เรื่องเล่าจากต่างแดน
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 มิถุนายน 2552
 
 
I am not maid exchange ตอนสี่

ตอน วันบิน

หลังจากเก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวก่อนบิน
(เก็บของเสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้วีซ่าเลย แหะๆ)
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็คือรายการตะลอนทัวร์
ตระกละกิน จริง ๆ คือ มันคือตระเวนกิน
แต่กินด้วยความตระกละตระกราม
เพราะได้ยินใคร ๆ ก็บอกว่า
ไปอยู่เมืองนอกแล้วจะคิดถึงอาหารบ้านเรา
เพราะหากินไม่ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวฉันแล้ว
เป็นคนช่างกิน อะไรอร่อยที่ไหน
ตรงไหนถ้าเป็นในจังหวัดบ้านเกิดหล่ะก็จะต้องรู้จัก
ต้องไปกินมีเจ้าประจำ เพราะยังงั้น
พอมีเวลาที่เหลือก็ต้องมานั่งเขียน
ออกมาว่าจะกินอะไรวันไหน ที่ไหน อย่างไร
(ทำเป็นขั้นตอน อย่างจริงจัง
เรื่องเรียนยังไม่ทำขนาดนี้เลย เหอะๆ)
ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงเวลาแห่งการอำลา
ก็จะมีเจ้าภาพจัดการเลี้ยงไล่
คงเห็นว่าอย่างฉันออกนอกประเทศไทยไปก็ดีแล้ว แหะ ๆ
ไม่ใช่ค่ะ เลี้ยงส่งด้วยความอาลัย (ยังไม่ตาย)
เพื่อไม่ให้ทุกท่านเสียน้ำใจก็เลยต้องตระเวนกินกันไป
ทำเอาน้ำหนักขึ้นมาเลย (ยังไม่ได้ไปไหนเลยนะเนี๊ยะ)
คิด ๆ แล้วเหมือนคนป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
หรือโรคอะไรก็ตามที่รู้ว่าอยู่ได้ไม่นานยังไงไม่รู้
อยากทำอะไรต้องรีบไปทำ อยากจะไปหาใคร
อยากจะกินอะไรต้องรีบหามากิน คิดแล้วก็ขำ
คนเราก็แปลกมีเวลาเยอะแยะไม่เคยไปมาหาสู่กัน
ไม่เคยทำในสิ่งที่อยากทำ ของกินมันก็ขายทุกวัน
แต่ดันกินแต่ต้มมาม่า เหอะ ๆ
แต่พอจะไม่มีเวลาแล้ว รีบเข้า รีบทำนั่น
ทำนี่ ทำยังกับจะไม่ได้ทำอีกอย่างงั้นหล่ะ เป็นยังงั้นไป

หลังจากที่ได้จัดการกิน (อาหาร) ทำ (ในสิ่งต่าง ๆ)
เจอ (ญาติ มิตรสหาย ฯ) แล้ว ก็เป็นอันที่สบายใจ
เตรียมลาไปในที่แสนไกลได้อย่างโล่งอก
(ทำยังกับลาไปตายเลยเนอะ)
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง
ยังจำได้ดีวันที่ยี่สิบสาม เดือนตุลาคม
ตรงกับวันปิยะมหาราช
เป็นวันที่เหมาะแก่การเดินทางเป็นอย่างมาก
ทำให้มีขวัญและกำลังใจพร้อมออกศึกมากยิ่งขึ้น
(เฮ้ย ไม่ได้ไปรบ) แหะ ๆ ก็พูดไปยังงั้นหล่ะ
ไม่ไปรบก็เหมือนไปรบ
เพราะว่าสิ่งที่รออยู่มันยิ่งกว่าสนามรบซะอีก
แต่ก็ทำใจดี ยิ้มเข้าไว้ (ตามสโลแกนประเทศไทย ยิ้มสยาม)
เป็นโชคดีของฉันที่ได้มีโอกาสบินในสนามบินแห่งใหม่
สนามบินประวัติศาสตร์ของประเทศไทย (ประวัติศาสตร์ในการโกง เฮ้ย สร้างอันยาวนาน) สนามบินสุวรรณภูมิ
และในวันบิน ก็เป็นครั้งแรกที่เด็กบ้านนอกอย่าง
ฉันเคยไปสนามบินสุวรรณภูมิด้วย
แล้วที่สำคัญคือ เป็นวันแรกที่ได้นั่งเครื่องบินด้วย แหะ ๆ
ครั้งแรกที่นั่งเครื่อง ก็เล่นนั่งไปซะไกล
ยังไม่รู้เลยว่า โรคกลัวความสูงของฉันจะกำเริบหรือปล่าว
ลืมบอกไปว่า ฉันเป็นโรคกลัวความสูง
ขนาดขึ้นสะพานลอยในกรุงเทพฯ
ยังต้องเดินตรงกลาง ห้ามมองลงข้างล่าง
เพราะว่าถ้าเผลอมองลงไปเมื่อไหร่
ขามันจะก้าวไม่ออก เกิดอาการสั่นขึ้นมาทันที
เวลาขึ้นสะพานลอยกับแม่ทีไร
ก็อายทุกที ขนาดแม่แก่กว่าเรา
ยังเดินจ้ำเอา จ้ำเอา ส่วนตัวลูกสาวเหรอ
เดินช้ามาก ๆ แถมเดินตรง ๆ
แบบเกร็งสุด ๆ แหะ ๆ (ก็คนมันกลัวนี่นา)
พอคิดว่าจะได้นั่งเครื่อง (บิน) ในใจคิดไปต่าง ๆ นานา
วิตกจริตไปอย่างมากมายตามประสา
เด็กบ้านนอกไม่เคยไปไหนเลย
วัน ๆ ได้แต่วิ่งเล่นอยู่ท้องทุ่งท้องนา เป่าขลุ่ยให้ควายฟัง ฮ่า ๆ ๆ (ว่าไปนั้น)

แต่สำหรับฉันแล้วยังถือว่าโชคดีกว่าชาวบ้าน
ชาวเมืองที่เขาต้องเดินทางคนเดียวค่ะ
เพราะว่าการไปเป็นออแพร์ (พี่เลี้ยงเด็กส่งออก)
อย่างเรา ๆ นี้จะถูกจัดให้บินพร้อมเพื่อนคนไทยด้วยกันหลายคน
เรียกว่ากันไปกันเป็นกลุ่มไม่ต้องกลัวหลง
หรือถึงหลงก็มีเพื่อนหล่ะกัน
ทำให้อุ่นใจขึ้นมานิดนึง พอฉันไปถึงสนามบินก็เห็นเพื่อน ๆ
ออแพร์หลายคนที่เคยเจอกันบ้างแล้ว (บางคน)
ตอนไปเอาตั๋วที่สำนักงานของเอเจนซี่บ้าง
หรือเจอกันที่สำนักงานที่ต่างจังหวัดบ้าง
แต่ก็แค่ทักทาย โบกไม้โบกมือให้กัน
เพราะทุกคนต่างก็อยู่ในบรรยากาศเงียบเหงา
เศร้ากับญาติของตนเอง
ฉันเหรอค่ะ ไม่มีค่ะ ไม่มีอาการเศร้าแต่อย่างไร
ได้แต่ยิ้ม หัวเราะอย่างร่าเริงยังกับนกน้อยจะได้ออกจากกรง (สนิม)
อย่างไรอย่างนั้นเลย
ส่วนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ พี่ชาย คุณแฟน (เก่า)
ต่างพากันเศร้า ทำหน้าตาเหมือนกับว่าจะ
ไม่ได้เจอฉันแล้วอย่างงั้นอีก
ก็เป็นธรรมดาค่ะ เพราะว่าฉันไม่เคยออกจากบ้าน
ตลอดชีวิตใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน
พอจะห่างก็เล่นห่างไปแบบไกลสุดลูกหูลูกตา
คือแบบคงไม่ได้เจอกันทุกสอง
สามเดือนอะไรแบบนั้น สงสารคุณแม่เหมือนกัน
ท่านก็น้ำตาซึม ๆ เหมือนจะร้องไห้
ฉันก็เลยต้องแหย่ ๆ ว่าไม่ต้องร้อง
ร้องทำไม ฉันต่างหากต้องเป็นคนร้อง
จริง ๆ ก็รู้สึกใจหายวูบนะค่ะ
แต่ว่าไม่อยากจะแสดงออกให้คนที่บ้านเป็นห่วง
ถ้ายังไม่ทันได้ไปไหนเลยเล่นร้องไห้แล้ว
สงสัยจะไม่รอด เหอะ ๆ
พอล่ำลากับที่บ้านได้เป็นที่เรียบร้อย
โบกมืออำลา เหมือนฉากในหนังไทยหรือ
หนังต่างชาติ หลาย ๆ เรื่อง
ฉันก็เดินเข้าไปตรงช่องผู้โดยสารขาออก
ตอนนั้นใจหายมาก ๆ อยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ
แต่มันไม่มีน้ำตาสักหยด ได้แต่แบกรับความรู้สึกมากมาย
ตื่นเต้น เศร้า กลัว บอกไม่ถูกเลยว่าอันไหน
มันมากกว่าอันไหน แล้วก็ทำใจดี ๆ
ด้วยการหันไปหาเพื่อนออแพร์คนอื่น ๆ
ที่เดินทางด้วยกัน จำได้ว่าวันนั้นมีเพื่อนร่วม
เดินทางกันประมาณเก้าคน
แต่ละคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เคยมีคนที่เคยเจอกันบ้างแล้ว
สองสามคน ก็เข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ สาว
คุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่ในใจทุกคนต่างรู้ดีว่า
เพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ลืมภาพเหตุการณ์
ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานั่นเอง
หลังจากที่รอกันอยู่พักใหญ่ (หลับไปกี่ตื่นก็ไม่รู้)
ก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้น
แต่ก็ไม่ลืมเก๊ก ไม่แสดงความบ้านนอกให้ใครดู
เก๊กไว้ เก๊กไว้ ไม่มีใครรู้หรอกว่านี้ครั้งแรกที่ได้บิน
ขึ้นไปก็หาที่นั่งตามที่ได้มา
อ้าว หันไปเห็นคนข้าง ๆ อ้าวเพื่อนออแพร์
คนไทยด้วยกันนี่นา เออ ดี ๆ ได้นั่งติดกันด้วย
แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย
เพราะว่าเครื่องกำลังจะขึ้น
ต่างคนต่างรอ ต่างเกร็ง เหอะ ๆ

ตอนที่กัปตันพาเครื่องบินขึ้นทะยานสู่ท้องฟ้า
โอ้ แม่เจ้าใจสั่นมาก ๆ
มือสองข้างต้องกำพนักพิงแขนไว้อย่างเหนียวแน่น
(นึกภาพออกไหมค่ะ แบบว่าเกร็งสุด ๆ )
พร้อมทั้งหลับตา คือมันสั่นแล้วเหมือนไม่มีแรงยังไงไม่รู้
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นนะค่ะ เวลาเครื่องขึ้นทีไร
จะต้องนั่งเกร็ง หลับตาเอาแขนกำพนักวางแขนอย่างแน่น
ทำให้คนนั่งข้าง ๆ ตกใจกันไปเลย
พอเครื่องบินล่องหนอยู่บนฟากฟ้าได้
เสียงแอร์ประกาศบอกให้ปลดเข็มขัดนิรภัยได้
ก็ค่อยโล่งใจหน่อย มองออกไปที่หน้าต่าง
แล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
จากนั้นก็เริ่มหาเพื่อนคุยค่ะ
ตามประสาคนช่างจ้อ
ประมาณเงียบเป็นหลับ ขยับเป็นคุย และกิน
ทำได้สองอย่างในเวลาเดียวกันค่ะ แหะ ๆ
ก็ตามธรรมเนียม ก็ถามชื่อกันก่อน
เสร็จก็ถามว่าบ้านอยู่ไหน พอบอกว่าบ้านอยู่ไหน
ตรงไหน ยังไงเท่านั้นหล่ะ
โอ๊ย คนบ้านเดียวกันตัวนิ (ออกสำเนียงอีสานหน่อย ๆ)
คนจังหวัดเดียวกันยังไม่พอ
แถมเป็นคนอำเภอเดียวกันด้วย
คราวนี้หล่ะ ภาษาท้องถิ่นได้ขึ้นมาบินบนเครื่องกันเลยหล่ะ
คุยกันแบบไม่อายหนุ่มญี่ปุ่นที่นั่งข้าง ๆ เลย
พอคุยกันไปคุยกันมา
กลายเป็นว่าเจ้าเพื่อนร่วมทางคนนี้
ดันไปเป็นน้องสาวของเพื่อนที่เคยเรียนมัธยมต้นด้วยกันอีก
คราวนี้เลยได้เพื่อนคุยกันยาวเลย
เราคุยกันไปมากมายหลายเรื่อง
จนกระทั่งเราเริ่มคุยกันเรื่องโฮส
พอฉันบอกว่าฉันแมชกับครอบครัวที่นิวยอร์ค
มีออแพร์เก่าเป็นคนไทย บ้านนี้มีเด็กสี่คน เท่านั้นหล่ะ
แม่เจ้าประคุณเอ้ย คุณเพื่อนร่วมทางถึงกับถึงบางอ้อ
ร้องออกมาเสียงดัน
“โอ๊ย บ้านนี้เองติ บ้านนี้หล่ะเฮ็ดให้เฮาอกหัก”
เสียงในฟิลม์ไปหน่อย แปลโดยรวม ๆ ว่า
บ้านนี้ทำให้คุณเพื่อนร่วมทางของฉันอกหักนั่นเอง
เพราะว่าบ้านนี้ก็เคยสัมภาษณ์และคุยกับเขาเหมือนกัน
แล้วด้วยวาทศิลป์ของคุณออแพร์เก่าที่ทำให้ใคร ๆ
ก็อยากจะแมชด้วยทั้งนั้น ตอนหลังมาคุยกัน
เพื่อนยังบอกว่า ดีแล้วที่ไม่ได้แมชด้วย
เพราะถ้าได้แมชด้วย ก็ยังไม่รู้ทำไงเลย
คงได้กลับเมืองไทย เหอะ ๆ
พอรู้ว่าบ้านที่เราได้มาต่างเป็น
ที่หมายปองของผองเพื่อนร่วมรุ่น (ออแพร์)
แล้วก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจลึก ๆ
แบบผยองหน่อย ๆ แหะ ๆ ว่าไปนั่น
ก็ดีใจซิค่ะ ว่าเราเลือกบ้านไม่ผิดแน่ ๆ เลย
อย่างน้อยก็มีคนอยากได้เหมือนเรา เหอะ ๆ
หารู้ไหมว่าอะไรที่รออยู่ แล้วฉันก็มีความสุขไป
ตามประสาคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วาดฝันอย่างสวยหรู โฮตที่แสนใจดี เด็กที่แสนจะน่ารัก
โอ้ ไอคานท์เวท “I can’t wait”(ร้องเพลงนี้กันไปเลย)
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กับต้องร้องเพลง
ฮาวดูไอลีฟ “how do I live” ฉันจะอยู่ต่อไปได้ยังไง เหอะ ๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป



Create Date : 07 มิถุนายน 2552
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 19:39:16 น. 1 comments
Counter : 391 Pageviews.

 
55 เจอคนเหมือนกันค่ะเคยก่อนจะไปอยู่ต่างประเทศนานๆ
ก่อนวันบินตะลอนกินเหมือนกันค่ะกินให้มันสาสมใจก่อนไป


โดย: fuangfar วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:10:21:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

ถนนที่ทอดยาว
Location :
Toronto, ON Canada

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากเด็กบ้านนอกเดินทางสู่เมืองนอก กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน และเรื่องเล่าชีวิตจริงคนที่อยู่ในต่างประเทศ ที่มองดูว่าสวยงาม นั่นจริงเหรอ
[Add ถนนที่ทอดยาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com