เหย้าบาหยัน : บทที่๒
 เรื่องโดย  แรม๑๓

บทที่ ๒
หลอกหลอน

                ชายหนุ่มลึกลับที่มากับกลิ่นการเวก บัดนี้..เขายืนอยู่เบื้องหน้าแก้วห่างเพียงแค่สุดแขนเอื้อม  ใบหน้าเค้าเปรอะไปด้วยคราบเขม่าดำเปื้อนตั้งแต่หน้าผากพาดไปถึงสันโด่งของจมูก  ดวงตาคมสีฟ้าครามคลอน้ำตาความเศร้าอยู่ที่เบ้าจนเอ่อล้น   ริมฝีปากแตกเป็นแผลเลือดไหลซึมซิบออกมาอยู่เรื่อยๆ  เศษฝุ่นที่เลอะอยู่ตรงกลางกระหม่อมทำให้ผมน้ำตาลดำกลายเป็นสีขาวโพลนราวกับคนแก่   ชุดสไตล์วิคตอเรี่ยนโบราณที่สวมใส่ดูเกรอะกรังเลอะเป็นปื้นสกปรกทั่วทั้งตัว  การแต่งกายและหน้าตาออกไปเชิงฝรั่ง แต่ผิวพรรณกลับดูคล้ำเข้มเหมือนคนไทยก็ไม่ปาน   

                      “ หล่อนเห็นฉันใช่ไหม? ” 
                     ชายหนุ่มลึกลับเริ่มต้นบทสทนากับแก้วด้วยน้ำเสียงสั่นเครือปนสะอื้น 

                     “ ค่ะฉันเห็น คุณใช่ไหมคะ...ที่เรียกฉันอยู่ตลอดเวลา? ”  

                     “ ใช่...ฉันเอง ”   
                     ชายลึกลับแย้มรอยยิ้มที่ริมฝีปากเล็กน้อย  แววตายังคงสกาวเป็นวาวด้วยน้ำตาเพราะความดีใจอย่างเอ่อล้น 

                     “ คุณเป็นใคร? และคุณต้องการอะไรจากฉันหรือเปล่าคะ ? ”

                     “ ฉันขจร  หล่อนจำฉันเสียไม่ได้หรอกหรือแม่แก้วกานดา? ” 

                     “ ฉันไม่ใช่แก้วกานดา ฉันชื่อกิ่งแก้วกาหลง คุณจำผิดคนแล้วมั้งคะ ”

                     “ หล่อนมิใช่แม่แก้วกานดาของฉันดอกหรือ?  ทำไมหน้าหล่อนมันช่างละม้ายเสียเหลือเกิน ”  ขจรก้มหน้าเศร้าละห้อยพูดตัดพ้อพึมพำด้วยความผิดหวัง 

                     “ มันคงเป็นการเข้าใจผิดกันหน่ะค่ะ  ว่าแต่...”  
                     ยังไม่ทันที่แก้วจะถามต่อ ขจรก็พูดแทรกขึ้นมาทันที

                     “  แต่ถ้าหล่อนหาใช่แม่แก้วกานดาของฉันไม่ เหตุใดหล่อนถึงเห็นฉันเล่า  ฉันรอเวลามาร้อยกว่าปีอยู่ที่นี้อย่างไร้ตัวตน  มิเคยมีใครเลยที่ผ่านมาจะสามารถสื่อสารหรือพบเห็นฉันได้นอกจากหล่อน  ” 

                     “ เดี๋ยวก่อนนะคะ ร้อยกว่าปี!  คุณหมายความว่ายังไงคะ ? ”  แก้วถามขจรด้วยความตกใจ

                     “ จากวันที่เกิดไฟไหม้..จวบจนปัจจุบัน หล่อนคิดคำนวณดูเถิด..ว่ามันล่วงมานานเท่าใดแล้ว ”

                     “ นั่นมันร้อยกว่าปีแล้วนะคะ   เอ๊ะ ! หรือนี่คือการแสดงโชว์แสงสีเสียงของอันเดอร์การาวทัวร์หรือเปล่าคะ แหม ฉันไม่นึกเลยนะคะว่าเค้าจะมีไกด์สำหรับคนไทยด้วย สมจริงมากๆเลยค่ะ ทั้งฉากจำลอง และนักแสดง  ”

                      “ มันหาใช่การแสดงอันใดไม่ แต่มันคือเรื่องจริงที่ฉันเจอ แล้วหล่อนก็สามารถเห็นมันผ่านดวงจิตของฉัน ฉันก็มิรู้เหมือนกันว่าทำไม  ได้โปรดเถอะ พาฉันกลับบ้านที ฉันคิดถึงบ้าน "  น้ำเสียงของขจรเศร้าสั่นเครือเมื่อพูดคำว่าบ้าน

                       ทันใดนั้นป้ายร้านค้าที่ติดเปลวไฟก็หล่นลงมาทับร่างของขจรจนไฟลุกท่วมตัว แรงกระแทกของร้านที่พังถล่มลงมาทำให้ตัวของขจรและแก้วกระเด็นไปคนละทิศ  ขจรนอนกลิ้งดิ้นพล่านกับพื้นทุรนทุรายอย่างทรมานด้วยความเจ็บปวด  เปลวเพลิงเริ่มเผาเสื้อผ้าไหม้ขาดวิ่นแหว่งเป็นเว้าภายในพริบตา 

                      “ คุณขจรรรรร! ” แก้วตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจ

                      ร้านค้าอาคารรอบด้านพังทลายหล่นลงมาขวางทางระหว่างแก้วกับขจร  พายุเพลิงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน   ขจรร้องโหยหวนด้วยความแสบร้อนของพิษเพลิงที่กำลังเผาเค้าทั้งเป็น  ความสยดสยองของการย่างสดคนเป็นมันทำให้แก้วสะพรึงนิ่งตะลึงไม่กล้าแม้จะขยับม่านตาให้ปิด   กลิ่นอบอวลสะอิดเอียดของการเวกที่ผสมกับกลิ่นเนื้อไหม้เรียกสติของเธอคืนมา   เธอเริ่มมองหาคนที่จะมาช่วยขจร  มีแต่คนวิ่งหนีไปมากันอย่างอลหม่านเพื่อเอาชีวิตรอด  ไม่มีใครเลยสักคนที่จะช่วยกันดับไฟหรือช่วยเหลือคนรอบข้าง 

                    แต่แล้ว.....เสียงร้องของขจรก็เงียบลง 

                    ขจรนอนแน่นิ่งปล่อยให้เปลวไฟลุกโชนครอกทั้งลำตัว   ไฟกำลังลุกไหม้ลามมาถึงต้นคอและใบหน้า  มีเพียงกรามกระดูกที่ไร้หนังหุ้มยังคงเกร็งอ้าปากค้างอยู่    หนังชั้นนอกที่หน้าค่อยๆลอกปลิ้นเป็นริ้วใกล้เกรียมขึ้นเรื่อยๆ  ผนังพังผืดและเส้นเลือดเริ่มหดตัวละลายกลายเป็นลิ่มผสมไปกับน้ำหนองที่นองอยู่ในหลุมเบ้าตา 

                   ลมระลอกที่สองพัดกระหน่ำราบมาที่พื้นทำให้เถ้าธุลีฝุ่นจากไม้ไหม้ฟุ้งกระจายขึ้นท้องฟ้าราวกับเมฆฝนครึ้ม  แก้วรีบนั่งก้มหน้าเพื่อหลบมัน แต่เศษละอองฝุ่นก็เข้าตาจนได้  เธอะรีบขยี้ตาด้วยความระคายเคือง

                   “ ขยี้ตาทำไมแก้ว? ” เสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

                   “ ฝุ่นเข้าตา! ”  แก้วลืมตาขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกหายระเคือง  คนที่อยู่เบื้องหน้าเธอก็คือ มนตรี “ มนตรี!   ช่วยด้วย! ” แก้วเขย่าตัวมนตรีด้วยความตื่นตกใจ

                   “ มีอะไร? เกิดอะไรขี้น? ”

                   “ ไฟไหม้! ไฟกำลังไหม้แล้ว! ”  แก้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหน้าตกตระหนื่น

                   “ ไฟที่ไหนไหม้?   อินมากหรือเปล่าเนี้ย ”

                   “ ไฟกำลังไหม้หมดเมือง!  และก็.....คุณขจร  ใช่แล้ว..คุณขจร!  เร็วเข้ามนตรี! ไฟกำลังคลอกคุณขจร!  เดินไปที่ร้านนั้นเร็ว!” แก้วรีบลุกขึ้นจากพื้นเพื่อวิ่งออกไปช่วยขจร  แต่บรรยากาศรอบตัวทำให้เธอต้องชะงัก เพราะมันไม่มีร้านหรือเพลิงไหม้ที่ไหนเลย มีเพียงแต่ซากปรักหักพังและกำแพงอิฐเก่าๆของเมืองใต้ดินกองอยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น  “ นี่ฉันอยู่ไหนเนี้ย? ”

                    “ อ้าวถามได้ ก็เรายังอยู่โซนที่หนึ่งของเมืองใต้ดินอยู่เลยไง แกเป็นอะไรหรือเปล่าเนี้ย ท่าทางจะอินเรื่องไฟไหม้ที่ไกด์เล่าใช่มะ ฉันไปตรงโน้นแวบเดียว  กลับมาก็เห็นแกนั่งขยี้ตาอยู่ข้างกำแพง ไหนบอกจะถ่ายรูปตรงสกายไล้ท์ไง  ถ้ายังไม่เสร็จก็รีบหน่อยนะ เดี๋ยวเค้าจะออกกันแล้ว ” 

                    “ ออกไปไหน?  ”

                    “ ก็ทัวร์จบแล้วนิจะอยู่ทำไม”

                    “​ อะไรกัน!  แล้วโซนอื่นๆหล่ะ เรายังไม่ได้ไปเลยนะ ”

                    “ เค้าปิดปรับปรุงชั่วคราวน่ะ จู่ๆทางเดินกับไฟมันก็ชำรุด ”

                    “ ฉันอยากไปดูโซนที่เป็นซากโรงแรมร้าง   แกพาฉันไปก่อนที่จะออกจากที่นี่ได้ไหม ”

                    “ โรงแรมร้างมันไม่ได้อยู่โซนนี้นะ มันอยู่โซนที่ปิดปรับปรุงนั่นแหล่ะ ”

                    “ มันต้องอยู่ที่นี้สิ ก็ฉันเพิ่งไป...”  แก้วนึกขึ้นได้ว่าตราบใดที่สิ่งที่เห็นพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ควรพูดต่อเพราะมันจะให้มนตรีคิดว่าเธอเพ้อเจ้อ

                    “ ไปอะไร ? “

                    “ ป่าวไม่มีอะไร  ช่างมันเถอะ  เออ...ว่าแต่ ไอ้โรงแร้มร้างมันชื่อว่าอะไรนะ ใช่Orientalหรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจ ? ”

                    “ Ocidentalไม่ใช่Oriental   แหม ดูท่าทางเธอจะสนใจที่นี่ขึ้นมาเชียวนะ ฉันบอกแล้วไงว่าอันเดอร์กราวทัวร์เนี้ยไฮไล้ท์ของซีเแอตเทิ้ล   ถ้าอยากดูให้ครบจริงๆก็มาพรุ่งนี้ใหม่สิ่ แต่ฉันไม่มาด้วยแล้วนะ   แต่ตอนเนี้ยถ้าไม่คิดจะถ่ายรูปต่อก็ไปเถอะ  กรุ๊ปของเรากำลังทยอยออกจนจะหมดแล้ว ”

                     ไกด์ทัวร์เดินมาตามเพื่อเร่งให้แก้วและมนตรีขึ้นมาจากเมืองใต้ดิน  เพราะอีกไม่นานก็จะมีกรุ๊ปอื่นลงไปทัวร์เหมือนกัน  ไม่มีรอบไหนของอันเดอร์กราวทัวร์ที่จะมีการแสดงโชว์ประกอบประวัติศาสตร์  ในทุกรอบๆ ไกด์ก็จะพาผู้ชมลงไปสำรวจซากเมืองร้างที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น  จุดPioneer Squareที่เกิดเหตุไฟไหม้เมื่อร้อยปีก่อน ปัจจุบันบริเวณนั้นก็ถูกล้อมรอบไปด้วยตึกอาคารสูงใหญ่เต็มไปหมดแล้ว เรื่องราวและร่องรอยทั้งหมดถูกกลบเก็บไว้ใต้ดินเพื่อเป็นอนุสรณ์และประวัติศาสตร์ให้ผู้สนใจเค้ามาชมและเรียนรู้เท่านั้น
++++++++++++


                มนตรีพาแก้วมาที่ร้านPronto pizza & pastaตามสัญญา  มันเป็นร้านพิซซ่าเล็กๆที่อยู่ติดกับจุดขายตั๋วอันเดอร์กราวทัวร์  

              “ ปกติร้านนี้คนเยอะหรือเปล่า? “

              “ ไม่ค่อยอ่ะ ”

              “ แล้วแกพาฉันมาทำไมเนี้ย แทนที่จะไปกินอาหารอร่อยๆที่ร้านอาหารไทย ”

              “ ก็ฉันชอบร้านนี้นี่หน่า อร่อยดี พิซซ่าโฮมเมดแบบดั้งเดิมมีไม่กี่เจ้าหรอกในเมืองเนี้ย ”

              “ คนที่นี้ไม่ชอบกินพิซซ่าโฮมเมดกันเหรอ ร้านถึงได้เงียบเหงาขนาดเนี้ย ”

              “ ครึ่งๆอ่ะ แต่คนส่วนใหญ่ชอบไปกิน Mod’s Pizza เพราะมันมีหน้าหลากหลายกว่า เดี๋ยวฉันไปเอาพิซซ่าให้นะ น่าจะอบเสร็จแหล่ะ ”

              มนตรีเดินถือพิซซ่ามาพร้อมกับสลัดจานใหญ่  กลิ่นพิซซ่าแบบโฮมเมดร้อนๆจากเตามันหอมกรุ่นเรียกอาการท้องร้องหิวได้เลยทีเดียว  เมื่อมนตรีวางอาหารลงบนโต๊ะ แก้วกลับทำหน้าผงะทันที

              “ ฉันว่าฉันกินไม่ลงแล้วหล่ะ”

              “ ทำไมอ่ะ!?  ไม่ชอบหน้าPepperoniเหรอ  อร่อยนะ ” มนตรีหยิบพิซซ่าออกมาจากถาดแล้วราดด้วยซอสมะเขือเทศ 

              “ วันนี้ฉันไม่อยากกินอะไรทำนองเนี้ยอ่ะ แล้วแกก็ช่วยหยุดราดซอสไปบนพิซซ่าได้ไหม ”
               แผ่นเป็ปโปโรนี่สีแดงสดบนพิซซ่ามันทำให้แก้วนึกภาพเนื้อบนหน้าของขจรที่เพิ่งถูกไฟเผาสุก  ต่อให้พิซซ่ากลิ่นหอมแค่ไหน มันก็ยากที่จะลืมภาพสยองขวัญแบบนั้นไปได้ 

               “ ไม่สนจริงเหรอ ขอบแป้งกรอบๆเลยนะเนี้ย เอ..ตรงนี้เกรียมไปหน่อยเนอะ ดูซิชีสที่โรยหน้าพิซซ่าละลายกับซอสมะเขือเทศอร่อยมากๆ ทำไมไม่ลองซะหน่อยหล่ะ  ”

              “ ฉันว่ามันดูหยะ..เอ่อมแหยะไปหน่อยนะ” 
              ใจของแก้วเกือบจะหลุดพูดคำว่าหยะแหยง แต่ก็ดีที่เธอระงับคำไว้ทัน

              “ เยิ้มสิ่อร่อย มันเยิ้มๆจากเนื้อเป็ปโปโรนี่มันฉ่ำอร่อยคู่กับชีสมากๆเลยนะ ” 
              มนตรีใช้มือห่อพิซซ่าให้กระชับเพื่อสะดวกตอนเข้าปาก แต่พอห่อแล้ว น้ำซอสและชีสมันก็ไหลเยิ้มย้อยตกหยดลงมานองบนจาน

              “ เหมาไปให้หมดเลยนะพิซซ่าถาดเนี้ย ฉันกินสลัดดีกว่า  เออ..มน ฉันถามอะไรหน่อย ”

              “ อืมว่ามา ”

              “​ ตอนเหตุการ์ณไฟไหม้ มีคนตายหรือเปล่า? ”

              “ รู้สึกจะไม่มีนะ ทุกคนในเมืองปลอดภัย จะมีก็แค่พวกม้ากับสัตว์เลี้ยงเท่านั้นแหล่ะที่ตาย”

              “  ไม่มีคนตายเลยหรอ!? ”

              “ ใช่ ถามทำไม?  กลัวเจอผีเหรอไง? ฮ่าๆๆ ” 

              “ ป่าววว ก็แค่อยากรู้ “

              “ ถึงจะไม่มีคนตาย แต่คนหายนี่ฉันไม่รู้นะ เพราะจะว่าไปแล้ว คนก็เจอผีกันที่นี่บ่อยเหมือนกัน   รายการพวกGhost Hunterยังเคยมาถ่ายที่นี่เลย แต่ก็ไม่เจออะไร เจอแต่เสียงกับเงา เร็วๆนี้จะมาถ่ายอีกรอบ สนใจไปไหมหล่ะ? ”

               “ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง เรื่องที่ฉันอยากรู้มากกว่าก็คือผีที่เค้าเจอมันเป็นผีผู้ชายหรือผู้หญิง?”

               ​”  ผีที่เค้าเจอส่วนใหญ่ก็เป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็คงเป็นคนเก่าคนแก่หล่ะมั้ง คงไม่ใช่ผีที่ตายจากไฟไหม้หรอก   ตามบันทึกเค้าบอกว่าไม่มีคนตาย  แต่ฉันก็เชื่อว่ามันต้องมีบ้างหล่ะนะ เพราะคิดดูหล่ะกัน ไหม้ติดกันทั้งถนนเป็นบล๊อกๆเลยนะ  ตั้งแต่บ่ายโมงยันมืด ไฟก็ยังไม่ดับ  มันต้องมีคนที่หนีไม่รอดมั้งสิ่ว่ามะ “

                “ ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหล่ะ   เอ่อ...แล้วนายรู้จักไอ้ Frye Opera Houseอะไรนี่มะ”

                “ อ๋อ ก็คนเห็นว่าไฟไหม้จากจุดนั้นเป็นจุดแรก อันนี้ตามคำบอกเล่าของคนในเมืองอ่ะนะ“

               ​ “ แล้วตกลงต้นเพลิงมันมายังไงกันแน่?  และใครเป็นคนทำ? ”

                “  รู้สึกว่าต้นเหตุจะมาจากคนที่ชื่อJohn Back  ตาคนนี้ทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ร้านไม้  แกอุ่นกาวจนเดือดแล้วทะลักออกมา ไอ้สะเก็ดไฟและกาวก็เลยไปหล่นที่พื้น ไอ้พื้นเนี้ยก็ดันมีขี้เลื่อยและหยดน้ำมันสนอยู่เต็มไปหมด  ชั้นสองก็เป็นร้านสี งานนี้ไฟก็เลยลุกลามไปใหญ่โต   ครั้งนั้นอ่ะมันถือว่าเป็นไฟไหม้ครั้งใหญ่มากเลยนะ เค้าก็เลยเรียกกันว่าGreat Seattle Fireไงหล่ะ  โอยแก้ว!  ตอนนี้ฉันหิวอ่ะ ขอกินพิซซ่าก่อนนะ อยากรู้อะไรเพิ่มเติมรอฟังไกด์พรุ่งนี้แล้วกันเนอะ ”

                 “ อ้าวหยุดเล่าซะงั้น ฉันรอถามไกด์พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ขออีกคำถามนึงสิ  คนชื่อจอห์นที่นายว่า หน้าตาเค้าเป็นยังไง? เป็นคนไทยป่ะ? ”

                 “ ฮ่าๆๆๆๆ จะบ้าเหรอแก้ว นายจอห์น แบ็คเป็นคนอเมริกันแท้เลยนะ และอีกอย่างคนไทยจะมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง    ”

                 “ ฉันก็แค่สงสัย ช่างมันเถอะ แล้วเรากินเสร็จจะไปไหนต่อล่ะ? ”

                 “ ไปPike Place Market  แกอยากได้ดอกไม้สดๆไปถวายพระพรุ่งนี้ไม่ใช่หรอ ตลาดนั่นมีสดๆเพียบเลย ราคาดีด้วย  ”

                  “ ไพ๊ค์เพลซมาร์เก็ตหรอ ดีเหมือนกันนะ  เมื่อวานไปวัดก็ไม่มีดอกไม้ไปถวายพระเลย  พรุ่งนี้ฉันว่าฉันจะทำบุญใหญ่ซะหน่อย ”

++++++++





Create Date : 05 มิถุนายน 2556
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 6:17:34 น.
Counter : 601 Pageviews.

5 comments
  
ต่อความเห็นที่ 1 ก็ได้ค่ะ คุณมะลิ ^^

ตัวหนังสือใหญ่ขึ้นแล้ว ดีจัง

โดย: lovereason วันที่: 5 มิถุนายน 2556 เวลา:21:17:26 น.
  
รออ่านตอนต่ออยู่นะครับ ว่าแต่ผมยังเคยแอบเห็นบางคนพิมพ์แล้วมาวางที่บล็อกแก๊งได้ตั้งสามสิบหน้าเวิร์ดเลย
โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 5 มิถุนายน 2556 เวลา:22:36:23 น.
  
มาอ่านต่อกันเลยค่ะ>>>>


“ How much is it? ”

“ แก้วทำไรอยู่ ” มนตรีเดินมาสะกิดแก้วจากด้านหลัง

“​ ฉันกำลังซื้อตระกร้ายายคนนี้อยู่นี่ไง ฉันว่ามันสวยแปลกตาดีอ่ะ ”

“ ไหน? ตระกร้าอะไรของเธอจ๊ะ “

“ นี่ไง อ้าว...ไปไหนแล้วหล่ะ เมื้อกี้ยายเค้ายังนั่งตรงนี้อยู่เลย”
แก้วพยายามมองหาว่ายายอาจหลบไปตรงจุดอื่น แต่ตรงนี้มันคือทางตัน ไม่มีทางที่ยายคนนั้นจะหลบซ่อนตัวได้ที่ไหนเลย

“ ยายไหน?”

“ ก็ยายคนเมื่อเกี้ย ที่หน้าเหมือนพวกNative Americanอ้ะ เดินไปไหนแล้วเนี้ย"

​ “ ยายหน้าแบบอินเดี้ยนแล้วขายตระกร้า? “

“ ใช่ แกลองช่วยฉันหาสิ อ้าวนิ่งไปทำไม “

“ ยายที่ตัวเล็กๆแล้วโพกผ้าสีแดงที่หัว ส่วนตัวก็คลุมด้วยผ้าห่มสีแดงเหมือนกันใช่ป่ะ"

“ เออใช่ ไหน? ไหน? อยู่ไหนหล่ะ? “

มนตรีหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อสิ่งที่แก้วเห็นมันตรงกับที่เขาอธิบาย
“​ ฉันว่าที่แกเห็นน่าจะเป็น คุณยายPrincess Angeline “

“ คุณยายPrincess Angeline ? คุณยายเป็นเจ้าหญิงชื่อแอนเจลีนงั้นเหรอ? "
“ มีคนเห็นบ่อย แต่ไม่เห็นมานานแหล่ะ “

“ ทำไมหล่ะ? “

“ ก็ยายแอนเจอลีนตายไปร้อยกว่าปีก่อนตลาดนี้จะเกิดซะอีก คนต่างถิ่นที่มาเที่ยวจะเห็นกันบ่อย คนที่นี้เค้าคิดว่ายายยังชอบมาวนเวียนอยู่ที่ตลาดอยู่เป็นประจำไม่ไปไหน ”

“ แกจะบอกว่าฉันเห็นผีงั้นเหรอ ”

“ ถ้าที่แกเล่ารูปร่างมาก็ใช่เลยอ่ะ หึยขนลุก! ”

“ แล้วทำไมเค้าต้องมาให้ฉันเห็นด้วยหล่ะ ฉันไม่ได้มีญาติเป็นคนอินเดียนแดงนะ ”

“ คนเห็นผีมีอยู่สองกรณีคือมีบุญ หรือไม่ก็มีกรรมร่วมกับผี ”

“ ฉันว่าคงไม่ใช่กรรมหรอกนะ เอ๊ะ!หรือว่าเค้ารู้ว่าฉันจะไปทำบุญเลยมาขอส่วนบุญ ”

“ อันนี้ฉันก็ไม่รู้นะ แล้วผีที่เป็นเนทีฟอเมริกันด้วย ผีแบบนี้จะต้องการบุญจากเราด้วยเหรอ เอาไว้ถามหลวงพ่อที่วัดพรุ่งนี้หล่ะกันแก้ว ฉันว่าเราไปเดินรอบนอกตลาดดีไหม ตรงนี้มันเริ่มวังเวงแล้วหล่ะ ”

รอบนอกของตลาดเสมือนลานแสดงศิลปะเล็กๆของนักศิลปินอิสระ บางคนก็เอางานหัตถรรมทำมือมาวางขายในราคาถูก บางคนก็มาแสดงดนตรีเปิดหมวกสลับกับการเต้น

“ นี่มน ตกลงฉันก็ยังประหลาดใจเรื่องยายคนนั้นอยู่ดี มันเป็นไปได้ไง”

“ อยากพิสูจน์ป่ะหล่ะว่าใช่คนเดียวกันกับที่เธอเห็นไหม ”

“ ยังไง ?”

“ พรุ่งนี้หลังไปวัด ก็ไปที่MOHAIกับฉัน ที่นั้นมีนิทรรศการประวัติศาสตร์เมืองซีแอเทิ้ล ซึ่งปริ๊นเซสแอนเจลีนถือว่าเป็นส่วนนึงของประวัติศาสตร์เลยนะ และที่นั่นมันก็มีรูปคุณยายอยู่ด้วย “

“ ฉันอยากไปวันนี้ พาฉันไปเลยได้ไหม ”

“ ไปก็ได้ถ้าเธอไม่เหนื่อยนะ แต่ก่อนไปฉันขอไปซื้อสตาร์บั๊คมาจิบก่อนนะ ร้านเนี้ยร้านแรกของโลกเลยนะ เห็นโลโก้มะ? ยังเป็นสีน้ำตาลและตัวนางเงือกก็ยังไม่สวยเลย ยังไงแกก็ต้องลอง”

“ โหย แถวยาวขนาดนั้น ฉันไม่ไปต่อแถวหรอก “

“ เดี๋ยวฉันต่อให้ค้าบบนายหญิงงงง รออยู่แถวนี่แหล่ะขอรับ เอางี้นั่งให้เค้าวาดรูปฆ่าเวลาไหมหล่ะ 15นาทีก็เสร็จนะ คนวาดคนนี้ดังมากเลยนะ ไม่ได้ทำเป็นอาชีพแต่ทำเป็นศิลปะติสท์ๆไปงั้นอ่ะ ที่ดังก็เพราะเค้าวาดรูปได้เหมือนและเร็วมาก”

“ อืมก็น่าสนนะ ตามนั้นหล่ะกัน อยากรู้เหมือนกันว่าสิบห้านาทีจะทำออกมาดีไหม “

+++++++

คนที่วาดรูปให้แก้วเป็นผู้ชายเนทีฟอเมริกัน หน้าตาดูเผินๆคล้ายกับคนจีนผสมไทย แต่สิ่งที่ทำให้ดูรู้ว่าเป็นเนทีฟอเมริกันก็เพราะผมเปียยาวทั้งสองข้างกับผิวของเขาที่ออกสีดำแดง คนวาดรูปไม่พูดอะไรเลย เอาแต่ขะมักเขม้นกับรูปที่กำลังวาด

“ Finish yet? ” แก้วถามคนวาดรูปเพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยและอีดอัด

“ Almost done,lady ” ชายวาดรูปตอบแก้วด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ How long have been drawing? ” แก้วเริ่มชวนคุยต่อเพื่อคลายความน่าเบื่อ

“ I’ve been drawing since I was student in High School ”

“ What was your first drawing ? Portrait or Landscape? ”

“ My first drawing is portrait. It's young Princess Angeline 's portrait , not old one”

“ Princess Angeline !? Do you know her? ”

“ Of course ! She known as a mystery spirits for tourist , right? hahaha ”

“ Is it true that people still see her around Pike Place market? ”

“ คุยอะไรกันอยู่แก้ว กาแฟได้แล้ว ใกล้เสร็จยังเนี้ย ”
มนตรีเดินมาข้างหลังแก้วและยื่นกาแฟมาให้

“ เค้าบอกว่าใกล้แล้วนะ ฉันกำลังคุยเรื่องปริ๊นเซส..!!โอ้ย”
เด็กเล่นสเก็ซบอร์ดแล่นเข้ามาชนแก้วจนทำให้กาแฟหกเลอะที่ผ้าพันคอขณะกำลังจะจิบ

“ เปื้อนหมดเลยอ่ะ ของป้าฉันด้วย สีขาวซักยากด้วย ฉันรีบไปล้างให้คราบกาแฟมันจางหน่อยดีกว่า บอกคนวาดนะว่าเดี๋ยวฉันมา แต่ถ้าเสร็จแล้วก็ตามมาให้ฉันนะ”

++++++


แก้วเดินออกมาจากห้องน้ำก็เจอมนตรียืนคอยอยู่หน้าประตูและกำจ้องรูปด้วยความสีหน้าประหลาด “ อ้าวเสร็จแล้วหรอ ไหนดูซิ ”

เมื่อแก้วเห็นรูปก็ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ เพราะรูปที่เห็นมันเป็นภาพหญิงสาวใส่ชุดไทยสไบเฉียงทับกับเสื้อแขนยาว ผมสั้นเสยเป็นทรงกระทุ่มกลาย ใบหน้าเล็กเรียวสวยเป็นรูปไข่ คิ้วเค้มสวยเป็นโค้งรับกับหน้า ส่วนตาก็คมกลมหวานย้อยเหมือนนัยน์ตาแขก จมูกจรดปากดูกระจิดริดน่ารักจิ้มลิ้ม โหนกแก้มเป็นโนนเหมือนกลีบดอกบัว ผู้หญิงในรูปสวยคมเหมือนลูกครึ่งไทยกับแขกขาวผสมกัน
คนในภาพนี้แก้วคุ้นตาดี เพราะทุกครั้งที่ไปหาคุณย่า เธอจะเห็นภาพของผู้หญิงลักษณะหน้าตาแบบนี้อยู่ที่โถงรับแขก

“ เหมือนมาก! ”

“ เหมือนใคร? ”

“ เหมือนคุณเทียดบาหยัน เหมือนกันเป๊ะกับภาพที่อยู่ห้องโถงบ้านย่าฉัน ”

“ เฮ้ย! จะเป็นไปได้ไง ตาคนวาดรูปนั่นเค้าวาดรูปแกนะ ไม่ใช่รูปเทียดแก ”

“ ก็นั่นน่ะซิ ฉันขอไปคุยกับคนวาดรูปหน่อยนะ ”

“ ไม่ต้องไปแล้วล่ะแก้ว คนนั้นเค้ากลับบ้านไปแล้ว เพราะเมื่อกี้ฝนลงเม็ด ก็เลยรีบแยกย้าย ”

“ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาหาเค้าใหม่ ฉันไม่อยากไปไหนต่อแล้วหล่ะวันเนี้ย ฉันเพลียมากและก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี วันนี้ทังวันฉันเจอเรื่องบ้าๆอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ฉันขอกลับโรงแรมนะ ”

“ โอเค กลับไปนอนก่อน เดี๋ยวตอนหัวค่ำฉันมารับแกไปกินข้าว”

+++++++++++++


พออาบน้ำเสร็จแก้วล้มตัวลงนอนที่เตียงทันทีด้วยความเหนื่อยล้า เธอหลับตาเพื่อนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ ไม่ว่าจะเรื่องกลิ่นการเวกกับคุณขจรที่เมืองไฟไหม้ หรือจะเป็นปริ๊นเซสแอนเจอลีนที่ตลาด แล้วไหนจะรูปวาดคุณเทียดบาหยันอีก ทุกสิ่งที่เจอแทบจะหาจุดเชื่อมโยงหรือรอยต่อซึ่งกันและกันไม่ได้เลย

" น่อย น้อย หน้อยย...น๋อย น่อย นอย...น่อย น้อย หน้อยย...."
จู่ๆเสียงเอื้อนทำนองเพลงไทยเดิมที่แก้วเคยได้ยินก็ลอยแว่วมา แต่ว่าครั้งนี้มันสำเนียงดูแปร่งและผิดเพี้ยน อีกทั้งฟังแล้วเหมือนเสียงคนแก่ที่พูดไม่ชัด อยู่ดีๆแก้วก็เกิดอาการเกร็งและขยับตัวไม่ได้ เธอพยายามลืมตาแต่ก็ลืมไม่ขึ้น สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือการฟัง

" น่อย น้อย หน้อยย...น๋อย น่อย นอย...น่อย น้อย หน้อยย...."

เสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อยๆและค่อยๆลอยไล่มาจากระเบียง

จังหวะของเสียงดูช้าลง...
ช้าลง....ช้าลง........ช้าลง

เสียงมันเริ่มยานยืดจนฟังแทบไม่ชัด

เสียงนั้นเคลื่อนย้ายมาหยุดที่ปลายเตียง.

แล้ว....เสียงก็เงียบไป.......................

เพียงแค่ความเงียบเสี้ยววินาที จู่ๆก็มีนิ้วมือสากกร้านมาลู่ที่หลังสันเท้าทั้งสองข้างของแก้ว ความกร้านของมันเหมือนกระดาษทรายที่ขุยโดนฝนจนยับยุ่น
ทันใดนั้นมือคู่นั้นก็ย้ายมาจับที่หัวแก้วและก็ใช้มือค่อยๆสางสาวผมแก้วสยายแสกแหกออกมาสองข้าง จากนั้นก็กำผมแก้วรัดแน่นตึงและดึงราวกับจะให้หลุดออกจากหัวกระโหลก แรงหน่วงที่ดึงหัวมันเริ่มทวีความเจ็บขึ้นเรื่อยๆ มันเริ่มดึงแรงขึ้น แรงขึ้น โยกกระตุกผมไปมาราวกับเชือก แม้ตาแก้วจะปิดตาอยู่แต่น้ำตามันก็ไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ ออกไป! นี่ไม่ใช่ที่ของเอ็ง อย่ามายุ่งกับแม่แก้วของฉัน”
เสียงดุเกรี้ยวกราดดังขึ้นมาอีกมุมนึงของห้อง เสียงนั้นแก้วจำได้ดี
...มันคือเสียงของ "คุณขจร"


++++++จบบทที่ ๒ ++++++++
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 6 มิถุนายน 2556 เวลา:1:56:36 น.
  
มาต่อให้แล้วนะคะ

ขอบคุณคุณน้ำที่แนะนำ

ขอบคุณคุณอาณาจักรแห่งเราที่ติดตาม

ขออภัยถ้าFontตัวเล็กไปหน่อยในช่องComment
โดย: ม้าสามศอก วันที่: 6 มิถุนายน 2556 เวลา:1:58:04 น.
  
กำลังสนุกเลยครับ
โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 7 มิถุนายน 2556 เวลา:22:08:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ม้าสามศอก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



มะลิรายงานตัว สวัสดีค่ะ
New Comments
MY VIP Friend