เรื่องเล่าจากต่างแดน
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
27 มิถุนายน 2552
 
 
I am not maid exchange ตอนที่สิบสาม

ตอน สาวแกร่งแรงเกินร้อย (ต้องมีแรงเกินร้อยถึงจะเอาอยู่)
หลังจากวันที่ปรึกษามาและได้ตกลงกันแล้ว
ว่าจะลองทดลองงานอยู่กันไปก่อนสักหนึ่งเดือน
แล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที ในใจฉันตอนนั้นเหรอ
ใครจะไปอยู่หล่ะ ขอแค่เดือนเดียวเท่านั้นหล่ะ
พอออแพร์เก่าไปแล้ว ฉันก็จะไปเหมือนกัน ฮ่า ๆ ๆ ๆ (เป็นงั้นไป)
ฉันเองก็เริ่มดำเนินการหาโฮสใหม่ โดยการเอาประวัติไป
ลงในเวบไซต์หาพี่เลี้ยงเด็ก ตามความเป็นจริงแล้ว
ออแพร์ไม่มีสิทธิทำแบบนั้น เพราะถือว่าเป็นการผิดกฎ
หากทางเอเจนซี่ทราบก็อาจจะถูกตำหนิได้ แต่ว่าโดยส่วนมากแล้ว
เวลาที่ออแพร์จะเปลี่ยนครอบครัว
ทุกคนก็ต้องหาทางช่วยตัวเอง
(เพราะเอเจนซี่ไม่ค่อยช่วยซักเท่าไหร่)
แล้วก็บอกกล่าวเพื่อน ๆ พี่น้อง ๆ
หาดูตามเวบของออแพร์ด้วยเช่นกัน
แต่ว่าก็ไม่มีครอบครัวไหนติดต่อมาเลย
จนกระทั่งผ่านไปได้สองอาทิตย์ รุ่นพี่ (ออแพร์)
ก็พูดปลุกขวัญกำลังใจฉัน ทำให้มีแรงฮึดสู้อีกครั้ง
(อะไรจะเวอร์ปานนั้น) แต่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ฉันจำได้หลังจากวันนั้น (วันที่ที่ปรึกษามาเยี่ยม)
บรรยากาศระหว่างฉันกับรุ่นพี่ก็ไม่ค่อยดี
คือประมาณแทบจะไม่ค่อยคุยกัน มองหน้ากัน
แต่อยู่ร่วมกระท่อมด้วยกันเท่านั้น
จนผ่านไปสองอาทิตย์ได้
รุ่นพี่ก็เลยเรียกฉันมาคุย ตอนนั้นดึกแล้ว
เวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน ฉันพึ่งวางโทรศัพท์
คุยปรับทุกข์กับแม่ รุ่นพี่ก็เรียกมาถามว่ามีความสุขไหม
เห็นคุยกับแม่ ไม่มีความสุข (แอบฟังเราคุยโทรศัพท์ด้วย
หรือว่าเราคุยเสียงดังหว่า) พี่รู้สึกผิดนะที่เป็นคนเอาเรามา
จริง ๆ แล้วเด็กไม่ได้มีมีอะไรนะ น่าจะปราบอยู่
ฉันยังจำได้ดี และจะเอามาใช้เสมอ
ก็คือคำพูดของรุ่นพี่ประโยคนี้
ถ้าใครอยากเอาไปใช้ก็เอาไปได้นะค่ะ (ออแพร์ทั้งหลาย)
รุ่นพี่บอกว่า "อย่าไปสนใจ ถ้าเด็กร้อง ก็คิดซะว่าเขาไม่ใช่ลูกเรา
ถ้าเด็กด่า (ว่า) เรา ก็ไม่ต้องไปเจ็บใจ เด็กไม่ใช่ลูกเรา
ไม่ต้องไปมีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าโฮสเขาทำอะไร
ก็คิดซะว่าเขาไม่ใช่พ่อแม่เรา อย่าไปเสียใจหรือน้อยใจอะไร"
จากคำพูดประโยคนี้เอง ทำให้ฉันมีแรงฮึด
เออ ใช่ ๆ เขาไม่ใช่ลูกเรา ถ้างั้นเราจะไปยอมทำไม
เราต้องสู้ ให้รู้กันไปว่าใครจะชนะ
(แต่ส่วนมากก็แพ้พวกเด็ก ๆ เพราะพวกเด็กเยอะกว่า ฮ่า ๆ )
แล้วรุ่นพี่ก็พูดปลุกขวัญกำลังใจอีกหลายอย่าง
เขาบอกว่าฉันทำได้นะ เขาก็เห็นว่าฉันเริ่มทำได้แล้ว
เสียงดัง โหดขึ้นบ้างแล้ว (จากวันแรกที่มาอ่อน ๆ เสียงเบา ๆ หน้าซื่อ ๆ
ต้องมาเสียงดัง ทำหน้าโหด ฉันกลายเป็นนางมารรรรรรไปแล้ว แหะ ๆ) ทำไมยังอยากจะรีแมชไหม ฉันก็บอกไปว่า
ถ้างั้นก็จะสู้ดู รุ่นพี่ยังบอกอีกว่าอย่างน้อยเวลาพักก็ได้พักจริง ๆ
เพราะว่ามีบ้านส่วนตัว ฉันก็เออ ก็จริงนะ
จากการคุยกันวันนั้นเองทำให้ฉันมีแรงขึ้นมา (
รุ่นพี่มีวาทศิลป์ในการกล่อมจริง ๆ กล่อมตั้งแต่ก่อนมา
จนมาถึงกันเลยทีเดียว เหอะ ๆ) ฉันพยายามทำงานอย่างมีความสุข
และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ฉันต้องสร้างขึ้น (ยังกับมาเป็นดารา)
ก็คือบทบาทตอนที่อยู่กับเด็ก ฉันจะต้องโหดกว่า เสียงดังกว่า
และอย่าไปกลัวเด็ก (ต้องทำให้เด็กกลัว)
เพราะเด็กมักจะคิดว่าฉันกลัวเลยชอบแหกปากร้องไห้เสียงดัง ๆ

จากนั้นฉันก็เริ่มเรียนรู้เคล็บลับในการปราบเด็ก (แสบ)
เริ่มจากปฎิบัติการ 3 ป. ใครอยากจะจำเอาไปใช้ก็ได้นะคะ
อันนี้ไม่หวง
ป แรก คือ ปล่อย ปล่อยจริง ๆ แต่ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเล่นฟืนไฟ
จนไฟไหมบ้านนะค่ะ อันนี้จะเป็นการปล่อยตัวเอง
ให้ไปอยู่ในคุกอย่างรวดเร็ว แหะ ๆ
ปล่อยในที่นี้ คือ เวลาที่ร้องไห้ แหกปาก อย่างไร้สาระ
หรือไม่มีเหตุผล หรือเวลาที่ไม่ได้อะไรอย่างที่ตัวเองต้องการ
ก็ต้องปล่อย ปล่อยให้ร้องเลย เพราะงั้นพอเด็กร้อง
ฉันก็ปล่อย อยากร้องใช่ไหม ร้องไป ไม่พอต้องร้องแข่งด้วย
บางครั้งฉันก็หัวเราะใส่ไปเลย (บ้าไปแล้ว) เหอะ ๆ
แต่อันนี้ใช้ได้เฉพาะเด็กแฝดนะ เช่นเดียวกัน
อันนี้ใช้ได้เฉพาะกับเด็กบางคน
ต้องดูภาวะอารมณ์เด็กด้วย
เด็กบางคนโดยเฉพาะเด็กแบบเจ้าตัวโตใช้ไม่ได้
เพราะรายนั้น เล่นของแข็ง ประเภทมีอาวุธ
ถ้ายิ่งไปยั่วโมโหจะยิ่งหนัก คนที่ทำอย่างนั้น
อาจจะเจอของแข็งเข้าที่หัว ต้องใช้ไม้นวมบวกไม้แข็ง
(เอ๊ะ ยังไง ต้องติดตามต่อไป)

ป. ที่ 2 คือ ปราบ หลังจากปล่อยแล้ว ต้องปราบต่อเลยทันที
อันนี้ก็แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน อย่างฉันถ้าเด็กทำตัวงี่เง่า
(หรือไม่น่ารัก) ไม่มีเหตุผล งอแง ร้องไห้ เอาใจตัวเอง
ฉันจะปล่อย หลังจากนั้นจนหมดเสียงสะอื้น (เสียงเบาแล้ว
ร้องมาเป็นชั่วโมง) ฉันก็จะเข้าไปปราบด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ถ้าร้องเพราะเหนื่อย ก็จะเข้าไปอุ้ม
พูดดี ๆ อ่านหนังสือไหม จะทานข้าวยัง (อันนี้ปราบแบบ
ใช้ความอ่อนหวานของหญิงไทย ใจงาม นามไพเราะ ว่าไปนั้น)
แต่ถ้าเป็นการทะเลาะกันแล้วเจอการลงโทษ
หรือที่เรียกว่า time out (วิธีการtime out
เอาไว้คุยกันต่อไปนะค่ะ) ก็จะต้องทำตัวให้เหมือนอาจารย์เข้าไว้
ด้วยการทำเสียงเข้ม แต่แฝงด้วยความเมตตา
พูดคุยอธิบายให้เด็กทราบว่าทำไมถึงต้องทำโทษ
แล้วต้องมองตาเด็กด้วย (ใช้จิตวิทยานิดหนึ่ง)
แล้วทำเสียงเข้ม (ให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย)
ว่าห้ามทะเลาะกันอีกนะ หรือห้ามทำอะไรผิดแบบนี้อีก
วิธีนี้คือการปราบแบบใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
เพราะว่าเด็กยังไงก็คือเด็กวันยังค่ำ
(นี้คือความใสซื่อของเด็ก อย่างโบราณว่าไว้
ไม้อ่อนดัดง่าย ไม่แก่ดัดไม่ได้ ดัดเมื่อไหร่ หัก แหะ ๆ อันหลังเติมเอง)

ส่วนป. สุดท้าย คือ ปลีก ถ้าปราบได้แล้ว พ่อแม่เด็กกลับมาบ้านแล้ว ให้รีบปลีกตัวออกมาโดยเร็ว ฮ่า ๆ เพราะว่าไม่งั้นโรคประสาทจะถามหา ต้องรีบออกมาผ่อนคลาย (เป็นงั้นไป)



Create Date : 27 มิถุนายน 2552
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 10:22:15 น. 0 comments
Counter : 375 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

ถนนที่ทอดยาว
Location :
Toronto, ON Canada

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากเด็กบ้านนอกเดินทางสู่เมืองนอก กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน และเรื่องเล่าชีวิตจริงคนที่อยู่ในต่างประเทศ ที่มองดูว่าสวยงาม นั่นจริงเหรอ
[Add ถนนที่ทอดยาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com