Bloggang.com : ชมพูพันทิบ : หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 24/01/46

หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 24/01/46

มอริซ กิ๊บบ์ สมาชิกคนหนึ่งของวงเดอะบีจีส์ เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อเร็วๆ นี้ ผมไม่ใช่นักฟังหรือนักติดตามเพลงฝรั่ง แต่ใครจะฟังเพลงฝรั่งหรือไม่ฟัง ถ้าหากว่าเรียนหนังสือและโตมาในยุคเดียวกับผม ก็จะต้องรู้จักเดอะบีจีส์ "ไอ๊สตาร์เต็ดอะโจ๊ก วิชสตาร์เต็ดเดอะโฮลเวิร์ลด์ครายอิ๊ง" ผมชอบจริงๆ เลยเพลงนี้

เพลงนี้มาตอนผมเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งหรือปีสอง ยุคผมเรียนมหาวิทยาลัยนั้นเป็นยุคสุดคลาสสิคของเพลงฝรั่งในปลายยุคซิกซ์ตี้โดยแท้ เพลงหลายเพลงของเดอะ บีจีส์เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ผมเพิ่งรู้ว่า มอริซ กิบบ์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไปนี่เกิดปีเดียวกับผม ในขณะที่เขาดังคับโลกแล้วนั้น ผมยังหาหัวหาหางอะไรในชีวิตไม่เจอเลย

วันที่รู้ข่าวว่าเขาตาย ผมครางเพลง "ไอสตาร์เต็ดอะโจ๊ก" ทั้งวัน แล้วก็เป็นจังหวะในวันหยุดที่ทั้งคุณนายติ่งและผมวุ่นวายกับเรื่องการทำโจ๊กอยู่ทั้งวัน

ลูกชายคนเล็กของผมเรียนอยู่ชั้น ม.สี่ และไม่ได้เรียน "วิทย์-คณิต" เหมือนพี่สองคน แต่เรียน "ศิลป์-คำนวณ" การเรียนศิลป์-คำนวณนี้ทำให้ผมพอจะรู้เรื่องการเรียนของลูกอยู่บ้าง เพราะจะมีบางครั้งที่เขามาถามเรื่องเกี่ยวกับภาษาไทย บางครั้งมาบอกให้ช่วยหาหนังสือรวมเรื่องสั้นให้ รวมเรื่องสั้นนี่ต้องอ่านเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์ บอกว่าให้ผมหาให้ได้สิบเล่ม เป็นพ่อคนอื่นคงจะเหนื่อยหน่อย อาจจะต้องวุ่นวายไปหาซื้อ แต่ที่บ้านผมมีหนังสือรวมเรื่องสั้นของใครต่อใครอยู่เป็นกะตั้ก

หนล่าสุดนี่เขามาบอกว่าจะต้องทำรายงาน และปฏิบัติจริงในการทำอาหารจากข้าว และที่กลุ่มเขาจะทำก็คือทำโจ๊ก ทั้งคุณนายติ่งและผมต่างก็งง ถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะทำโจ๊ก ทำไมไม่เป็นข้าวต้มหรือข้าวผัด ซึ่งมันจะง่ายกว่ามาก

เขาก็บอกเสียงอ่อยๆ ว่ากลุ่มอื่นเขาเลือกเอาไปก่อนแล้ว ผมก็บอกกับคุณนายติ่งว่าทั้งข้าวต้มข้าวผัดนั้นมันทำได้อย่างละร้อยแปดวิธี กลุ่มไหนเขาทำข้าวต้มข้าวผัดอะไร เราก็เลี่ยงไปทำข้าวต้มข้าวผัดอีกอย่างหนึ่ง แต่มันแล้วไปแล้วนะครับ บอกอาจารย์ไปแล้ว คุณนายติ่งซึ่งไม่เคยทำโจ๊กกินเองมาเลยทั้งชีวิตก็เริ่มทำการทดลอง เป็นการทดลองแล้วต้องสรุปเป็นสูตรการทำโจ๊กแบบที่ทำรายงานส่งอาจารย์ด้วย

ผมไม่เคยทำ เคยแต่กิน และก็เป็นการซื้อกินทั้งนั้น ไม่เคยไปบ้านไหนบ้านใครแล้วเขาทำโจ๊กเลี้ยง

คุณนายติ่งจึงจำเป็นต้อง "ไอ๊สตาร์เต็ดอะโจ๊ก" คือลงมือทำโจ๊ก

มีโจ๊กอยู่สองเจ้าที่ผมเคยกินแล้วรู้สึกว่าอร่อย ว่าที่จริงมีมากกว่าสองเจ้าแต่ผมนึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน ตามต่างจังหวัดก็มีที่อร่อย สองเจ้าที่ว่านี้โจ๊กสามย่านและโจ๊กซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ผมไม่อธิบายสถานที่ตั้งของร้าน ผ่านไปแถวนั้นแล้วไปถามหาเอาเองนะครับ แต่ใครที่คุ้นเคยกับการทำอาหารก็จะรู้ๆ กันอยู่ว่าโจ๊กนั้นไม่ใช่ของที่ทำยาก อย่างแรกคือมีข้าวที่ต้มจนเละข้น อย่างสองคือมีน้ำซุป อย่างสามคือมีเนื้อสัตว์ ซึ่งหลักก็คือหมูบดที่หมักให้ได้รสไว้ อาจจะมีเนื้อสัตว์ส่วนอื่นประกอบ อาจจะเป็นตับ กระเพาะไส้ ของหมูนะครับ นี่หมายถึงโจ๊กหมู เป็นโจ๊กปลาก็อาจจะมีแต่เนื้อปลา

โจ๊กปลาไม่ค่อยมีขายทั่วไปแต่ผมว่าเป็นของที่น่าลองทำกิน

นอกจากนี้ก็จะมีของที่ใช้โรยหน้า ขิงซอยนี่ขาดไม่ได้ ต้นหอมผักชีซอย ไข่ไก่สำหรับคนที่จะกินไข่ด้วย อีกอย่างหนึ่งคือปาท่องโก๋ ผมชอบที่สุดเวลากินโจ๊กแล้วมีปาท่องโก๋ ต้องเป็นปาท่องโก๋ตัวเล็กๆ กรอบๆ นะครับ

และแม็กกี้ ขอให้เชื่อผมว่าซอสแม็กกี้เป็นของที่เข้ากับโจ๊กดีมาก เหมือนจิ๊กโฉ่เข้ากันกับกระเพาะปลา หูฉลามอย่างนั้น แม็กกี้นี่ถ้าชอบกินชอบใช้ ใช้ของเมืองนอกที่มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์นะครับ แพงหน่อย แต่มันเป็นแม็กกี้...แม็กกี๊แม็กกี้ เพราะส่วนผสมหลักมันมาจากข้าวสาลีไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองแบบแม็กกี้จำลองที่ทำในเมืองไทย

หมูหมักที่ใช้กับโจ๊กนั้น คุณนายติ่งทดลองและลงรายละเอียดในส่วนประกอบต่างๆ ไว้อย่างนี้

"หมูสับละเอียด 1/2 กิโลกรัม เกลือ 3 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 2 ช้อนชา แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 2 ราก กระเทียม 3 กลีบ พริกไทย 1 ช้อนชา น้ำ 3/4 ถ้วย

วิธีทำ ตำรากผักชี พริกไทย กระเทียมให้ละเอียด ผสมกับหมูและเครื่องทั้งหมดใส่ครกดินตำให้เหนียว"

หมูที่ใช้ในการนี้ต้องเป็นหมูบดละเอียดนะครับ ไม่ใช่หมูสับ แต่เนื่องจากหาหมูบดอย่างนั้นไม่ได้คุณนายก็เลยใช้หมูสับ และการจะทำให้หมูหมักนี้เหนียวหนึบต้องใช้เครื่องบดหรือเครื่องกวนอะไรสักอย่าง คุณนายแกพยายามจะกวนด้วยมือให้หมูหมักนั้นเหนียว ผมเห็นแล้วบอกตำเหอะ ตำแบบทำลูกชิ้นปลากรายนะครับ

หมูก็เหนียวหนึบขึ้นมา แต่ไม่ถึงขนาดที่พวกร้านโจ๊กเขาทำขาย รสชาติดีได้เลย ผมนำมาแกงจืดฟองเต้าหู้วุ้นเส้นก็ดี

ข้าวที่นำมาต้มนั้นเป็นปลายข้าว ต้มนาน สูตรของคุณนายคือปลายข้าว 1-1/2 ถ้วย น้ำ 10 ถ้วย ปลายข้าวนี้ตอนเตรียมให้ลูกชายไปสาธิตประกอบรายงาน คุณนายแกเอาไปปั่นในเบลนเด้อร์พักหนึ่ง ปลายข้าวก็ละเอียดต้มให้เละเป็นโจ๊กง่ายขึ้น ข้อสำคัญของการต้มข้าวโจ๊กนี้ คือต้องหมั่นคน ไม่อย่างนั้นมันอาจจะไหม้ติดก้นหม้อ

ในส่วนน้ำซุปนั้นคุณนายลงรายงานไว้ว่า "กระดูกหมูสำหรับต้มน้ำซุป 1-1/2 กิโลกรัม เกลือ พริกไทยตำ น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลกรวด ปลาหมึกแห้ง 1 ตัว หอมใหญ่ 1 หัว รากผักชี 5 ราก คนอร์รสไก่ 2 ก้อน

วิธีทำ ใส่น้ำให้ท่วมกระดูกขึ้นมาประมาณ 2-3 นิ้ว ต้มไฟแรง คอยช้อนฟองทิ้งใส่เครื่องทั้งหมด หรี่ไฟ เปิดฝาหม้อเคี่ยวไฟอ่อน ชิมรสให้กลมกล่อมและค่อนข้างหนักเค็ม"

การทำโจ๊กก็ต้องทำทีละชาม ต้มข้าวให้เดือด ใส่หมูหมักใส่น้ำซุป ว่าที่จริงทำกินเป็นข้าวต้มหมูหมักก็ดีนะครับ ต้มน้ำซุปใส่หมูหมักแล้วเติมข้าวสวย ต้มเดือดก็จะเป็นข้าวต้มอย่างดี เวลามีน้ำซุปในตู้เย็น นึกอยากจะกินข้าวต้มผมก็ทำทำนองนี้

เรื่องน้ำซุปหรือหมูหมักนี่มีวิธีทำอื่นๆ อีกมากมาย ที่เล่าเรื่องโจ๊กคราวนี้มีสูตรมาในทำนองนี้เนื่องจากเป็นรายงานเรียน คุณนายติ่งแกต้องให้ลูกชายมาดูการทำ มาลองทำ มารู้จักของที่ใช้ เพราะกลัวว่าจะไปตกม้าตายถ้าอาจารย์ซักถามเอาความ เนื่องจากเจ้าตัวทำกับข้าวกับปลาอะไรไม่เป็นสักอย่าง ดูเหมือนจะเป็นอยู่อย่างเดียวคืออุ่นของในตู้เย็นกินด้วยเตาไมโครเวฟ

เป็นการ "สตาร์เต็ดอะโจ๊ก" ครั้งแรกในบ้าน ลองชิมลองกินกันทั่วทุกคน กินข้ามต่อมาอีกวัน ใช้ได้ครับ ดึกๆ ผมยังลงมาต้มกินเองอีก เป็นโจ๊กที่ไม่ถึงกับทำให้ "เดอะโฮลเวิร์ลด์ครายอิ้ง"

Create Date : 29 ธันวาคม 2550

Last Update : 29 ธันวาคม 2550 19:30:54 น.

0 comments

Counter : 515 Pageviews.