The World is a book
|
||||
เหย้าบาหยัน :บทที่ ๗ : ฆาตกรกรรมอำพราง บทที่ ๗ ฆาตกรกรรมอำพราง ศาลาสวดศพถูกปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อกันสายฝนกระเซ็นเข้ามาด้านใน เสียงน้ำที่กระทบหลังคาดังอึกทึกอื้ออึงไปรอบบริเวณเหมือนกับว่ามีคนมาตีกลองระรัวไม่เป็นจังหวะ อีกทั้งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าเฉียดยอดจั่วหลังคาไปมา ทำให้ศาลาวัดแห่งนี้ดูเหมือนกำลังร้องคำรามเสียงดังครืนด้วยความโกรธเคืองอะไรบางอย่าง ครืนนนน! ครืนนนน ! สายฟ้าแลบแสงวาบเข้ามาสว่างควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายในศาลาดูโหวงเหวงวังเวง เก้าอี้หลายตัวถูกเรียงเป็นแถวยาวเรียบร้อยแต่ไร้ซึ่งคนนั่ง เสาแต่ละต้นถูกบดบังจากเงามืดจนไม่สามารถเห็นอะไรก็ตามที่จะซ่อนเร้นอยู่ด้านหลัง คืนนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงหน้าศพและเทียนไขช่วยให้ความสว่างแก่สามผู้ค้างแรม เพราะเนื่องมาจากไฟฟ้าของวัดเกิดเหตุลัดวงจร จึงถูกตัดดับอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัย พนักงานการไฟฟ้าจะมาจัดการซ่อมอีกทีก็คือตอนฝนซาหรือฟ้าสางเท่านั้น ฝนตกหนักเป็นบ้าเป็นหลังแบบเนี้ย เห็นทีการไฟฟ้าจะมาพรุ่งนี้ซะแล้วมั้ง เสียงยายจรูญบ่น พลางใช้แสงเทียนมองเพ่งสำรวจไปรอบๆศาลา ไฟฉายก็แบตอ่อน สงสัยต้องเก็บไว้ส่องตอนเข้าห้องน้ำดีกว่าเนอะหนูแก้ว หญิงชราปิดไฟฉาย แล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อให้หยิบหาง่ายในตอนที่ต้องการใช้ ใช้ไฟจากมือถือหนูก็ได้ค่ะยาย หญิงสาวตอบกลับ ตายังคงจ้องไปที่มือตัวเองที่กำลังเทน้ำมันลงตะเกียงอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าจะทำมันหกเลอะพรม หวีดดดดดดดดดด .หวีดดดดดดดดด . ลมหวิวพัดดังหวีดลอดรูไม้แตกที่หน้าต่าง ส่งเสียงเข้ามาให้ได้ยินคล้ายกับเสียงคนร้องครางโหยหวญ หญิงสาวหยุดเทน้ำมันตะเกียงเพราะความตกใจ รีบมองตรงไปที่หน้าต่างเก่าบานเดิมมุมขวาสุดเหนืออาสนะสงฆ์ ที่กำลังขยับไปมาตามแรงกระแทกของพายุด้านนอก ฟังแล้วขนลุก ยั่งกะเสียงผีเปรตแน่ะ! โฮ้ย!ยายทนไม่ไหวแล้ว เอาอะไรไปอุดสักหน่อยดีไหมหนูแก้ว หญิงชรารีบจัดการเอาผ้าขี้ริ้วเก่าๆไปปิดรูแตก พร้อมใช้เชือกคล้องดึงหน่วงหน้าต่างไว้กับกลอนอีกทีเพื่อความแน่น และเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวค่ำยังไม่เห็นฝนตั้งเค้าเลย พอตกดึกเข้าหน่อยก็เอาเชียว ที่ดูฤกษ์ไว้วันนี้ฟ้าเปิดนี่หน่า ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เงียบ หญิงสาวตอบกลับ มือยังค่อยๆบรรจงเทน้ำมันตะเกียงอย่างช้าๆ พยามตั้งสติให้นิ่งที่สุด ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวนด้านนอก ถึงแม้ผู้ค้างแรมทั้งสองจะเป็นคนที่จิตแข็ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ในใจนั้นเริ่มจะรู้สึกหวิวหวาดระแวงกับการเฝ้าศพในค่ำคืนนี้ มีแต่เพียงลุงโชคผู้เป็นสัปเหร่อที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด นั่งหัวทิ่มหัวตำเมาเหล้าอยู่บริเวณม่านฉากกั้นหลังโลงศพ เมื่อเหล้าหมดขวดก็จะไปหลบนอนที่ประจำหลังม่านที่มีความกว้างแค่สองพื้นกระเบื้องต่อกัน มุมหลังม่านนั่นก็คือช่องส่งศพเข้าเตาเผา หรือที่วัดทั่วไปเรียกว่าเมรุเผาศพ เห็นว่าปีหน้าท่านเจ้าอาวาสคนใหม่จะสร้างเมรุนอกศาลาแล้วนะ หญิงผู้ร่วมค้างแรมพูดกระซิบพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนินทาไปถึงหูสัปเหร่อ แก้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่หญิงชรากำลังพูดสักเท่าไหร่ เธอกำลังตั้งใจเทน้ำมันให้หมดขวด แต่ก็ตอบและพยักหน้ากลับไปบ้างเพื่อไม่ให้เสียมรรยาท เพราะยังไงคืนนี้คงต้องพึ่งพายายจรูญอีกหลายเรื่อง วัดเนี้ยขี้งก! เอาพื้นที่แค่ไม่กี่ศอกหลังที่ตั้งศพมาเจาะผนังแล้วก่อปูนต่อเติมเป็นเตาเผา ไม่เรียกว่างกแล้วจะเรียกว่าอะไร วัดในกรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะค่ะ พื้นที่น้อย แล้วยิ่งเป็นวัดเก่าฝั่งธนด้วย การวางผังก็คงผิดไปบ้าง จะมาแก้ไขตอนนี้ก็คงยาก เพราะพื้นที่ที่เหลือก็ให้ชาวบ้านอาศัยอยู่หมดแล้ว ถ้าได้ที่ดินของตระกูลใหญ่แถวๆนี้บริจาคมา วัดก็คงมีเมรุเผาศพไปนานแล้วล่ะ เสียงของชายสัปเหร่อแทรกการสทนาเข้ามา ยืนเอนไปเอียงมาพิงเสา กระดกเหล้าเข้าปากตลอดเวลาที่พูด ข่างเหน็บช่างแนมเหมือนผู้หญิงจริงนะ เมาทีไรแล้วปากมอมทุกทีนะแกตาโชค อยู่กันแค่สามคน ถ้าไม่ได้ยินก็คงหูฝาดแล้วล่ะยายจรูญ เอ๊ะ! หรือว่ามีมากกว่านั้นล่ะ ฮีฮีฮี นี่ตาโชค! แกอย่ามาพูดหลอกให้หนูแก้วกลัวนะ ไปไป กลับเข้าไปนอนข้างเตาเผาศพโน้นไป๊ หญิงชราเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้แน่น เอาหลังมาประชิดติดกับแก้ว มองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก หญิงสาวที่เพิ่งเติมน้ำมันตะเกียงเสร็จก็หันมาคุยด้วย คุณยายกลัว... หญิงชรารีบชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณห้ามพูด อย่าพูด! จุ๊ๆ กลางค่ำกลางคืนในวัดในวา ใครเค้าพูดเรื่องผีๆสางๆกันล่ะ เค้าห้ามพูดคำว่าผี เดี๋ยวผีจะได้ยิน อุ้ยตาย! ยายหลุดไปได้ไงเนี้ย ยายจรูญรีบเอามือตบปากตัวเองเบาๆสามที ทำท่ากำมือแล้วปาทิ้งไปในอากาศ ถอนคำพูด ถอนคำพูด ไม่ได้ยินกันนะ หาววว ไปนอนดีกว่า กินเหล้าก่อนนอนนี่มันอุ่นจริงๆ หวังว่าตื่นมาแล้วคงไม่มีใครซนไปเปิดโรงทึมเล่นอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮึฮึฮึ ชายชราหัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างมีเลศนัย แล้วรีบหลบเข้าไปหลังม่าน ล้มตัวลงนอนในสภาพที่เมาเต็มที่ ทิ้งไว้แค่คำเตือนปริศนาให้สองผู้ค้างแรมรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ ให้ตายสิ พูดยั่งกะว่าในโรงทึมมีศพอยู่อย่างงั้นแหละ พับผ่าเอ้ย! หญิงชราเอาหนังสือสวดมนต์ตบเข่าตัวเองด้วยความโมโหที่สัปเหร่อแกล้งพูดหลอกให้กลัว แต่แก้วว่ามีนะคะ มีอะไร...อย่าบอกนะว่ามี.. ค่ะ อย่างที่คุณยายคิดนั่นแหละค่ะ แก้วเห็นมากับตาเมื่อหัวค่ำ ศพคนห่อผ้าไว้ค่ะ หญิงชราหน้าถอดสี เริ่มพูดรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง ใช้หนังสือสวดมนต์พัดโบกไปมาที่หน้า อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกยายก่อนล่ะ ศพย่าหนูยังพอไหว เพราะยังไงคืนนี้วิญญาณเค้ายังไม่รู้ตัว ยังไงก็ไม่มาให้เห็นหรอก โอ้ยตาย! แล้วศพที่อยู่ในโรงทึมนั่นกี่วันแล้วเนี้ย ศาลานี้กับโรงทึมเชื่อมติดกันด้วย ตายตายตาย! ใจเย็นๆก่อนค่ะคุณยาย เห็นลุงโชคบอกว่า ศพที่โรงทึมเพิ่งเข้ามาพร้อมๆกับย่าแก้วนั่นแหละค่ะ คุณยายกลัวเหรอคะ ไหนคุณยายบอกว่าอยากเจอ หญิงชราสูดลมหายใจและค่อยๆพูดช้าลง เฮ้อ...คือ เอ่อ..อยากเจอก็อยากเจอ แต่เจอผีทีละตัวดีกว่าไหม แต่เอาเถอะ ยายไม่กลัวแหละ เพราะคืนแรก คนตายยังไม่รู้ตัวหรอก ยังไม่รู้ตัวงั้นเหรอคะ แต่ทำไมแก้วได้ยินเสียงศพร้องไห้สะอื้นที่โรงทึมล่ะคะ ร้องไห้ด้วยเหรอ คุณพระ! ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ตายคืนแรกแล้วมั้ง แล้วใครบอกคุณยายคะว่าคนตายคืนแรกจะไม่มา ก็เค้าว่ากันว่า ใครก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ ส่วนใหญ่วิญญาณจะกลับมาเก็บรอยเท้าตัวเองคืนวันที่สาม หรือไม่ก็คืนวันที่เจ็ด แต่เสียงเงาที่แก้วเจอที่โรงทึม แก้วว่าคงไม่ใช่คนแน่นอนค่ะ หรือไม่ก็...อาจจะไม่ใช่วิญญาณของคนในโลงก็ได้นิ ถึงแม้หญิงชราจะกลัว แต่ก็ยังเอาไฟส่องเข้าไปที่ประตูเหล็กพับที่โรงทีม เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าถูกปิดสนิท แล้วใครล่ะคะ ยายก็ไม่รู้หรอก เค้าอาจจะมาขอส่วนบุญ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูแก้วอย่างที่ยายคิดไว้ก็ได้ แต่หนูเริ่มมีความรู้สึกมั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่ยายคิดแล้วนะคะ ทำไมล่ะ ก็วิญญาณแปลกๆที่เข้ามาวนเวียนรอบตัวหนูน่ะสิคะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลด้วย น่าสนใจน่าสนใจ เคสนี้น่าสนใจ เอาล่ะ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแหละ เวลากำลังเหมาะเลย หนูแก้วพร้อมหรือยังล่ะที่จะสะกดจิตแสกนกรรมกับยาย แก้วพร้อมแล้วค่ะ เราเริ่มกันเลยไหมคะ +++++++++ เสื่อสีแดงเลือดนกถูกปูรอไว้ที่ริมอาสนะสงฆ์ใกล้โต๊ะหมู่บูชาของพระพุทธรูป มีอุปกรณ์แปลกตาวางเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องวัดชีพจรแบบสัมผัส กล้องตรวจจับรังสีความร้อน กล้องวิดีโอสำหรับถ่ายภาพกลางคืน เทอร์โมมิเตอร์วัดความชื้น และเครื่องวัดความถี่คลื่นเสียงต่ำ นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ที่เคยเห็นในพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็น เทียนไขขาว สายสิญจน์ทาทองคำเปลว ระฆังเล็กทองเหลืองลงอักขระขอม ลูกประคำกะลาตาเดียว ขันน้ำมนต์เจ็ดเกจิ และ ตะเกียงกำยาน คุณยายจะใช้ตะเกียงกำยานไว้ทำอะไรเหรอคะ หญิงสาวก้มลงดูตะเกียงกำยานด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นอะไรในลักษณะนี้มาก่อน มันมีรูปร่างคล้ายกระถางธูปทำด้วยทองเหลืองเก่าสลักตัวอักษรจีนโบราณ มีหูจับเป็นหางมังกร มีขาตั้งสามขาเป็นพยัคฆ์ ฝาปิดมีรูฉลุเป็นลายดอกไม้สวยงาม บนยอดฝามีหน้าสิงโตจีนคล้องห่วงที่จมูกไว้สำหรับหิ้ว ก็ไว้จุดกำยานเรียกดวงจิตกลับร่างไงล่ะ หญิงชราพูดไปพลางเอาสายสิญจน์ล้อมเสาสี่ต้นรอบบริเวณเสื่อที่ปู ไหนคุณยายบอกว่าเราจะสะกดจิตกันไงคะ การที่จะสะกดจิตระลึกชาติ มันเสี่ยงที่ดวงจิตจะหลงทาง หาทางกลับมาร่างไม่เจอน่ะสิ ยายก็ต้องป้องกันไว้ก่อน วิญญาณออกจากร่างเลยเหรอคะ หนูนึกว่าเราจะกลับเข้าไปในใต้จิตสำนึกเท่านั้น ไม่ใช่วิญญาณออกจากร่าง ก็แค่ดวงจิตครึ่งหนึ่ง มันก็เหมือนฝันไง เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว แน่ใจนะคะคุณยาย ยายไม่ได้ทำสมัครเล่นนะ ยายมืออาชีพ เรียนจบด้านนี้โดยตรง ถ้าไม่เชื่อจะดูนามบัตร หรือเคสต่างประเทศที่ยายเคยทำมาไหม หญิงชราลงนั่งกับพื้นและเทกระเป๋าออกมากอง เพื่อหาหลักฐานมาโชว์ให้หญิงสาวรู้สึกมั่นใจ ค่ะๆ ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูเชื่อคุณยาย แต่หนูกลัวตัวเองว่าจะไม่กลับมาเองน่ะสิคะ ไม่ต้องกลัวนะหนูแก้ว หนูไม่ใช่วิญญาณไร้ร่าง หนูยังไม่ตาย หนูเป็นคน หนูยังมีประสาทสัมผัสครบ หนูจะยังคงได้กลิ่น ได้ยิน ได้สัมผัสร้อนอ่อนเย็นแข็งเหมือนคนทุกอย่าง เอางี้ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนเริ่มสะกดจิตกันหน่อยดีไหม ว่ามาเลยค่ะคุณยาย อย่างแรก เลือกกลิ่นกำยานก่อน หญิงชราถาม พร้อมหยิบห่อกำยานทรงกรวยออกมาให้เลือกมากมายในตระกร้า มีให้เลือกด้วยเหรอคะ ใช่ ยายมีให้เลือกหลายกลิ่นเลยนะ ถ้ากำยานเฉยๆกลิ่นมันจะแรงไป เดี๋ยวเวียนหัว อันนี้ยายทำเองเฉพาะเลย มีทั้งกลิ่นมะลิ กลิ่นวนิลา กลิ่นกุหลาบ อ่อ กลิ่นชาเขียวสุขภาพก็มีนะ เนี่ยมีอีกเยอะ เลือกมาอันนึง เอากลิ่นที่คุ้นเคยนะ หนูจะได้จำมันได้แม่นเวลากลับมา หญิงสาวลองหยิบห่อกำยานมาเลือกดู และก็เจอกับกลิ่นที่คิดว่าตัวเองคุ้นเคยที่สุดในตอนนี้ หนูเอากลิ่นนี้ค่ะ กำยานกลิ่นการเวกอย่างงั้นเหรอ เข้าใจเลือกนะ หอมเย็น หอมนาน หอมติดจมูก หญิงชราแกะห่อกำยานกลิ่นการเวกใส่ไปประมาณเก้ากรวยลงในตะเกียงและจุดไฟ เอาล่ะ กว่าจะหมดก็อีกนาน จุดตั้งแต่ตอนนี้เลยหนูแก้วจะได้ชินจมูก อ่ะต่อมาก็นั่งขัดสมาธิในท่าที่สบายนะ ยายจรูญจัดแจงเอาสร้อยประคำมาคล้องที่คอแก้ว แล้วใช้ที่จับชีพจรแบบสัมผัสมาแตะไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย หลังจากนั้นก็ตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้งหมดไว้รอบวงสายสิญจน์ทั้งสี่มุม เพื่อให้เครื่องเหล่านั้นส่งสัญญาณเตือนก่อนมีสิ่งแปลกปลอมกำลังเข้ามาคุกคาม เอาล่ะหนูแก้ว มั่นใจได้เลยนะ ว่าจะไม่มีวิญญาณร้ายตัวไหนเข้ามาในวงล้อมสายสิญจน์นี้ได้ มีเพียงดวงจิตหนูเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ สบายใจได้เลย แล้วยังไงต่อคะ เอาล่ะ อย่างแรก จำไว้นะว่าในทุกๆครั้งที่ดวงจิตหนูอยู่ข้างนอก หนูแก้วต้องพูดออกมาทุกคำพูด เล่าทุกอย่างที่เห็นให้ยายฟัง เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ยายจะสื่อสารกับหนูได้ ค่ะ แก้วจะเล่าและจะพูดทุกอย่างที่พบเจอ ข้อที่สอง หนูแก้วจะต้องเดินหาอดีต ห้ามเดินตามอย่างอื่นเด็ดขาด เดินหาอดีต จะเดินหาได้ยังไงคะ อดีตแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ภาพอดีตจะปรากฎภาพชัดที่สุดเมื่อดวงจิตออกค้นหา แล้วหนูจะแน่ใจได้ยังไงคะ ว่าที่หนูตามมันคืออดีต ยายเชื่อว่าหนูต้องเจอ จำไว้แค่ว่า อย่าตามสิ่งอื่นเด็ดขาด และอีกอย่างหนึ่งที่อยากให้หนูแก้วจำไว้ ก็คือเสียงนี้ ติ้ง .ติ้ง ..ติ้ง . ยายจรูญเคาะระฆังทองเหลืองสามครั้ง เสียงระฆังเหรอคะ เมื่อหนูแก้วไปไกลมากแล้ว อาจไม่ได้ยินเสียงเรียกจากยาย แต่เสียงระฆังอันนี้จะดังกังวานก้องเพื่อบอกให้หนูรู้ว่ากลับมาได้แล้ว อ่ะจำเสียงไว้นะ ยายจะตีอีกที ติ้ง .ติ้ง ..ติ้ง . ยายจรูญเคาะระฆังทองเหลืองอีกครั้งช้าๆ เอาล่ะ อย่างสุดท้ายที่ยายจะบอกก็คือ ถือเทียนไขสีขาวเล่มนี้ไว้ อย่าให้ดับ หญิงชราหยิบเทียนไขเปล่าๆหนึ่งเล่ม แล้วยื่นไปไว้ที่มือของหญิงสาว เทียนมันจะดับได้ไงคะ ในเมื่อมันยังไม่ได้จุด เทียนเล่มนี้จะสว่างเมื่อยายจุดจริงๆอีกเล่มนึงจากตรงนี้ หญิงชราหยิบเทียนไขอีกเล่มที่อยู่บนเชิงเทียนให้ดู แสงของเทียนจะช่วยพาหนูไปหาอดีตใช่ไหมคะ ยายจรูญยิ้มและพยักหน้า แล้วแสงของเทียนก็จะพาหนูกลับมาที่นี้ด้วย เพราะฉะนั้น อย่าทำมันดับเด็ดขาด เพราะโลกอีกโลกนึงมันมืด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆทั้งสิ้น ค่ะ แก้วจะจำทุกอย่างที่ยายบอก ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ยายจะเริ่มแล้วนะ แกร๊ง!
ระฆังถูกโยนทิ้งลงพื้นด้วยความโมโห ยายจรูญรีบวิ่งไปหยิบไฟแช็คเตรียมจะจุดกำยานกลิ่นการเวกเพิ่ม เพราะตอนนี้มันมอดดับไปหมดแล้ว แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายจับตัวไว้ไม่ให้ทำอะไรอีก คุณตำรวจ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะเรียกหนูแก้วกลับร่าง! ยายครับ ผมให้ยายลองหลายทีแล้วนะครับ ยังไงผู้ตายก็ไม่ฟื้นหรอกครับ ตัวเย็นแข็งไปหมดแล้วเนี่ย นายตำรวจคนแรกพูด ฉันไม่ได้ฆ่าหนูแก้ว ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ฮือๆๆ ท่านไมค์ ท่านไมค์ต้องเชื่อยายนะ หญิงชราร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ก้มลงกราบวิงวอนขอความช่วยเหลือจากภิกษุฝรั่งที่ยืนอยู่ข้างเสาด้วยความเครียด โยมจรูญ ยังไม่มีใครว่าโยมว่าเป็นคนฆ่าหรอก หลักฐานมันยังอาจไม่ชัด ยังไงไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนนะ หึ! หลักฐานไม่ชัด เข้าข้างกันชัดๆ ยายแก่จรูญนี้ก็เป็นคนของพระไมค์ ผมกับลูกมันก็แค่ญาติห่างๆ พระไมค์คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก ศุภจิตตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือระคนความโกรธ นั่งร่ำไห้กอดร่างไร้วิญญาณของลูกสาวด้วยความเสียใจ พูดให้มันดีๆหน่อยคุณศุภจิต นี่พระนะ ไม่กลัวตกนรกหรือไง สัปเหร่อโชคที่เพิ่งโดนสอบสวนเบื้องต้นเสร็จ พูดแทรกเข้ามา ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาเข้าใจ ถ้าท่านไมค์เข้าใจ ผมก็ขอนิมนต์ไปให้ปากคำเพิ่มที่โรงพักด้วยนะครับ เสียงพูดจายียวนกวนประสาทของชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาสมทบ เขาใส่เสื้อกั๊กหนังสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มปอนๆ สวมเสื้อยืดคอกลมตุ่นๆเก่าๆใกล้ย้วย จะมีเพียงแว่นตาเรย์แบนด์ที่ดูใหม่เอี่ยมที่สุด ทำหน้าแป้นแล้นยืนเต๊ะท่าพิงเสาตรงข้ามภิกษุฝรั่ง แล้วเลื่อนแว่นเหล่มอง ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันที่ขาวตัดกับผิวเข้มๆ ท่านไมค์ก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน เพราะท่านไมค์เป็นคนพบศพใช่ไหมครับ มาแล้วเหรอโยมดำ ภิกษุหนุ่มร้องทักด้วยความดีใจ โธ่หลวงเพื่อน เรียกชื่อโยมเพื่อนชื่อจริงดีกว่าไหม มันเท่ห์กว่ากันเยอะเลย ใครกันครับท่านไมค์ นายตำรวจหนุ่มอีกครั้งถามขึ้นมา ผมสารวัตรศรัณย์ มาจากหน่วยสืบส่วนคดีพิเศษกรมนิติวิทยาศาสตร์ครับ หนุ่มผิวเข้มโชว์บัตรที่คล้องไว้ที่คอ พร้อมทำท่าวันทยาหัตถ์กลับด้านแบบทะเล้น เมื่อสองนายตำรวจที่มียศน้อยกว่ารู้ว่าชายที่เพิ่งมาถึงมียศสูงกว่า จึงรีบทำท่าวันทยาหัตถ์เคารพกลับด้วยความนอบน้อม พร้อมรายงานตัวเรียงคนทันที หลังจากนั้นนายตำรวจพร้อมสารวัตรศรัณย์ทำการตรวจเช็กทุกอย่างอีกรอบเป็นเวลากว่าสามชั่วโมง โดยครั้งนี้มีทีมนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเพิ่มเติมด้วย เอาล่ะครับทุกคน ขอเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทางนี้หน่อยครับ สารวัตรศรัณย์ป่าวประกาศ คุณสารวัตร นี่มันสิบโมงกว่าแล้วนะ ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น คุณเอายายแก่เข้าคุกซะที ผมจะได้นำศพลูกสาวมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผมทนไม่ได้ที่ต้องมาเห็นลูกสาวอยู่ในสภาพแบบนี้ ศุภจิตพูดไปร้องไห้ไปเพราะยังทำใจไม่ได้ ใจเย็นๆครับคุณพ่อ ผมขอสรุปความก่อนดังนี้นะครับ จากที่ผมตรวจสอบเบื้องต้นอีกครั้ง พบสิ่งที่น่าสงสัยอยู่หลายเรื่อง อย่างที่หนึ่ง ตามคำให้การของคุณยายจรูญ คุณยายบอกว่าทำการสะกดจิตแสกนกรรมอะไรเนี้ย จะใช้ตะเกียงเรียกวิญญาณ ผมพบว่า ในตะเกียงไม่ได้มีกำยานอย่างที่คุณยายเล่า แต่กลับเจอสารเสพติดบรรจุกรวย ตรวจดูเบื้องต้นจากสารเคมีเมื่อสักครู่ พบว่าในกลุ่มยาเสพติดประเภทสร้างอาการประสาทหลอน หากสูดดมในปริมาณมาก อาจทำให้หัวใจวายเฉียบพลันได้ ไม่จริง กำยานทุกห่อฉันทำมากับมือ จะเป็นยาเสพติดได้ยังไง ไม่งั้นฉันก็โดนต.ม.จับแล้วสิ ยายจรูญเถียงเสียงดัง นั่นน่ะสิครับคุณยาย ผมเลยต้องขอเชิญคุณยายไปให้ปากคำที่โรงพักเพิ่มนะครับ แค่สอบสวนแบบส่วนตัวแบบสองต่อสอง คุณยายและผม และเข้าใจด้วยว่า ผมไม่ได้จับคุณยายเข้าคุกนะครับ สารวัตรหนุ่มยิ้มหวานและกุมมือยายจรูญเพื่อให้ความเชื่อมั่น ถ้าคุณสารวัตรยืนยันว่าจะไม่จับฉันเข้าคุก ฉันก็จะไป แต่ต้องสัญญานะว่าสอบสวนเสร็จแล้วต้องปล่อยตัวฉัน ครับผมให้สัญญา สารวัตรทำท่าวันทยาหัตถ์พร้อมขยิบตาให้ เมื่อเห็นว่าหญิงชราใจเย็นลง จึงส่งสัญญาณบอกให้นายตำรวจพาตัวไป แล้วอาตมายังต้องไปสอบสวนด้วยไหม ไปสิครับหลวงเพื่อน เดี๋ยวนิมนต์ไปรอที่รถเลยนะครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปส่งล่ะกัน คงไม่รู้ว่ารถคันไหน เอาล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่มารับฟังนะครับ อ่อ! เดี๋ยวขอเชิญลุงโชคไปให้ปากคำเพิ่มที่โรงพักด้วยนะครับ เดี๋ยวให้จ่าพาไปนะ ส่วนหลวงเพื่อนเชิญทางนี้ครับ สารวัตรหนุ่มพาท่านไมค์มารถปิ๊กอัพสีดำที่จอดไว้อยู่ลานวัดข้างเจดีย์ พอมาถึงก็ก้มโค้งเปิดประตูให้อย่างนอบน้อบ พร้อมยิ้มให้กำลังใจ ไม่ต้องกังวลนะครับหลวงเพื่อน เดี๋ยวเปิดแอร์เย็นๆให้รอในรถ เดี๋ยวโยมเพื่อนจะไปสั่งงานทีมเพิ่มอีกนิดหน่อยนะ โยมดำ อาตมานึกขึ้นมาได้อย่างนึง ว่ายังไงครับ ตอนตีห้าที่อาตมามาพบศพน่ะ ยายจรูญแกก็อยู่ในสภาพที่สลบเหมือนกันนะ พออาตมาไปสำรวจรอบๆ จำได้ว่ากล้องอัดวิดีโอที่ยายแกอัดไว้ มันส่งเสียงติ๊ดสองครั้งเพื่อเตือนว่าแบตเตอรี่หมด พออาตมาไปดูเพื่อกดปุ่มปิด ก็ดันไปเผลอกดพลาดโดนปุ่มรีเพลย์ ก็เห็นภาพก่อนหน้านี้นิดเดียว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะรีบไปโทรแจ้งรถพยาบาลและตำรวจ หลวงเพื่อนกำลังจะบอกว่า เทปที่อัดไว้มันมีอยู่จริงตามคำให้การของยายจรูญใช่ไหม แสดงว่ามีใครจงใจเอาเทปเปล่ามาใส่ล่ะสิ ชักสนุกแล้วสิงานนี้ งั้นเดี๋ยวโยมเพื่อนมานะครับ สารวัตรหนุ่มปิดประตูโดยเร็วและวิ่งไปที่เกิดเหตุทันที ส่วนภิกษุฝรั่งยังคงนั่งก้มหน้าด้วยความทุกข์ใจกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นท่ามกลางงานศพคุณย่าสังวน เฮ้อ...ไปสู่ที่ชอบที่ชอบนะโยมแก้ว ภิกษุฝรั่งถอนหายใจและเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเหมือนเงาคนดำๆแวบเข้ามาในกระจกมองหลังของรถ แต่เมื่อมองอีกทีก็ไม่เห็นอะไร เลยพนมมือกล่าวบางอย่างในใจ หากสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่เป็นโยมแก้ว อาตมาขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทั้งหมดขอให้โยมไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้มีห่วงมีกังวลอีกเลย สัพเพ . ในขณะที่ภิกษุหนุ่มเริ่มแผ่เมตตา ดวงจิตของแก้วที่อยู่ท้ายกระบะรถก็เคาะกระจกเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียง เธอไม่ได้เห็นท่านไมค์หรือได้ยินเสียงอะไรเลย เธอเห็นเพียงแสงสว่างสีเหลืองทองของสร้อยล็อคเก็ตขุนขจรที่อยู่ในย่ามท่านไมค์ มันส่องแสงประกายออกมาเพื่อนำทางหลังจากที่หลงมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ แก้วเลยได้แต่ตามแสงจากสร้อยไปทุกที โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังตามติดภิกษุฝรั่งอยู่ตลอดเวลา +++++++++จบบทที่๗+++++++ โดย: ม้าสามศอก วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:7:43:41 น.
|
ม้าสามศอก
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
Group Blog All Blog Friends Blog |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
หญิงสาวมองตามการแกว่งของสร้อยล็อคเก็ตอย่างตั้งใจ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงฝนฟ้าคะนองที่เทกระหน่ำค่อยๆหายไป...หายไป...จนมีแค่เสียงความเงียบสงัด กำยานกลิ่นการเวกลอยคลุ้งฟุ้งเข้ามากระทบเบาๆที่ปลายจมูก ร่างกายสัมผัสได้ถึงความยะเยือกจากไอฝนที่เริ่มหนาวเหน็บจับใจเหมือนกำลังจมอยู่ใต้ทะเลน้ำแข็ง ทันใดนั้นเทียนที่ถือไว้ก็สว่างขึ้นมา เปลวไฟที่ลุกโชนทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกอย่างในตอนนี้หยุดอยู่นิ่ง ยกเว้นสร้อยล็อคเก็ตที่ยังแกว่งอยู่ไปมาในระดับที่ช้ากว่าวินาที จากเดิมที่แกว่งจากซ้ายไปขวา มันก็เปลี่ยนทิศทางเป็นจากขวาไปซ้าย และไม่นานนักม่านตาก็ค่อยๆปรือและปิดลงไปอย่างไม่รู้ตัว
แก้ว
เสียงกระซิบเบาๆของผู้หญิงแว่วเข้ามาจากด้านหลัง มันไม่ใช่เสียงของยายจรูญ
แก้ว
เสียงเย็นๆของผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นที่แน่ใจว่าเป็นเสียงคนเดียวกันกับคนที่บอกให้เธอเปิดโลงศพในโรงทึม
หญิงสาวตัดสินใจค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าและรอบด้านคือความว่างเปล่า ไม่มียายจรูญนั่งอยู่ มีเพียงแสงเทียนในมือที่ถืออยู่ ที่กำลังสั่นไสวพริ้วไปมาตามลมหายใจเข้าออกของเธอ
แก้ว
เสียงปริศนาดังแผ่วมาทางด้านหลังอีกครั้ง มันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แต่มันแว่วมาจากไกลๆที่ไหนสักที่ หญิงสาวรีบยืนขึ้นและส่องไฟหา เมื่อส่องออกไปก็ไม่เจออะไรนอกจากหมอกควันสีเทาในความมืด เสียงเรียกชื่อยังคงดังเรื่อยๆ เธอเลยตัดสินใจเดินออกไปตามหาเสียงนั้น และเมื่อหันหลังกลับมาดูจากที่ที่มา ก็พบร่างตัวเองกำลังนั่งอยู่ภายในวงล้อมสายสิญจน์ โดยมียายจรูญนั่งอยู่ด้านหน้า เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง
พอแก้วจะเดินกลับไปที่เก่า ก็มีหมอกขาวประหลาดมาขวางไว้จนทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย เธอเลยหันกลับไปเพื่อตามหาผู้ที่เรียกชื่อ พอยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งไกลเพราะไม่เห็นปลายทางออก มีแต่เสียงของหญิงสาวปริศนาที่นำทางเท่านั้น
มานี่สิ เสียงหญิงสาวปริศนาดังมาจากด้านหน้าเหมือนห่างกันไม่กี่ก้าว
คุณเป็นใครคะ และจะให้ไปหาทำไม หญิงสาวตะโกนถามไปในความมืด
เดินมาอีกนิดสิ
หญิงสาวเดินไปอีกสามก้าว ก็เหมือนไปเจอกับอะไรบางอย่าง เลยใช้แสงเทียนส่องดู สิ่งที่พบก็คือ โลงไม้ไร้ฝาที่เจอที่โรงทึมเมื่อตอนหัวค่ำ ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้ถูกคลุมด้วยผ้าอีกแล้ว
ฮือฮือฮือ เสียงสะอื้นดังมาจากโลงศพ
ดูในโลงสิ เสียงหญิงสาวปริศนาดังขึ้นมาจากด้านท้ายของโลงศพ
คุณเป็นใคร แล้วทำไมฉันต้องดูในโลงด้วย
ดูสิ เสียงปริศนายังไม่คงตอบอะไร ได้แต่ออกคำสั่งให้ดูในโลงศพ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและทนการร้องขอไม่ไหว ประกอบกับเสียงร้องไห้สะอื้นที่คร่ำครวญไม่หยุด เธอเลยค่อยๆชะโงกหน้าดูที่ด้านหัวของโลงศพ โดยใช้แสงเทียนส่องดูว่าในโลงว่าข้างในมีอะไรกันแน่ สิ่งที่เห็นก็คือ ศพที่ยังอยู่ในสภาพที่ยังปกติแต่ดูซีด หน้าบวมช้ำเล็กน้อยโดยเฉพาะบริเวณหัว รอบคอถูกพันด้วยสายสิญจน์แน่น ตาทั้งสองถูกป้ายด้วยอะไรบางอย่างสีดำมีน้ำตาสีแดงไหลออกมาไม่หยุด แต่ที่บริเวณปากมีแผ่นยันต์และตะปูหัวใหญ่ตอกอยู่ ถึงแม้หน้าของศพจะโผล่มาแค่นิดเดียวจากผ้าห่อ คนที่ใกล้ชิดมาตั้งแต่เด็กอย่างแก้วก็จำได้ดีว่านี่คือศพย่าสังวน
คุณย่า! หญิงสาวร้องตะโกนเสียงหลงด้วยความตกใจ
ฮือฮือฮือ ศพคุณย่าสังวนได้แต่ร้องไห้สะอื้นครางออกมาอย่างน่าสงสาร
ทำไมคุณย่ามาอยู่ในโลงนี้ล่ะคะ นี่มันอะไรกันเนี่ย
หญิงสาวพยายามแก้ห่อผ้าออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
หล่อนทำอะไรไม่ได้ดอก นังสังวนมันถูกตรึงไว้ด้วยคาถาอาคม หล่อนเป็นแค่ดวงจิต ทำได้แค่ดู เสียงหญิงสาวปริศนาพูดออกมาจากมุมมืด
ใครทำย่าแก้ว ทำไมต้องทำด้วย หญิงสาวพูดไปร้องไห้ไปด้วยความสงสารย่าที่นอนอยู่ในสภาพที่ทรมาน ดิ้นไปดิ้นมารอการปลดปล่อย
ฉันไม่รู้ดอก ฉันก็รู้เท่าที่ฉันควรจะรู้
แล้วคุณเป็นใคร หญิงสาวตะโกนถามไปในมุมมืดท้ายโลงศพ
อยู่ที่แห่งนี้ฉันเป็นได้แค่เงา ตามฉันมาในที่ของฉันสิ แล้วหล่อนจะรู้ว่าฉันเป็นใคร
ฉันยังตามคุณไปไม่ได้ ฉันต้องกลับร่างแล้วมาช่วยย่าฉัน
ช่วยไม่ได้ดอก มันเอาศพนังสังวนไปซ่อนเสียแล้ว ที่หล่อนเห็นตอนนี้ มันเป็นภาพที่ฉันเห็นมา
ทันใดนั้นโลงศพก็จางหายไปพร้อมกับควันสีเทา เหลือไว้เพียงความมืดที่ว่างเปล่าเช่นเคย หญิงสาวพยายามส่องไฟหาก็ไม่พบอะไร โลงศพหายไปไหนแล้ว! ย่าฉันหายไปไหนแล้ว!
มันเป็นภาพจากฉัน หาใช่ความจริงตอนนี้ไม่ ฉันแค่อยากให้หล่อนได้ดูได้เห็น เพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วศพย่าฉันซ่อนไว้ที่ไหน และใครเอาไปซ่อน
ฉันไม่รู้ ฉันรู้เท่านี้ แต่คงเป็นคนเดียวกันที่มาขโมยของที่เหย้าบาหยันเมื่อคราก่อน
เหย้าบาหยัน! คุณรู้จักเหย้าบาหยันด้วยเหรอคะ
ตามฉันมาสิ แล้วหล่อนจะได้รู้ว่าฉันเป็นใคร ตามมาสิแม่แก้ว
เสียงหญิงสาวปริศนาค่อยๆลอยหายจมไปในความมืด
คุณ! อย่าเพิ่งไปสิ! คุณ! คุณกลับมาก่อน!
เสียงเงียบหายไป แต่ปรากฏแสงสีเหลืองเรืองๆอยู่ในที่ไกลลิบ แก้วเลยรีบเดินไปที่ปลายแสงนั้น เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ความสว่างจ้าของแสงก็สาดเข้ามาที่ตาจนต้องเอามือมาป้อง และเมื่อลืมตาดูอีกที ก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าเรือนไม้ปั้นหยายุโรปสีิเปลือกไข่อ่อน หลังคาชนกันทุกด้านแบบปิระมิดมุงด้วยกระเบื้องสีเขียว ตั้งตระหง่านสวยแปลกตาอยู่ที่ริมคลองเล็กๆสักที่เหมือนเคยเห็นมาก่อน
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่เสมือนหรือเลือนลาง แต่มันแจ่มชัดเหมือนของจริงทุกประการ เมื่อเริ่มเดินสำรวจรอบๆตัวเรือน ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยและคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก พอเดินมาใกล้บริเวณท่าน้ำ กลิ่นการเวกก็ลอยตามลมพัดมากระทบที่จมูก กลิ่นของมันหอมรัญจวนทำให้เคลิบเคลิ้มจนอดใจไม่ได้ที่จะตามกลิ่นนั้นไป เดินไปได้สักระยะ ก็ไปเจอกับศาลาไม้ริมน้ำที่มีกอการเวกคลุมครอบซ้อนหลังคาเป็นแพใหญ่ให้ร่มเงาเพิ่ม
หอมจังเลย หอมมาก หญิงสาวหลับตาพริ้ม นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ เอนตัวเอียงสบายพิงลำต้นการเวกที่ผูกมัดกับเสาศาลา โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดสิ้น
อยู่นี่เองรึ
เสียงเด็กทักมาจากด้านหน้าจนทำให้แก้วตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นดูก็พบกับเด็กผู้หญิงอายุราวหกขวบ ตาโตคม ปากเล็กกระจิดริด แก้มแดงใส ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู
ฉันบอกให้ตามมา ทำไมไม่ตามมาเล่า เด็กหญิงถาม
แก้วตกใจตั้งตัวไม่ทัน ที่จู่ๆมีเด็กที่ไหนไม่รู้มาคุยด้วย ก็เลยได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบอะไร เอ่อ..
ฉันไม่ได้หนีเสียหน่อย แค่มาเก็บดอกการเวกตรงนี้ไปอบน้ำฝน เสียงเด็กหญิงอีกคนดังมาจากด้่านหลังเสาที่แก้วพิงอยู่ เจ้าของเสียงเล็กแหลมนั้นโผล่หน้ามา พร้อมวางกระจาดดอกการเวกไว้ที่ม้านั่ง ฉันว่าจะอาบน้ำฝนอบกลิ่นการเวกเสียหน่อย มันชื่นใจดีแท้
หญิงสาวรีบลุกยืนขึ้นมองเด็กหญิงสองคนสทนากัน ซึ่งดูเหมือนเด็กทั้งสองจะไม่เห็นเธอเลย สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ เด็กทั้งสองคนเป็นฝาแฝด ทั้งดวงตา คิ้ว ปาก จมูก รูปร่างเหมือนกันทุกอย่าง ผิดกันแค่ผิวพรรณ ที่เด็กคนแรกขาวกว่าเท่านั้น และเด็กคนที่สองผมหยักโศกกว่า
ฉันแค่จะมาชวนให้ไปดูโต๊ะคันฉ่องจากเมืองฝรั่ง มีตั่งให้นั่งด้วยนะ ไม่ต้องมานั่งพับเพียบแต่งหน้าแต่งตาให้เปลี้ยขาเหมือนคันฉ่องไทย เด็กคนแรกเล่าด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ฉันชอบคันฉ่องไทยมากกว่า นั่งพอดีตัว ไม่เห็นจะเปลี้ยขาเลยสักนิด เด็กคนที่สองพูดไปพลางเลือกดอกการเวกสวยๆแยกไว้อีกมุมของกระจาด
เฮ้อ หล่อนนี่หาได้วิไลไม่ นี่ไม่รู้หรอกหรือว่าขนาดเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านยังทรงสร้างบ้านสร้างเมือง ซื้อเตียงตั่งที่นั่งนอนแบบเมืองฝรั่งเชียวหนา เพื่อจะให้เมืองดูวิไลเทียมฝรั่งเขา ดูเรือนปั้นหยานี่ก็แล้วกัน ยังสร้างแบบทรงอีหรอบเลย
ฉันไม่รู้เรื่องนอกบ้านนอกชานดอกจ้ะ รู้แต่เรื่องในเรือนเท่านั้น เรือนปั้นหยานี่ก็งามวิไลดีดอก แต่หาได้มีใต้ถุนสูงไว้ให้ฉันได้เลี้ยงไก่หมาแมวไม่
หล่อนนี่ช่างบุราณนิยมเสียจริง เฮ้อ คุยกันหล่อนคราใดเป็นหน่ายทุกที งั้นเรามาเล่นทายคำกันเถิด ลองทายดูซิว่าฉันหมายถึงอะไร หากหล่อนทายถูก ฉันจะยกคันฉ่องฝรั่งให้
ลองทายดูสนุกเถิด ไม่จำเป็นต้องยกคันฉ่องให้ฉันดอก
ลองทายให้ถูกก่อนเถิด อันนี้คืออันใดหนอ เรือนปั้นหยาทาสีเขียว เด็กคนเดียวนอนมุ้งขาว ลองทายดูซี ว่ามันคือสิ่งใดเล่า
เด็กหญิงคนที่สองมองไปที่หลังคาเรือนปั้นหยาที่ไม่มีจั่ว ใช้เวลาคิดดูสักครู่ใหญ่ ก็ยิ้มออกเพราะรู้คำตอบ น้อยหน่าใช่รึไม่ รึว่าไม่ใช่
ก็ใช่นะซี ทำไม่จะไม่ใช่ หล่อนรู้ได้เยี่ยงไรรึ
เกล็ดน้อยหน่ามันเหมือนกระเบื้องมุงหลังคา ส่วนทาสีเขียวคือผลไม้สีเขียว เด็กคนเดียวคือเมล็ด นอนมุ้งขาวคือเนื้อน้อยหน่าสีขาวที่ข้างในหุ้มเมล็ดอยู่ทุกเม็ด ฮ่าๆ ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เด็กที่ไหนก็เล่นแต่คำทายนี้กันทุกครั้งที่เห็นเรือนแบบนี้
เล่นกับหล่อนไม่สนุกเสียเลย หล่อนนี่รอบรู้ทุกเรื่อง สมแล้วที่จะเข้าเรียนโรงเรียนแหม่ม
ฉันก็อิจฉาพี่อยู่หนาพี่หยง ที่จะได้ออกเดินทางไปดินแดนไกลโพ้นถึงอเมริกาโน้นแน่ะ
อิจฉาฉันแล้วใช่หรือไม่ ถ้าหล่อนอยากไปด้วย ฉันจะไปขอเจ้าสัวให้เอาไหม
ไม่ต้องดอกพี่หยง ฉันอยากอยู่รับใช้คุณพ่อที่นี่เสียดีกว่า ฉันไม่อยากจากไปไหนไกลท่านนัก เด็กหญิงคนที่สองยืนมองไปที่เรือนปั้นหยา ที่มีหลวงเจริญจิตโอสถกำลังยืนคุยอยู่กับเจ้าสัวเอี่ยมที่เชิงบันได พอหันกลับมานั่ง กระจาดดอกการเวกก็หายไป
อยากได้ก็ตามมาเอาซี ฮ่าๆๆ เด็กคนแรกชูกระจาดเทินเหนือหัว ส่ายสะโพกไปมา แลบลิ้นปลิ้นตาหยอกล้อเด็กคนที่สองเหมือนลิงหลอกเจ้า
พี่หยงยิหวา เอากระจาดคืนน้องมาเดี๋ยวนี้นะ! เด็กคนที่สองตะโกนเรียกและวิ่งตามเด็กคนแรกหายไปที่หลังเรือนปั้นหยา เหลือเพียงแก้วที่ยังยืนอื้งกับเหตุการ์ณที่อยู่ข้่างหน้า เธอกำลังคิดว่าเด็กสองคนนี้คือใครกันแน่ เมื่อคิดทบทวนดูถี่ถ้วนกับบทสนทนาของเด็กทั้งสอง เด็กหญิงคนแรกก็คือหยงยิหวา ส่วนเด็กหญิงคนที่สองก็คือบาหยัน
ทันใดนั้นเรือนปั้นหยาก็เลื่อนถอยหลังออกไปช้าๆ ภาพรอบด้านเริ่มเลือนลางลงเมื่อมีหมอกจางๆสีขาวเข้ามาแทรก กลิ่นการเวกใต้ศาลาก็เริ่มหายไปเช่นกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังเข้ามา
ติ้ง .ติ้ง .ติ้ง .ติ้ง .
และในจังหวะเดียวกันก็มีเสียงผู้หญิงปริศนาเอื้อนเอ่ยทำนองเพลงไทยเดิมประสานเข้ามาด้วย
น่อย น้อย หนอย น่อย น่อย นอย
เสียงระฆังดังมาจากด้านหลัง แต่เสียงเอื้อนทำนองเพลงไทยเดิมดังมาจากด้านหน้าที่เป็นเรือนปั้นหยา หญิงสาวรู้ดีว่าถ้าได้ยินเสียงเคาะระฆังจากยายจรูญ มันหมายถึงให้รีบกลับ แต่ในเมื่อเสียงเอื้อนทำนองไทยเดิมที่เป็นปริศนามาแสนนานอยู่แค่ตรงหน้า ถ้าไม่ตามไปดู ก็จะไม่รู้สักทีว่าใครเป็นคนร้อง เพราะมันเป็นเสียงเดียวกับผู้หญิงในเงามืดที่บอกเรื่องศพย่าในโลง
แก้วตัดสินใจเดินเข้าไปในเรือนปั้นหยาก่อนที่ความมืดจะกลืนไป มีเพียงเสียงเคาะระฆังถี่ติดกันดังขึ้นมาเรื่อยๆ แต่พอเหยียบไปที่บันไดเรือนแล้ว เสียงระฆังก็เงียบหายไป จนไม่ได้ยินอะไรอีกเลย นอกจากเสียงเอื้อนทำนองเพลงไทยเดิมอันเย็นยะเยือกของผู้หญิงคนเดิม
น่อย น้อย หนอย น่อย น่อย นอย
ภายในเรือนปั้นหยาถูกจัดห้องเป็นสัดส่วนสวยงามน่ารัก ตกแต่งและประดับด้วยตู้ไม้ชั้นดีจากยุโรป เมื่อเดินไปถึงห้องสุดท้ายขวาสุดของเรือน ก็ได้ยินเสียงเอื้อนชัดขึ้นกว่าเดิม ประตูห้องสุดท้ายแย้มออกช้าๆเหมือนรอต้อนรับ หญิงสาวค่อยๆเดินเข้าไป ก็พบกับหญิงสาวผมสั้นทรงกระทุ่มกลายกำลังเอาดอกการเวกมาแซมหูที่หน้าโต๊ะคันฉ่อง
หญิงสาวปริศนาหยุดเอื้อนทำนองเพลงไทยเดิมเมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามา และค่อยๆหันตัวและหน้ามาหาช้าๆ ทำให้เห็นใบหน้าเล็กเรียวสวยเป็นรูปไข่ วงคิ้วเข้มสวยเป็นโค้งรับกับดวงตาคมกลมหวานหยดย้อยเหมือนตานันย์ตาแขก จมูกจรดปากดูกระจิดริดน่ารักจิ้มลิ้ม โหนกแก้มเป็นโนนเหมือนกลีบดอกบัว ชุดที่ใส่เป็นชุดไทยสไบเฉียงทับกับเสื้อแขนยาวทรงแหม่มฝรั่ง รูปร่างหน้าตาแบบนี้แก้วเคยเห็นเป็นรูปภาพใหญ่แขวนที่เหย้าบาหยัน คนคนนี้ก็คือ เทียดบาหยัน
ยังไม่ทันทีื่แก้วจะเป็นคนทัก ก็ถูกอีกฝ่ายทักสวนมาก่อน มาแล้วรึแม่แก้วบาหยัน
ว่าไงนะคะ! หญิงสาวถามซ้ำอีกทีด้วยความงง
มาหาพี่หยงยิหวาใกล้ๆสิแม่แก้วบาหยัน
แก้วเดินไปที่โต๊ะคันฉ่องด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเรียกเธอ แล้วก็นั่งบนปลายเตียงเพราะไม่มีตั่งหรือเก้าอีเหลือให้นั่งในบริเวณนั้น
เมื่อกี้เรียกหนูว่าแก้วบาหยันเหรอคะ?
ลองส่องกระจกดูสิ
หญิงสาวชะเง้อหน้าเข้ามาในกระจกตามที่อีกฝ่ายหนึ่งบอก เงาในกระจกที่เห็นทำให้แก้วตกใจ เพราะหน้าตาเหมือนกับอีกฝ่ายราวกับพิมพ์เดียวกัน ทั้งตาคิ้วปาก ผิดกันตรงที่ผิวของแก้วจะคล้ำกว่านิดหน่อย และมีผมหยิกหยักโศกมากกว่าที่ปลายโคนเท่านั้น เมื่อหันกลับมาดูมือตัวเอง ก็ยังคงเป็นแก้วคนเดิมที่มีผิวขาวเหลือง และผมก็ยังไว้ยาวผูกเป็นมวยอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อมองกลับไปในกระจกก็กลับเป็นอีกคน ที่อีกฝ่ายเรียกว่าแก้วบาหยัน
หนูชื่อกิ่งแก้วกาหลง หนูไม่ใช่แก้วบาหยันค่ะ แก้วบาหยันเป็นใครคะ
หล่อนเพิ่งได้สร้อยบาหยันมาไม่ใช่รึ
มันเป็นของคุณเทียดบาหยัน ไม่ใช่ของคนชื่อแก้วบาหยัน
จะบาหยัน หรือว่าแก้วบาหยัน ก็คือคนคนเดียวกัน หาใช่ฉันหรือคนอื่นไม่
คุณกำลังจะบอกหนูว่า หนูคือบาหยัน หรือว่าแก้วบาหยันน่ะเหรอคะ แล้วทำไมไม่มีใครรู้จักชื่อนี้มาก่อนล่ะคะ
แก้วบาหยันเป็นชื่อที่ไม่กี่คนรู้และเรียกเท่านั้น ส่วนใหญ่หลวงเจริญจิตโอสถและคนนอกก็จะเรียกบาหยัน ชื่อแก้วบาหยันตั้งโดยแม่แก้วการะเกด ผู้เป็นน้องสาวคนละแม่ของคุณหลวง
แล้วทำไมคุณแก้วการะเกด ถึงต้องใส่ชื่อเพิ่มข้างหน้าให้บาหยันด้วยล่ะคะ
ฉันรู้แต่ว่า แม่แก้วการะเกด หล่อนอยากมีน้องสาว แลอยากให้ชื่อเสมอฉัน ก็เลยตั้งชื่อให้คล้องด้วยเธอ แต่ฉันจะมักเรียกเธอสั้นๆว่าแก้วเท่านั้น
ถ้าแก้วคือบาหยัน งั้นคุณก็คือ...คุณหยงยิหวา
ฉันเนี่ยแหละ หยงยิหวา หญิงสาวแฝดผู้พี่ยิ้มที่มุมปาก
เมื่อแก้วรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เธอก็รีบลุกขึ้นและถอยหลังกลับไปที่ประตู และเริ่มรู้สึกกลัวเพราะปักใจฝังเชื่อไปแล้วว่า หยงยิหวาคือคนผลักย่าสังวนตกบันได
กลัวฉันรึ
คุณฆ่าคุณย่าทำไม
ฉันไม่ได้ทำ
ไม่จริง!
ฉันบอกแล้วไงเล่าว่าฉันไม่ได้ทำ ที่ที่ฉันอยู่ก็มีแค่ที่นี่ แลที่ที่หล่อนอยู่ ฉันจะทำนังสังวนได้อย่างไรเล่า
คุณอยู่กับฉันทุกที่ด้วยเหรอคะ
ตั้งแต่หล่อนได้สร้อยบาหยันไป ก็ทุกที่ ทุกเวลา แต่ปรากฏตัวมิได้
ฉันไม่เชื่อ อย่างน้อยคุณก็ต้องปรากฏตัวพร้อมคุณขจรหรือผีตัวอื่นสิ
เพราะกรรมมันบังฉันไว้ในความมืด นี่คงจวนเวลาชำระใช้ ฉันถึงต้องมาช่วยแม่แก้วไงเล่า
ช่วยฉัน!?
ถ้าฉันมาร้าย ฉันจะมาบอกให้แม่แก้วไปรู้เห็นเรื่องศพนังสังวนทำไมเล่า
ติ้งติ้งติ้งติ้งติ้ง เสียงระฆังเคาะถี่ดังแว่วมา
แม่แก้ว! ฉันว่าหล่อนอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว หล่อนรีบกลับเข้าร่างเถิดแม่แก้ว เดี๋ยวจะไม่ทันกาล รีบออกจากเรือนนี้ไปเสีย
แต่ว่าฉันยังไม่เข้าใจเลยนะคะ ว่าทั้งหมดนี้มันคืออะไร
ไปเถิดแม่แก้ว ไปเสียก่อน แล้วเราจะได้พบกันอีก หยงยิหวาจูงมือแก้วออกนอกเรือนปั้นหยา และตะโกนบอกให้รีบออกไป ไปเสียให้ไว อย่าได้้ช้า ฉันช่วยหล่อนได้เท่านี้ ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้แล้ว
แล้วแก้วจะไปทางไหนล่ะคะคุณหยงยิหวา
ตามกลิ่นที่หล่อนคุ้นเคย แลใช้แสงเทียนส่องทางกลับไปสู่ร่าง
แก้วหลับตาและตั้งจิตสมาธิหากลิ่นกำยานการเวก แต่ไม่มีกลิ่นอะไรเลย เธอเลยลืมตาและหันไปถามหยงยิหวาอีกครั้ง ตอนนี้ก็ไม่มีเรือนปั้นหยาหรือหยงยิหวายืนอยู่อีกแล้ว มีเพียงหมอกควันสีเทาและเงาดำนับร้อยกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมมีเสียงร้องโหยหวนดังระงมเข้ามาจนฟังไม่รู้เรื่อง
ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนหลงทาง แสงเทียนไขที่มีอยู่ก็ใกล้ริบหรี่ลงๆทุกที แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาจับใจอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีลมหายใจปริศนามาเป่าเทียนไขให้ดับ แก้วกรีดร้องด้วยความตกใจ ทั้งกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปอย่างไม่หยุดเหมือนคนตาบอดที่วิ่งชนเข้าหาความว่างเปล่า ในตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงหรือกลิ่นอะไรอีกเลย มีเพียงความเงียบงันและความมืดมนอยู่รอบตัวเท่านั้น
++++++++++