The World is a book
|
||||
เหย้าบาหยัน : บทที่ ๑๐ : เสียกบาล บทที่ ๑๐ เสียกบาล แพร่งตรงกลางที่เลือกเดินมานั้นดูรกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีเพียงกิ่งก้านที่แตกระแหงแห้งทับซ้อนไขว้ไปมาปกคลุมเป็นเงามืด สร้างความสลัวลงมาสู่เบื้องล่างตลอดระยะทาง ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยได้ว่า ปลายทางข้างหน้านั้นจะมีโบสถ์อย่างทีบ่าวหญิงบอกหรือไม่ แต่แก้วบาหยันก็เชื่อมั่นว่ามันจะต้องปลอดภัยมากกว่าตอนอยู่ที่ท่าน้ำโพธิ์สามแพร่งแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็มีอำแดงดวงคอยคุ้มภัย แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก เสียงคนเดินบนใบไม้แห้งด้วยความเร็วดังมาจากด้านหลัง แต่พอหันกลับไปดู เสียงนั้นก็เงียบไป ไร้ซึ่งเงาของผู้ใด จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสียงนั้นคือคนหรือตัวอะไร แต่มันตามหลังมาได้สักระยะแล้ว ซึ่งมันต้องไม่ได้มาดีแน่นอน เพราะถ้ามาดี ก็คงปรากฏตัวไปนานแล้ว หญิงสาวจึงไม่รอช้า ก็เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้บ่าวหญิงเดินทิ้งระยะห่างจากตัวเธอไปไกลมากแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้ ก็อาจจะพลัดหลงกันได้ แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก ฝีเท้าปริศนายังคงไล่ตามแก้วบาหยันมาเรื่อยๆในทุกจังหวะที่เธอเดินหนี แต่เมื่อหยุดหันหลังไปดู เสียงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจถอดรองเท้า เพื่อให้วิ่งให้ถนัดขึ้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้น เมื่อถอดรองเท้าเสร็จและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ไม่เห็นอำแดงดวงอยู่ที่ด้านหน้าอีกแล้ว มิหนำซ้ำ เส้นทางบนพื้นก็หายไป เหมือนกับว่ามีคนมากลบดินและลบทางไม่ให้ใครสามารถเดินต่อไปได้ ในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้กอหญ้าหรืออะไรเลยที่จะถางเป็นทางบอกใบ้ได้เลยว่าควรจะเดินไปไหนต่อ แกรก...แกรก .แกรก...แกรก ....แกรก ....แกรก . เสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่คราวนี้มันมาในจังหวะที่ช้าลง ช้าลง จนเสียงเงียบหายไปอย่างสงัด เสมือนกับเสือที่กำลังซุ่มเตรียมขยุ้มเหยื่อในอีกไม่ช้า หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ กำรองเท้าไว้แน่นเพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่มีอยู่ เธอตัดสินใจเผชิญหน้าสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งจริงๆแล้วแค่วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หรือตะโกนเรียกบ่าวหญิงให้ช่วยเหลือก็ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะหยุดสู้กับมัน และรอดูว่าสิ่งที่ตามหลังมานั้นคืออะไรกันแน่ เพราะตอนนี้ความกล้าเท่านั้นที่จะชนะความกลัว วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า สู้เอาแรงทั้งหมดมาปะทะให้หมดเรื่องเสียดีกว่า ทันใดนั้น เสียงปริศนานั้นก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้มาจากทางเดิม แต่มันวิ่งมาจากรอบทิศด้วยความเร็วสูงนับสิบราวกับกองทัพ แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก ยังไม่ทันที่จะจ้องดูให้แน่ชัด ศัตรูในเงามืดก็มาประชิดที่ด้านหลัง มันใช้ความกำยำของร่างกายบังคับเธอไม่ให้ดิ้น และบีบข้อมือให้ปล่อยรองเท้า เมื่อเห็นว่าเริ่มอ่อนแรง มันก็ใช้กระสอบครอบหัวเธอไว้ไม่ให้มองเห็น แล้วฉุดกระชากลากพาออกไปจากบริเวณนั้นทันที ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน! ดวง! ดวงอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย! หญิงสาวร้องตะโกนทั้งๆที่มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้ได้ยินแต่เพียงเสียงสนทนาของอีกฝ่ายเป็นภาษาจีนที่แปลไม่ออกว่าพูดว่าอะไร แต่ฟังดูแล้วก็พอจะคาดคะเนได้ว่ามันมากันหลายคนและเป็นผู้ชายทั้งหมด ถ้าหากต่อสู้โดยใช้กำลังก็คงจะไม่ไหว ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด เผื่อว่าใครจะได้ยิน แต่ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องให้สิ้นเสียง ก็ต้องมาจุกที่ท้องเพราะโดนต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงอย่างไม่ปรานีจากหนึ่งคนในกลุ่มนั้น หญิงสาวหมดแรงอย่างราบคาบที่จะขัดขืนฝืนสู้ จึงยอมเดินตามไปอย่างจำนน พอเดินมาได้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก หนึ่งในนั้นก็เปิดกระสอบออกจากหัวเธอ และใช้เชือกผ้ามามัดไขว้มือผูกติดไม่ให้ต่อสู้ได้ ในนาทีนี้แก้วบาหยันยังคงรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ จึงไม่อยากต่อกรใดๆไปมากกว่านี้ เลยได้แต่นั่งจดจำหน้าตาของผู้ที่กระทำเธอให้ครบถ้วน เผื่อว่ารอดออกไป ก็จะได้แจ้งหลวงหรือกระทรวงนครบาลให้มาจับพวกมันเข้าคุกในคราหลัง ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวเล็กล่ำสันราวยี่สิบกว่าคน มันกำลังสุมหัวสูบฝิ่นกินเหล้าเถื่อนในไหกันอย่างสนุกสนาน ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่ต่างจากยาจกหรือเจ๊กลากรถในสยาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือผมเปียหางยาวพันรอบคอ ส่วน ด้านหน้าศรีษะก็โล้นเตียนตั้งแต่หน้าผากไปถึงเกือบกลางหัว ทุกคนสนทนากันด้วยภาษาจีนเหมือนตั้งใจจะสื่อสารกันแค่ในกลุ่มไม่อยากให้คนนอกรับรู้ ในขณะที่แก้วบาหยันกำลังจดจำลักษณะของคนทั้งหมดอยู่นั้น ก็มีชายจีนหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาอย่างไม่น่าไว้วางใจ แล้วจู่ๆก็เรียกใครคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังพระประธานในโบสถ์ร้าง ผู้ที่ถูกเรียกค่อยๆเดินขโยกเขยกออกมา พร้อมคำนับผู้เป็นหัวหน้าอย่างนอบน้อม และสทนากันด้วยภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นภาษาชาติกำเนิด หญิงสาวเห็นผู้ที่ถูกเรียก ก็แน่ใจว่าเป็นใคร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ ดวง! ช่วยฉันด้วย! อำแดงดวงได้ยินทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา ยังคงยืนคุยอยู่กับผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจีนอย่างเป็นปกติ พร้อมยื่นสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งให้อีกฝ่าย และเดินออกจากโบสถ์ไปทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแก้วบาหยันเลยสักนิด หัวหน้าโจรโยนสร้อยไข่มุกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกระสอบที่มีของมีค่าชิ้นอื่นๆจากการปล้น พร้อมหันมายิ้มเยาะเล็กน้อยที่หญิงสาว และแกล้งหยิบกล้วยมากินยั่วต่อมความหิวของอีกฝ่าย พอกินหมดก็โยนเปลือกใส่หน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็ลงไปนั่งสังสรรค์สูบฝิ่นกับพรรคพวกคนอื่นต่ออย่างครึกครื้น สายสร้อยไข่มุกเส้นนั้นห้อยย้อยออกมาจากกระสอบที่วางอยู่ใกล้กับหญิงสาวแค่คืบ ความวาวละเลื่อมของมันงามวับจับตาทันทีเมื่อแรกเห็น พอโน้มตัวดูมันใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่า สร้อยมุกนั้นเป็นของเธอ เพราะที่คอเธอตอนนี้มันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสร้อยมุกที่ใส่มาตั้งแต่แรก และในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงก้อนกรวดหล่นมาจากขอบหน้าต่างที่แก้วบาหยันกำลังนั่งพิง ตุบ เมื่อแหงนหน้าไปดูก็พบหัวคนแค่กระหม่อมโผล่มาแวบเดียว ด้วยความตกใจไม่ได้ตั้งตัว หญิงสาวก็เลยหันหน้าหนีกลับมา และพยายามคิดว่าหัวนั้นอาจจะเป็นของคนจีนคนอื่นที่เฝ้าอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ แต่แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนใหญ่กว่าเดิมตั้งใจตกมาใส่หัวของเธอ ตุบ! หญิงสาวรีบหันไปดูทันที ก็ไม่พบใครเช่นเคย แต่ถูกดอกไม้หนึ่งดอกปาใส่เข้าหน้า และดูเหมือนว่าผู้ที่ปาคงต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ เพราะดอกไม้ที่ปามานั้นคือดอกการเวก ซึ่งบริเวณรอบโบสถ์หรือเส้นทางที่เดินผ่านมา ไม่น่าจะมีดอกไม้หอมสักต้น ถ้ามีก็คงได้กลิ่นไปแล้ว เพราะดอกการเวกให้กลิ่นหอมแรงในตอนกลางคืน พื้นที่รอบๆก็ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเลยแม้แต่ต้นเดียว ที่มีอยู่ก็แค่ต้นกล้วยกอเล็กๆที่ขึ้นข้างกำแพงโบสถ์ แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอันใด ที่จู่ๆโจรใจร้ายพวกนั้นจะไปหาดอกไม้มาปาเล่นใส่เธอ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงกระซิบถามคนที่อยู่ข้างนอกด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด ใครน่ะ? คนที่อยู่ด้านนอกยังคงไม่ปรากฏตัว แต่กระซิบตอบกลับมาว่า ฉันเอง ขจร พอแก้วบายันได้ยินชื่อขจร ก็รู็สึกดีใจอย่างมาก จนแทบอยากจะกระโดดออกจากหน้าต่างไปหา แต่ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้ เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรกระโตกกระตากไปในตอนนี้ นอกจากจะหมดโอกาสรอดแล้ว มีหวังอาจได้ตายคู่แน่นอน กลุ่มโจรก็มีจำนวนเยอะ และพร้อมด้วยอาวุธครบมือที่พร้อมจะฆ่าใครทิ้งได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวเลยแกล้งก้มหน้าไม่ให้กลุ่มโจรจับพิรุธได้ และเอนหัวไปทางขอบหน้าต่างเพื่อให้เสียงพูดส่งไปถึงอีกฝ่ายให้ชัดเจนที่สุด คุณขจร คุณพาใครมาช่วยด้วยหรือไม่ พวกมันมีกันเยอะนะ ฝ่ายชายหนุ่มนั่งยองๆหลบที่มุมด้านข้างหน้าต่าง และป้องปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ฉันมาคนเดียว ฉันแค่มาส่งสัญญาณบอกให้หล่อนสบายใจเท่านั้น คนเดียวงั้นรึ แล้วคุณตามฉันมาได้อย่างไร หญิงสาวพูดแบบปิดปากสนิท ขยับปากเล็กน้อย หล่อนอย่าเพิ่งถามมาก ประเดี๋ยวฉันช่วยหล่อนเอง พอพวกมันเมาฝิ่นเมาเหล้า ฉันก็จัดการมันได้ง่าย มิยากดอก ชายหนุ่มตอบ ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ได้ยินเสียงซุบซิบและเหลือบไปเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวที่เหมือนขยับปากพูดกับใครที่ริมหน้าต่าง ก็เลยรีบเดินตรงปรี่มาทันที โชคดีที่หญิงสาวส่งสัญญาณบอกขจรทัน ก็เลยหลบหลีกไปได้ หัวหน้าโจรมองสำรวจที่ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงตะคอกถามหญิงสาวเสียงดังเป็นภาษาสยามแบบสำเนียงจีน ลื้อคุยกับใคร! หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าโจรพูดภาษาสยามได้ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพูดได้เแต่ภาษาจีน ก็เลยตอบกลับไปทันที พูดภาษาสยามได้งั้นรึ อั๊วถามว่าลื้อพูดกับใคร! หัวหน้ากลุ่มโจรตะคอกถามอีกครั้ง และชักดาบไปจ่อที่คอหอยของหญิงสาวเหมือนจะบั่นให้ขาดออกจากบ่าในไม่ช้าถ้ายังไม่ได้คำตอบ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกกลัวที่โดนขู่ถามด้วยดาบ เธอพยายามควบคุมอารมณ์ ใช้เพียงแววตาที่ดุข่มกลับไปบ้าง และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า ฉันสวดมนต์ภาวนา มิได้พูดกับผู้ใดทั้งนั้น เมื่อหัวหน้าโจรได้ยินคำตอบก็ไม่เชื่อ เลยง้างดาบขึ้นสุดแขนเพื่อจะบั่นคอหญิงสาวผู้ทำหน้าอวดดี ส่วนขจรที่หลบไปแอบอีกด้าน ก็เตรียมหยิบดาบของตัวเองให้กระชับถนัดมือ เพื่อที่จะเตรียมบุกไปช่วยในกรณีที่หญิงสาวเกิดอันตราย ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าโบสถ์มาเห็นเหตุการ์ณเข้า เลยรีบวิ่งมาห้ามไว้ก่อน ชายผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวสยาม มีเพียงเสื้อผ้าและผมเท่านั้นที่เป็นเหมือนคนจีน ชายผู้มาใหม่ใช้ความกำยำยั้งมือของชายจีนไว้ไม่ให้ลงมือฟัน แล้วก็พยายามพูดเกลี้ยกล่อมอย่างพินอบพิเทา ท่านหัวหน้าขอรับ อย่าโมโหโทสะสิขอรับ ใจเย็นๆก่อนเถิด แม่หญิงคนนี้ดูจากรูปร่างผิวพรรณก็หาใช่ชาวบ้านร้านตลาดไม่ ถ้าเกิดหญิงผู้นี้เป็นลูกขุนน้ำขุนนาง เราฆ่าไปอาจจะเป็นเรื่องใหญ่นะขอรับ หัวหน้าโจรลดดาบลงและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำไมอั๊วจะฆ่าอีนังนี่ไม่ได้ กุดหัวมันเสร็จ ก็ค่อยๆแล่เนื้อเป็นชิ้นถ่วงน้ำให้ปลาตอดกินก็หมดเรื่อง ใครก็หารู้ได้ไม่ว่ามันหายไปไหน อย่าเลยนะขอรับท่านหัวหน้า ชายผู้มาใหม่เก็บดาบของอีกฝ่ายมา และพาไปนั่งที่หน้าพระประธานเพื่อให้สงบสติอารมณ์ พลางส่งเหล้าจีนหนึ่งไหให้ ใจเย็นๆเถิดขอรับ กระผมว่า สวยๆเยี่ยงนี้ เก็บไว้เวียนบำเรอสวาทแก่พวกเราไม่ดีกว่าหรือขอรับ ฝ่ายหัวหน้าโจรไม่ได้สนใจข้อเสนอ ได้แต่ดื่มเหล้าในไหอย่างกระหายเพราะเมาฝิ่น แต่ก็พอมีสติที่จะตอบกลับ เก็บมันไว้ทำไม ให้อีนี่ตายเป็นผี แลให้ชาวบ้านเล่าลือยังดีเสียกว่า ต่อไปใครที่ไหนก็มิกล้าเข้ามาแถวนี้ อั๊วจะได้ใช้เป็นกงสีประชุมกลุ่มอั้งยี่ได้ง่ายยิ่งขึ้นไงล่ะ แก้วบาหยันได้ยินคำว่าอั้งยี่ก็รู้สึกตกใจ จากที่กล้าผยองก็รู้สึกสยองแทน เพราะกิตติศัพท์คำร่ำลือความโหดของกลุ่มอั้งยี่ที่ได้ยินมามันน่ากลัวเหลือเกิน ซึ่งอั้งยี่นั้นได้หายไปจากสยามนานมากแล้ว การที่มารวมตัวกันอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา และคงจะก่อการใหญ่อะไรสักอย่าง ที่ผ่านมาแม้ทางหลวงจะจัดการพวกอั้งยี่มาหลายรัชสมัยแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกำราบปราบได้หมดสิ้น เลยได้แต่ใช้วิธีประนีประนอมเลี้ยงไว้ และในส่วนที่เหลืออยู่ บ้างก็เป็นอั้งยี่จริง บ้างก็เป็นอั้งยี่ปลอม แต่ดูจากกลุ่มอั้งยี่ที่ซ่องสุมกันในโบสถ์ร้างแห่งนี้ก็น่าจะเป็นของจริง จะมีผิดเพี้ยนแปลกจากคนอื่นก็คือชายผู้มาทีหลัง ชายผู้มาทีหลังเห็นอาการของหญิงสาวที่สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินคำว่าอั้งยี่ ก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าอาจไม่ปลอดภัยถ้าได้ยินข้อมูลไปมากกว่านี้ เลยหันมาเตือนหัวหน้า กระผมว่าเราพูดจีนกันไหมขอรับ ลื้อกลัวว่ามันจะรู้แผนของเรางั้นรึ หัวหน้าโจรถาม ชายผู้มาทีหลังพยักหน้าแทนการพูดตอบรับ แต่ฝ่ายหัวหน้าโจรยังคงพูดต่อ งั้นก็ฆ่าปิดปากมันเสีย! ถ้าท่านหัวหน้าจะฆ่ามันให้จงได้ อย่างนั้นให้กระผมเป็นคนทำเองเสียดีกว่าขอรับ ชายผู้มาทีหลังยื่นขอเสนอหัวหน้า และมองที่หญิงสาวอย่างมีเลศนัย หญิงสาวเห็นแววตาไม่ประสงค์ดีของอีกฝ่ายก็รู้สึกกลัว แต่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีขจรคอยช่วยอยู่ ไม่เหมือนกับอำแดงดวงที่ทรยศหักหลังกันอย่างเลือดเย็น เธอไม่คิดเลยว่า คนที่ไว้ใจกลับร้ายที่สุด แทนที่จะร่วมเป็นร่วมตายช่วยกันหาทางหนี กลับใช้เล่ห์กลหลอกล่อให้สร้อยมุกกำนัลโจร เพื่อที่จะรอดพ้นออกไปได้อย่างอิสระเพียงคนเดียวเท่านั้น +++++++++++++ มึต่อที่ช่องคอมเม้นท์ด้านล่างค่ะ รูปภาพหญิงสาวสวยถูกแขวนไว้เด่นตระหง่านตรงทางเดินกลางบ้านของเรือนไม้มะนิลา สภาพสีของรูปดูซีดเหลืองเล็กน้อยจากการที่ปล่อยให้แดดโลมเลียมาหลายครั้ง แต่ขอบของกรอบรูปที่ทำจากไม้เนื้อดียังคงแข็งแรงไม่ผุพังกรุกร่อนไปตามกาลเวลา ส่วนกระจกที่อัดเข้ากับกรอบรูปนั้นเกรอะกรังไปด้วยคราบฝุ่นหนาและหยากไย่ จึงทำให้เห็นแค่เงาสะท้อนลางๆของผู้ที่กำลังยืนดูรูปภาพนี้อย่างไม่ชัดเจน ว่าเขานั้นกำลังมีอาการหม่นหมองร้องไห้ในใจอย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวในวันวานของเขาที่เกี่ยวพันกับหญิงในรูปภาพ
รูปนี้ชักที่ร้านฟรานซิศจิตรแอนด์ซันใช่ไหมขอรับ เจ๊สัวเอี่ยมเอ่ยถามเมื่อเดินมาเห็นหลวงเจริญจิตโอสถกำลังยืนมองรูปภาพคุณแย้มผู้ซึ่งเป็นภรรยาด้วยอาการเศร้าสร้อย พลางส่งมาลัยพวงมาลัยดอกมะลิล้วนให้ หลวงเจริญจิตโอสถรับพวงมาลัยมาแขวนที่รูปภาพและหันมาตอบสั้นๆ ใช่ ท่านกลัวหรือขอรับ เจ๊สัวเอี่ยมถามต่อ เมื่อเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่าย ฉันมิได้กลัวดอกเจ๊สัวเอี่ยม หลวงเจริญจิตโอสถหันมาตอบ และเดินไปเปิดหน้าต่างที่ด้านริมคลองเพื่อให้กลิ่นของการเวกที่ศาลาริมน้ำนั้นเข้ามาอบอวลภายในเรือนมะนิลาให้สดชื่นขึ้น เจ๊สัวเอี่ยมเดินตามไปช่วยเปิดหน้าต่างอีกบานเพื่อระบายกลิ่นอับชื้นในเรือนให้ถ่ายเทออกไป และพูดต่อ แต่กระผมกลัวนะขอรับ หลวงเจริญจิตโอสถนั่งที่ขอบหน้าต่าง และหันมาหัวเราะเบาๆเพื่อให้กำลังใจสหายชายสูงวัย เจ๊สัวเอี่ยมเชื่อเหลืออาถรรพ์เด็กแฝดตามคำทำนายของโหรหลวงและชินแซด้วยรึ เฮ้อ ชายชราคนจีนถอนหายใจยาว และตอบกลับไป มันก็อดเชื่อไม่ได้นี่ขอรับ เพราะว่า.. ชายชราคนจีนหยุดพูด ทำท่าอีหลักอีเหลื่อ และมองไปที่รูปภาพที่กลางบ้าน ฝ่ายหลวงเจริญจิตโอสถก็รู้ทันทีว่าเจ๊สัวเอี่ยมกำลังจะพูดอะไร แต่ติดตรงที่เกรงใจกลัวว่าเรื่องเก่าๆจะกระทบกระเทือนจิตใจ เลยไม่กล้าพูดออกมา เขาก็เลยพูดออกมาเองเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ เพราะว่าแม่แย้มเมียฉันตายในวันที่เด็กแฝดเกิดใช่ไหม แลแม่ของสองเด็กนั่นก็ตายตอนคลอดด้วยใช่หรือไม่ เจ๊สัวเอี่ยมพยักหน้าแบบพิพักพิพ่วน แต่ก็ชวนคุยต่อเพราะอยากรู้ให้แน่ใจว่าสหายของเขานั้นคิดเช่นไรกับคำทำนายของเด็กหญิงแฝด กระผมว่าโหรกับชินแซก็แม่นยำอยู่นะขอรับ เรายังไม่เคยบอกสองคนนั้นเลยว่า มีใครที่เรารู้จักมักคุ้นตาย แต่เหตุไฉนสองหมอดูนั่นถึงรู้ล่ะขอรับ ในตอนนั้นฉันก็เป็นที่รู้จักอยู่ เรื่องคุณหญิงแย้มตาย กับเรื่องฉันรับเด็กมาเลี้ยง มันคงไม่ยากดอกที่ใครเขาก็รู้ เพราะตอนที่เราเอาเด็กแฝดไปให้โหรกับชินแซดูโชคชะตาให้ ตอนนั้นก็ร่วมเดือนกว่ามาแล้วมิใช่รึ อีกประการหนึ่ง การตายของแม่แย้มมันก็เป็นอุบัติเหตุ ฝนตกหนักเยี่ยงนั้น แต่แวะไปรับรูปแล้วสัญจรกลับทางเรือ มันก็เกิดเหตุล่มได้อยู่แล้วล่ะ ท่านเจ๊สัวเอี่ยมอย่าไปโทษอาถรรพ์ของเด็กแฝดสองคนนั้นเลย ถ้าเกิดเขาทั้งสองมาได้ยินหรือรับรู้เข้า พลางจะเสียใจนา แต่ตั้งแต่กระผมเอาแม่หยิหวาไปอยู่แยกกันไกลห่างจากแม่บาหยัน ทั้งกระผมด้วยคุณหลวงก็อยู่ดีมีสุขไม่มีใครล้มหายตายจากเลยมิใช่หรือขอรับ เจ็บไข้ได้ป่วย ล้มหายตายจาก มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป ที่เจ๊สัวเอี่ยมถามฉัน เพราะกลัวว่าฉันจะไม่รับแม่ยิหวามาเลี้ยงใช่ไหม ขอรับ เจ๊สัวเอี่ยมพยักหน้ายอมรับ และพูดต่อ ผมคิดว่าคุณหลวงจะกลัวอาถรรพ์เด็กแฝดตามคำทำนาย กอปรคุณหลวงจะคิดเรื่องคุณแย้มน่ะสิขอรับ เพราะกระผมก็ยังเห็นว่าคุณหลวงยังคงเอารูปนี้มาเก็บไว้ที่นี่อยู่ หลวงเจริญจิตโอสถนิ่งอึ้ง และเดินไปเช็ดคราบฝุ่นออกจากรูปภรรยาด้วยมือ ถ้าว่ากันตรงๆ ฉันก็คิดอยู่ เลยเอารูปแม่แย้มมาเก็บไว้ที่นี่ เพราะเรือนนี้นานๆมาที แต่เอาล่ะ เวลามันก็ผ่านมานานมากแล้ว แทนที่ฉันจะเสียใจกับสิ่งที่เสียไป ฉันควรจะสุขใจกับสิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้มากกว่า จริงไหมล่ะ เจ๊สัวพยักหน้ายิ้ม และเดินมาช่วยทำความสะอาดรูป เพราะรู้สึกสบายใจที่จะฝากหยงยิหวาให้คุณหลวงเลี้ยงดูได้อย่างหมดห่วง ก็เลยฝากฝังเรื่องอื่นต่อ ยังไงเสีย ถ้าวันใดกระผมสิ้นชีวิตไป ผมขอฝากดวงใจกระผมที่เหลืออยู่ไว้ให้คุณหลวงดูแลด้วยนะขอรับ ไม่ต้องห่วงดอกท่านเจ๊สัว ฉันก็ออกจากงานหลวงมานานแล้วเพราะป่วยหนัก มีแม่หนูยิหวามาอยู่ร่วมด้วยอีกคนก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าอย่างนั้น อย่าหาว่ากระผมทวงบุญคุณเลยนะขอรับ ยังไงเสีย กระผมขอให้คุณหลวงแบ่งพื้นที่แห่งนี้สักครึ่งไว้ให้แม่ยิหวาปลูกเหย้าปลูกเรือนนะขอรับ โธ่เจ๊สัว ไม่ต้องขอดอก ฉันให้อย่างเต็มรักเลยทีเดียว อย่างไรเสีย ที่ดินผืนนี้แท้จริงแล้วมันก็เป็นของเจ๊สัวสุ่นที่ตั้งใจให้ฉันปลูกเป็นโรงหมอราษฏร์ในคราแรก แต่เสียดายฉันมาป่วย ก็เลยต้องหยุดทุกอย่างไป ไอ้ที่ตรงนี้ฉันก็ตั้งใจปลูกไว้ให้แม่บาหยันอยู่เหมือนกัน ดีเสียอีก พี่น้องอยู่ร่วมรั้วบ้านใกล้เรือนเคียงกัน จะได้เอื้อเฝื้อจือจานกันได้ในยามคับขัน คุณหลวงไม่ต้องปลูกเรือนใหม่ให้แม่ยิหวาก็ได้นะขอรับ ใช้เรือนมะนิลาเนี่ยแหละดี สภาพก็ยังดีอยู่ กระผมว่าลูกสาวกระผมต้องชอบแน่ขอรับ สุดแล้วแต่เจ๊สัวจะปรารถนาเถิด แต่ฉันจะให้บ่าวไพร่มาดูแลปัดกวาดเช็ดถูทาสีให้ดูใหม่หน่อยล่ะกัน แหม แต่แม่ยิหวาจะอยู่เรือนนี้อีกนานหรือ นี่ก็ถึงวัยใกล้ออกเหย้าออกเรือนไปในไม่ช้า เจ๊สัวเล่าให้ฟังมิใช่รึ ว่าแม่ยิหวาน่ะผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ดูสวยสะพรั่งเลยทีเดียว เจ๊สัวเอี่ยมถอนหายใจไม่ตอบกลับอะไร แต่เดินไปนั่งที่ขอบหน้าที่เดิม พลางเอามือลูบเคราที่คาง และมองไปที่คลอง พูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล มันก็คงเป็นอย่างที่คุณหลวงว่า ชินแซหลายต่อหลายคนเคยดูโหงวเฮ้งของแม่ยิหวาตอนเล็กๆไว้ ว่ามีไฝที่เนินตรงกลางระหว่างอก ตำราเขาว่ามีมหาเสน่ห์ยิ่งนัก ตึง! เสียงของบางอย่างกระทบไปที่บางสิ่งดังมาจากด้านล่างในขณะที่เจ๊สัวเอี่ยมกำลังพูด เสียงอะไรตกรึ หลวงเจริญโอสถเดินมาถาม และชะโงกหัวลงไปดูที่พื้นเบื้องล่าง แต่ก็ไม่เจออะไร มีเพียงหญ้ารก และพุ่มไม้เตี้ย ไม่รู้เหมือนกันขอรับ แต่กระผมก็มิได้ทำของอะไรหล่น เจ๊สัวตอบ คงจะเป็นหมาเป็นแมวแถวๆนี้กระมัง หลวงเจริญจิตโอสถพูด พลางหยิบตะเกียงส่องไปสำรวจด้านนอกอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เมื่อไม่พบอะไรก็ปิดหน้าต่างและชวนอีกฝ่ายออกไปจากห้องนี้ ไปกันเถิดเจ๊สัวเอี่ยม ฉันว่านี้มันก็ดึกมากแล้ว ฉันเป็นห่วงแม่บาหยันเสียจริง ไปอยู่เที่ยวเล่นที่เรือนเจ๊สัวสุ่นเสียนานขนาดนั้น เห็นทีจะไม่งาม กระผมก็เป็นห่วงแม่ยิหวาเหมือนกันขอรับ อยู่กันแค่สองคนกับอีดวง ในขณะที่สองชายชรากำลังจะออกจากเรือนไม้มะนิลานั้น ก็มีอีกสองคนที่แอบฟังอยู่เบื้องล่างกำลังย่องออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด รีบวิ่งดุ่มๆกลับไปที่เรือที่แอบจอดไว้ที่โคกข้างๆ เมื่อถึงที่เรือก็รีบถ่อออกอย่างเร่งด่วน และพอเห็นว่าออกมาไกลจากเรือนมะนิลาแล้ว ผู้ที่พายเรือก็หันมาต่อว่าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในเรือ เห็นไหมเล่า เกือบโดนจับได้แล้ว เพราะหล่อนแท้เลยเชียว ผู้ที่นั่งเปิดผ้าคลุมออกจากหัวและหันมาค้อนใส่เล็กน้อย ก็คุณมามอง... ผู้ที่นั่งหยุดพูดไป และหันหลังให้ด้วยความอาย ไม่ยอมพูดต่อเพราะรู้สึกกระดากปาก ชายผู้พายเรือหัวเราะเบาๆ และพูดเรื่องนั้นออกมาแทน แหม ก็ตอนเจ๊สัวเอี่ยมพูดเรื่องไฝนั่น ฉันก็อดหันไปมองไม่ได้น่ะซี ฉันมองเพราะมันน่าหัวร่อ มิได้คิดในเชิงสวาทเสียหน่อย หยงยิหวาได้ยินวาจาลามปามของอีกฝ่าย ก็เลยหยิบของในเรือปาไปที่ฝ่ายชาย และพูดอย่างโมโหแต่พยายามสำรวมกิริยาไว้ไม่ให้เกินงาม มันน่าหัวร่อตรงไหน ใครที่ไหนเขาก็มีไฝมีฝ้ามีปานกันทั้งนั้น แต่หล่อนมันไปมีตรง... ไม่ต้องพูดแล้ว หยุดพูด คุณควรจะให้เกียรติฉันบ้างนะ เอาล่ะเอาล่ะ ฉันขอโทษก็ได้ แต่หล่อนไม่เห็นขอโทษฉันเลยที่ผลักฉันจนหัวไปชนฝาเรือดังขนาดนั้น ฉันยังเจ็บหัวไม่หายเลย หญิงสาวชำเลืองมองเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปแบบไม่แยแส คำขอโทษมีไว้สำหรับผู้ที่ทำผิดแล้วกล่าวขอโทษ ฉันมิได้ทำผิดอันใด เพราะการกระทำทางสายตาของคุณมันสมควรที่จะโดนเยี่ยงนั้นอยู่แล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มในท่าทางของอีกฝ่ายเมื่อเห็นท่าทางอวดดีด้วยวาจาอันคมคาย จะว่าไป พอหล่อนทำท่าขึงขึงข่มฉัน มันช่างเหมือนแม่บาหยันเสียเหลือเกิน ตกลงหล่อนไม่ได้หลอกฉันเอาสนุกใช่หรือไหม คุณก็รู้แล้วนิว่าฉันเป็นแฝดจากแม่บาหยัน ถ้าคุณมิเชื่อ คุณจะให้ฉันช่วยมาตามหาแม่บาหยันทำไมกันเล่า แม่บาหยันมีไฝมีปานเหมือนหล่อนหรือไม่ ไม่มี แล้วคุณจะถามทำไม ถ้าหล่อนจะให้ฉันเชื่อว่าหล่อนไม่ใช่แม่แก้วบาหยัน หล่อนก็ต้องพิสูจน์สิ อย่านะ ฉันรู้นะว่าคุณคิดอะไร ฮ่าๆๆ ฉันหยอกเล่น ฉันเชื่อตั้งแต่เห็นรูปภาพที่หล่อนถ่ายที่เอมริกาแล้วล่ะ เพราะแม่บาหยันมิเคยไปที่ไหนเลยนอกจากสยาม แล้วในภาพนั้นมันคือเมืองไหนกันล่ะ หญิงสาวหยิบรูปบางส่วนออกมาจากสมุดบันทึก ที่ตอนแรกที่ตั้งใจจะเอารูปนั้นไปอัดกรอบใส่ที่ห้างชักรูป เมื่อเธอดูรูปของตัวเองที่สวมใส่ชุดสไตล์วิคตอเรี่ยนฟูฟ่องหรูหรา ก็ทำให้ย้อนไปคิดถึงวันที่ร่ำรวยมีความสุขสมกับเป็นลูกสาวเจ๊สัวผู้มั่งคั่งแห่งเมืองท่าซีแอตเทิ้ล แต่ในสองปีให้หลัง ก็กลับต้องมาล่มจมภายในพริบตาเพราะเจ๊สัวติดการพนัน ทำให้ต้องเร่ร่อนซมซานกลับมาสยาม และเมื่อหยงยิหวานึกถึงเรื่องที่สองชายชราคุยกันบนเรือนไม้มะนิลา เธอก็แอบน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง ที่ต้องตรากหน้ามาขอความช่วยจากหลวงเจริญจิตโอสถ แต่ก็ต้องยอมไปโดยปริยาย เพราะเธอไม่อยากลำบาก และอยากจะสบายเหมือนเดิมที่เคยเป็น เขมชาติเห็นอีกฝ่ายเงียบไปจึงตะโกนถามอีกครั้ง นี่หล่อน ฉันถามว่าภาพที่หล่อนชักน่ะ ไปชักที่เมืองไหนในอเมริกา อ่อ ฉันชักมาได้หลายปีดีดักแล้ว ที่เมืองซีแอตเทิ้ลน่ะ ชักที่ร้านชักรูปของฝรั่งคนรู้จัก น้ำยาเขาดีจริงๆ ขนาดทิ้งไว้นาน สียังดีอยู่เลย ฉันกะว่าจะไปใส่กรอบน่ะ ฉันรู้ร้านอัดกรอบรูปดีๆนะ อยู่แถวหน้าวัดซางตราคู้สนี่เอง แถวถนนใหม่ก็มี เจริญกรุงน่ะเหรอ หญิงสาวถามอีกครั้ง นั่นแหละๆ ไม่ไกลจากเรือนมะนิลาของหล่อนดอก เมื่อพูดถึงเรือนไม้มะนิลาริมน้ำ หยงยิหวาก็เปิดผ้าม่านมองไปตรงนั้นอีกครั้ง และทำหน้างอไม่พอใจ ฉันคงไม่อยู่เรือนหลังนั้นดอก เก่าเสียขนาดนั้น ฉันกะว่าจะรื้อแล้วปลูกใหม่ เอาแบบทรงขนมปังผิง ลายฉลุสวยๆ เอาเถอะ จะเรือนแบบไหนก็เรื่องของหล่อน แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้วนะว่าแม่บาหยันไม่ได้กลับมาที่เรือนที่ถนนใหม่ เอ..เรือนที่ฝั่งธนบุรีก็ไม่มี หรือเราจะกลับไปที่วัดอีกรอบดีไหม อย่างไรเสียแม่บาหยันก็ไปรอคุณหลวงอยู่ที่นั้นแน่ ดีนะที่พ่อฉันล่วงหน้าไปปดคุณหลวงว่าแม่บาหยันจะมากินข้าวกินปลา แลช่วยทำขนมสำหรับงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งโชฏึกที่บ้านพ่อฉัน มิเยี่ยงนั้น เฮ้อ...ตาย นี่พ่อคุณก็คงไม่รู้สินะ ว่าคุณจับตัวฉันมาด้วย ฉันมิได้จับตัวหล่อนมาเสียหน่อย มันก็แค่เหตุบังเอิญ หล่อนจะใจร้ายใจดำไม่ช่วยฉันตามหาน้องหล่อนเลยรึ ฉันช่วยคุณมานานมากแล้วนะ ป่านฉะนี้บ่าวฉันก็คงเป็นห่วงและตกประหม่าตายไปแล้วกระมังที่จู่ๆฉันหายไปเยี่ยงนี้ ดีนะที่เจ๊สัวเอี่ยมยังไม่กลับบ้าน ตายล่ะ! ใครตาย! ฉันอุทาน! คือเจ๊สัวกำลังจะกลับบ้านนิ คุณพาฉันกลับเรือนเดี๋ยวนี้เลย! แล้วฉันล่ะ ฉันมิตายรึถ้ายังหาแม่บาหยันไม่เจอ ฉันว่าเราควรบอกให้ผู้ใหญ่รู้ เราหากันแค่สองคนก็คงไม่เจอดอก เชื่อฉันเถอะ พาฉันกลับก่อน แล้วฉันจะบอกให้เจ๊สัวเอี่ยมช่วยตามหา ไม่ต้องห่วงดอก เอาล่ะ ฉันก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน แม่บาหยันนะแม่บาหยัน อย่าให้เจอนะ ++++++ โดย: ม้าสามศอก วันที่: 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา:17:16:11 น.
มาต่อกันเลยค่ะ>>>>>>>>>
หามันให้เจอ! ถ้าเจอก็ฆ่ามันเสีย! เสียงตะโกนออกคำสั่งของหัวหน้าโจรอั้งยี่ดังลั่นด้วยความโกรธที่แก้วบาหยันหนีหลุดรอดไปได้ แต่เมื่อเห็นสภาพของลูกน้องชาวสยามผู้รับมอบหมายว่าจะไปฆ่าปิดปากหญิงสาวที่หลังโบสถ์ให้ ก็รู้สึกสมเพชและถีบไปที่ยอดอดด้วยความโมโห ไอ้โง่! โอ้ย! แค่กระผมโดนฟาดกบาลมาก็เจ็บแล้วนะขอรับ ผมมิได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องเยี่ยงนี้นะขอรับ ลูกน้องชาวสยามเอามือกอดไปที่ขาหัวหน้า และอ้อนวอนขออภัย หัวหน้าโจรมองไปที่ลูกน้องด้วยสายตาดูแคลนในความโง่ และก็สะบัดขาหนี ไอ้แจ้ง ถ้าลื้อมิกำหนัดอีนังนั่น มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ดอก ผมมิได้คิดจะทำอะไรอีนังนั่นเลยนะขอรับ ลูกน้องชาวสยามกระชับเศษผ้าเหลืองให้คลุมร่างกายตัวเองให้มิดชิดยิ่งขึ้น เพราะรู้สึกอาย แล้วลื้อกลับมาในสภาพล่อนจ้อน เอาเศษผ้าเหลืองเก่าห่มกายได้อย่างไรเล่าไอ้แจ้ง! เอ่อ..คือ... ชายชาวสยามอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ ก็เลยเปลี่ยนประเด็น มันมากันสองคนแน่ขอรับ มิเช่นนั้นใครจะตีกบาลผมจากด้านหลังได้ล่ะขอรับ หึ! ลื้อมัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะ จึงไม่ระแวดระวังข้างหลัง ลูกน้องชายหลบสายตา ยืนคิดและพูดต่อ กระผมก็กำลังจะบั่นคออีนั่นอยู่น่ะซีขอรับ เอ..แต่ใครกันล่ะที่มาตีกบาลกระผม คงมิใช่อีบ่าวทีท่านหัวหน้าปล่อยไปดอกขอรับ มันคนละทิศคนละทางกัน มันจะเป็นใครก็แล้วแต่ อั๊วก็จะฆ่าให้ตายถ้าเจอมัน ในระหว่างนั้นเองก็มีลูกน้องอั้งยี่อีกคนเดินมารายงานความคืบหน้าในการตามหารอบๆโบสถ์ หัวหน้าขอรับ ไม่พบร่องรอยเท้าหรือใครออกจากนอกโบสถ์เลย มีแต่รอยเท้าเก่าสองรอยของคนที่หัวหน้าปล่อยไป กับรอยเท้าของรองหัวหน้าที่ตามไป หัวหน้าโจรได้ยินก็หงุดหงิด แต่ก็สงบสติอารมณ์ใช้ความคิดตรึกตรองอีกครั้ง โบสถ์นี้คลุมด้วยเถาวัลย์แลต้นไม้ใหญ่ ยากที่ใครจะเห็น อีกทั้งรอบโบสถ์ก็ล้อมด้วยโคลนเป็นลานกว้าง มันก็ต้องมีรอยย่ำเท้าบนโคลนสิ ถ้ามันไม่ทิ้งรอยเท้าไว้เลย มันก็คงเป็นนกกระมัง หรือไม่มันก็ยังไม่ได้ออกจากบริเวณโบสถ์ ชายชาวสยามพูดเสนอแทรกขึ้นมา หัวหน้าโจรพยักหน้าตอบรับที่ลูกน้องชาวสยามรู้ทันความคิด ก็เลยออกคำสั่งใหม่ พวกลื้อทุกคนฟังทางนี้ ตามหาอีนังผู้หญิงกับคนที่มาช่วยมันให้ได้ มันสองคนอยู่ในโบสถ์นี้แน่นอน ส่วนที่เหลือ ลื้อจงไปปิดปากทางเข้าออกของโบสถ์ไว้ อย่าให้ใครเข้าออกได้ ในขณะที่อั้งยี่ร่วมยี่สิบกว่าคนกำลังวุ่นวายภายในโบสถ์อยู่นั้น ขจรและแก้วบาหยันก็เดินออกมาจากโบสถ์ได้ไกลพอสมควร จึงเริ่มกลับมาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เดินช้าๆมานานเพื่อไม่ให้ทิ้งร่องรอยให้คนอื่นตามได้ หล่อนนี่ฉลาดล้ำเลิศยิ่งนัก ขจรเอ่ยปากชมฝ่ายหญิงสาว ฉันว่าพวกนั้นมันโง่มากกว่า ที่ดูไม่ออกเลยรึว่าโคลนเวลาโดนน้ำราด ใช้ไม้เกลี่ยเข้าหน่อย ผ่านไปไม่ถึงชั่วยามมันก็เป็นเหมือนเดิมละ โชคดีนะ ที่มีบ่อน้ำพุทธมนต์ข้างโบสถ์ยังมีน้ำขังอยู่บ้าน ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว แต่หล่อนก็ฉลาดอยู่ดีนั่นแหละ ที่ไม่ให้ฉันใส่รองเท้า เพราะร่องของรองเท้าจะติดโคลน ทำให้เกิดรอยตามไปได้ ฉันก็ไม่มีรองเท้าเหมือนกันนั่นแหละ หลุดหายตั้งแต่โดนฉุดกระชากลากเข้าไปในโบสถ์แล้ว นี่หล่อน เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องแบบนี้ออกจากปากได้เยี่ยงไร โอ้ย! ก็ฉันโดนจริงๆนี่เจ้าคะ เบาๆสิหล่อน ใครได้ยินเขาจะไปพูดต่อ เขาไม่ได้เล่าแค่หล่อนโดนฉุดแล้วรอด แต่เขาจะเติมเรื่องให้สนุกปากมากกว่าเดิมน่ะสิ อยู่กันสองคน ใครจะได้ยินเจ้าคะ ผีป่าตานีนางไม้ หรือรุกขเทวดาที่ไหนล่ะ หล่อนก็ควรอายฉันบ้างไม่ใช่รึ หญิงสาวหันหน้าหนีเมือเจอฝ่ายชายบ่น ก็เลยก้มลงเพื่อจะถอดเกือกใบตองออกจากขา แต่จู่ๆก็นิ่งตัวแข็งทื่อไม่ขยับ ขจรที่กำลังมองระวังหลังให้ ก็หยุดและหันถามด้วยความสงสัย ทำไมรึ โกรธอีกแล้วรึที่ฉันว่าหล่อนเหมือนเด็กที่ไม่เลี้ยงไม่รู้จักโต แก้วบาหยันหันหน้ามาช้าๆ ตัวสั่นเทา และตอบแบบตะกุกตะกัก ที่เท้าเจ้าคะ ที่เท้า ขจรมองไปที่เท้าแก้วบาหยัน ก็ไม่เห็นอะไร เพราะมันมืดมาก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาทั้งสองยังไม่ถอดบางอย่างออก อ๋อ ลืมไปเสียสนิทเลยเชียว ฉันว่าเราถอดเกือกใบตองกันก็ได้แล้วนะ พื้นตรงนี้ก็แห้งแล้ว มันมิน่าทำรอยอันใดได้ หล่อนนี่ฉลาดนะที่เอาใบตองมาห่อเท้ารัดด้วยเชือกกล้วยไว้ เพราะรอยใบตองที่ย่ำพื้นมันจะไม่เหมือนรอยเท้า มามา ถ้าไม่ถนัด ฉันจะแกะเชือกให้ ชายหนุ่มลงไปนั่งยองๆ ก้มหน้าพยายามควานหาเชือกกล้วยที่เท้าของบาหยัน เพราะมันมืดมากเหลือเกิน มองในตาเปล่าก็เห็นแค่ลางๆ ควานหาไม่นาน ก็เจออะไรยาวๆคล้ายเชือก จึงค่อยๆแกะออก แต่พอสัมผัสดูดีๆ เชือกที่เจอกับมีลักษณะแปลกๆ เพราะมันลื่นๆสากๆยาวๆคล้ายผมคนมากกว่า เขาก็เลยค่อยๆสาวไปเรื่อยๆจนไปถึงต้นของเชือกอันนั้น สิ่งที่พบก็คือ ก้อนกลมๆอันใหญ่กว่ากะลา จึงอุทานถามด้วยความสงสัย เอ๊ะ! นี่มันอะไรเนี่ย แก้วบาหยันเริ่มมีสติ ก็เลยรีบกระโดดหนีให้ไกลจากตรงนั้น และบอกไปว่า นั่นมันหัวคน เมื่อได้ยินดังนั้น ขจรก็สะดุ้งตกใจปล่อยมือออก และพยายามรวบรวมสติ ใช้ความกล้าค่อยๆลากบุคคลนั้นออกมาจากร่มไม้ความมืดนั้น เพื่อให้แสงดาวช่วยส่องบุคคลนั้นให้เห็นหน้าชัดขึ้น นี่มันพวกอั้งยี่นิ ขจรอุทานตกใจ แก้วบาหยันที่ยืนหลบหน้าอยู่ พอรู้ว่าคนที่นอนอยู่เป็นอั้งยี่ก็รีบเดินเข้ามาดู แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพบนหัวของชายอั้งยี่ผู้นั้น มันถลอกปอกเปิดจนเห็นไปถึงหนังชั้นในสีแดงเทือก ที่อาบด้วยเลือดอย่างน่าสยดสยอง เกิดอะไรขึ้นกับเนี่ย ในระหว่างนั้นเอง ชายอั้งยี่ที่นอนอยู่นั้น ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาตาลุกโพลง ทั้งขจรและแก้วบาหยันตกใจกระโดดหลบลงไปนั่งกับพื้นทันที แต่ก็กลับเข้าไปดูใกล้ๆอีกครั้งเพราะเหมือนชายผู้นั้นจะพูดอะไร อี..อี... ชายอั้งยี่พูดฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะปากกระอักเลือก แก้วบาหยันถึงแม้จะรู้สึกกลัว แต่ก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยเข้าไปนั่งฟังใกล้ๆด้วย แกพูดอะไร ฉันไม่ได้ยิน ชายอั้งยี่หันมาหาแก้วบาหยัน และใช้แรงที่เหลืออยู่ พยายามจะเรียกให้มาใกล้ๆ แต่ความเจ็บปวดเฮือกสุดท้ายมันถาโถมเข้ามา ก็เลยทำให้มือนั้นพยายามคว้าหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวระบายความเจ็บไว้ ก็เลยไปคว้าระบายลูกไม้ที่แขนของเสื้อแก้วบาหยันเข้าให้ ขจรตกใจจึงมาช่วยกันเอามือชายอั้งยี่ออก ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ทั้งสามดึงกันไปไม่นาน แรงสุดท้ายที่มีอยู่ของชายอั้งยี่ก็ทำระบายลูกไม้ของเสื้อหญิงสาวขาด ติดมือไป แล้วก็แน่นิ่งสงบไปอย่างร่างที่ไร้วิญญาณ หญิงสาวรีบลุกขึ้น และเรียกฝ่ายชายให้ออกมา คุณขจรไปกันเถอะ ฉันกลัว เดี๋ยวเราถอดเกือกใบตองทิ้งไว้ในกองไม้แถวๆนี้ จะได้เดินเร็วขึ้น ฉันว่าป่านนี้พวกมันคงรู้แล้ว ว่าเราหนีรอดออกมาได้ +++++++++ โดย: ม้าสามศอก วันที่: 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา:17:17:04 น.
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อำแดงดวงที่เดินอ้อมใช้ทางอีกแพร่งเพื่อกลับมาที่โบสถ์ ก็มาเห็นกลุ่มโจรอั้งยี่จุดคบไฟออกมาจากโบสถ์เป็นขบวน สิ่งที่เธอได้ยินก็คือ ออกตามหาคนสองคนให้เจอ พอกลุ่มโจรทั้งหมดออกไปไกลจากโบสถ์แล้ว อำแดงดวงเลยใช้โอกาสนั้นกลับเข้าไปที่นั่น เพื่อไปช่วยแก้วบาหยัน แต่พอเข้าไปแล้วก็ไม่เจอใคร ก็เลยหยิบสร้อยไข่มุกกลับมาเก็บไว้ที่ตัว เพื่อที่จะเอาไปคืน
เอ็งทำอะไรน่ะ เสียงผู้ชายตะคอกถามดังมาจากด้านหลัง อำแดงดวงหันไปดู ก็พบชายคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคนสยาม แต่ทรงผมไว้แบบพวกอั้งยี่ สวมใส่เศษผ้าเหลืองห่อกายไว้อย่างไม่เรียบร้อย ด้วยความกลัว เธอก็เลยรีบตอบปฏิเสธไปก่อน เปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร เอ็งเป็นใคร ใช่บ่าวที่ท่านหัวหน้าใช้ไปปล่อยเรือใช่หรือไม่ เอ่อ..จ้ะ ฉันกลับมาแล้ว ชายชาวสยามพยักหน้าตอบรับ และพูดแนะนำตัวเอง ข้าชื่อแจ้ง แล้วเอ็งล่ะ ชื่ออะไร ดวงเจ้าค่ะ บ่าวหญิงตอบแบบนอบน้อม และพยายามซ่อนสร้อยไข่มุกไว้ข้างหลัง แต่ก็มิอาจหลุดรอดสายตาของอีกฝ่ายไปได้ ก็เลยโดนจู่โจมเข้าใส่ ถูกแย่งชิงสร้อยไข่มุกไปได้ เอ็งจะขโมยสร้อยมุกนี่งั้นรึ แจ้งถาม ฉันไม่ได้ขโมย แค่หยิบมาดูเท่านั้น เอ็งอยากได้ใช่ไหมล่ะ แจ้งมองที่บ่าวหญิงอย่างมีเลศนัย บ่าวหญิงไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าด้วยความกลัว แต่ในใจกำลังคิดหาอาวุธเพื่อต่อสู้ในจังหวะที่มีโอกาส แจ้งทำหน้ากะลิ้มกะเลี่ย และเดินมาดูอำแดงดวงใกล้ๆพร้อมพูดว่า ถ้าเอ็งอยากได้ ข้าก็จะให้ แต่ว่าเอ็งต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนนะ ชายชาวสยามมองไปที่หน้าตาของอีกฝ่ายก็พึงพอใจ และค่อยๆใช้นิ้วจับไปที่กระโปรงของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อไปเจออะไรเปียกๆที่แถวๆปลายกระโปรงตรงกลาง ซึ่งตอนแรกไม่เห็น เพราะกระโปรงมันสีเข้ม ก็เลยตะคอกถามด้วยความตกใจ เฮ้ยอะไรวะ! เปียกแฉะไปหมด และเมื่อเอามือมาส่องตะเกียงไฟในโบสถ์ชัดๆก็รู้ว่าเป็นอะไร นี่มันเลือดนิ เลือดอะไรวะ อำแดงดวงอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอะไรดี เลยเตรียมหาอะไรที่อยู่ใกล้ๆไว้ช่วยตัวเองตอนจนมุม ส่วนอีกฝ่ายก็ทำหน้าเหยเกขยะแขยงในสิ่งที่สัมผัส ก็เลยเดินหันหลังกลับไปเอาน้ำเหล้าในไหมาล้างมือ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง อำแดงดวงก็หยิบไหเปล่าที่วางทิ้งไว้ เดินย่องๆเข้าไปด้านหลังเพื่อจะฟาดหัวแจ้งให้สลบคาที่ แจ้งยังคงก้มหน้าใช้เหล้าในไหล้างมือ พลางพูดบ่นไป เอ็งเป็นระดูก็ไม่บอกข้า น่าเกลียดยิ่งนัก ทำไมไม่รู้กจักหากาบมะพร้าวหรือผ้ามาซับล่ะวะ ไฮ้ หมดอารมณ์เลยโว้ย เพล้ง! เสียงไหดินเผากระแทกไปที่หัวของชายชาวสยามอย่างแรงจนสลบไป และทันใดนั้นยังไม่ทันที่อำแดงดวงจะใช้มีดเฉือนหนังหัวชายผู้นั้นออก ก็ได้ยินเสียงคนจำนวนหนึ่งเดินกลับเข้ามาในโบสถ์ เธอก็เลยคว้าสร้อยไข่มุกไว้อย่างเดียว แล้วรีบปีนหนีไปด้านหลังโบสถ์ทันที เพราะคิดว่าแก้วบาหยันคงมีคนช่วยแล้ว ก็เลยตัดสินใจใช้เส้นทางอื่นที่ไม่ใช่ทางเดิม เผื่อว่าจะเจอคนอื่นให้มาสมทบช่วยเหลือ ลำพังคนเดียวคงทำไม่ได้แน่ เพราะพวกมันอาจโกรธที่เธอฆ่ารองหัวหน้าผู้นั้นตาย เพล้ง! เสียงบางอย่างตกมาแตกดังมาจากด้านนอกโบสถ์ที่แก้วและพระไมค์นั่งอยู่ จึงทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากการวิปัสสนากรรมฐาน เสียงอะไรเจ้าคะ แก้วถามและมองออกไปข้างนอก ภิกษุฝรั่งก้มหน้าเอามือกุมขมับปวดหัวที่เหมือนถูกเหวี่ยงออกจากการหมุนอย่างรวดเร็วแบบไม่ตั้งตัว พอหายใจเข้าออกถ่ายเทออกซิเจนในร่างกายได้สักระยะ ก็รู้สึกดีขึ้น จึงตอบดวงจิตของหญิงสาวไป ลมคงจะพัดพวกกระถางธูปตรงช่องเก็บอัฐิที่รอบโบสถ์วัดกระมัง แต่แก้วไม่รู้สึกว่าจะมีลมอันใดอยู่ที่ด้านนอกเลยนะเจ้าคะ ดวงจิตหญิงสาวลอยไปดูที่หน้าต่างรอบโบสถ์ ก็ไม่เห็นลมหรือร่องรอยของตกแตกอย่างที่ภิกษุฝรั่งคิดไว้ หล่อนอย่า.. พระไมค์หยุดพูดเมื่อสะดุดกับถ้อยคำพูดของตัวเองที่ติดมาจากเรื่องราวในอดีต ก็เลยหลับตาตั้งสติอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดออกไปใหม่ โยมอย่าออกไปจากเขตพัทธสีมาเด็ดขาดนะ อาตมาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างรอจู่โจมอยู่ด้านนอกโบสถ์ จริงรึเจ้าคะ . เอ่อจริงเหรอคะท่านไมค์ แล้วอะไรกันคะที่อยู่ด้านนอก เรื่องที่เราสองคนได้เห็นในอดีต เรื่องบางอย่างมันก็ไม่ได้มีตัวตนเราอยู่ในนั้นด้วย แต่เรากลับเห็น มันก็แสดงว่า คงมีใครอีกคนกำลังต่อจิ๊กซอภาพในอดีตกับเรา เพราะก็คงอยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านไมค์หมายความว่า วิญญาณอำแดงดวงอยู่ที่ด้านนอกเหรอคะ ภิกษุฝรั่งพยักหน้าตอบ และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ มันก็คงใช่อย่างนั้น แต่แก้วว่า คงไม่ใช่อำแดงดวงคนเดียวมั้งคะที่กำลังต่อจิ๊กซอกับเรา มีใครอีกเหรอโยม ถ้าจะเป็นโยมหยงยิหวา ภาพเหล่านั้นก็มีอาตมาด้วยนิ แล้วคนที่ชื่อว่าแจ้งล่ะคะ เราเห็นได้ยังไง ถ้าเป็นอย่างที่โยมว่า คนที่ชื่อแจ้งเค้าเป็นผีหรือว่าเป็นคนในชาติปัจจุบันเหมือนเราล่ะ +++++++จบบทที่ ๑๐++++++ โดย: ม้าสามศอก วันที่: 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา:17:17:53 น.
ผมกลับมาอ่านแล้ว แต่ไม่เห็นมีต่อ ไปไหนแล้วเอ่ย
โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 15 สิงหาคม 2558 เวลา:20:34:10 น.
|
ม้าสามศอก
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?] มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
Group Blog All Blog Friends Blog |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ถึงแม้โพธิ์สามแพร่งที่ริมน้ำจะรกร้างไร้ผู้คนสัญจรในเวลาค่ำมืด แต่เนื่องด้วยเป็นช่วงวันสงกรานต์ จึงมีผู้คนจากบ่อนที่ตลาดท่าแพและที่อื่นๆ ใช้แม่น้ำสายนี้ผ่านไปทะลุออกสันดอนเจ้าพระยาหรือลัดเข้าลำคลอง เพราะมันสะดวกและเร็วกว่าใช้แม่น้ำสายอื่น ดังนั้น พวกโจรอั้งยี่จึงไม่กล้าปรากฎตัวหรือทำอะไรในบริเวณท่าน้ำในตอนนี้ มันก็เลยใช้ให้อำแดงดวงมาปล่อยเรือให้ลอยหลุดออกจากท่า เพราะพอรุ่งเช้าก็จะมีชาวบ้านทั่วไปมาขอพรหรือทิ้งของสะเดาะเคราะห์ที่ต้นโพธิ์อย่างเป็นประจำ ก็อาจจะสงสัยได้เมื่อเห็นเรือเปล่ามาจอดทิ้งไว้อย่างไร้เจ้าของ
ในขณะที่ก้าวเดิน อำแดงดวงก็พยายามทิ้งกรวดสีโปรยทิ้งลงทางเป็นร่องรอยทุกระยะ เพื่อหวังว่าเจ้าของเรือมาดประทุนที่นั่งผิดมาหรือใครสักคน คงจะแกะรอยมาช่วยหรือแจ้งนครบาลให้มาจับ เพราะโบสถ์ร้างหลังนั้นถูกพรางซ่อนปกปิดไว้ให้กลมกลืนอยู่ในป่าอย่างลึกลับ ยากที่คนอื่นจะหาเจอได้ นอกจากคนพื้นที่หรือคนเก่าแก่เท่านั้นที่รู้จัก
แกรก แกรก แกรก เสียงเท้าคนเหยียบบนใบไม้ตามมาจากด้านหลัง บ่าวหญิงรู้ดีว่าหัวหน้าโจรอั้งยี่คงส่งลูกน้องมาเฝ้าดูพฤติกรรม ซึ่งก็เหมือนกับคราวที่หลอกแก้วบาหยันให้มาติดกับโดนจับ
แกรก แกรก แกรก ... จู่ๆเสียงก็ฝีเท้าก็เงียบไป
ไม่ตามมาแล้วงั้นรึ อำแดงดวงตะโกนถามไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ ไม่มีคำตอบหรือลมหายใจของใครให้ได้ยิน ราวกับว่าผู้ที่ตามมานั้นล่องหนหายไป
ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ข้ารู้นะว่าเอ็งเป็นใคร อำแดงดวงตะโกนเรียก พร้อมมองไปรอบๆเพื่อสำรวจดูว่าผู้ที่ตามมานั้นไปอยู่ที่ไหน แต่มันก็มืดเกินกว่าที่จะสอดส่องตาให้ทั่วทุกซอกเพราะพระจันทร์ถูกบังด้วยเมฆจนมืดมิด
หึหึ เสียงหัวเราะเบาๆพ่นออกมาจากทางจมูกของใครบางคนดังมาจากต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่จะหันไปดู บ่าวหญิงก็โดนอีกฝ่ายใช้แขนรัดคอกระชากลากลงมานอนกับพื้น และใช้ดาบขู่ พูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ลื้ออย่าดิ้นนะ! ไม่งั้นอั้วจะบั่นคอลื้อให้ขาดบัดเดี๋ยวนี้!
เอ็งจะฆ่าข้าทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดไปจากคำของสั่งท่านหัวหน้าเลยสักนิด อำแดงดวงพูดและใช้มือที่ว่างพยายามเกลี่ยก้อนกรวดสีให้มารวมอยู่ในกระจุกเดียวกันที่ก้นถุง เพื่อที่จะใช้มันเป็นอาวุธในโอกาสที่ได้จังหวะ
แต่ชายอั้งยี่ดันรู้ทัน ใช้จังหวะที่เร็วกว่า รีบไปบีบที่ข้อมือของบ่าวหญิงราวกับจะกำกระดูกให้แหลกแตกละเอียด อย่านึกนะว่าอั๊วไม่รู้ว่าลื้อจะทำอะไร
อำแดงดวงสุดที่จะทนไหวจึงร้องไห้ออกมาเพื่อแทนการกรีดร้องเจ็บปวด ยอมกัดฟันฝืนใจอดทนไว้เพื่อให้ตัวเองชินชา แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงชายของอีกฝ่ายได้ ก็เลยต้องยอมปล่อยถุงก้อนกรวดสีทิ้งไป
ลื้อซ่อนอะไรไว้อีกไหม เอาออกมาให้หมด ชายอั้งยี่จับบ่าวหญิงชิดกับต้นไม้ และเริ่มค้นสำรวจภายนอกตามเสื้อผ้าและรองเท้าว่ามีอะไรซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆอีกไหม ซึ่งก็ไม่พบอะไร แต่แหลือเพียงสองที่ที่ยังไม่ได้ค้น นั่นก็คือในกระโปรงและเสื้อ
อย่านะ! อำแดงดวงเอามือปิดหน้าอกและหุบขาทันที เมื่อเห็นสายตาของชายอั้งยี่จ้องเธอตาเป็นมันตั้งแต่หน้าอกจรดปลายเท้า
ชายอั้งยี่มองไปที่เสื้อคอปิดของอีกฝ่าย ก็คิดว่าคงซ่อนของอะไรได้ยาก ก็เลยมุ่งความสนใจมาที่ขาทั้งสองที่หุบเข้าไปในกระโปรงอย่างมิดชิด ซึ่งอาจซ่อนอาวุธอะไรบางอย่างไว้ในถุงน่องสีดำ ก็เลยตะคอกถาม ลื้อซ่อนอะไรไว้ใต้กระโปรง
ไม่มี บ่าวหญิงตอบห้วนๆ และขยับขาขยุกขยิกไปมาอย่างมีพิรุธ
ด้วยความหงุดหงิดสงสัยในสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในกระโปรง ชายอั้งยี่จึงใช้กำลังอันกำยำดึงขาของอีกฝ่ายออกมาดูให้ได้ ส่วนบ่าวหญิงพยายามใช้แขนทั้งสองยึดต้นไม้ไว้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนอย่างราบคาบ ยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปเพราะไม่อยากจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ถ้าขัดขืนยืนกรานจะต่อกรด้วยไม้แข็งก็จะมีแต่เจ็บตัว
ชายอั้งยี่ใช้มืออีกข้างถือดาบจ่อไปที่คอของบ่าวหญิง และใช้มืออีกข้างเปิดกระโปรงออก ค่อยๆถกจนไปเห็นถึงปลีน่องที่ห่อหุ้มด้วยถุงน่องขาดลุ่ยสีดำลายลูกไม้ จากนั้นก็ค่อยๆใช้นิ้วดึงถุงน่องออกมา แต่ก็ไม่พบอะไรซ่อนอยู่ มีเพียงท่อนขาขาวนวลสวยที่ผิดจากผิวแดงดำสากกร้านจากภายนอก
ตอนนี้อารมณ์ของชายอั้งยี่เปลี่ยนไป จากเดิมที่โมโห กลับรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ด้วยเพราะเดินทางรอนแรมหลบซ่อนตัวมานาน จึงโหยหาและอดอยากกับเรื่องสตรีเป็นอย่างมาก พอมาเจอสิ่งยั่วยวนแบบไม่ตั้งตัว ฤิทธ์ฝิ่นและเหล้าก็เร่งเร้าความกำหนัดในสันดานให้เกิดขึ้น ซึ่งถึงแม้หน้าตาของอำแดงดวงจะดูทรุดโทรมไปบ้าง แต่ทรวดทรงก็ยังดูเบ่งบานสะพร่งไม่ต่างจากสาวเจริญพันธ์ หน้าตาที่ดูแก่ลงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ยังคงมีเค้าความคมคายของสาวอินเดียนแดงอยู่บ้าง มันเลยทำให้โจรอั้งยี่ผู้กลัดมันเกิดอาการหน้ามืด หมายที่จะระเริงสวาทกับบ่าวหญิงผู้โชคร้ายให้หายอยาก แล้วค่อยจัดการฆ่าให้ตายทีหลังตามคำสั่งหัวหน้า
เอ็งจะทำอะไรข้า อำแดงดวงพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น เมื่อเห็นชายอั้งยี่เริ่มใช้นิ้วทั้งห้าลูบไล้เล่นที่ปลีน่องจนถึงหัวเข่า และทำท่าจะใช้มือล้วงเข้าไปให้ลึกอีก
ชายอั้งยี่ไม่พูดอะไร และยังคงใช้นิ้วมือไล่ละเลงไปที่ผิวเนื้อที่ท่อนขาเล่นอย่างคนหื่นกระหาย
ข้ารู้นะ ว่าเอ็งต้องการอะไร ใช้มือเดียวมันจะสำราญถึงใจได้อย่างไรเล่า อำแดงดวงยิ้ม และค่อยๆแยกขาออกให้กว้างกว่าเดิมเท่าที่จะทำได้ เพราะกระโปรงที่สวมอยู่มันมีหลายชั้นและแคบในช่วงท่อนบน
ชายอั้งยี่เห็นปฏิกิริยาแบบนี้ ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงความยินยอม เลยลดดาบที่จ่อคอหอยลง และโยนออกไปไกลจากตรงนั้น เพราะกลัวว่าจะโดนทำร้ายทีหลัง
ทิ้งดาบไปไกลเยี่ยงนั้น แล้วเอ็งจะใช้ดาบที่ไหนมาขู่ข้าเล่า อำแดงดวงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแฝงนัยยะเย้ายวนอีกฝ่าย
อั๊วมีกระบี่จีนหนึ่งเล่ม แลมีดสั้นอีกหนึ่งเล่ม ลื้ออยากโดนอันใดขู่ก็บอกมาซี ชายอั้งยี่ตอบกลับไปอย่างสำบัดสำนวนเช่นกัน และใช้มือทั้งสองลูบไล้ไปมาที่ข้อเท้าของอีกฝ่าย
อำแดงดวงยิ้มยั่ว โน้มหน้าเข้ามาหาใกล้ๆและกระซิบบอกที่หู ในบรรดาอาวุธทั้งหมด เขาว่ากันว่า มีดสั้นเนี่ยหนา ฤิทธิ์ดีนักแล
ชายอั้งยี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ โน้มตัวลงบรรเลงเพลงมีดสั้น ค่อยๆไล่ลู่เล้าโลมเลียขาทั้งสองของบ่าวหญิงไปเรื่อยๆจนเลยไปถึงหัวเข่า แต่ขึ้นไปมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะติดตรงที่กระโปรงมันหนาและทรงแคบ เลยอยากที่จะถกขึ้นไป
ถ้าถกขึ้นไม่ได้ ก็มุดเข้าไปเสียสิ อำแดงดวงพูด
ด้วยความกำหนัดที่สุดขีด ชายอั้งยี่ดันหัวตัวเองเข้าไปภายใต้กระโปรงด้านในทันที และในระหว่างนั้นเอง อำแดงดวงใช้มือที่ว่างมาควานหาก้อนหินบริเวณรอบโคนต้นไม้ และก็ออกแรงสุดกำลังใช้หินก้อนใหญ่ทุบไปที่ท้ายทอยชายอั้งยี่อย่างเต็มแรง แต่ชายอั้งยี่ก็ยังไม่สลบเสียทีเดียว พยายามจะลุกขึ้นมาต่อสู้ เธอก็เลยเอากระโปรงครอบที่หัวให้หายใจไม่ออก และจัดการทุบอีกหลายครั้งด้วยความโกรธ จนกระทั่งแน่นิ่งไป ไร้ซึ่งเสียงลมหายใจ
อำแดงดวงรีบยืนขึ้น มองดูร่างของชายอั้งยี่ที่อาบเลือดด้วยความกลัว แต่ก็พยายามรวบรวมสติ รีบวิ่งไปหยิบดาบที่ถูกปาออกไป เพื่อมาจัดการเลาะหนังหัวของผู้ตายออกมาเป็นแผ่น แล้วก็จับนอนคว่ำหน้าเหมือนเดิม หลังจากนั้นก็หยิบขนนกอินทรีที่ซ่อนไว้ในด้านหลังเสื้อ เอาออกมาทำกรรมวิธีแลกเปลี่ยนตามความเชื่อของเผ่าที่ว่า หัวคือสิ่งที่สูงสุด เมื่อได้หนังหัวมาครอบครอง ก็ถือว่าเป็นสัญญะแห่งชัยชนะ อีกทั้งวิญญาณที่ตายไปก็จะมาปองร้ายไม่ได้ในภายหลัง
ต่อจากนี้เอ็งกับข้าจบสิ้นต่อกัน ขนวิหคพญาอินทรีนี้เป็นของเอ็ง เจ้าวิหคแห่งสายลมจะนำพาเอ็งไปสู่สวรรค์ที่ขอบฟ้า ส่วนหนังหัวเอ็งนี้เป็นของข้า โปรดจงอย่ามายุ่งกับข้าอีก อำแดงดวงพูดเสร็จก็เอาแผ่นหนังหัวสะบัดเลือดที่เลอะออก ใช้ใบไม้ถูเล็กน้อยพอหมาดๆ แล้วก็พับซ่อนเก็บเหน็บซ่อนไว้ที่เข็มขัดผ้า และก็รีบเดินหนีออกไปทันที
+++++++++++++
ต่อด้านล่างเลยค่ะ