อยได้มา ”

“ ก็อาจจะจริง แล้วทำไมจู่ๆท่านไมค์ถึงมานั่งสมาธิอยู่ที่โบสถ์วัดนี้ล่ะคะ ”

“ เมื่อตอนเย็นอาตมามาเดินจงกรมแถวริมน้ำ แล้วก็ได้ยินเสียงคนจุดประทัดฝั่งตรงข้าม พอหันไปดู ก็เห็นโบสถ์นี้ ก็เลยอยากมาดู เห็นมันเก่าดี พอมาถึง ก็รู้สึกเหมือนเดจาวูอย่างที่โยมว่านั่นแหละ ”

“ แก้วชักเริ่มเชื่อแล้วสิคะ ว่าบางอย่างคงกำหนดให้เราได้เป็นแบบนี้ ”

“ กรรมไงล่ะที่กำหนดเรา มันคงถึงเวลาชดใช้กรรมแล้วล่ะมั้ง เอาล่ะ เรามาเริ่มนั่งวิปัสสนากันเลยนะ เริ่มจากนั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงาย ทับด้วยมือซ้าย แล้วค่อยๆหลับตาลง ตั้งจิตให้มั่นคง นั่งนิ่งตรง สติจับนับลมหายใจทีกำลังเข้าออก แล้วตามดูสติไปเรื่อยๆ ”

+++++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:7:49:29 น.
  
แก้วนั่งวิปัสสนากับภิกษุเป็นเวลานานจนรู้สึกว่าดวงจิตอยู่นิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่ได้ยินเสียงใดๆ หรือสัมผัสอะไรเลยทั้งนั้น เหมือนตัวเองกำลังเป็นขนนกที่ลอยพริ้วลิ่วลมหลับไหลลอยไปในอากาศแบบอิสระ

“ อธิษฐานเสร็จรึยัง ” เสียงชายชราดังเข้ามาในภวังค์ ปลุกให้แก้วตื่น เมื่อลืมตาขึ้น ก็รีบหันไปดูผู้ที่เรียกจากด้านขวา และขานตอบรับกลับไปแบบไม่รู้ตัว “ เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณพ่อ ”

ชายที่อยู่ด้านขวาคือหลวงเจริญจิตโอสถ คนที่เคยเห็นในอดีตมาแล้วสองครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาดูแก่ลงไปเยอะ รูปร่างดูผอมโกรก ใบหน้าเหี่ยวย่นที่หน้าผากแสดงถึงความชราภาพที่มากขึ้นตามอายุ

“ ถ้าเสร็จแล้วลูกก็ไปเที่ยวงานวัดเถิด เดี๋ยวพ่อจะอยู่คุยกับท่านเจ้าสัวสุ่นต่อเสียหน่อย ”

หญิงสาวหันไปดูด้านซ้ายของตน ก็พบกับชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วน หน้ากลม ตาตี่ ไว้ผมทรงมหาดไทย มีหนวดเครายาวเลยคาง ใส่ชุดไหมคอจีนสีแมลงทับ นุ่งโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด บุรุษคนจีนยิ้มทักแก้วอย่างเอ็นดู และพูดด้วยคำไทยแต่สำเนียงจีน

“ ยิ่งโตยิ่งงาม เสียดายจริงๆ ที่ลูกชายลุงคนโตติดราชการกับเจ้านาย มิเช่นนั้น จะให้ทำความรู้จักกันเสียหน่อย ” ชายชราหน้ากลมยิ้มแก้มแทบปริ มองหญิงสาวด้วยความชื่นชม

“ ท่านเจ้าสัวสุ่นเองก็มีลูกชายที่หน้าตาสะสวยกันทั้งสามคน สาวๆจังหวัดธนบุรี แลจังหวัดพระนคร ได้เห็น ก็คงไม่แคล้วคิดว่าเป็นเทพบุตรล่ะกระมัง โดยเฉพาะเจ้าลูกชายคนกลาง หน้าตาสวยเหมือนแม่ไม่มีผิดแผกสาแหรกเลยสักนิด ”

“ ไอ้หน้าตางามก็งามดอกขอรับคุณหลวง แต่ไอ้เจ้าคนกลางมันสำราญเกเรยิ่งนัก ไม่เอาการไม่เอางานเหมือนคนพี่ กระผมน่ะระอาใจเสียเหลือเกิน เฮ้อ ” ชายชราหน้ากลมถอนหายใจ พลางใช้พัดขนนกกระจอกเทศพัดไปมาให้หายร้อน

“ แล้วนี่อยู่ไหนเสียแล้วล่ะ เมื่อตะกี้ยังเห็นเข้ามาในโบสถ์ด้วยกัน ”

“ โน่นแน่ะขอรับ นั่งคุยอยู่กับท่านเจ้าอาวาสอยู่ที่อาสนะสงฆ์ ”

แก้วมองไปที่อาสนะสงฆ์ เห็นบุรุษหนุ่มหน้าละอ่อน กำลังนั่งสทนากับเจ้าอาวาสอย่างออกรสออกชาติ หน้าตาผิวพรรณขาวผุดผ่อง ดวงตาโตกลม ปากเล็กบางจิ้มลิ้มพริ้มเพราคล้ายผู้หญิง พอแอบมองอยู่นานจนอีกฝ่ายรู้ตัว เลยโดนมองกลับ แก้วกลัวเลยรีบหลบสายตาไปทางอื่นทันที และฟังที่เจ้าสัวสุ่นพูดต่อ

“ ที่มีดีก็คงมีแต่เรื่องนี้ล่ะขอรับ รู้จักเข้าหาพระหาเจ้า มาเรียนเขียนเรียนอ่านที่วัด นี่เห็นคุยอยู่เป็นนานสองนาน เกรงใจท่านเจ้าอาวาสนัก เดี๋ยวกระผมขอตัวไปเรียกไอ้เจ้าลูกชายก่อนนะขอรับ ”

เจ้าสัวสุ่นค่อยๆคลานไปที่อาสนะสงฆ์ ก้มลงกราบก้นโด่ง ทำมือคาราวะไหว้แบบคนจีน จนทำให้คนอื่นๆในวัดต่างหัวเราะ ฝ่ายลูกชายก็ชักสีหน้าทันที รีบไหว้บอกลาเจ้าอาวาสอย่างลวกๆ และรีบคลานตามมาพ่อมานั่งสทนาหน้าพระประธาน

แต่พอมานั่งได้สักพัก ลูกชายก็โดนพ่อเอ็ดตะโรด่าเสียงดังต่อหน้าหลวงเจริญจิตโอสถและแก้ว “ ไอ้เจ้าเขม คุยอะไรนักหนากับท่านเจ้าอาวาส วันนี้วันดี มีคนมารอพรมน้ำพระพุทธมนต์กับท่านอีกตั้งเยอะ ไม่เกรงใจท่านเจ้าอาวาส ก็มีมรรยาทกับคนอื่นที่เขามารอบ้าง ”

“ กระผมไม่ได้ไปขอน้ำพระพุทธมนต์ดอกขอรับ กระผมแค่ไปขอฤกษ์งามยามดี เพื่อที่ไปชนไก่ที่หลังวัด ”

“ หึ แล้วท่านให้ฤกษ์เจ้ามาไหมเล่า ”

“ ก็มิให้สิขอรับ ท่านบอกว่า วันนี้เป็นวันดีวันสงกรานต์ กระผมจึ่งไม่สมควรทำร้ายสัตว์ตัดชีวิตใดๆในวันนี้ ”

“ ก็นั่นน่ะซี เจ้านี่มันไม่รู้ความเสียจริง วันดีๆใครเขาจะทำบาปกันเล่า เขาเข้าวัดทำบุญกันทั้งนั้น เดี๋ยวเถอะ! กลับไปจะไปลงหวายให้หลาบจำ ”

“ เอาน่าท่านเจ้าสัว เจ้าเขมชาติมันยังเด็กนัก หาได้รู้ความตามประสาไม่ ”

“ คุณหลวงขอรับ ไอ้เจ้าเขมมันอายุสิบห้าปี รุ่นราวคราวเดียวกับแม่บาหยันนั่นแหละขอรับ ดูแม่บาหยันเถิดเจ้าเขม กิริยาเรียบร้อย วาจาอ่อนหวาน สมแล้วที่ร่ำเรียนในโรงเรียนแหม่ม แลเห็นเป็นกุลสตรีศรีวังยิ่งนัก เครือไหนได้แม่บาหยันไปเป็นแม่เหย้าแม่เรือน ก็คงสุขเกษมนิรันด์เลยนะขอรับ ฮ่าๆ ”

หญิงสาวก้มหน้ายิ้มด้วยความเขินอายจากคำชื่นชมจากเจ้าสัวสุ่น ส่วนเขมชาติก็ส่ายหน้า และทำหน้าตาทะเล้นใส่แก้วในจังหวะที่เจ้าสัวสุ่นหัวเราะตาปิด

“ อันนี้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้แม่เกดน้องสาวฉันด้วย ที่ช่วยอบรมบ่มนิสัยได้ถึงเพียงนี้ ”

“ คุณแก้วการะเกดก็รักแม่บาหยันปานน้องสาวแท้ๆ ถึงขนาดตั้งชื่อว่าแก้วบาหยันเลยมิใช่หรือขอรับ ว่ายังไงล่ะแม่บาหยัน ชอบให้ลุงเรียกแก้ว หรือเรียกบาหยันล่ะ ”

หญิงสาวเงยหน้า และยิ้มเล็กน้อย “ แล้วแต่สมควรเถิดเจ้าค่ะ ”

“ ลุงเรียกบาหยันตามความเคยชินล่ะกันนะ ”

“ เจ้าค่ะ ”

“ พ่อเขมมาก็ดีล่ะ เดี๋ยวพาแม่บาหยันไปดูตัวสงกรานต์สิ น่าจะไหลมาตามน้ำแล้วนะ ” เจ้าสัวสุ่นสะกิดไหล่เบาๆบอกลูกชาย

ฝ่ายหลวงเจริญจิตโอสถที่รู้กันกับเจ้าสัวสุ่น ก็พูดจาโน้มน้าวลูกสาวอีกเสียง “ บาหยันไปกับเขมชาติสิลูก หนูไม่เคยเห็นตัวสงกรานต์เลยไม่ใช่รึ อยู่โรงเรียนของแหม่มมาหลายปี ไม่ค่อยได้ออกมาพบมาเจออะไรเทือกนี้เท่าไหร่นี่หนา ”

“ เจ้าค่ะคุณพ่อ ลูกอยากเห็นตัวสงกรานต์มานานแล้ว เดือนเมษายนทีไร ลูกก็มิได้กลับบ้านริมน้ำเสียที โชคดีที่ครูแหม่มกลับอเมริกา ทางสกูลก็เลยหยุดให้ลูกได้มาเยี่ยมเจ้าคุณพ่อได้ ”

“ ดีแล้วล่ะที่ลูกกลับมา พ่อแลแม่เกดถวิลหาหนูเหลือเกิน ”

“ ไม่ได้เจอตั้งนานนมน่ะขอรับ คุณหลวงเจริญจิตโอสถ ” สำเนียงพูดไทยไม่ชัดดังมาจากทางประตูโบสถ์ ชายที่เดินเข้ามา ไว้ผมเปียหางยาว ใส่ชุดจีนแพรสีน้ำเงิน กางเกงขาก๊วยสีดำ ดูสภาพแล้วเหมือนเจ๊กลากรถ เมื่อเข้ามาถึงก็เดินตรงมาหาหลวงเจริญจิตโอสถเป็นคนแรก

“ เอ๊ะ..นี่มัน..เจ้าสัวเอี่ยมใช่หรือไม่ ”

“ ขอรับ กระผมเจ้าสัวเอี่ยมเองขอรับ ”

“ หายไปสิบกว่าปี ไม่ติดต่อมาเลย ฉันนึกว่าจะไม่เจอเจ้าสัวอีกแล้ว ”

“ กระผมก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณหลวงอีกแล้วเหมือนกันน่ะขอรับ คงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อผุดเป็นแน่แท้ ที่เมตตาให้ผมได้มาพบปะท่านอีกครา ขอตัวสักครู่นะขอรับ ”

ชายชราผมเปียกราบพระประธานสององค์สามครั้ง พร้อมภาวนาบางอย่างเป็นเวลาครู่ใหญ่ เสร็จแล้วก็วางถาดพวงมาลัยและเครื่องสักการะเครื่องคาวหวานใกล้ๆแท่นบูชา เลือกหยิบประทัดสีแดงยาวเป็นตับออกมาจากถาด แล้วยื่นให้เด็กวัดไปจุดข้างโบสถ์จนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อเสียงสงบลง ก็มานั่งคุยกับหลวงเจริญจิตโอสถต่อ

“ ผมเคยบนกับหลวงพ่อผุดไว้น่ะขอรับ แต่ไม่ได้แก้บนเสียที วันนี้โอกาสดีเลยมาทำเสียให้หมดเรื่องหมดราว ”

“ เจ้าสัวคงบนเรื่องทำมาค้าขายไว้นะซิ เลยหายไปนานเลย ฉันนึกว่าเจ้าสัวได้ดีมีอันจะกินร่ำรวยเงินทองที่อเมริกาแล้วนะซี เลยลืมฉัน ไม่ยอมติดต่อกันมาบ้างเลย ”

“ ตอนแรกมันก็ร่ำรวยดอกขอรับ แต่สี่ห้าปีที่ผ่านมา มันกลับล่มจม หมดเนื้อหมดตัว กระผมเลยต้องอพยพกลับมาสยาม ”

“ โธ่เอ้ยเวรกรรม แล้วนี่เจ้าสัวพาแม่หยงยิหวามาด้วยหรือไม่ ” หลวงเจริญจิตโอสถถามด้วยความตื่นเต้น

“ พามาขอรับ แต่ไม่ได้มาที่วัดนี้ด้วย ผมจอดเรือสำเภาไว้ที่สันดอนแม่เจ้าพระยา แลมาอาไศรยเรือนแพเก่าๆอยู่ชั่วคราวอยู่แถวๆวัดประยูรน่ะขอรับ”

“ ฉันไม่นึกเลยว่าเจ้าสัวเอี่ยมจะตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย ก็บอกเถิดหนา ฉันยินดีช่วยทุกประการ ”

ชายชราผมเปียมองไปที่หญิงสาวที่นั่งๆข้างหลวงเจริญจิตโอสถ และยิ้มให้ “ นี่ใช่ไหมขอรับ แม่บาหยัน สวยกว่าตอนเล็กๆเสียอีก ”

“ เกือบลืมไป แม่บาหยัน กราบเจ้าสัวเอี่ยมเสียสิ จำท่านได้หรือไม่ ”

“ กราบเจ้าสัวเอี่ยมเจ้าค่ะ แก้วจำได้เจ้าค่ะ ”

“ ดูผิวพรรณแล้ว อยู่ดีกินดีนะหนู หนูอยากเจอพี่สาวหนูไหม ” เจ้าสัวเอี่ยมถาม

“ พี่หยงยิหวาน่ะหรือเจ้าคะ แก้วอยากเจอมากเจ้าค่ะ เจอครั้งสุดท้ายก็เมื่อตอนเด็กๆ ตอนที่ท่านเจ้าสัวเอี่ยมเอาโต๊ะคันฉ่องมาให้ ”

“ ถ้าหนูสองคนได้อยู่ด้วยกันก็คงดีสินะ ” เจ้าสัวเอี่ยมพูดเสร็จก็มองไปทางคุณหลวง

หลวงเจริญจิตโอสถเห็นแววตาของเจ้าสัวสุ่นที่ส่งมา ก็รู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร “ นี่หรือไม่ ที่เจ้าสัวเอี่ยมจะขอให้ฉันช่วย ”

“ ขอรับ คุณหลวงช่วยสมเคราะห์เลี้ยงดูแม่หยงยิหวาเป็นลูกสาวอีกคนเถิดขอรับ กระผมไม่ปัญญาหาเลี้ยงอีกแล้วขอรับ ทุกวันนี้ก็มีแต่โรครุมเร้า จะตายวันนี้หรือวันมะรืนก็หารู้ไม่ มีเพียงคุณหลวงเท่านั้นแหละขอรับ ที่จะการุณย์ผมได้ ”

“ ได้สิ ฉันยินดี เพราะยังไงเสีย แม่หยงยิหวากับแม่บาหยันก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกันอยู่แล้ว ”


“ ขออภัยนะขอรับ ” เจ้าสัวสุ่นแทรกเข้ามา “ เห็นทีคุณหลวงคงมีเรื่องคุยอีกเยอะ งั้นกระผมกับลูกขอตัวออกไปที่งานวัดก่อนนะขอรับ ”

“ ขออภัยนะท่านเจ้าสัว ยังไงงานรับตำแหน่งโชฎึกราชเศรษฐีของท่านในวันมะเรื่อง ฉันไปเป็นแน่แท้ แล้วเราค่อยคุยกันต่อนะ อ่อ..บาหยัน ลูกอยากไปดูตัวสงกรานต์มิใช่รึ ออกไปกับเจ้าสัวสุ่น และเขมชาติสิ ”

“ เจ้าค่ะ ”


+++++

เจ้าสัวสุ่นพาหนุ่มสาวทั้งสองออกมานอกโบสถ์ แต่บังเอิญเจอคนรู้จักจึงเข้าไปคุยทักทาย เลยปล่อยให้เขมชาติพาบาหยันไปดูตัวสงกรานต์ที่ริมน้ำกันเอง

หนุ่มน้อยเดินเร่งฝีเท้าเร็วไม่รอผู้ตามเลยสักนิด โดยหวังว่าจะแกล้งด้วยความหมั่นไส้ “ เดินมาให้ไวซีแม่บาหยัน เดี๋ยวตัวสงกรานต์ก็ถูกช้อนหมดคลองดอก ”

“ คุณเขม รอแก้วด้วยสิจ้ะ ”

“ ถ้าหล่อนตามฉันไม่ทัน ก็อดดู ช่วยมิได้ดอกหนา ฮ่าๆ ”

เขมชาติวิ่งหนีหายไปท่ามกลางฝูงชนที่มาเที่ยวงานวัดนับร้อยคน แก้วบาหยันวิ่งตามหาก็ไม่เจอ และด้วยความที่ไม่เคยมาที่วัดแห่งนี้มาก่อน จึงเดินพลัดหลงไปอีกฟากวัดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ จนไปเจอโบสถ์แห่งหนึ่ง หลังคาประดับด้วยเครื่องถ้วยชามจีน มองดูด้านนอกเข้าไปในหน้าต่าง ก็เห็นพระยืนองค์ใหญ่

หญิงสาวมองดูซะจนเพลิน เลยเดินมาชนกับสิงโตหินตัวใหญ่หน้าดุ จึงกรีดร้องออกมาแบบไม่ตั้งใจ และล้มลงไปเข่าทรุดอ่อนกับพื้น ปิดตาด้วยความกลัวไม่กล้ามอง

“ นี่หล่อนเบาเบาสิ ” เสียงชายผู้หนึ่งดังมาจากบันไดหน้าโบสถ์ข้างสิงโตหินตัวใหญ่

หญิงสาวลืมตา และหันมองขึ้นไปที่บันไดหน้าโบสถ์ เห็นชายรูปร่างสูงโปร่ง นุ่งโจงกระเบนสีกรมท่า ใส่เสื้อไหมคอจีนแขนยาวสีเขียวขี้ม้า กำลังมองมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ นี่มันวัดหลวงนะ เขาห้ามใช้เสียง พระท่านกำลังสวดเจริญน้ำพระพุทธมนต์อยู่ นี่หล่อนไม่รู้หรอกรึ ”



“ ก็ฉันมิรู้นี่หนา ว่าพระท่านเจริญน้ำพระพุทธมนต์ด้านใน คุณนี่ก็หาได้สมชายชาติบุรุษไม่ ผู้หญิงล้มเยี่ยงนี้ ก็หาได้ช่วยพยุงขึ้น ” หญิงสาวลุกขึ้น ปัดเนื้อตัวที่เลอะดินอย่างอารมณ์เสีย

“ เพราะฉันเป็นบุรุษไทย ถือธรรมเนียมไทย หาได้แตะต้องแม่หญิงที่ไม่รู้จักไม่ ”

“ ฉันถือธรรมเนียมฝรั่ง ที่บุรุษทุกคนพึงให้เกียรติผู้หญิงก่อนเสมอ ”

“ ฉันก็อยากช่วยอยู่ดอก แต่เห็นหล่อนลุกขึ้นเองได้ ก็ดูแล้วคงไม่เป็นอันใด ”

“ เป็นความการุณย์ยิ่งนักที่ถามนะเจ้าคะ ” หญิงสาวพูดประชดทิ้งท้าย สะบัดหน้าใส่ และเดินออกไป

“ เดี๋ยวก่อนซี แล้วนี่หล่อนเข้ามาในโบสถ์พระยืนนี่ได้อย่างไร มิรู้หรอกรึ ว่าเจ้านายองค์ในท่านมาทำบุญที่วัดนัี้ มีแต่ขุนน้ำขุนนางเท่านั้นที่เข้ามาได้ ”

หญิงสาวชักสีหน้า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดเช่นเคย “ ฉันก็มิรู้ดอกเจ้าค่ะ ก็เดินเดินมา จากโบสถ์วัดหลวงพ่อผุด ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่เสียหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าวัดแถวนี้มันเยอะเสียจริง ”

“ โบสถ์หลวงพ่อผุุด ไกลมากเลยหนา เดินมาได้เยี่ยงไร ”

“ ฉันก็เดินมาเรื่อยๆ ตั้งใจจะมาดูตัวสงกรานต์ ”

“ ดูตัวสงกรานต์งั้นรึ หล่อนนี่ยังไม่โตเสียจริง ” ชายสูงโปร่งแอบอมยิ้ม

“ เอ๊ะ! ก็ฉันมิเคยเห็นว่าตัวสงกรานต์เป็นเยี่ยงไร ก็อยากจะดูให้รู้ก็เท่านั้น”

“ มันก็แค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆสีเลื่อมพรายคล้ายไส้เดือน แต่เล็กกว่า เล็กเท่าเส้นด้ายได้กระมัง เวลาลอยมาก็ว่ายกันเป็นฝูงในน้ำ มีแต่เด็กเท่านั้นดอก ที่ตื่นตากับความประหลาดของมันที่เปลี่ยนสีได้ มันมาแค่ปีละครั้งในช่วงสงกรานต์ ถ้าหล่อนอยากดูนัก เดี๋ยวฉันจะพาไป ”

หญิงสาวฟังที่ชายแปลกหน้าเล่าลักษณะตัวสงกรานต์ด้วยความตื่นเต้น จนลืมความโกรธเคืองก่อนหน้านี้ไปสนิท และพยักหน้าตอบรับคำชวน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าชายสูงโปร่งนี้เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เลยถามชื่อ “ ว่าแต่คุณเป็นใคร ฉันยังไม่รู้จักมักคุ้นคุณเลย ”

“ เฮ้อแม่หญิงสมัยนี้ ถามชื่อผู้ชายก่อน ” ชายแปลกหน้าถอนหายใจและอมยิ้ม

“ เอ๊ะคุณ ฉันถามชื่อคุณก่อน แล้วมันจะผิดอะไรนักหนา ขนาดที่สกูลฉันก็ไม่ได้ถืออะไรกับเรื่องเยี่ยงนี้เลยสักนิด ”

“ เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งโมโหโทสะนะแม่สาวสกูล หล่อนแนะนำตัวมาก่อนสิว่าชื่ออะไร ”

“ ฉันชื่อแก้ว ” หญิงสาวตอบไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

“ แก้วเฉยๆงั้นรึ ”

หญิงสาวนิ่งไป ไม่ต้องการบอกชื่อเต็มๆ เพราะชายคนนี้ดูท่าทางเหมือนคนมีสกุลรุณชาติ และน่าจะทำงานราชการ ก็อาจจะรู้จักหลวงเจริญจิตโอสถ เธอเลยไม่ต้องการบอกให้รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน “ ใช่ ฉันชื่อแก้ว แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร ”


“ ฉันชื่อขจร ”


++++++จบบทที่ ๘ +++++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:7:50:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ม้าสามศอก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
New Comments
MY VIP Friend