.. หลวงพ่อ .. ตอนจบ
            อีกไม่ถึงเดือนวิหารหลวงพ่อก็จะถูกเปิดเพื่อต้อนรับญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อจากทั่วสารทิศ ทั้งบ้านใกล้และไกลห่าง พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด แต่กลับมีเรื่องเล่าเป็นเรื่องราวต่างๆมากมาย ผ่านยุคสมัยมาจนถึงตอนนี้ร่วมร้อยปี และยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของใครต่อใครจากรุ่นสู่รุ่นไม่เปลี่ยนแปลง

            งานทำบุญที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานับสิบปีกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหมู่บ้านแห่งนี้  วิหารได้รับการบูรณะตลอดมาก็ด้วยทุนทรัพย์อันเกิดจากศรัทธาความเชื่อและนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ จึงมีผู้ร่วมทำบุญถวายปัจจัยไม่ขาดสาย

            ทุกครั้งที่จัดเตรียมงานจะมีการรวมตัวของคนในหมู่บ้าน มาช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูข้าวของเครื่องใช้ ทำความสะอาดสถานที่ไว้ล่วงหน้า ทั้งจัดประดับตกแต่งและเตรียมเครื่องไฟกระจายเสียง  สะท้อนให้เห็นถึงความรักความสามัคคีได้เป็นอย่างดี

            แต่ที่ถือว่าเป็นสิริมงคลที่สุดคือ ก่อนวันงานบุญใครที่มาช่วยจะได้สรงน้ำและปิดแผ่นทองคำเปลวใหม่รวมไปถึงถวายผ้าพาดอังสะผืนใหม่แก่หลวงพ่อก่อนใคร

            และเช่นทุกปีเรื่องราวแต่ครั้งอดีตก็จะถูกถ่ายทอดให้ลูกหลานได้ฟังไปด้วยขณะสรงน้ำหลวงพ่อถึงความเป็นมา สาเหตุและตำแหน่งแผลเป็นของท่าน ที่คงอยู่ใต้แผ่นทองคำเปลวซึ่งถูกปิดทับไว้เนียนสนิทจนมองไม่เห็น

            แม้ข้อเท็จจริงจะลางเลือนไปตามกาลเวลาแต่ศรัทธาที่มีนั้นกลับยังเหนียวแน่นมั่นคง

            “แม่ แล้วปีนี้คุณตาจ้อยจะมาหรือเปล่าครับ”

            ชายหนุ่มเอ่ยถามแม่ของเขาที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับต้นไม้ในสวนหน้าบ้านหลังจากที่เขาเปิดปฏิทินดูวันที่ที่จะจัดงานทำบุญองค์หลวงพ่อของปีนี้

            “คงไม่ได้มาหรอกลูก คุณตาอายุมากแล้วเดินเหินลำบาก แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าลูกหลานทนแกรบเร้าไม่ไหว อาจจะมาก็ได้”

            คำตอบของแม่นั้น เขาก็พอจะเข้าใจเพราะคุณตาจ้อยที่เขาถามถึง อายุอานามก็ร่วมร้อยปีเห็นจะได้ ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่มีอายุยืนคนหนึ่งเลยทีเดียว

            แม่เคยเล่าให้เขาฟังว่า เมื่อสมัยก่อนคุณตาจ้อยก็อยู่ที่นี่ แล้วชี้ไปยังเรือนไทยหลังที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตนเองนัก  แต่หลังจากที่ลูกหลานไปประสบความสำเร็จจากหน้าที่การงานในต่างถิ่น จึงตกลงใจมารับตัวแกไปอยู่ด้วย

            เห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับต้นไม้ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกแล้วมาคุยกับเขาให้จบถึงเรื่องราวที่เล่าค้างคาไว้ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอะไรมานั่งกินเล่นหน้าบ้าน

            “แม่ มานั่งกินยำกันดีกว่า ผมทำเสร็จแล้วนะ”

            เขาเอ่ยขึ้นดังจากระดับเสียงที่พูดปกติพอสมควร เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้แม่ละมือจากต้นไม้มาคุยถึงเรื่องนั้นต่อ

            ยำที่ว่าคือยำไส้กรอกรมควัน และที่มาของมันก็มาจากการรอคอยราวกับไร้ความหวังจึงเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น เห็นว่ามีเครื่องยำจึงหยิบๆออกมาทั้ง ไส้กรอก หอมใหญ่ มะเขือเทศ เปิดดูตู้กับข้าวเขายังเห็นเห็ดหูหนูขาวที่นอนแห้งอยู่ชั้นบนในสุดของตู้ หอมแดงอยู่ในกระจาดเล็กข้างเตาแก๊ส

            ส่วนพวกพริก มะนาว ขึ้นฉ่าย เขาก็ไปเดินวนหารอบบ้าน เมื่อทุกอย่างพร้อมเขาก็แปรรูปมาเป็นยำไส้กรอกรมควันในจานพร้อมบริการแม่ของเขาอยู่บนโต๊ะหินนี่

            แม่เห็นว่าลูกชายคงจะร้องเรียกไม่เลิกแน่ จึงเดินออกมาจากดงต้นไม้ของแม่ แล้วไปล้างไม้ล้างมือก่อนจะมานั่งลงตรงเก้าอี้อีกตัวข้างกัน

            “อืม แม่ว่าถ้าได้กาแฟเย็นอีกสักแก้ว ท่าจะดีนะ”

            แม่พูดยิ้มๆพลางใช้ส้อมในจานเล็กที่เขาเตรียมมาให้จิ้มชิ้นไส้กรอกที่เขาหั่นขวางแนวเฉียงให้ออกมาเป็นรีๆเข้าปาก

            นั่นสินะ เขาลืมไปได้ยังไง



            ทุกอย่างพร้อมบนโต๊ะ  เรื่องราวต่อจากนั้นก็เริ่มขึ้นจากการถามตอบระหว่างมื้ออาหารว่างของยามบ่ายในวันนี้

            “แล้วหลังจากนั้น เป็นยังไงต่อครับ พ่อของคุณตาจ้อยมอบตัวกับตำรวจหรือเปล่า”

            แม่ของเขาดื่มกาแฟเย็นที่เขาทำมาให้อึกหนึ่งก่อนที่จะวางลง ครุ่นคิดคำตอบจากความทรงจำที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรุ่นปู่ย่าตาทวด ก่อนจะสบตาแล้วตอบเขาว่า

            “คนเก่าๆแก่ๆที่รู้เรื่องแต่ต้นเล่ากันมาว่า ทางตำรวจมีหลักฐานมัดตัวคนที่ทำร้ายคุณทวดเมี้ยน จึงรีบนำกำลังจะมาจับกุม...”

            จากที่ที่เขาและแม่นั่งอยู่หน้าบ้านตรงนี้ สายตาที่มองตรงไปข้างหน้าของแม่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองตาม แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่า อะไรที่สะท้อนอยู่ในแววตาของแม่ขณะนี้

            “... แต่ตำรวจมาช้าไปเพียงวันเดียว”

            เขามองแม่ที่กำลังเล่าบทสรุปราวกับรำลึกถึงเรื่องสะเทือนขวัญนั้นโดยไม่เอ่ยถามหรือขัดคอ รอจนกว่าจะมีคำพูดออกจากปากของแม่เอง

            “แต่คนภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้ ก็พูดไปต่างๆนานา บ้างก็ว่า พ่อของคุณตาจ้อยหนีไปอีกครั้งจึงย้อนกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วก็เสียชีวิตก่อนเข้ามอบตัว”

            เล่ามาถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วน้อยๆชวนให้ฉงนใจว่าทำไมต้องมี 'บ้างก็ว่า'

            “ส่วนแม่เองได้ฟังจากคุณทวดปริก คุณทวดเล่าว่า เขาไม่ได้หนีไปไหนแต่เลือกที่จะแขวนคอตัวเองบนบ้านคุณทวดเมี้ยนในคืนเข้าพรรษา ก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาถึงในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น”

            ร่องรอยสะเทือนใจเจืออยู่ในน้ำเสียง ส่วนเขาเองถึงกับชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบแก้วกาแฟเย็นเพื่อยกขึ้นดื่มทันที

            “ผูกคอตายหรือแม่ แล้วยังเป็นที่บ้านคุณทวดเมี้ยนด้วย”

            สำนึกได้ว่าเขาอุทานเสียงดังเกินไป จึงลดระดับลงให้เป็นปกติผิดกับในใจที่ระทึกเร็วรัว

            “คุณทวดปริก?”    

            เขาครางชื่อใครคนหนึ่งขึ้นเบาๆ คล้ายคุ้นเคยยิ่งนัก  หากแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

            “พี่สาวคุณตาทวดปลอด คุณพ่อของคุณยายไงลูก  ลืมคุณยายทวดแล้วหรือ”

            แม่ทบทวนความทรงจำให้ทั้งๆที่คนหนุ่มเช่นเขาน่าจะจดจำได้ดียิ่งกว่า ก็จะไม่ให้เขาสับสนได้อย่างไร การลำดับญาติอันยุ่งเหยิงแบบนี้ลองไปถามเด็กสมัยนี้สิว่า มีใครไม่งงบ้าง เขายอมเลี้ยงขนมเลย

            “เดี๋ยวนะแม่ คุณทวดปริกของเรานี่นะ  ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณทวดเมี้ยนอย่างนั้นหรือครับ ...”

            เขาพึมพำถามออกไปพร้อมทั้งลำดับบุคคลไปจนถึงเหตุการณ์ที่รับฟังมาแต่แรกเริ่ม สีหน้าครุ่นคิด ขณะที่แม่ของเขาไร้การตอบรับหรือปฏิเสธ แล้วก็เลยรามือจากอาหารว่างนั่งมองพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปแต่เป็นทิศทางตรงข้ามกับบ้านเดิมของคุณตาจ้อย

            “ตอนนั้นคุณทวดปริกแก่มากแล้ว ใครๆจึงว่าท่านเพ้อ แม่ก็ยังเด็กมากแต่ไม่รู้ทำไมจึงชอบฟังที่ท่านเล่า ทุกครั้งที่ท่านพูดถึงเรื่องนี้ มันเหมือนกับความทรงจำครั้งอดีตหลั่งไหลออกมา..”

            แม่หยุดพูดไปชั่วขณะ หันกลับมาที่เขาก่อนจะพูดต่อไปว่า

            “อาจเป็นเพราะแม่ใกล้ชิดคุณทวดมาแต่เล็กแต่น้อย  มันก็คงจะฝังอยู่ในใจแม่น่ะลูก”

            ต่างคนต่างเงียบกันไปพักใหญ่ เขาไม่รู้ว่าถึงตอนนี้แม่คิดอะไรและรู้สึกอย่างไร

            แรกทีเดียวแม่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เขามาขอให้แม่เล่าถึงเรื่องราวที่มาของหลวงพ่อ แต่พอได้เล่ามันคงคล้ายกับว่า เขาไปกดเปิดสวิทช์อะไรบางอย่าง  เรื่องราวแต่ครั้งอดีตจึงพรั่งพรู ทำให้เขานึกว่ากำลังได้ดูหนังหรือละครเรื่องหนึ่งที่มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ต่างกันเพียงว่า เรื่องเล่าเหล่านี้เคยมีชีวิตเมื่อก่อนหน้านี้มาถึงเกือบศตวรรษ

            เขานึกอะไรขึ้นมาได้และกำลังจะเอ่ยถาม แม่กลับพูดแทรกขึ้นระหว่างมองหน้าเขาว่า

            “หลายๆเรื่อง เราอาจต้องการรู้ถึงที่มาที่ไปจึงได้คิดจะสืบค้นหาประวัติ แต่กับบางเรื่องที่บังเอิญเกี่ยวเนื่องกัน บางทีก็ไม่สมควรที่จะขุดคุ้ยให้เกิดผลกระทบกับใครที่เขายังมีชีวิตอยู่ข้างหลังนะลูก”

            แม่เตือนสติเขาอย่างอ่อนโยน เพราะเดาได้ว่าเขาจะถามถึงคุณตาจ้อยที่อยู่ในวังวนของอดีตผ่านร้อนผ่านหนาวมาจวบจนปัจจุบัน

            “ถือว่าฟังไว้เพื่อไม่ให้ลืมบรรพบุรุษก็แล้วกัน  ระลึกถึงท่านแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งไหนเอาไว้จดจำ สิ่งไหนเอาไว้เตือนใจ ลูกคงจะแยกแยะได้ด้วยตัวลูกเองนะ”

            คิ้วขมวดมุ่นของเขาคลายออกยามเมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่พูดเพราะในนั้นมีทั้งกระแสแห่งความรัก ความคิดถึงต่อบุคคลอันเป็นที่รักทั้งที่จากไปและที่ยังอยู่ .. ตรงนี้

            เขานั่งยิ้มมองแม่อย่างปลื้มปริ่มอยู่ในใจ แต่จะให้พูดออกมา เขาก็เขินไม่น้อยเลยจิ้มๆยำไส้กรอกที่ยังอยู่เข้าปาก ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจยิ่งเพิ่มรสชาติให้ยำที่เหมือนจะชืดลงไปแล้วยังคงกลมกล่อมอร่อยลิ้น


            “เออ แม่ก็ลืม เมื่ออาทิตย์ก่อนเขามาลอกคูข้างวิหารหลวงพ่อ คนงานเจอเหรียญอะไรก็ไม่รู้ แม่เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ให้ดู เผื่อลูกสนใจ เห็นว่าชอบถามนั่นถามนี่เกี่ยวกับหลวงพ่อ”

            ว่าแล้วแม่ก็ลุกจากโต๊ะเดินเข้าบ้านไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและส่งให้เขาเปิดหาภาพถ่ายในนั้น

            เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานเขาก็เห็นภาพหลายภาพเป็นลักษณะกลมๆมีรอยหลุมเล็กขรุขระปนคราบสีเขียวเจือจางบางแห่ง แต่เนื่องจากมันเบลอมาก อาจจะด้วยกล้องที่โทรศัพท์ของแม่ประสิทธิภาพยังต่ำเพราะเป็นรุ่นเก่าจึงขาดความคมชัด รวมถึงคนถ่ายก็ไม่ค่อยชำนาญ ด้วยแม่ของเขาถือว่าโทรศัพท์ก็คือโทรศัพท์

            ยังดีว่าโทรศัพท์ของแม่มีบลูทูธ เขาจึงโอนไฟล์ภาพเหล่านั้นมาที่เครื่องโทรศัพท์ของเขากะว่ากลับไปทำงานค่อยนำไปอัพโหลดลงคอมพิวเตอร์ จะได้ปรับแต่งให้ดูได้สะดวกกว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้

            เมื่อโอนภาพถ่ายจากเครื่องโทรศัพท์ของแม่มาที่เครื่องของเขาเรียบร้อย ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้

            “แล้วตอนนี้เหรียญนี่ ไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะแม่ เสียดายจัง ถ้าได้เห็นชัดๆใกล้ๆ จะได้รู้ว่าเป็นเนื้ออะไร สมัยไหนเพราะดูคร่าวๆ ด้านหน้าคล้ายพิมพ์นูนสมเด็จโต วัดระฆังเลยนะแม่ ส่วนด้านหลังเหรียญที่ถ่ายไว้ด้วย .. อืม”

            ระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิดพิจารณาภาพที่เบลอจากการถ่ายของแม่แล้วเลื่อนไปดูภาพอื่นที่ใกล้เคียง แม่ของเขาก็เฉลยข้อข้องใจ

            “คนที่เขาอ้างตัวเป็นผู้ดูแลหลวงพ่อเก็บไปแล้วลูก ก็ช่างเขาเถอะเขาอยากดูแลของเขา”

            เขาเงยหน้ามองแม่หลังจากที่สะดุดหูในน้ำเสียงอันแปลกแปร่งเล็กน้อย ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าแม่หมายถึงใครที่กล่าวอ้างได้ขนาดนั้น

            “ปล่อยเขาไปเถอะแม่ เราไม่ยุ่งด้วยดีที่สุดถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องบุญพ่วงเรื่องเงินหรือทรัพย์สิน ผมว่าแม่ทำถูกแล้วล่ะครับ ที่กันตัวเองออกมาจากปัญหา”



            เขากลับมาถึงกรุงเทพฯเมื่อเกือบค่ำ เนื่องจากสภาพการจราจรขาเข้าที่ติดขัดแม้จะเป็นวันธรรมดา อันเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำใจยอมรับ ในเมื่อเลือกที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ก็ต้องทนรับสภาพชีวิตอย่างคนเมืองหลวงให้ได้

            หลังจากอาบน้ำอาบท่าสบายตัว โดยไม่รอช้าให้เสียเวลา เขาเปิดคอมพิวเตอร์ที่เรียกเล่นๆตรงตามคำแปลว่าสมุดจดทันทีระหว่างรอเครื่องประมวลผลปฏิบัติการ เขาก็เปิดบลูทูธโทรศัพท์ของเขาเพื่อรอโอนถ่ายข้อมูลไปสู่คอมพิวเตอร์ที่เขาใช้ในการทำงาน

            อึดใจที่เขารอทุกอย่างพร้อม การอัพโหลดไฟล์ภาพเริ่มต้นและเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงห้านาที เขาค่อยๆคลิกดูภาพที่ขยายขนาดขึ้นเมื่อมันปรากฏบนหน้าจอ เขาจัดการปรับความคมชัดเสียใหม่ คัดเลือกแยกประเภทภาพด้านหน้า ด้านหลังที่ชัดเจนขึ้นกว่าตอนที่มันอยู่ในโทรศัพท์มือถือ

            จากนั้นเขาไล่เรียงดูภาพทีละภาพ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเหรียญเหล่านี้เป็นโลหะ เนื่องจากมีคราบสีเขียวเกาะอยู่ให้เห็น เหรียญที่เขาดูเมื่อพิจารณาให้ดีเป็นพิมพ์นูนของสมเด็จโตจริงๆ แต่จะสร้างในยุคใดนั้นเขาก็จนใจ พอคลิกกลับมาดูอีกภาพที่เป็นด้านหน้า แม้จะเลือนรางแต่ก็ยังมีเค้าของล้นเกล้ารัชกาลใดรัชกาลหนึ่ง


            นั่งเพ่งนั่งมองภาพถ่ายทั้งหาตัวช่วยเพื่อเปรียบเทียบจากเสิร์ชเอ็นจิ้นชื่อดังมานานพอสมควร เหลือบดูเวลาตรงมุมจอทางขวามือด้านล่างก็เห็นว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เขายังต้องไปทำงานแต่เช้า จึงได้แต่ถอนใจก่อนเซฟข้อมูลที่มีและหาได้เพิ่มเติมเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่เขาสร้างขึ้นเฉพาะ ไว้มีเวลาเขาจะหาโอกาสนำเรื่องนี้ไปปรึกษาใครสักคนที่มีความรู้และสามารถให้ความกระจ่างแก่เขาได้


            ยามล้มตัวลงนอนเขาทบทวนเรื่องราวต่างๆที่แม่เล่าให้ฟัง แต่เรื่องของทิดริดซึ่งเป็นพ่อของคุณตาจ้อยกลับติดอยู่ในใจเขาแน่นหนึบ
เขาหลับตาลงด้วยความง่วงงุน ก่อนสติสัมปชัญญะที่เหลืออันน้อยนิดจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาคิดไปว่า เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของทิดริดอยู่บ้างเหมือนกัน  

            เมื่อยามที่เขาได้เห็นเหรียญปริศนาเพียงแค่ภาพถ่ายแต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสด้วยมือของตนเอง


*****************************************************************


ขอขอบคุณทุกท่าน .. ที่ติดตาม .. หลวงพ่อ .. มาโดยตลอด


ขอบคุณฮะ


จากใจผู้เขียน

โค อัสดง




Create Date : 03 พฤษภาคม 2556
Last Update : 3 พฤษภาคม 2556 4:14:08 น.
Counter : 1840 Pageviews.

5 comments
  
ว้าจบแล้วอ่ะ
โดย: little foggy วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:7:09:52 น.
  
ฮะ .. จบซะแล้ว

ขอบคุณคุณหมอกฮะ ..
โดย: โค อัสดง วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:9:01:54 น.
  
มาหาหลวงพ่อที่บล็อคค่า คุณโค ^^

ต่อไปก็คิวน้องพายพัดแล้วใช่ป่าวคะ

โดย: lovereason วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:11:25:28 น.
  
ว้าฺ...อวสานละ กำลังอินในความดียายเมี้ยน ขอบคุณคุณโคค่ะ
โดย: โอวหมวย IP: 125.26.236.92 วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:13:06:56 น.
  
น้องพายพัด .. ยังอยู่กับเรา .. อีกนานเลยฮะ คุณนุ่น


ขอบคุณคุณโอวหมวย .. ที่ติดตามมาตลอดนะฮะ ..
อย่าว้าเลยฮะ .. เรื่องสั้นเลยจบเร็ว .. ขอบคุณมากๆฮะ
โดย: โค อัสดง วันที่: 3 พฤษภาคม 2556 เวลา:14:08:52 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โค อัสดง
Location :
สุพรรณบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



.. ตามนั้น อย่างที่มันควรจะเป็น ..
New Comments
พฤษภาคม 2556

 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
3 พฤษภาคม 2556