.. หลวงพ่อ .. ตอนที่ ๘
           เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกรมตำรวจภูธรถูกส่งมาทำคดีสะเทือนขวัญซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆได้ นายร้อยเวรสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ปกครองลูกบ้านที่เป็นคนไปแจ้งความ ยายปริกและนางบัวสีสองคนแรกที่พบศพยายเมี้ยน ทิดปลอดคนที่ถูกตามมาช่วยภายหลัง คำให้การระบุตรงกันว่า ยายเมี้ยนเป็นคนดี ไม่มีศัตรูที่ไหน

           จากหลักฐานในที่เกิดเหตุและการชันสูตรเบื้องต้น มีเพียงคราบดินโคลนและรอยเท้าซึ่งเชื่อว่าเป็นของผู้ชายเท่านั้น ส่วนร่องรอยการต่อสู้ที่คาดว่าเกิดขึ้น คือบาดแผลที่ถูกกระแทกจนหัวแตก อีกทั้งสันนิษฐานไปถึงอาจมีการปิดปากปิดจมูกไม่ให้ส่งเสียงนานเกินไปจนขาดอากาศหายใจ แต่จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยายเมี้ยนเสียชีวิต

           เมื่อสอบปากคำและตรวจสอบหลักฐานแล้ว นายร้อยเวรจึงกลับไปทำรายละเอียดของสำนวนในคดีนี้ส่งนายอำเภอเพื่อไต่สวนต่อไป แต่ดูท่าว่าคดีนี้จะจบลงที่ชั้นสอบสวนเท่านั้น เพราะหลายวันแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะจับตัวคนร้ายได้เลย

           หลังจากตั้งศพสวดพระอภิธรรมของยายเมี้ยนผ่านไป ญาติพี่น้องของแกยังไม่อาจทำใจต่อการจากไปอันผิดธรรมชาติได้ ต่างลงความเห็นว่าจะเก็บศพและปิดบ้านของยายเมี้ยนไว้ก่อน จนกว่าจะชำระสะสางเรื่องคดีได้ จึงจะดำเนินการเผาศพยายเมี้ยน

          ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การตายของยายเมี้ยนก็เป็นที่โจษจันไปทั่วถึงความเหี้ยมโหดอำมหิตของคนร้ายที่ลงมือได้แม้กระทั่งหญิงสูงวัยไร้ทางสู้ คนที่รู้จักแกต่างสาปแช่งให้คนทำถูกจับตัวได้ในเร็ววัน ไปจนถึงแช่งชักหักกระดูกให้ตกนรกหมกไหม้

           เส้นทางที่เคยใช้เป็นทางผ่านจากบ้านยายเมี้ยนไปยังบ้านอื่น แม้ตอนกลางวันจะใช้ได้ตามปกติ แต่ตอนนี้หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นในยามวิกาล หรือหากจำเป็นก็จะต้องมีใครสักคนเดินไปด้วยกัน

          ทั้งนี้ก็เพราะเกิดมีเสียงเล่าลือขึ้น จากคนที่เคยเดินผ่านบ้านแกหลังกลับจากงานบวชเพื่อนบ้านใต้โดยใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัด ใครคนนั้นเล่าว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีอ่อนจะขาวก็ไม่ขาวแต่ดูนวลๆ เดินขึ้นบ้านยายเมี้ยนไป หลังจากนั้นหน้าต่างบ้านก็กระแทกเปิดออก คนขี้สงสัยจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าเป็นยายเมี้ยนส่งยิ้มมาให้

           ใครที่ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ขนลุกขนพองด้วยกันทั้งนั้น แต่มีบางคนแย้งขึ้นมาว่า ยังดีนะที่แกยังยิ้มให้ ถ้าแกหลอกหลอนมากกว่านี้ ... ก่อนจะลงท้ายด้วยเสียง บรื๋อยาวๆของคนพูดเสียเอง


           การจากไปของใครคนหนึ่งย่อมมีผลกระทบไม่มากก็น้อย และครั้งนี้ก็มีผลไปถึงวิหารหลวงพ่อเพราะขาดคนดูแลเอาใจใส่ไม่เหมือนครั้งที่ยายเมี้ยนยังมีชีวิตอยู่

          แม้ผู้คนยังคงมากราบไหว้บูชาหากก็มิได้ใส่ใจทำนุบำรุงทั้งองค์พระพุทธรูปและสถานที่ได้ดีเท่ายายเมี้ยน จะเหลือก็แต่คนที่มีบ้านใกล้ๆกับวิหารหลวงพ่อเช่นยายปริกเท่านั้น ที่ยังมาเปิดวิหารปัดกวาดเช็ดถูตามแต่แกจะสะดวก บางทีแกก็นั่งมองหลวงพ่อนิ่งๆ ราวกับต้องการจะบอกเล่าสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดตั้งแต่เพื่อนของแกจากไป

           แกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของใครบางคนนับตั้งแต่วันนั้น แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดขึ้นมาในเมื่อแกไม่มีพยานหลักฐานนอกจากสิ่งที่อยู่ในความคิดอันเลื่อนลอยเท่านั้น


          ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่มีคืนไหนเลยที่นางบัวสีจะหลับตาลงได้สนิท นางฝันแทบจะทุกครั้งเมื่อล้มตัวลงนอน ในฝันนางเห็นยายเมี้ยนหน้าตาเศร้าสร้อย มองมาที่นางบัวสีก่อนจะร้องไห้ แล้วก็เลือนหายไป

          ทิดริดที่บอกเมียว่าไปนครชัยศรีกลับมาหลังจากการตายของยายเมี้ยนล่วงไปเกือบสิบวัน พร้อมด้วยสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะใบหน้าที่ดูซูบตอบ หม่นหมองและดำคล้ำ ไร้ราศีหนุ่มใหญ่ร่างกายกำยำอย่างที่เคยเป็นและไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ผ่านไปแค่ชั่ววันพระเดียวผัวของนางจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้น นอกจากนี้ยังเงียบขรึมลงไปมากไม่สุงสิงสมาคมกับใคร วันๆก็ขลุกอยู่แต่ในไร่ในสวนก่อนที่จะเข้าบ้าน

          ตัวนางบัวสีเองจากที่เป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจาอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเฉยขึ้นไปอีก สีหน้าท่าทางไม่ได้ต่างจากผัวของนางเท่าไร ทั้งยังดูเซื่องซึมคล้ายกับคนอมทุกข์ที่ไม่สามารถหาทางออกจากวังวนนั้นได้

           เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาสองผัวเมียต่างตกอยู่ในห้วงคำนึงของแต่ละคน ซึ่งกัดกร่อนเกาะกินหัวใจเงียบเชียบอย่างช้าๆ


           วันนี้เป็นวันทำบุญ ทิดริดจึงพานางบัวสีและเจ้าจ้อย ไปวัด อย่างน้อยการทำบุญอาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้จิตใจอันหดหู่ของทั้งสองผัวเมียดีขึ้น

           เนื่องจากเป็นวันเข้าพรรษาพิธีการจึงมากกว่าการทำบุญปกติ มัคนายกแจ้งให้ชาวบ้านทราบแล้วว่าจะมีการถวายผ้าอาบน้ำฝน พร้อมทั้งถวายเทียนจำนำพรรษาและฉลองพระบวชใหม่ซึ่งทำให้ล่าช้ากว่าที่เคย แต่เมื่อทำบุญและกินข้าวร่วมกันหลังจากนั้นเรียบร้อย ญาติโยมต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน จู่ๆเด็กวัดที่มีหน้าที่ปรนนิบัติท่านสมภารก็วิ่งเข้ามาหาทิดริดและบอกว่า ท่านสมภารอยากคุยด้วย

          สองผัวเมียมองหน้ากันอึดใจหนึ่งก่อนที่ทิดริดจะบอกให้คนเป็นเมียพาลูกกลับบ้านไปก่อน จากนั้นจึงเดินตามเด็กวัดไปยังกุฏิท่านสมภารซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาการเปรียญในระยะไม่ไกลนัก


          ทิดริดเดินค้อมกายเข้ามาหาท่านสมภารเมื่อขึ้นมาบนกุฏิ จากนั้นคลานเข่าเข้าไปหาท่านอย่างสำรวมนอบน้อมแล้วกราบนมัสการก่อนจะนั่งพับเพียบต่อหน้า รอฟังว่าท่านต้องการจะคุยกับเขาด้วยเรื่องใด

          “เป็นอย่างไรบ้างล่ะโยม”

          ประโยคไต่ถามจากท่านสมภารนั้น เป็นเพียงคำธรรมดาสามัญทั่วไป แต่ไฉนทิดริดกลับรู้สึกว่ามันเสียดขั้วหัวใจของเขานัก จึงได้แต่เงยหน้ามองสบตาท่านโดยปราศจากคำพูด  สิ่งที่สะท้อนออกมาทางแววตามันคงจะตอบคำถามท่านไปหมดแล้ว

          “คงรู้เรื่องโยมเมี้ยนแล้วสินะ”

          สะดุ้งจนในใจไหวเยือกที่ได้ยินชื่อนี้ออกจากปากท่านสมภาร จนต้องก้มหน้ามองพื้นไม้กระดานกุฏิของท่านที่ขัดจนเป็นมันปลาบ ด้วยไม่มีคำพูดใดได้นอกจากเลียริมฝีปากกลืนน้ำลาย

           เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ท่านสมภารจึงพูดต่อไปว่า

           “น่าเสียดายคนดีๆ มาด่วนจากไปด้วยอุปัทวเหตุ ทั้งที่ไม่ควรเลย”

           ท่านพูดของท่านไปเรื่อยๆนิ่งๆ หากแต่สำหรับบางคนอกใจกลับสั่นไหวหลากหลายความรู้สึกตีกันเป็นพัลวันไปหมด ต่างจากภายนอกที่ยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม

         ท่านสมภารมองคนตรงหน้าก่อนที่จะผ่อนลมหายใจอันหนักหน่วงออกมาช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบห่อผ้าอะไรบางอย่างสีขาวที่วางอยู่บนพานใหญ่ทางซ้ายมือท่าน

          สีหน้างุนงงสงสัยปรากฏบนใบหน้าหมองคล้ำของหนุ่มใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความอิดโรยระทมทุกข์ ก่อนที่ดวงตาอันปราศจากวี่แววของความรื่นรมย์จะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ท่านสมภารเริ่มแกะห่อผ้าขาวเผยให้เห็นผ้าสีผูกเสา

           นั่นมัน .. ไม่จริงใช่ไหม

          ทิดริดได้แต่อุทานกระหน่ำร้องในใจ ฉับพลันทันใด หยดน้ำตาที่ไม่ได้ตระเตรียมไว้ ก็ร่วงหล่นลงกระทบพื้นไม้กระดานกุฏิก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้เจียนขาดใจอยู่ตรงหน้าท่านสมภารนั่นเอง


          สิ่งที่ท่านสมภารทำลงไปถือว่าสุ่มเสี่ยงพอสมควร ถ้าไม่ใช่เพราะยายปริกมาปรึกษาท่านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับยายเมี้ยนว่า แกรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับใครบางคน แต่จะไปปรักปรำกันซึ่งหน้าย่อมไม่เป็นการดี อย่างน้อยขอทดสอบเพื่อดูปฏิกิริยาสักนิดว่าจะผิดไปจากที่คิดหรือไม่

           หากเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่ยายปริกสงสัยก็จะกลายเป็นสร้างบาปกรรมให้กับทั้งตัวท่านสมภารและยายปริกเอง คล้ายกับว่าท่านรวมมือกับนางไปกล่าวหาผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีหลักฐาน แต่หากมันตรงกันข้าม อย่างน้อยท่านก็อยากให้โอกาสคนที่หลงทำผิด  พลาดพลั้งไปแล้วได้สำนึกและแก้ไขทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยตัวเอง

          ท่านสมภารคิดว่าคงทำได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็สุดแท้แต่เวรและกรรมของแต่ละคนเท่านั้น


          ทิดริดไม่รู้ตัวเลยว่า เขาพาร่างกายเซซังกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรและเมื่อใด นางบัวสีที่เดินกลับไปกลับมารอผัวอยู่อย่างกระวนกระวายใจ ถึงกับแล่นปราดมาถึงตัวเขาทันทีที่เห็นหน้า

          “พี่ ท่านสมภารมีอะไรรึ ถึงได้ ..”

          นางบัวสีต้องเก็บคำถามกลืนลงคอ เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำและร่องรอยบอบช้ำที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หลังไหล่ของทิดริดบัดนี้มันช่างดูค่อมคู้เสียเหลือเกิน ร่างกายผ่ายผอมลงไปเพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดระยะเวลาหลังจากที่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น

          นางทำได้เพียงเก็บความสงสัยคลางแคลงใจเอาไว้ในอก ให้อย่างไรคนตรงหน้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผัว จะดีจะเลวอย่างไรขอให้ได้รู้จากปากคนของตนก่อนดีกว่าจะให้ใครมาตัดสินแม้แต่ตัวของนางเอง

          ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของทิดริด ทำให้คนเป็นเมียไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด ครั้นจะเซ้าซี้ถามก็เกรงกลัวไปต่างๆนานาสารพัด ที่สำคัญที่สุด นางกลัวความจริงอันเลวร้ายที่จะพลัดพรากผัวของนางไป หากมันเป็นไปตามที่นางคิด


         คืนนี้แสงสว่างนวลของดวงจันทร์ยังสาดส่องไปทั่วบริเวณ หากภายในใจของนางบัวสีกลับตรงกันข้าม มันเหมือนมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่คอยจะกระตุ้นเตือนถึงสิ่งที่ค้างคาใจจากวันนั้น  เจ้าจ้อยเข้ามุ้งหลับไปแล้ว ยังคงมีแต่สองผัวเมียนั่งมองพระจันทร์ดวงโต  ที่นับเวลาถอยหลังแหว่งเว้าทุกขณะลอยเด่นอยู่เหนือชานบ้าน ก่อนที่นางบัวสีจะเอ่ยขึ้นทำลายความสงัดของค่ำคืนนี้ นางลุกเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบบางสิ่งขึ้นมาถือไว้ในมือ นางเดินกลับออกมานั่งลงที่เดิมเหมือนตัดสินใจแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางจะต้องรับให้ได้ จึงยื่นสิ่งนี้ให้กับทิดริดที่ยังคงเหม่อมองจันทร์กระจ่างในคืนแรม

           “พี่ ข้ามีอะไร จะคืนให้พี่”

          สุ้มเสียงจริงจังพร้อมกับมือที่ยื่นเพื่อส่งของสิ่งนั้นมาให้ เขาจึงรับไปแต่โดยดี แม้จะไม่ได้มองดูแต่ทันทีที่มือสัมผัส ความคุ้นเคยทำให้เขาจำได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร

           “เอ็งไป .. ได้ .. ตะกรุด .. มา .. จากไหน”

           สีหน้ายามก้มลงมองของในมือก่อนเงยสบตาคนเป็นเมียนั้นบอกได้ดีว่าตระหนกตกใจแค่ไหนและน้ำเสียงก็พลันแหบแห้งลำบากนักที่จะเปล่งออกมา มันถูกเค้นจากลำคอเพื่อถามทันทีอย่างขาดหายเป็นห้วงๆ

           “มันตกอยู่ .. ที่บ้าน .. พี่เมี้ยน .. วันนั้น”

           ไม่ต่างกันเท่าใดกับน้ำเสียงในคำพูดที่ยากยิ่งกว่าจะกลั่นออกมาจากปากได้ เพียงเท่านี้สองผัวเมียก็ถึงกับโผซบและกอดกันร่ำไห้

          คนหนึ่ง เสียใจสะเทือนอารมณ์จนรวดร้าวเหลือแสน ทำไมคนที่เป็นผัวของนางถึงกระทำในสิ่งที่แม้แต่นางก็ไม่คาดคิดลงไปได้ แล้วคนๆนั้นที่ถูกกระทำ คือใครกัน นางรู้อยู่เต็มอกที่มันรอนๆจนจะขาดใจตรงนี้

          ส่วนอีกคน ทั้งละอายแก่ใจ ทั้งสำนึกผิดต่อครอบครัวของตน และยิ่งกว่าคำสารภาพใดๆต่อคนที่อยู่ในอ้อมกอดนี้ รวมไปถึงคนที่จากไปด้วยความไม่ตั้งใจของเขา

           อารมณ์ชั่ววูบกับการขาดความยั้งคิด  มันได้ทำลายชีวิตของเขาลงอย่างย่อยยับไม่มีชิ้นดี


**********************************




โปรดติดตามตอนต่อไป ..



Create Date : 26 เมษายน 2556
Last Update : 26 เมษายน 2556 3:11:14 น.
Counter : 844 Pageviews.

6 comments
  
สวัสดีค่า คุณโค ^^

มาไว้อาลัยให้ยายเมี้ยนค่ะ T T

หลับฝันดีนะคะ

โดย: lovereason วันที่: 26 เมษายน 2556 เวลา:22:48:07 น.
  
ไว้อาลัย หรือ ชนแก้สฮะนั่น ..

อรุณสวัสดิ์ ฮะ
โดย: โค อัสดง วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:8:33:45 น.
  
สนุกอ่านเพลินเลยค่ะ
โดย: little foggy วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:10:26:49 น.
  
ขอบคุณมากๆฮะ .. คุณลิตเติ้ล ฟ็อกกี้
ดีใจ ที่ทำให้รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินได้

ขอให้มีความสุขในการอ่านนะฮะ ..
ฝากถึงตอนต่อไปด้วย
โดย: โค อัสดง วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:8:02:11 น.
  
สวัสดีค่ะคุณโค ทำไมคนดีอยู่ได้ไม่นานสงสารยายเมี้ยนคนดี ลุ้นต่ออยู่ค่ะ
โดย: โอวหมวย IP: 125.26.225.10 วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:10:20:46 น.
  
ไม่ว่าจะคนดี คนไม่ดี .. ทุกคนมีกรรมเป็นเครื่องกำหนดฮะ

ถ้าเราศรัทธาในคำสอนของหลักธรรม เราก็จะเข้าใจว่า
ความตาย ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับคนดี เพียงแต่เราอาจจะ
รู้สึกสะเทือนไหวไปกับเหตุแห่งการตายมากกว่า

คนดี ไม่ว่าอยู่หรือไป คนก็จดจำกล่าวขานชื่นชม
คนไม่ดี ไม่ว่าอยู่หรือไป คนก็กล่าวขาน และสาปแช่ง

ขอบคุณคุณโอวหมวย .. ที่ติดตามมาตลอดฮะ
โดย: โค อัสดง วันที่: 29 เมษายน 2556 เวลา:2:20:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โค อัสดง
Location :
สุพรรณบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



.. ตามนั้น อย่างที่มันควรจะเป็น ..
New Comments
เมษายน 2556

 
1
2
3
5
6
7
9
10
11
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30