|
|
|
|
|
|
I am not maid exchange ตอนห้า
ตอน รับน้อง (ออแพร์) ก่อนเข้าบ้าน
หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนาน เครื่องบินก็ได้พาเราเหล่าพี่เลี้ยงเด็ก (ส่งออก) จากเมืองไทยไปถึงสถานบินเจเอฟเค รัฐนิวยอร์คด้วยความปลอดภัย พอไปเหยียบสนามบินเท่านั้นหล่ะ คิดในใจว่า โอ้โห นี่เผลอแป๊บเดียวเรามาอยู่ประเทศมหาอำนาจ รัฐนิวยอร์คที่มีชื่อเสียงเชียวเหรอเนี๊ยะ เกิดอาการตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นอกจากตื่นเต้นยังไม่พอเกิดอาการสั่นด้วย ที่สั่นไม่ใช่เพราะอะไรนะค่ะ แต่เป็นเพราะความหนาบเหน็บ โอ้แม่เจ้า นี่พึ่งเดือนตุลาคม ยังหนาวถึงเพียงนี้ แล้วฉันจะอยู่รอดปลอดภัยไปถึงฤดูหนาวได้เหรอ เหอะ ๆ แล้วเหล่านางงามที่เข้าประกวด เฮ้ย ไม่ใช่ เหล่าออแพร์สาวก็ออกมายืนคุยกัน เรื่องหลัก ๆ เลยคืออากาศ ทำไมมันหนวอย่างนี้ แต่ละคนคว้าหาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ (เอาแบบใหญ่ที่สุด) กันแทบไม่ทัน เปิดกระเป๋า รื้อหากันใหญ่ พวกเรารอกันอยู่สักพัก ก็มีคนจากทางเอเจนซี่ เป็นเจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ที่อเมริกา เป็นหญิงสาววัยกลางคน ชาวอเมริกัน เข้ามาบอกก็เรียกพวกเรามารวมตัวกัน เริ่มเรียกชื่อกันไปทีละคน (เพื่อเช็คยอดคนตกหล่นหายหรือปล่าว) จากนั้นก็กล่าวประโยคต้อนรับ แล้วก็ให้เราลากกระเป๋า (อันใหญ่โต) ไปรอข้างนอก ถึงตอนนี้หล่ะ คือการเริ่มต้นของความทรมาน ทางร่างกายที่ต้องทนต่ออากาศที่หนาบเหน็บ อยู่ข้างในก็ว่าหนาวแล้ว แต่ออกไปข้างนอกแทบ จะแข็งกลายเป็นหินไปเลย ปากสั่น คางสั่น มือสั่น หากเปรียบเทียบก็เหมือนเวลาที่อากาศร้อน ๆ แล้วเราเดินเข้าห้างเจออากาศเย็น ๆ (สบาย ๆ) แต่กลับกันคือ ข้างนอกเป็นอากาศในห้าง (ที่เย็นเกินกว่าแอร์บ้านเรา) แต่ข้างในเป็นสถานที่อบอุ่นอะไรประมาณนั้น
พอเราจะขึ้นรถยังดีนะ ที่มีหนุ่ม (รุ่นเดียวกับพ่อ) มายกกระเป๋าให้ เพราะแค่ลากออกมา จากสนามบินก็แทบจะตายอยู่แล้ว พวกเราก็เดินไปนั่งในรถ พออากาศในรถทำให้ทุกคนเริ่มอุ่นได้ที่แล้ว ถึงได้เริ่มทำตัวเป็นบ้านนอกเข้ากรุง ออกอาการตื่นเต้นอย่างนอกหน้า มองซ้ายมองขวา ดูบ้านเมืองเขาตอนนั้น บรรดาเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันก็ชักภาพกันใหญ่ ไม่รู้ว่าถ่ายอะไร มีแต่ตึก ถนน แต่ก็ถ่ายไว้ก่อน ฉันก็ตามฟอร์ม ต้องเก๊กเข้าไว้ก่อน ไม่ถ่ายค่ะ ทำเป็นยิ้ม ๆ ประมาณแบบว่า อ่อ นี่เหรออเมริกา มาบ่อยแล้ว ไม่เห็นน่าสนใจเลย ฮ่าๆๆ จริง ๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เอากล้องไว้ในกระเป๋า เดินทาง ถ้ามีกล้องป่านนี้ก็ถ่ายเหมือนกัน ตื่นเต้นกว่าชาวบ้านอีก คงถ่ายแม้กระทั่งเสาไฟ แล้วรถก็แวะไปอีกสนามบิน เพื่อรับเพื่อนเหล่าออแพร์จากชาติอื่น ๆ ด้วย ทำให้ในรถตอนนี้มีเหล่าสาวออแพร์ หรือพี่เลี้ยงเด็ก (นำเข้า) จากนานาประเทศ ทุกคนมีอาการเช่นเดียวกัน (ยกเว้นฉัน เพราะ เก๊กอยู่) ทำเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง มองนั่นนี่ ถ่ายรูป ฉันรู้สึกว่าดีนะ บรรยากาศเฮฮาทำให้ ไม่มีใครคิดถึงบ้าน (ประเทศ) ที่ตัวเองต่างจากมา เจ้าหน้าที่ของทางเอเจนซี่ก็คุยไป แนะนำ พูดนั่นนี่ไป แต่อย่ามาถามฉันนะว่าพูดอะไร ไม่ได้ฟังอะไรกับเขาหรอก มัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น (แต่ไม่ได้แสดงออก ยังคงเก๊กอยู่) โอ้โห นี่รถเมืองนอก นั่นฝรั่งผมทอง ตึกสูงนี่ตึกอะไร ที่นี่นิวยอร์คจริง ๆ เหรอ ทำไมรถติดเหมือนกรุงเทพฯ เลย แหะ ๆ นี่เราฝันไปหรือปล่าว สมองมันมีแต่คำถาม ความตื่นเต้น นิวยอร์คนี่รถเยอะจริง ๆ รถติดด้วยอย่างที่เคยให้หนังไม่มีผิด
เนื่องจากเอเจนซี่ที่เราได้เดินทางมา ด้วยจะมีการให้เราได้อบรมกันก่อน เรียกว่าเป็นการปรับตัวกัน เตรียมใจกันก่อนที่จะเข้าบ้านโฮส หรือว่าขึ้นเขียงนั่นเอง เพราะยังงี้แล้วรถบัสที่บรรทุกเหล่าออแพร์(นำเข้า) จากนานาประเทศจึงมุ่งหน้าสู่เมืองหนึ่งในรัฐคอนเน็กติกัต เมื่อไปถึงโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่จากเอเจนซี่อีกท่านหนึ่งรออยู่ ก็แจกกุญแจห้องพร้อมเอกสารอะไรอีกนิดหน่อย แล้วก็ให้พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน วันต่อมาค่อยเริ่มการสัมมนา การจัดห้องพักนั้นทางเอเจนซี่จะ จัดให้เราพักกับเพื่อนที่อยู่ในละแวก บริเวณบ้านเดียวกันกับเรา เพื่อเป็นการให้เราได้สร้างสัมพันธไมตรี และรู้จักเพื่อนใหม่ ที่จะกลายเป็นเพื่อนบ้านเราในอนาคต
ฉันได้พักกับเพื่อนชาวฝรั่งเศส (สาวสวย) และเพื่อนชาวเยอรมัน (ตัวใหญ่) พักห้องละสามคน พอต้องพักกับเพื่อนต่างชาติ ฉันก็ต้องเริ่มสนทนาภาษาอังกฤษ แบบมือไม้พันกันไปหมด เหอะ ๆ เข้าใจกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง ตอนฉันบอกว่ามาจากไทยแลน์ด ยังมีการมาว่า ไต้วัน (ไท้หวัน แบบสำเนียงฝรั่ง) บอกไม่ใช่ ไทยแลน์ด มาจากไทยแลน์ด ถึงได้ อ่อ ๆ ตรงลงที่อ่อ ๆ ไปรู้จักกันหรือปล่าว เหอะ ๆ สองคนที่นอนห้องเดียวกับฉัน เป็นรุ่นน้องทั้งคู่ อายุราว ๆ สิบแปด สิบเก้า พึ่งจบมัธยมศึกษาตอนปลายมา คือ ความจริงแล้วออแพร์เข้าก็รับ เด็กที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายนั่นหล่ะ แต่ออแพร์ไทยมีวุฒิภาวะไม่มากพอ เลยต้องเอาปริญญาตรีขึ้นไป ขนาดปริญญาตรีมาอย่างนี้ยังดูเป็นเด็ก ๆ อ่อน ๆ (ต่อโลก) ไม่ประสีประสาอะไรเลย เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ออแพร์ชาติอื่น ๆ ซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ (แก่) ทั้งหน้าและบุคลิก เหอะ ๆ ไฉนเลยจะมาสวย ใส ไร้เดียงสาเหมือนออแพร์ไทย เพื่อนเยอรมันกับฝรั่งเศส เขาก็คุยกันได้ดีนะ คงลืมไปว่ามีกระเหรี่ยง อีกคนอยู่ร่วมห้องด้วย ความจริง ฉันเองที่พยายามคุยกับ พวกเขาให้น้อย ๆ เข้าไว้ แหะ ๆ แล้วอย่านะ อย่ามาถามอะไรฉันมาก เพราะเดี๋ยวตอบออกไปแล้ว ไม่เข้าใจจะถามต่อให้มันยาวอีก สรุปคือ ฉันได้ทำตามสโลกแกน ของประเทศไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่ วัฒนธรรมอันดี โดยการยิ้ม ได้แต่ยิ้ม ถามอะไรมาก็ยิ้มไว้ก่อน จนพวกเขาคงคิดว่า สงสัยยัยนี้มันเพี้ยน เหอะ ๆ เอาแต่ยิ้ม ทำให้เขาไม่กล้าคุยด้วยไปเลย
เอาจริง ๆ จะว่าไปภาษาอังกฤษฉัน ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดพูดจา ฟังไม่ได้อะไรขนาดนั้น เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นมีหวังอาจารย์ ตามมายึดใบปริญญาแน่ ๆ ก็เรียนจบเอกภาษาอังกฤษมาเป็นอย่างดีนี่นา แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ หล่ะสำเนียงภาษาอังกฤษ ของคนไทย ต่อให้ใครต่อใครก็เถอะ สำเนียงแบบเอเชีย พูดออกไปถ้าไม่ใช่ เจ้าของภาษาก็งงได้เหมือนกัน เพราะงั้นช่วงที่ฉันไปแรก ๆ ก็เป็นช่วงปรับสำเนียง (ทุกวันนี้ก็ยังปรับอยู่ หาคลื่นไม่เจอซะที) เขาว่าถ้าจะพูดภาษาอังกฤษให้ดี ต้องดัดจริตหน่อย ๆ จีบปากจีบคอ แอล อา กระดกลิ้นขึ้นลงกันเข้าไป ลิ้นแข็ง ๆ แบบฉันก็เลยมึนกันอยู่นาน ติดมาจนทุกวันนี้ แหะ ๆ
วันแรกของการเริ่มปฐมนิเทศ (สัมมนา) ก็มาถึง ทางเอเจนซี่ชี้แจงว่าเป็นการให้ออแพร์ (นำเข้า) ได้ปรับตัวให้ชินกับเวลา และพักผ่อน เจตนาก็ดี แต่ในทางปฎิบัติทำให้ออแพ์จะตายมากกว่า ก็ดูตารางการสัมมนาก่อน แบบรายการเริ่มตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ไม่มีเวลาให้พัก แล้วลองนึกภาพออแพร์ ที่นั่งเครื่องมาไกลแสนไกล แล้วเวลาต่างกันสิบสองชั่วโมง กลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน อย่างออแพร์ไทยด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เหล่าออแพร์สาวไทย พอถึงช่วงบ่ายที่เป็นเวลานอนของเรา (ตีหนึ่งแล้วนะ) ต่างก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจฟัง อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง (หลับกันเป็นแทบ) มันเป็นความทรมานมาก ๆ ที่จะต้องมานั่งฟัง (ไม่รู้พูดเรื่องอะไร) ฟังก็ไม่ค่อยเข้าหู (ใจ) อยู่แล้ว ยังง่วงและเหนื่อยมาก ๆ สภาพพวกเราแต่ละคนไม่ต่างกันเลย แล้วอีกอย่าง คือ อาหาร อย่างที่บอกมันเป็นการสัมมนาหมู เฮ้ย หมู่ เพราะงั้นอาหารก็จะเป็นแบบเหมาจ่ายไว้แล้ว ทำไว้ให้ไปเลือกกิน แต่ละอย่างไม่ต้องบอกคงรู้ ฉันกินได้แต่ขนมปัง เพื่อนสาวชาวออแพร์ไทย ขนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สารพัดรส ที่เอามาจากเมืองไทยมาต้มกินกันเพียบ ทำเอาออแพร์ชาติอื่นอึ้งกันไปเลย เหอะ ๆ ก็อาหารของโรงแรมรสชาติมันแสนจะจืด ชืด และไม่อร่อย พวกเราจะทนกินกันไปได้อย่างไร พอเห็นอย่างนี้แล้วฉันก็คิดหนักเลย แค่เรื่องอาหารก็จะตายแล้ว จะอยู่ได้เหรอสองปี ตอนมาคิดไว้สองปี ตอนนี้คิดว่าอยู่ครบปีได้คงเก่งแล้วหล่ะ แหะ ๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนหน้า ตอนทัวร์นิวยอร์คก่อนเข้าบ้าน ไปไงมาไง ฉันถึงได้อ๊วกกลางทัวร์ได้ มาติดตามต่อนะค่ะ
Create Date : 07 มิถุนายน 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 19:40:40 น. |
Counter : 564 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: fuangfar 11 มิถุนายน 2552 10:45:00 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|