|
|
|
|
|
|
I am not maid exchange ตอนเจ็ด
ตอน ทัวร์นิวยอร์คก่อนเข้าบ้าน (ตอนจบ) พอถึงหกโมงเย็น ฉันก็แต่งตัวที่คิดว่าสวยแล้ว แหะ ๆ พร้อมกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ คลุมปิดทั้งตัวประมาณหนัง เจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้มาเองด้วยหนึ่งตัว เพราะฉันหนาวมาก ๆ คนอื่นจะใส่อะไรไม่สนใจ รู้ว่ามันแค่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ฉันหนาว เป็นกระเหรี่ยงพึ่งมาจากเขตุร้อนนี่นา
วันนั้นฉันกับเพื่อนคนไทยหลายคน ที่ไปทัวร์ด้วยกัน แต่ฉันจะอยู่กับเพื่อน (คนบ้านเดียวกัน) ที่นั่งเครื่องมาด้วยกันตลอด เพราะว่าตอนนี้เราเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว แล้วก็มีเพื่อนเกาหลีอีกคนหนึ่ง ที่ฉันพึ่งรู้จัก คนนี้หน้าตาน่ารัก แล้วก็นิสัยดี เป็นคนแบบค่อนข้างเรียบร้อย ฉันยังคิดในใจว่า แล้วยังงี้จะไปเลี้ยงเด็กอเมริกันไหวเหรอ ทำไมท่าทางเรียบร้อยจัง ถ้าเทียบกับลิงทโมน จากเมืองไทยทั้งหลายแล้ว คนละเรื่องกันเลย แหะๆ ขนาดเหล่าบรรดาออแพร์ไทยดูอ่อน ๆ แล้วนะ เจอเกาหลีเข้าไปยิ่งดูอ่อนกว่าเราอีก (สวย ใส ไร้เดียงสา) แล้วพวกเราก็ขึ้นรถบัส โดยมีไกด์หนึ่งคนเป็นคนนำเที่ยว เขาก็แนะนำตัว แจกแผ่นพับมากมาย บอกว่าเราจะไปไหนกันบ้าง ก็มีไปดูโรงละครโอเปร่า (ไม่รู้ไปดูทำไม) ไทมสแคร์ ไชน่าทาวน์ ชมวิวบนตึกร็อคเฟลเลอร์ (Rockefeller) และซากปรักหักพังที่เกิดจากโศกนาฎกรรม ในวันที่สิบเอ็ดกันยายน อีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ เวอร์เทรดเซ็นเตอร์ เอาแค่รู้โปรแกรมจากไกด์นำเที่ยวคร่าว ๆ ว่าจะไปไหนกันบ้าง ฉันก็เกิดอาการตื่นเต้นทันที รู้สึกว่าตั้งแต่มาเหยียบอเมริกา วันนี้พึ่งจะได้รู้สึกสดชื่นและมีความสุข แหะ ๆ แต่แล้วมันก็อยู่ได้ไม่นาน ความรู้สึกที่กำลังมีความสุขอยู่ดี ๆ ก็ถูกมารมาผจญ มารที่อยู่ในท้องฉัน (แต่ไม่ใช่มารหัวขนนะค่ะ) ก็เริ่มทำงานทันที ฉันเริ่มจากอาการกระอักกระอ่วน คลื่นไส้อยากอาเจียนตอนที่ยังอยู่ในรถ (ฉันไม่ได้ท้องนะ มาอเมริกาแค่ห้าวันจะท้องได้ยังไง ถึงแม้จะแอบสบตากับหนุ่มหล่อที่แผนกต้อนรับบ่อย ๆ ก็ตาม แต่ไม่ใช่ปลากัดนะจะได้ท้องได้ แหะ ๆ) ก็หันไปบอกเพื่อนว่าตัวเองอาการไม่ดี เพื่อนก็บอกว่าเป็นอะไรมากไหม ไปกินอะไรมา ในใจก็คิด ไม่ได้ไปกินอะไรเลย นอกจากกินข้าวที่ก็กินมาตลอดชีวิต แค่ไม่ได้กินห้าวันเอง พอกลับไปกินอีก จะมีอาการแพ้เลยเหรอ มันจะไม่ดูดัดจริตไปหน่อยเหรอ เหอะ ๆ คิดในใจว่าซวยแน่แล้ว มาเป็นอะไรตอนจะไปเที่ยว ถ้าของเก่าออกมาในรถตอนนี้ เพื่อน ๆ คงหมดสนุกและเหม็นด้วยแน่ ๆ ฮือ ๆ ทำไงดี พอรถไปจอดสถานที่แรก โรงละครโอเปร่าเท่านั้นหล่ะ ฉันวิ่งลงรถก่อนใครเพื่อน ใคร ๆ คงคิดว่า ฉันคงจะชอบละครโอเปร่ามาก ๆ แน่ ๆ ถึงได้รีบวิ่งลงไปดูก่อนใครเพื่อนเลย วิ่งลงไปตรงไปหาห้องน้ำก่อนเลย ประมาณแบบวิ่งเร็วยิ่งกว่า พวกเจ้ามือหวยใต้ดินวิ่งหนีตำรวจซะอีก ไปถึงห้องน้ำเท่านั้นปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ดีนะที่ไม่ถึงขนาดต้องลงไปนั่งพับเพียบกอดชักโครกเอาไว้ ยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะว่าไม่ได้เมา เหอะ ๆ
พอปล่อยไปรอบแรกแล้ว ก็รู้สึกสบายท้องขึ้นมาอย่างมหาศาล แต่ว่าก็เกิดอาการหมดแรงเลย เพื่อนก็มาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ถามอย่างเดียวไม่พอ ได้ทีบ่นใหญ่ เหมือนเป็นแม่เราอีกคน ไปกินอะไรมา ทำไม อย่างงั้น อย่างงี้ อยากจะอ๊วกอีกรอบ เพราะอาการเป็นห่วงของเพื่อนนี่หล่ะ เสร็จแล้วเราก็ไปเทียวกันต่อ แม้ว่าฉันจะหมดแรงเพราะพิษจากข้าว (มื้อแรกในอเมริกา) แต่ว่าเสียเงินไปแล้ว ก็ต้องเที่ยวให้คุ้ม ต้องมีแรงเดิน อย่าให้เสียเงินปล่าว แล้วต้องนอนรอในรถ พอคิดแบบนี้แล้ว ขามันก็สั่งให้มีแรงเดินยังไงยังงั้นเลย แบบว่าต่อมความงกมันทำงาน เลยทำให้ร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที เราไปชมวิวกันี่ตึกร็อคเฟลเลอร์ โอ้แม่เจ้า โรคกลัวความสูงของฉันกำเริบอีกแล้ว เพื่อนฉันก็จริง ๆ เลย ไม่รู้ว่าคุณเธออยากจะถ่ายรูปอะไรนักหนา ไม่คิดถึงคนที่กลัวความสูงอย่างฉัน (แต่เก็บซ่อนไว้) เก๊กไว้คะ เก๊กไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าเรากลัวความสูง ไม่งั้นอายเขา เหอะ ๆ ฉันก็ขอเป็น คนถ่ายรูปให้ ถ้าจะถ่ายให้ฉัน เอาแบบอยู่ตรงข้างในหน่อยก็ได้ ไม่ต้องไปยืนตรงนอกมากหรอก ได้เหมือนกัน แต่ยังดีวันนี้วันนั้นลมแรง เราเลยอยู่ข้างนอกกันนานไม่ได้ (ชอบความหนาวก็ตอนนี้หล่ะ) เพื่อนก็หนาว ฉันก็หนาว เลยมีข้ออ้างให้ได้เข้าข้างในกัน ดีไปไม่งั้นกว่าจะถ่ายรูปให้คุณเพื่อนเสร็จ ฉันคงหัวใจวายตายไปซะก่อน เหอะ ๆ
จากนั้นเราก็ไปไทมแสคร์ ฉันเป็นคนชอบซื้อโปสการ์ดมาก ๆ คือว่าสะสมตั้งแต่สมัยอยู่เมืองไทยแล้ว ถ้าไปเที่ยวจังหวัดไหน หรือที่ไหนก็จะซื้อเก็บไว้ตลอด หรือถ้าใครไปเที่ยวต่างประเทศ หรือไปที่ไหนก็จะบอกว่า ของฝากไม่ต้องเอาโปสการ์ดมาก็พอ คือประเด็นหลัก ๆ คือมันถูก แหะ ๆ สะสมได้ สะสมไป ของที่ระลึกอย่างอื่น แพงก็แพง หนักก็หนัก ว่าไปนั้น จริง ๆ ก็คือ งกนั่นเอง เพราะว่าโปสการ์ดไม่ว่าที่ไหน มันก็ราคาถูกสุดแล้วในร้านขายของที่ระลึก ก็คิดว่าจะซื้อโปสดการ์ดหลายใบหน่อย ส่งให้ที่บ้าน ระหว่างที่เลือกเสร็จแล้วก็ไปจ่ายเงิน เพื่อนอีกคนเขาก็ซื้อหลายอย่างเหมือนกัน เห็นเพื่อนไปถามคนขายว่า ราคาเท่าไหร่ คนขายก็บอกห้าบาท เพื่อนก็มาบอกฉันว่า เฮ้ย คนขายเขาบอกว่าห้าบาท ทำไมที่นี่ใช้เงินเหรียญ แล้วเรียกบาทเหมือนบาทเราเลย ฉันก็อ้าวจริงเหรอ ไหนดูสิ ฉันก็ไปถามบ้าง ราคาเท่าไหร่ ได้ยินมาเหมือนกันเลย ฟายบาท อ้าวบอกว่าห้าบาทเหมือนกัน เหอะ ๆ มาถึงอเมริกา ยังใช้เงินบาทเหมือนเมืองไทยเลย เหอะ ๆ ตอนหลังมาเข้าใจว่าที่แท้มันคือ บลักส์ (bucks) แต่ถ้าฟังดี ๆ มันก็คือบาทนั่นเอง แหม ๆ เห็นอย่างนี้ประเทศไทยเราก็อินเตอร์เหมือนกันนะ ใช้เงินสกุลเดียวกันกับอเมริกาซะด้วย ฮ่า ๆ ๆ แก้ตัวไปนั่น ที่แท้ก็ด้วยความบ้านนอก ในการใช้ภาษาของตัวเองแท้ ๆ คิดแล้วยังขำไม่หาย เรื่องความเปิ่นใน การใช้ภาษาอังกฤษยังมีอีกเยอะ เอาไว้อ่านในตอนต่อ ๆ ไปหล่ะกันคะ ออกจากไทมแสคร์ฉันก็หมดแรงแล้ว เพราะว่าหลังจากที่ของเก่าออกไป และไม่ได้มีของใหม่เข้ามาแต่อย่างใด มันก็หิว และเริ่มไม่มีแรง แต่ก็ต้องทน เกิดเป็นคนต้องทนให้ได้ แม่บอกไว้ ฮ่า ๆ คิดถึงเงินที่เสียไป แล้วจะได้มีแรงเดิน (งกไม่เลิกจริง ๆ) ไปอีกสองสามแห่ง ตามในรายการทัวร์ที่ระบุ แล้วก็สุดท้ายพาพวกเราไปจอดรถ ที่ฝั่งที่มองเห็นเทพเสรีภาพแบบไกลโพ้นมาก ๆ คือที่เคยเห็นเทพีเสรีภาพใหญ่ ๆ ในหนัง จากตรงที่พวกเรามองดูนั่นคือเห็นเป็น ตัวเล็กนิดเดียวไปเลย มืดก็มืดเห็นแค่แสงไฟรีบเหรี่ ไม่รู้จะพาไปดูทำไม เหอะ ๆ คงหวังดีประมาณว่าถ้ามานิวยอร์ค ไม่เห็นเทพีเสรีภาพก็เหมือนมาไม่ถึง แต่มาดูแบบนี้มันก็เหมือนมาไม่ได้ดูอยู่ดี แล้วการสิ้นสุดของทัวร์ (เสียเงิน) ก็จบลง บางคนก็ชอบ บางคนก็บอกว่าไม่สมกับเงินที่เสียไป ต่างคนต่างจิตต่างใจ แต่สำหรับฉันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าเกิดไม่มีอาการปั่นป่วนในท้องคงจะสนุกกว่านี้ เหอะ ๆ
พวกเราก็กลับมาถึงโรงแรมราว ๆ สี่ทุ่มกว่า ๆ แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหน่อย วันนั้นเป็นอีกวันที่ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก พรุ่งนี้อบรมต่อถึงบ่ายสามก็จะได้เข้าบ้านโฮสแล้ว ตื่นเต้น ๆ แต่ว่าเข้าบ้านโฮสตอนนี้สภาพแบบดูไม่ได้เลย เหนื่อย เพลีย โทรม ถ้าโฮสเจอจะตกใจไหมเนี๊ยะ คิดในใจไปต่าง ๆ นานา แล้วก็หมดแรงนอนไป คืนนั้นกำลังนอนฝันดี ๆ อยู่แล้วเชียว อยู่ ๆ ก็มีเสียงสัญญาณอะไรไม่รู้ดังมาก ๆ เพื่อนในห้องตื่นขึ้น บอกว่าสัญญาณเตือนว่าไฟไหม้ ให้เรารีบออกไปข้างนอกกัน เท่านั้นหล่ะ ฉันที่นอนอยู่เพราะอาการเหนื่อย และอ่อนเพลียจากอาการอ๊วกเมื่อตอนหัวค่ำ ลุกขึ้นมีแรงขึ้นมาทันที สมองสั่งงานแบบเหมือนเคยเห็นในหนังอย่างไรอย่างนั้น กำลังจะรีบลงไปยังไม่วายลืมคว้าเอากระเป๋าสะพาย (ใบใหญ่เหมือนกัน) เพราะคิดเหมือนกัน ว่าจะเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงไปด้วย แต่คงไม่ไหว ขืนเอาสองใบลงไป ด้วยตายก่อนลงไปได้แน่นอน ก็คว้าเอาใบเล็ก เพราะว่าในนั้นมีกระเป๋าเงิน และหนังสือเดินทาง ฯ วิ่งหน้าตื่นตามเพื่อน ๆ คนอื่นลงไปทางบันไดหนีไฟ ไปรวมตัวกันอยู่อีกด้านของโรงแรม ทุกคนลงมาด้วยสภาพไม่ต่างกัน คิดแล้วก็ขำ ๆ คืออากาศมันหนาวมากเลย แต่ว่าในห้องเราเปิดฮีตเตอร์ (เครื่องทำความอุ่น) ทำให้แต่ละคนจะใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกันมาก ๆ รีบวิ่งลงมา หนาวก็หนาว บางคนแบก เอาของลงมาด้วยเยอะมาก เพื่อนบางคนไม่ลืมเอาคอมพิวเตอร์ลงมาด้วย เหอะ ๆ หนาวก็หนาว เราก็ต้องรอจนกระทั่ง พนักงานมาบอกว่าปลอดภัยแล้ว ให้กลับห้องพักได้ พวกเราก็งงต่างแยกย้าย กันกลับห้องพักไป ฉันคิดในใจว่ามันเกิดอะไร แต่ด้วยความง่วงเลยไม่อยากจะสงสัยอะไร ขอนอนต่อก่อน พอตอนเช้าถึงได้รู้ว่ามี คนสูบบุหรี่ในห้องเลยทำให้สัญญาณกันไฟไหม้ดัง โห ใครกันช่างทำไปได้ แหม มันน่าจริง ๆ คิดแล้วยังขำไม่หาย ตอนนั้นก็กลัวจริง ๆ นึกว่าไฟไหม้จริง ๆ ดีนะที่เป็นแค่ควันบุหรี่ เหอะ ๆ แถมตอนหลัง มีเพื่อนบางคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย ประมาณว่าหลับกัน ทั้งห้องไม่ได้ยินเสียงสัญญาณทั้งเพื่อนคนไทย และชาติอื่นในห้องนั้น พร้อมใจกันนอนหลับจริง ๆ ถ้าไฟไหม้จริง ๆ คงได้ตายหมู่ เหอะ ๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนหน้าเผชิญหน้ากับโฮส และเข้าบ้านแล้ว เรื่องราวกำลังเข้มข้นแล้วนะค่ะ
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 10:03:50 น. |
Counter : 505 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ngbobber IP: 61.90.129.178 8 มิถุนายน 2552 14:44:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: fuangfar 11 มิถุนายน 2552 11:04:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
จบหมดซะละ ยังไงก็รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ปล. อ่านทั้งโรบินฮู้ด ทั้งออแพร์เลย ติดงอมแงม หุหุ