เรื่องเล่าจากต่างแดน
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 มิถุนายน 2552
 
 

I am not maid exchange ตอนห้า

ตอน รับน้อง (ออแพร์) ก่อนเข้าบ้าน

หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนาน
เครื่องบินก็ได้พาเราเหล่าพี่เลี้ยงเด็ก (ส่งออก)
จากเมืองไทยไปถึงสถานบินเจเอฟเค
รัฐนิวยอร์คด้วยความปลอดภัย
พอไปเหยียบสนามบินเท่านั้นหล่ะ
คิดในใจว่า โอ้โห นี่เผลอแป๊บเดียวเรามาอยู่ประเทศมหาอำนาจ
รัฐนิวยอร์คที่มีชื่อเสียงเชียวเหรอเนี๊ยะ
เกิดอาการตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
นอกจากตื่นเต้นยังไม่พอเกิดอาการสั่นด้วย
ที่สั่นไม่ใช่เพราะอะไรนะค่ะ
แต่เป็นเพราะความหนาบเหน็บ
โอ้แม่เจ้า นี่พึ่งเดือนตุลาคม ยังหนาวถึงเพียงนี้
แล้วฉันจะอยู่รอดปลอดภัยไปถึงฤดูหนาวได้เหรอ เหอะ ๆ
แล้วเหล่านางงามที่เข้าประกวด
เฮ้ย ไม่ใช่ เหล่าออแพร์สาวก็ออกมายืนคุยกัน
เรื่องหลัก ๆ เลยคืออากาศ ทำไมมันหนวอย่างนี้
แต่ละคนคว้าหาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ (เอาแบบใหญ่ที่สุด)
กันแทบไม่ทัน เปิดกระเป๋า
รื้อหากันใหญ่ พวกเรารอกันอยู่สักพัก
ก็มีคนจากทางเอเจนซี่ เป็นเจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ที่อเมริกา
เป็นหญิงสาววัยกลางคน ชาวอเมริกัน
เข้ามาบอกก็เรียกพวกเรามารวมตัวกัน
เริ่มเรียกชื่อกันไปทีละคน (เพื่อเช็คยอดคนตกหล่นหายหรือปล่าว)
จากนั้นก็กล่าวประโยคต้อนรับ
แล้วก็ให้เราลากกระเป๋า (อันใหญ่โต)
ไปรอข้างนอก ถึงตอนนี้หล่ะ
คือการเริ่มต้นของความทรมาน
ทางร่างกายที่ต้องทนต่ออากาศที่หนาบเหน็บ
อยู่ข้างในก็ว่าหนาวแล้ว
แต่ออกไปข้างนอกแทบ
จะแข็งกลายเป็นหินไปเลย
ปากสั่น คางสั่น มือสั่น
หากเปรียบเทียบก็เหมือนเวลาที่อากาศร้อน ๆ
แล้วเราเดินเข้าห้างเจออากาศเย็น ๆ (สบาย ๆ)
แต่กลับกันคือ ข้างนอกเป็นอากาศในห้าง
(ที่เย็นเกินกว่าแอร์บ้านเรา)
แต่ข้างในเป็นสถานที่อบอุ่นอะไรประมาณนั้น

พอเราจะขึ้นรถยังดีนะ ที่มีหนุ่ม (รุ่นเดียวกับพ่อ)
มายกกระเป๋าให้ เพราะแค่ลากออกมา
จากสนามบินก็แทบจะตายอยู่แล้ว
พวกเราก็เดินไปนั่งในรถ
พออากาศในรถทำให้ทุกคนเริ่มอุ่นได้ที่แล้ว
ถึงได้เริ่มทำตัวเป็นบ้านนอกเข้ากรุง
ออกอาการตื่นเต้นอย่างนอกหน้า
มองซ้ายมองขวา ดูบ้านเมืองเขาตอนนั้น
บรรดาเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันก็ชักภาพกันใหญ่
ไม่รู้ว่าถ่ายอะไร มีแต่ตึก ถนน
แต่ก็ถ่ายไว้ก่อน ฉันก็ตามฟอร์ม
ต้องเก๊กเข้าไว้ก่อน ไม่ถ่ายค่ะ ทำเป็นยิ้ม ๆ
ประมาณแบบว่า อ่อ นี่เหรออเมริกา
มาบ่อยแล้ว ไม่เห็นน่าสนใจเลย ฮ่าๆๆ
จริง ๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เอากล้องไว้ในกระเป๋า
เดินทาง ถ้ามีกล้องป่านนี้ก็ถ่ายเหมือนกัน
ตื่นเต้นกว่าชาวบ้านอีก คงถ่ายแม้กระทั่งเสาไฟ
แล้วรถก็แวะไปอีกสนามบิน
เพื่อรับเพื่อนเหล่าออแพร์จากชาติอื่น ๆ ด้วย
ทำให้ในรถตอนนี้มีเหล่าสาวออแพร์
หรือพี่เลี้ยงเด็ก (นำเข้า) จากนานาประเทศ
ทุกคนมีอาการเช่นเดียวกัน (ยกเว้นฉัน เพราะ
เก๊กอยู่)
ทำเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง มองนั่นนี่ ถ่ายรูป
ฉันรู้สึกว่าดีนะ บรรยากาศเฮฮาทำให้
ไม่มีใครคิดถึงบ้าน (ประเทศ)
ที่ตัวเองต่างจากมา เจ้าหน้าที่ของทางเอเจนซี่ก็คุยไป
แนะนำ พูดนั่นนี่ไป แต่อย่ามาถามฉันนะว่าพูดอะไร
ไม่ได้ฟังอะไรกับเขาหรอก มัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น
(แต่ไม่ได้แสดงออก ยังคงเก๊กอยู่)
โอ้โห นี่รถเมืองนอก นั่นฝรั่งผมทอง
ตึกสูงนี่ตึกอะไร ที่นี่นิวยอร์คจริง ๆ เหรอ
ทำไมรถติดเหมือนกรุงเทพฯ เลย แหะ ๆ
นี่เราฝันไปหรือปล่าว สมองมันมีแต่คำถาม
ความตื่นเต้น นิวยอร์คนี่รถเยอะจริง ๆ
รถติดด้วยอย่างที่เคยให้หนังไม่มีผิด

เนื่องจากเอเจนซี่ที่เราได้เดินทางมา
ด้วยจะมีการให้เราได้อบรมกันก่อน
เรียกว่าเป็นการปรับตัวกัน
เตรียมใจกันก่อนที่จะเข้าบ้านโฮส
หรือว่าขึ้นเขียงนั่นเอง
เพราะยังงี้แล้วรถบัสที่บรรทุกเหล่าออแพร์(นำเข้า)
จากนานาประเทศจึงมุ่งหน้าสู่เมืองหนึ่งในรัฐคอนเน็กติกัต
เมื่อไปถึงโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่ง
ก็มีเจ้าหน้าที่จากเอเจนซี่อีกท่านหนึ่งรออยู่
ก็แจกกุญแจห้องพร้อมเอกสารอะไรอีกนิดหน่อย
แล้วก็ให้พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน
วันต่อมาค่อยเริ่มการสัมมนา
การจัดห้องพักนั้นทางเอเจนซี่จะ
จัดให้เราพักกับเพื่อนที่อยู่ในละแวก
บริเวณบ้านเดียวกันกับเรา
เพื่อเป็นการให้เราได้สร้างสัมพันธไมตรี
และรู้จักเพื่อนใหม่ ที่จะกลายเป็นเพื่อนบ้านเราในอนาคต

ฉันได้พักกับเพื่อนชาวฝรั่งเศส (สาวสวย)
และเพื่อนชาวเยอรมัน (ตัวใหญ่) พักห้องละสามคน
พอต้องพักกับเพื่อนต่างชาติ
ฉันก็ต้องเริ่มสนทนาภาษาอังกฤษ
แบบมือไม้พันกันไปหมด เหอะ ๆ เข้าใจกันบ้าง
ไม่เข้าใจกันบ้าง ตอนฉันบอกว่ามาจากไทยแลน์ด
ยังมีการมาว่า ไต้วัน (ไท้หวัน แบบสำเนียงฝรั่ง)
บอกไม่ใช่ ไทยแลน์ด มาจากไทยแลน์ด
ถึงได้ อ่อ ๆ ตรงลงที่อ่อ ๆ ไปรู้จักกันหรือปล่าว
เหอะ ๆ สองคนที่นอนห้องเดียวกับฉัน
เป็นรุ่นน้องทั้งคู่ อายุราว ๆ สิบแปด สิบเก้า
พึ่งจบมัธยมศึกษาตอนปลายมา
คือ ความจริงแล้วออแพร์เข้าก็รับ
เด็กที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายนั่นหล่ะ
แต่ออแพร์ไทยมีวุฒิภาวะไม่มากพอ
เลยต้องเอาปริญญาตรีขึ้นไป
ขนาดปริญญาตรีมาอย่างนี้ยังดูเป็นเด็ก ๆ
อ่อน ๆ (ต่อโลก) ไม่ประสีประสาอะไรเลย
เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ออแพร์ชาติอื่น ๆ
ซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ (แก่) ทั้งหน้าและบุคลิก
เหอะ ๆ ไฉนเลยจะมาสวย ใส
ไร้เดียงสาเหมือนออแพร์ไทย
เพื่อนเยอรมันกับฝรั่งเศส
เขาก็คุยกันได้ดีนะ คงลืมไปว่ามีกระเหรี่ยง
อีกคนอยู่ร่วมห้องด้วย
ความจริง ฉันเองที่พยายามคุยกับ
พวกเขาให้น้อย ๆ เข้าไว้ แหะ ๆ
แล้วอย่านะ อย่ามาถามอะไรฉันมาก
เพราะเดี๋ยวตอบออกไปแล้ว
ไม่เข้าใจจะถามต่อให้มันยาวอีก
สรุปคือ ฉันได้ทำตามสโลกแกน
ของประเทศไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่
วัฒนธรรมอันดี โดยการยิ้ม ได้แต่ยิ้ม
ถามอะไรมาก็ยิ้มไว้ก่อน
จนพวกเขาคงคิดว่า สงสัยยัยนี้มันเพี้ยน เหอะ ๆ
เอาแต่ยิ้ม ทำให้เขาไม่กล้าคุยด้วยไปเลย

เอาจริง ๆ จะว่าไปภาษาอังกฤษฉัน
ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดพูดจา
ฟังไม่ได้อะไรขนาดนั้น
เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นมีหวังอาจารย์
ตามมายึดใบปริญญาแน่ ๆ
ก็เรียนจบเอกภาษาอังกฤษมาเป็นอย่างดีนี่นา
แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ หล่ะสำเนียงภาษาอังกฤษ
ของคนไทย ต่อให้ใครต่อใครก็เถอะ
สำเนียงแบบเอเชีย พูดออกไปถ้าไม่ใช่
เจ้าของภาษาก็งงได้เหมือนกัน
เพราะงั้นช่วงที่ฉันไปแรก ๆ
ก็เป็นช่วงปรับสำเนียง (ทุกวันนี้ก็ยังปรับอยู่ หาคลื่นไม่เจอซะที)
เขาว่าถ้าจะพูดภาษาอังกฤษให้ดี
ต้องดัดจริตหน่อย ๆ จีบปากจีบคอ
แอล อา กระดกลิ้นขึ้นลงกันเข้าไป
ลิ้นแข็ง ๆ แบบฉันก็เลยมึนกันอยู่นาน
ติดมาจนทุกวันนี้ แหะ ๆ

วันแรกของการเริ่มปฐมนิเทศ (สัมมนา)
ก็มาถึง ทางเอเจนซี่ชี้แจงว่าเป็นการให้ออแพร์ (นำเข้า)
ได้ปรับตัวให้ชินกับเวลา และพักผ่อน
เจตนาก็ดี แต่ในทางปฎิบัติทำให้ออแพ์จะตายมากกว่า
ก็ดูตารางการสัมมนาก่อน แบบรายการเริ่มตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น
ไม่มีเวลาให้พัก แล้วลองนึกภาพออแพร์
ที่นั่งเครื่องมาไกลแสนไกล
แล้วเวลาต่างกันสิบสองชั่วโมง
กลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน
อย่างออแพร์ไทยด้วยแล้ว
ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
เหล่าออแพร์สาวไทย
พอถึงช่วงบ่ายที่เป็นเวลานอนของเรา (ตีหนึ่งแล้วนะ)
ต่างก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจฟัง
อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง (หลับกันเป็นแทบ)
มันเป็นความทรมานมาก ๆ ที่จะต้องมานั่งฟัง (ไม่รู้พูดเรื่องอะไร)
ฟังก็ไม่ค่อยเข้าหู (ใจ) อยู่แล้ว
ยังง่วงและเหนื่อยมาก ๆ
สภาพพวกเราแต่ละคนไม่ต่างกันเลย
แล้วอีกอย่าง คือ อาหาร
อย่างที่บอกมันเป็นการสัมมนาหมู เฮ้ย หมู่
เพราะงั้นอาหารก็จะเป็นแบบเหมาจ่ายไว้แล้ว
ทำไว้ให้ไปเลือกกิน
แต่ละอย่างไม่ต้องบอกคงรู้
ฉันกินได้แต่ขนมปัง
เพื่อนสาวชาวออแพร์ไทย
ขนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สารพัดรส
ที่เอามาจากเมืองไทยมาต้มกินกันเพียบ
ทำเอาออแพร์ชาติอื่นอึ้งกันไปเลย เหอะ ๆ
ก็อาหารของโรงแรมรสชาติมันแสนจะจืด ชืด
และไม่อร่อย พวกเราจะทนกินกันไปได้อย่างไร
พอเห็นอย่างนี้แล้วฉันก็คิดหนักเลย
แค่เรื่องอาหารก็จะตายแล้ว
จะอยู่ได้เหรอสองปี ตอนมาคิดไว้สองปี
ตอนนี้คิดว่าอยู่ครบปีได้คงเก่งแล้วหล่ะ แหะ ๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนหน้า ตอนทัวร์นิวยอร์คก่อนเข้าบ้าน ไปไงมาไง ฉันถึงได้อ๊วกกลางทัวร์ได้ มาติดตามต่อนะค่ะ




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2552
2 comments
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 19:40:40 น.
Counter : 564 Pageviews.

 

หวังมานคงเป็นดังหวังและก็ ขอให้ โชคดี คร่ะ

 

โดย: toomnarak (toomnarak_mry ) 9 มิถุนายน 2552 11:41:20 น.  

 

แค่ตอนนี้ยังทรหดแล้วเลย

 

โดย: fuangfar 11 มิถุนายน 2552 10:45:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ถนนที่ทอดยาว
Location :
Toronto, ON Canada

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากเด็กบ้านนอกเดินทางสู่เมืองนอก กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน และเรื่องเล่าชีวิตจริงคนที่อยู่ในต่างประเทศ ที่มองดูว่าสวยงาม นั่นจริงเหรอ
[Add ถนนที่ทอดยาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com