หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

Something sweet(18)...คนรอกับคนจากไป


เช้านี้ระเด่นมนตรีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาตื่นแต่เช้า ใจจริงชายหนุ่มอยากจะไปเคาะประตูห้องของบุษบา เรียกให้หล่อนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน
ติดแต่ว่าเมื่อคืนนี้เขากระทำการอุกอาจ จุมพิตอย่างพลั้งเผลอ ท่าทีของบุษบาก็ตกใจน่าดู หากจะไปเคาะประตูห้องในยามนี้
...อาจจะเป็นการ‘รุก’ที่เร็วเกินไป คนหัวโล้นรู้สึกเหมือนตนเองเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง ...ความรู้สึกวาบหวามในความรัก
ใจเต้นระรัวเมื่อคิดได้ว่าจะเจอกับหญิงที่ตนเองหมายปอง


“พี่บุษบาบอกว่าปวดหัวฮะเลยไม่มาทานข้าวเช้า”
ลูกชายตัวน้อยรายงานเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเมียงมองไปข้างบนบ้านบ่อยครั้ง
“ปวดหัว ...เขาบอกว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่าล่ะเดียร์”
เสียงระเด่นมนตรีถามห่วงใย ใจแล่นไปที่หน้าประตูห้องหญิงสาวแล้ว เดียร์ส่ายศรีษะไปมา
“ไม่รู้สิฮะ เดียร์เห็นแต่พี่บุษบาเปิดประตูห้องมาบอกแบบหน้ายุ่งๆ”


วิทยากร สังฆา และลุงสุข มองอาการเจ้าของไร่แล้วหันมามองหน้ากันเอง ระเด่นมนตรีลุกลี้ลุกลนผิดปรกติ
เฝ้ารอการลงมาทานอาหารของผู้หญิงคนเดียวในไร่ตั้งแต่เช้า พอรู้ว่าหล่อนไม่สบายสีหน้าก็เปลี่ยนไป
...ห่วงใยมากจน่าสงสัย
ไม่วางฟอร์มเหมือนที่ผ่านมา เหตุการณ์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หนุ่มๆในไร่ได้แต่คิด
...เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่หนอ นายใหญ่ของไร่จึงได้แต่คอยคะนึงหา ขณะที่บุษบากลับหลีกลี้หนีหน้า


บุษบานอนไม่หลับทั้งคืน ใจคิดสับสนปนเปไปหมด รัก...ใคร่...เสน่หา ทุกอย่างล้วนมีระเด่นมนตรีมาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
โอ้ละหนอ...ชีวิตของหล่อน จะมีบ้างไหมเวลาที่สุขสงบ เพิ่งจบเรื่องของเดียร์ไปเมื่อกลางวัน จู่ๆพฤกษ์ก็มาพร้อมเรื่องร้อนใจ
กลางคืนระเด่นมนตรีก็ทำเรื่องให้ใจเต้นอีก เอาล่ะ...โชคชะตา ยังมีเรื่องอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่านี้อีกไหม


“คุณบุษบาครับ คุณบุษบา”
ประตูหน้าห้องถูกเคาะพร้อมกับเสียงของวิทยากร
“คุณพฤกษ์จากโรงแรมดาราโทร.มาครับ เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญ โทร.มาเบอร์มือถือคุณแล้วไม่ติด
เดี๋ยวคุณไปรับโทรศัพท์ที่ห้องรับแขกได้เลย”
หนุ่มผมดกบอกเมื่อยามหล่อนเปิดประตูออกไป


เสียงจากโทรศัพท์นั้นแผ่วโหย
“บุษบา คุณพ่อคุณแม่พี่ประสบอุบัติเหตุ”
หญิงสาวอ้าปากค้างแทบทำโทรศัพท์หล่นจากมือ
“มันเกิดขึ้นเร็วมากเลย พี่...พี่ไม่รู้จะทำยังไง”
เป็นครั้งแรกที่บุษบาสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวในน้ำเสียงของพฤกษ์


“คงจะดีถ้าตอนนี้เธออยู่ด้วยนะบุษบา”
หล่อนเดาสีหน้าของคนที่โตมาด้วยกันแทบไม่ออก ในเวลาวิกฤติเช่นนี้ เพราะพฤกษ์มักมีท่าทางสดใสเสมอ
บุษบาแทบไม่เคยเห็นเขาเศร้าเลย
“พี่เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกินแล้วล่ะบุษบา”
คนฟังใจหายวาบ น้ำเสียงพฤกษ์เหมือนกับคนที่เดินทางมาแสนไกล
“พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน บุษบา”


ระเด่นตรีขับรถกระบะเร็วปานจะเหาะจากไร่กลับเข้ามาในตัวบ้าน เมื่อได้ยินเสียงสังฆาวิทยุวอมารายงาน
‘คุณบุษบาจะลาออกกลับกรุงเทพฯ’
ประตูห้องทำงานเปิดผางออกพร้อมกับคนหัวโล้นตัวสูงใหญ่เดินลงส้นเท้าหนักๆเข้ามา บุษบานั่งเศร้าอยู่ตรงข้ามกับสังฆา
หล่อนปรายตามองผู้มาใหม่นิดหนึ่งแล้วก็หลุบสายตาเสไปมองที่อื่น แม้จะเศร้าเพียงใดแต่เรื่องเมื่อคืนก็ยังค้างอยู่ในความทรงจำ
“หมายความว่ายังไงครับคุณบุษบา ที่คุณบอกว่าจะลาออกแล้วกลับกรุงเทพฯ”
หญิงสาวอ้าปากค้างเงยหน้ามองเขา ...หล่อนคิดว่าไม่ได้พูดสักคำเกี่ยวกับเรื่องลาออก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรก


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนายระเด่น”
สังฆารีบแก้ความเข้าใจผิดก่อนที่พี่ชายเขาจะมีสีหน้าทะมึนยิ่งไปกว่านี้
“คุณบุษบาเธอมาขอลากลับกรุงเทพฯ เธอกลัวทางเราจะลำบากใจในเรื่องวันหยุดเพราะอาจจะยาวก็เลยเสนอว่า ถ้าลาไม่ได้จะขอลาออก”
ระเด่นมนตรีนิ่วหน้า แต่ที่เขาได้ยินจากเสียงวิทยุวอเมื่อสักครู่นั่นมันคนละแบบ


“ผมก็เลยให้รอนายระเด่นมาตัดสินใจว่าจะเอายังไง”
ฤษีแปลงสาส์นแอบลิ่วตาให้พี่ชาย
“ผมไม่ใช่นายจ้างโดยตรงของคุณ ให้นายระเด่นตัดสินใจดีกว่านะครับคุณบุษบา”
ว่าแล้วคนแปลงสาส์นก็หลบฉากไป


บุษบาค้านไม่ทันเมื่อสบนัยน์คมๆของท่านเจ้าของไร่
ประกอบกับเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้หญิงสาวยิ่งหลบสายตาเขาเข้าไปใหญ่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีประตูห้องทำงานก็ปิดลงแล้ว
ในห้องเหลือเพียงแต่เขากับหล่อน
“เอาล่ะ คุณจะบอกเหตุผลในการลากลับกรุงเทพฯได้ไหมครับคุณบุษบา”
ชายหนุ่มถามเสียงเย็น โดยที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าหล่อน ไม่ได้ไปอยู่หลังโต๊ะทำงานเหมือนเคย
“ญาติของฉันไม่สบายค่ะ ป่วยกระทันหันต้องรีบไปดูอาการ”
วิทยากรบอกเรื่องที่พฤกษ์โทร.มาหาหล่อนก่อนที่เขาจะแล่นมาที่นี่เล็กน้อย


“ฉันกลัวว่าจะไม่สมควรเรื่องการลา เพราะฉันก็เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน”
“เขาป่วยเป็นอะไร นานไหมกว่าที่คุณจะกลับ”
“ยังไม่ทราบค่ะ พี่พฤกษ์เพิ่งโทรมาบอก”
เกิดความเงียบครอบคลุมไปทั่วท้อง ระเด่นมนตรีเงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง
“แล้วคุณจะไปเมื่อไหร่”
“ถ้าคุณอนุญาตก็ขอเป็นวันนี้ค่ะ”
ระเด่นมนตรีใจวูบ อะไรจะรวดเร็วเช่นนี้ ...ราวกับต้องการจะหลบหน้าเขา


“วันนี้คงจะลำบากเพราะเราไม่มีรถว่างที่จะไปส่งคุณที่ท่ารถ”
คนตัวสูงโกหกหน้าตายราวกับเด็กๆ ใจต้องการจะดึงรั้งหญิงสาวไว้ให้นานที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่พฤกษ์จะให้คนขับรถมารับ”
ชายหนุ่มรู้สึกฉุนเป็นกำลัง พี่พฤกษ์ของหล่อนต้องการให้บุษบากลับไปกรุงเทพฯเสียจริง
หญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้องใบหน้าขาวซีดแสดงอาการกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าหากระเด่นมนตรีปฏิเสธการขอครั้งนี้ก็ดูจะใจร้ายไปสักหน่อย
และที่สำคัญหากปฏิเสธหล่อนอาจจะจากเขาไปชั่วนิรันดร์


“ได้ครับ ผมอนุญาตเรื่องการลา”
บุษบาแววตาดีใจฉายชัด เงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ
“คุณลาได้ตามที่คุณต้องการ ผมขอแค่...”
เสียงเขาขาดหายไป ทำเอาคนฟังทำหน้าแปลกใจ
“ขอแค่ให้คุณส่งข่าวมาบ้าง”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ นายระเด่น”
ร่างโปร่งกล่าวขอบคุณจากใจจริง


“คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอกบุษบา ถ้าคุณรู้ความคิดผมตอนนี้ ผมว่าคุณคงจะเกลียดผมแน่”
ความคิดในใจของเขาก็คืออยากรั้งหล่อนไว้ที่นี่ให้นานเท่านาน โชคชะตาหอบบุษบามาให้เขา
แล้วก็เพราะลมแห่งโชคชะตามิใช่หรือ ที่หอบคนชื่อเดียวกับหล่อนไปจากอิเหนา
ระเด่นมนตรีกังวลลึกๆในใจกลัวว่าการปล่อยมือครั้งนี้จะกลายเป็นการจากตลอดกาล หญิงสาวตรงหน้าเขาเงียบไม่สบตา
ใบหน้าขาวๆนั้นเริ่มมีสีเข้มขึ้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวไปเก็บของกลับก่อนนะคะ”
หล่อนเลือกที่จะเลี่ยงเสีย ตั้งแต่เมื่อคืน...การเผชิญหน้ากับเขา ยิ่งทำให้ความเยือกเย็นในจิตใจเหือดหายไปหมด


“เรื่องเมื่อคืนนี้ผมจริงจังนะครับคุณบุษบา”
จู่ๆระเด่นมนตรีก็ตอกย้ำเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับ
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ขอให้คุณคิดถึงผมบ้างนะครับ เหมือนที่ผมคิดถึงคุณ แค่คุณบอกผมยินดีจะช่วยเหลือคุณทุกอย่าง”
นิ่งงันไปทั้งคู่ ราวกับเวลาหยุดหมุน สายตาทั้งสองสบกัน
ระเด่นมนตรีสายตาคมกล้าบ่งบอกความนัย ขณะที่บุษบากลับมีแววสับสนในดวงตาคู่นั้น
“นายระเด่นคะแต่ฉันไม่...”
ยังไม่ทันจบประโยคร่างสูงก็ก้าวเข้ามาใกล้ ยกมือขาวบางขึ้นจุมพิต แผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อ
แต่บุษบากลับรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่แล่นผ่านจากปลายนิ้วเข้าสู่หัวใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณบุษบา ผมไม่เร่งรัด ขอให้คุณระลึกสักนิดว่ามีผู้ชายคนหนึ่งคิดถึงคุณมากกว่าที่คุณคิด
...เท่านั้นก็พอแล้วครับ”


รถตู้สีขาวยี่ห้อดาวสามแฉกแล่นออกไปจากบ้านจนลับตา เดียร์ร้องไห้เช็ดน้ำตาป้อยๆขณะที่ผู้เป็นพ่อได้แต่ลูบศรีษะเล็ก
‘แล้วพี่บุษบาจะกลับมาใช่ไหมฮะ’
ลูกชายพึมพำกอดพี่เลี้ยงตนเองไว้แน่นก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถ ความหวั่นไหวปรากฏในดวงตาร่างสูงโปร่งนั้นสักครู่
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งบ่งบอกการตัดสินใจที่แน่วแน่
‘ค่ะ พี่จะกลับมา’
บุษบาจากไปพร้อมกับความเหงาของคนในไร่
จากไปพร้อมกับน้ำตาของเดียร์
และจากไปพร้อมกับหัวใจของระเด่นมนตรี


พฤกษ์มีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นบุษบา
“ท่านทั้งสองนั่งรถมาแล้วรถคันหน้าเกิดอุบัติเหตุ คนขับรถเบรกไม่ทันก็เลย”
คนเล่าเสียงเครือแผ่วโหย
“ผ่าตัดเสร็จแล้วทั้งคู่ อยู่ในขั้นตอนของการดูอาการ”
ฟังแล้วบุษบาค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย
“แล้วพี่เผ่าละคะ”
พูดไปแล้วบุษบาก็นึกตำหนิตัวเอง เผ่าพงษ์ตอนนี้ถูกตำรวจจับ หล่อนจะถามไปทำไมกัน
“นายเผ่าไม่ค่อยสบายนะจ้ะ บุษบา”
พฤกษ์ตอบเสียงเจื่อน


หลังจากนั้นสักพักบุษบากับพฤกษ์จึงได้กลับไปที่บ้าน บ้านที่บุษบาเติบโตมามีอาณาเขตกว้างใหญ่
สวนสวยที่ตกแต่งอย่างประณีตจากมัณทณากรฝีมือเยี่ยม
ชุดเดียวกับที่ตกแต่งสวนของโรงแรมดารา
“คุณบุษบา”
เหล่าบรรดาคนรับใช้มีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อร่างโปร่งก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน
“พวกเราคิดถึงคุณบุษบาจังค่ะ”
ในบ้านที่ตกแต่งอลังการ สวยสด สะอาดสะอ้านแบบโรงแรม เจ้านายทุกคนดูสูงส่งห่างเหิน
มีเพียงบุษบาเท่านั้นที่เป็นมิตรเข้ากับทุกคนได้ดี เพราะใช้ครัวร่วมกันอยู่บ่อยๆ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ คุณบุษบา”


“บุษบา!”
พิณสุดากรีดร้องเบาๆเมื่อหล่อนโทร.ไปหา
“เธอเป็นยังไงบ้าง”
หากในเวลาอื่นบุษบาคงคิดว่านี่เป็นคำทักทาย ตามประสาเพื่อน แต่ทว่าในเวลาที่อ่อนล้าคำถามนี้คือความห่วงใยที่ส่งผ่านมา
“ที่นี่ทุกคนสบายดี มีเรื่องวุ่นๆนิดหน่อย”
พิณสุดาพูดเป็นนัยไม่กล้าบอกอะไรตรงๆ เกรงว่าคนตัวโย่งจะยิ่งกังวลใจ พูดจากใจจริงหล่อนไม่ชอบพฤติกรรมของครอบครัวพฤกษ์
ที่เลี้ยงบุษบาไว้ใช้งาน เพื่อนหล่อนทั้งเก่งทั้งนิสัยดี น่าจะมีการงานที่รุ่งโรจน์กว่านี้ ไม่ต้องถูกกดไว้ด้วยคำว่าบุญคุณ


“ฉันรู้ทุกเรื่องแล้วล่ะพิณ ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯแล้ว ที่บ้านพี่พฤกษ์”
เสียงเพื่อนเงียบสงบจนพิณสุดาใจหาย เสียงแบบตอนนี้นั่นแหละที่บุษบาโทร.มาบอกว่าโดนผู้มีเพราะคุณไล่ออกจากงาน


คุณพนาและคุณผกาพักอยู่ห้องผู้ป่วยห้องเดียวกัน โรงพยาบาลที่ทั้งสองเข้าพักรักษาตัวนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน หรูหรา ราคาแพง
ทั้งสองจึงได้มาอยู่ร่วมห้องเดียวกันได้ คุณพนามีท่าทีดีใจที่เห็นบุษบาขณะที่คุณผกาผู้เป็นภรรยากลับมีสีหน้ามึนตึง
การพูดคุยเป็นไปสักพัก ก่อนที่พฤกษ์จะพาหล่อนกลับ
“บุษบาอย่าถือคุณแม่พี่เลยนะ ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละหวังไว้มาก ท่านรักบุษบามากเลยพาลงอนเรื่องเธอกับนายเผ่า”
ชายหนุ่มบอกหล่อนเจือแววขบขัน สีหน้าและท่าทางอ่อนล้าของเขาดีขึ้นแล้ว


พฤกษ์พาบุษบากลับมาที่โรงแรมดารา พนักงานรับรถโค้งให้ทั้งสองอย่างนอบโน้ม พฤกษ์อยู่ในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ เชิ้ตตัวในสีดำสนิท
ขณะที่หล่อนอยู่ในเสื้อคอปาดสีม่วงอ่อนและกระโปรงลายดอกไม้เล็กๆสีขาว ผมยาวรวบตึง ใบหน้าไร้การตกแต่งใดๆ
“คุณบุษบา”
เสียงพนักงานตั้งแต่หน้าประตูโรงแรม จนกระทั่งถึงชั้นสำนักงานผู้บริหารต่างทักหล่อนกันเกรียว
หนึ่งในนั้นบุษบาเห็นพนักงานต้อนรับหนุ่มหล่อที่เคยจูบกับพฤกษ์ด้วย
“ผมมีธุระส่วนตัว งดรับโทรศัพท์แล้วก็การนัดหมายประมาณสองชั่วโมงนะ”
ชายหนุ่มบอกเลขาฯหน้าแฉล้มหน้าห้อง


“ค่ะ แล้วการประชุมช่วงบ่ายละคะ”
เลขาฯรีบถามพลางยิ้มหวานให้คนตัวโย่ง
“ยังประชุมเหมือนเดิม ไม่ต้องเปลี่ยน”
พฤกษ์บอกแบบไม่เหลียวหลัง เปิดประตูพาหล่อนเข้าไปในห้องทันที
“พี่มีอะไรอยากให้เธอดูหน่อยนะบุษบา”


“เนื่องด้วยไตรมาศที่แล้วผลประกอบการติดลบ แล้วไตรมาศนี้ผมดูแล้วคิดว่าแย่กว่าเก่า สถานการณ์เรื่องโรคระบาดแล้วก็วิกฤตเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นเลย”
พฤกษ์กล่าวในที่ประชุมของหัวหน้าฝ่ายต่างๆในโรงแรม
“รายได้น้อยแต่ค่าใช้จ่ายมาก ต่อไปจะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ บางทีเราอาจจะต้องพิจารณาเรื่อง ...ลดจำนวนพนักงาน”
เกิดเสียงพึมพำดังไปทั่วห้องประชุม บุษบาก็นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย หล่อนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของพฤกษ์ตรงข้ามกับหัวหน้าฝ่ายบุคคล
ซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของพิณสุดา
“ผมเข้าใจว่านี่เป็นวิธีที่สิ้นคิด งานบริการไม่เหมือนงานอื่นๆ กว่าจะเทรนคนขึ้นมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
กว่าพนักงานของเราจะบริการได้จับใจแขกที่มาพักได้นี่ก็ตั้งหลายปี ผมอยากให้นี่เป็นทางออกสุดท้ายที่เราจะใช้”


พฤกษ์มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำอย่างหนึ่งที่บุษบานึกชมเสมอ คือความเข้าอกเข้าใจคนอื่น พฤกษ์แทบจะไม่เคยพูดจาทำร้ายจิตใจใครเลย
เขามีวิธีใช้คำพูดให้คนคล้อยตามเห็นด้วย อ่อนโยนละมุนดังสายน้ำ แต่ค่อยๆตะล่อมพัดพาก้อนหินหนักใหญ่ไปตามทิศทางการไหลของตน
“ผมจึงอยากให้ทุกท่านนำเรื่องที่เราไปประชุมวันนี้ ไปหารือกับพนักงานในแต่ละแผนก
ระดมหัวคิดกันว่าทำอย่างไรจะลดค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมา โดยใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ทั้งเรื่องคนและวัตถุดิบอุปกรณ์
แล้วเอามาเสนอในการประชุมครั้งหน้า ฝากทุกท่านด้วยนะครับ”
ห้องประชุมกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง หัวหน้าแผนกต่างๆของโรงแรมออกไปจนหมดแล้วเหลือเพียงพฤกษ์และหล่อน
“ก็อย่างที่พี่บอกไปนั่นแหละ บุษบา โรงแรมดาราของเราถึงคราววิกฤตเสียแล้ว”


วันต่อมาพนักงานในโรงแรมต่างพากันแปลกใจ ที่เชฟขนมหวานตัวสูงโย่งอย่างบุษบากลับมาทำงานที่นี่อีกครั้ง
“คุณพฤกษ์ไปง้อกลับมา”
หลายเสียงซุบซิบกัน เพราะรู้สาเหตุการออกจากโรงแรมดาราของบุษบาดี
“คราวที่แล้วให้จับคู่กับคนน้อง สงสัยคราวนี้จะให้จับคู่กับคนพี่”
พนักงานทั้งหลายต่างหมายถึงการแต่งงานการเมืองระหว่างบุษบากับสองพี่น้อง
“แต่ว่าถ้าเป็นคนพี่อย่างคุณพฤกษ์ล่ะก็ ผู้หญิงที่ไหนก็ยอมทั้งนั้นแหละ”
เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นอย่างคึกคักก่อนที่จะเงียบเสียงลงเมื่อพนักงานต้อนรับหนุ่มสุดหล่อของโรงแรมเดินผ่านมาพอดี
คนที่ซุบซิบจึงรีบจัดเผ้าจัดผมแล้วยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม


“ฉันล่ะเชื่อกับเธอเลยจริงๆแม่บุษบา เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ”
พิณสุดาบ่นอุบอิบเมื่อทั้งสองมาทานอาหารกลางวันด้วยกัน ที่โรงอาหารของพนักงานในโรงแรม
บุษบาในชุดเชฟสีขาวไม่สวมหมวกได้แต่ยิ้มบางๆให้เพื่อน
“จะให้เขาสนตะพายใช้งานไปถึงเมื่อไหร่กัน”
เพื่อนบริภาษอย่างไม่ปิดปัง คนตัวโย่งไม่เถียงสักคำ ...ก็หล่อนเลือกเองนี่นา


เมื่อวานเป็นวันที่บุษบาวุ่นวายใจที่สุดวันหนึ่งในชีวิต พฤกษ์เอาผลประกอบการของโรงแรมให้ดู ตัวเลขดิ่งลงอย่างน่าใจหาย
ขณะที่ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ติดจะมากขึ้นเสียด้วยซ้ำเพราะค่าวัตถุดิบต่างๆถีบตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
‘เรายังเป็นหนี้ธนาคารอยู่อีก ผลจากตอนที่กู้มาปรับปรุงโรงแรม’
พฤกษ์หมายถึงการปรับปรุงโรงแรมครั้งล่าสุดให้อลังการ ทันสมัย เมื่อหลายปีก่อน
‘ตอนนี้รายได้ที่ได้มาจากแขกที่เข้าพักก็แทบจะเลี้ยงพนักงานไม่รอด เรื่องงานงานอีเว้นท์ต่างๆประเภทการจัดการประชุม
งานแต่ง งานฉลอง โดนงดเกือบหมดเพราะกระแสเศรษฐกิจ’
พิษเศรษฐกิจส่งผลทุกย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่โรงแรมระดับหรูที่รับแขกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือไม่ก็ไฮโซกระเป๋าหนัก
‘วิกฤติครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่มีผลกระทบไปทั่วโลก’
สีหน้าคนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกันดูอ่อนล้าขึ้นมาอีกครา
‘บุษบาช่วยพี่หน่อยนะ’


‘อย่าเชียวนะบุษบา!’
พิณสุดาเสียงเขียวเมื่อบุษบาชวนไปทานข้าวหลังเลิกงานในช่วงเย็นวันนั้น สาวโย่งตัดสินใจเล่าเรื่องคำขอร้องของพฤกษ์ให้ฟัง
‘เขาจะเรียกใช้เธอเมื่อต้องการ พอทำอะไรไม่ถูกใจก็ถีบหัวส่ง’
‘เรื่องนั้นฉันรู้นะพิณ แต่วิกฤติโรงแรมครั้งนี้หนักจริงๆ’
ก่อนที่จะมาทานข้าวกับพิณสุดา บุษบาไปพบลูกน้องเก่าๆในครัวเบอเกอรี่ทุกคนดีใจมากที่เจอหล่อน ข่าวคราวใหม่ๆที่น่าสนใจเช่น
คนนี้แต่งงานกับคนโน้น คนนั้นมีลูก อีกคนเลิกกับแฟน เสียงหัวเราะ การพูดคุยกระเซ้าเหย้าแหย่
ท่ามกลางกลิ่นหอมๆของเนยและกลิ่นอบอวลของวานิลา
สีสันสดใสของผลไม้ที่ใช้ทำฟรุ๊ตทาร์ตซึ่งเคลือบด้วยเจลาติน ส่องประกายแวววาวราวกับอัญมณีอยู่บนโต๊ะยาวกลางห้องครัว
สิ่งเหล่านี้จะหายไปแน่หากมีการลดจำนวนพนักงาน


ครัวเบอเกอรี่แตกต่างจากครัวอื่น ขนมเป็นสิ่งที่ทำทิ้งไว้ได้ แม้จะมีขนมบางอย่างที่ลูกค้าสั่งเลยต้องทำสดอย่างเช่น เครป หรือไม่ก็ต้องใช้การตกแต่งวิจิตร
แต่งานพวกนั้นมีเพียงกุ๊กคนสองคนก็ทำได้อยู่แล้ว สถานการณ์ของครัวเบอเกอรี่จึงน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง


‘เธอไม่เกี่ยวกับที่นี่แล้วนะบุษบา บุญคุณน่ะมันหมดตั้งแต่มีการลำเลิกแล้วล่ะ เธอน่ะควรใช้ชีวิตไปตามทางของเธอ ใครทำอะไรไว้ก็ควรได้รับผลกรรมสิ่งนั้น’
‘แต่ถ้าที่โรงแรมนี้ปิดตัวลงหลายคนจะลำบากนะ แม้กระทั่งเธอนะพิณ’
เพื่อนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยักไหล่
‘ไม่เป็นไรหรอกอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ที่สำคัญนะบุษบา ตอนนี้ชีวิตเป็นของเธอ เธอต้องเลือกดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง’
จากนั้นบุษบาจึงได้มานั่งใคร่ครวญเรื่องราวในชีวิตตนเอง


หากเดินออกไปจากที่นี่
พฤกษ์ก็อาจจะโกรธ แต่บุษบาคิดว่าคนฉลาดอย่างเขาแก้สถานการณ์ได้ดีเสมอ
ส่วนหล่อนหากกลับไปไร่อสัญ ระเด่นตรีคงจะต้อนรับหล่อนพร้อมกับคำว่ารัก ...ที่เขาเอ่ยออกมาเอง
แล้วใจของหล่อนเล่าจะเป็นเช่นไร การอยู่ช่วยคือการถูกโขกสับ หลอกใช้งานร่ำไป
แต่ถ้าหากหล่อนตอบปฏิเสธไป ภายภาคหน้าชีวิตอาจจะมีความสุข ทว่าภายในใจคงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ถาโถม
ดูเหมือนว่าไม่ว่าทางใดก็ต่างทำร้ายจิตใจหล่อนทั้งนั้น


ท้ายที่สุดแล้วบุษบาก็เลือกทางแรก หล่อนตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยไม่นานจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่
หญิงสาวจะถ่ายทอดวิชาที่ไปร่ำเรียนมาโดยใช้เงินจากผู้มีพระคุณให้กับคนในแผนกเบเกอรี่
สอนแบบไม่ปิดบังเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อที่ไม่ให้ใครมาว่าลับหลังได้ว่า‘เนรคุณ’
คนเนรคุณคงไม่มานั่งปากเปียกปากแฉะสอนวิธีทำขนมกันแบบนี้
บุษบาโทร.ไปที่ไร่อสัญ ลุงสุขรับสาย หล่อนจึงบอกแต่เพียงว่าขอลาเพิ่มโดยไม่มีกำหนด เพราะต้องอยู่ช่วยงานโรงแรมดารา
ผู้อาวุโสได้ฟังแล้วเงียบไปครู่ ก่อนที่จะเอ่ย
“เอาไว้ผมจะบอกนายระเด่นให้ครับ”

ผลของการประชุมระดมหัวคิด(Brain storm) บุษบาเสนอว่าควรจะทำเป็นร้านเล็กมีตู้โชว์เพื่อวางขายขนมเบเกอรี่ ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถใต้ดิน
เพื่อเป็นการขายสินค้าและสร้างชื่อโรงแรมให้ผู้คนจดจำ เน้นสินค้าชิ้นเล็กทานง่าย มีทั้งขนมเค้กไขมันต่ำเพื่อลูกค้าที่รักสุขภาพ และเค้ก
ขนมหวานต่างๆ ตามเทศกาล นอกจากนั้นหญิงสาวยังเล็งเห็นแล้วว่าบุฟเฟต์อาหารเช้ามีปริมาณ ของที่เหลือมากเกินไป
โดยมาจะเป็นขนมปังและครัวซองต่างๆ จึงให้พนักงานที่ดูแลเกี่ยวกับบุฟเฟ่ต์มีการจดประเภทอาหารและปริมาณโดยละเอียด
แล้วมาวิเคราะห์ว่าอาหารชนิดใดควรจะเพิ่ม ชนิดใดควรจะลด


นอกจากนั้นก้เป็นการจัดโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ
โฆษณาประชาสัมพันธ์ตามเวปไซต์ต่างๆ เพราะปัจจุบัน ลูกค้าที่จะมาใช้บริการห้องพักมีน้อย จึงส่งเสริมให้ใช้บริการในส่วนอื่นแทน
ข้อเสนอแนะของบุษบาได้รับความเห็นชอบในที่ประชุม พฤกษ์จึงให้หญิงสาวเขียนเป็นแผนงานมาเพื่อที่จะได้ประชุมกับฝ่ายการตลาด
ในทุกๆวันของบุษบาวุ่นวายเต็มไปด้วยการทำงาน ทั้งในครัวเบอเกอรี่และทำงานในฝ่ายบริหาร
ตื่นแต่เช้าตรู่มาทำงาน กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ดึกดื่น
บางคืนยังต้องแต่งตัวสวยงามไปเป็นเกียรติ ในงานต่างๆของแขกที่มาใช้บริการในโรงแรม ชีวิตหมุนเร็วจนบุษบาลืมวันลืมคืน
จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นว่า‘หมายเลขส่วนตัว’ติดต่อเข้าบ่อยครั้ง โดยที่หล่อนไม่ทันได้รับสาย


คราแรกบุษบาคิดว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหัวหน้าแผนกอื่น แต่ระยะหลังๆมีการโทร.มาแม้กระทั่งดึกดื่น
จนในบ่ายวันหนึ่งบุษบาจึงมีโอกาสได้กดรับสาย
“คุณบุษบา”
เสียงนี้บุษบาจำได้ไม่ลืมเลือน ระเด่นมนตรี!
“เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม”
ยามได้ยินเขาพูด หล่อนนึกถึงกลิ่นไอแดดแห่งท้องทุ่งกว้างของไร่อสัญ


“ลุงสุขบอกว่าคุณโทร.มา”
นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เขาพยายามโทร.หาบุษบามาหลายครั้ง แต่ไร้การตอบรับ จนร่ำๆจะขึ้นมากรุงเทพฯ
หากเพียงแต่ว่าลุงสุขห้ามไว้เสียก่อน
‘คุณบุษบา เธออาจจะมีเหตุผลของเธอก็ได้นะครับ นายระเด่น ที่เธอยังไม่กลับมา เรารอดูกันไปก่อน’
เหตุผลของหล่อนเขาไม่รู้ แต่เหตุผลของเขาคือ ...คิดถึงแทบขาดใจ


“คุณจะกลับมาไร่อสัญเมื่อไหร่ครับคุณบุษบา”
ระเด่นมนตรีเสียงเข้มโดยไม่รู้ตัว สะกดกลั้นอารมณ์ห่วงหารักใคร่ ใจเต้นระรัวเมื่อยามได้ยินเสียง
“คะ?”
บุษบาทวนคำถามงงๆ
“ตอนนี้เดียร์...”
เขาเสไปเรื่องลูกรู้สึกตัวเองเป็นหนุ่มวัยรุ่นเริ่มจีบสาว หมดคำพูดจะคุยกระทันจึงต้องเอาคนอื่นมาอ้าง


“ฉันจะพยายามจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จเร็วที่สุดค่ะ ฉันเข้าใจว่าคุณก็ลำบากที่เดียร์ขาดพี่เลี้ยง”
บุษบากลับตีความหมายเป็นอย่างอื่น บางครั้งหล่อนก็ไม่เข้าในท่าทีและน้ำเสียงของเขาเลย บางครั้งบอกรัก
แต่หลังจากนั้นก็มีท่าทางคุกคามอย่างกับหล่อนทำอะไรผิด
“ผมไม่ได้ถามในฐานะนายจ้างนะครับ”
คนจากไร่อสัญนิ่งอึ้งไปครู่
“…แต่ผมถามในฐานะของผู้ชายที่หลงรักคุณ”


บุษบาและพฤกษ์เข้าไปแสดงความยินดี กับคู่บ่าวสาวที่มาจัดงานฉลองสมรสในห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของโรงแรม
พ่อแม่ของคู่บ่าวสาวเป็นเพื่อนกับคุณพนาและคุณผกา ทั้งเขาและหล่อนจึงต้องจัดการบริการให้ดีอย่างถึงที่สุด
“ขนมอร่อย อาหารเยี่ยม ห้องจัดเลี้ยงสวย บริการดี”
ผู้คนในงานต่างชมกัน ทำเอาบุษบาและพฤกษ์ยิ้มแก้มแทบปริ ไม่เสียแรงที่ลงมาคุมงานกันเอง
“พี่พฤกษ์ทานอะไรแล้วหรือยังคะ เห็นแต่เดินคุยกับแขกเขาไปทั่ว”
บุษบาถามหลังเห็นขาขอตัวออกจากวงสนทนา ของกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติเพื่อนเจ้าบ่าว


“ยังหรอกจ๊ะ พี่ยังไม่คอยหิว”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆให้
“งั้นดื่มไวน์หน่อยนะคะ”
หญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดราตรีแสนสวย หยิบแก้วไวน์จากบริกรที่เดินแบกถาดเสริฟเครื่องดื่มอยู่แถวๆนั้น
ไวน์แดงสีทับทิบตัดกับมือเรียวยาวที่ขาวผ่อง
บุษบากลับมาขาวซีดอีกครั้ง ตามสำนวนที่พิณสุดาล้ออยู่บ่อยๆ ทำงานในร่ม เวลาไปไหนมาไหนก็ขึ้นรถคันหรูไปกับพฤกษ์ตลอด
โลกของหล่อนกลับเข้าสู่วงโคจรเดิม ชีวิตคนเมืองเต็มตัว ไม่โดนแดดลมเหมือนที่ไร่อสัญ แต่ตอนนี้หล่อนกำลังมีความสุข
เพราะรู้ว่าเจ้าของไร่กำลังนับวันรอหล่อนกลับ มือขาวบางยื่นไวน์ให้มือใหญ่ที่ขาวปนกัน ทันใดนั้น


“อุ๊ย!”
แขกผู้ชายที่มาในงานคนหนึ่งเดินเซมาชนบุษบา ไวน์ในแก้วจึงกระฉอก
คนที่เป็นต้นเหตุรีบขอโทษขอโพย บุษบาไม่ติดในเอาความ ไวน์แดงเจ้ากรรมดันกระฉอกรดเสื้อสูทสีเทาราคาแพงของพฤกษ์เสียได้
“ขอโทษค่ะพี่พฤกษ์ ขอโทษ”
หล่อนรีบควานหาทิชชู่ในกระเป๋าถือมาเช็ดส่วนที่เลอะไวน์ให้เขาทันที
“ไม่เป็นไรจ๊ะ บุษบา ไม่เป็นไร”
พฤกษ์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี บุษบาจึงยิ้มแหยๆให้ โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลสั่นสะเทือนต่อชีวิตหล่อนเพียงใด


ภาพข่าวในกรอบซุบซิบหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์หัวสีทำเอาเจ้าของไร่อสัญนิ่วหน้า
“เป็นคุณบุษบาจริงๆนั่นแหละนายระเด่น เมียคนงานที่มันชอบอ่านละครเป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์มันเอามาให้ดู”
คนที่เอาหนังสือพิมพ์มาให้รีบบอกต้นตอที่มา ระเด่นมนตรีสีหน้าเข้มขึ้นก่อนที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นโทร.แต่ทว่าไม่มีผู้รับสาย
เขาร้อนใจจึงติดต่อไปที่หมายเลขอีกหมายเลขหนึ่ง
“คุณบุษบาเหรอคะ ไม่ทราบว่าจากที่ไหนคะ”
พนักงานรับโทรศัพท์เสียงหวานถามเขา ชายหนุ่มบอกชื่อไป
“สักครู่นะคะ ดิฉันจะโอนให้ค่ะ”
เสียงรอสายดังขึ้นไม่กี่วินาทีก่อนที่จะมีเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นแทน


“สวัสดีครับ คุณระเด่นมนตรี ผมพฤกษ์นะครับตอนนี้บุษบาไม่อยู่”
คนหัวโล้นนิ่วหน้ากับผู้รับสาย คนงานที่เดินผ่านไปมาโดยรอบบริเวณเห็นเจ้านายหนุ่มยืนคุยโทรศัพท์นิ่ง
แต่ดวงตานั้นวาวโรจน์จนน่ากลัว กรามขบเป็นสัน มือที่จับโทรศัพท์มือถืออยู่นั้นเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน
ก่อนที่อีกสองสามนาทีต่อมาจะมีเสียง
‘แป๊ก’
และโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็นอนอยู่บนพื้นไร่ สภาพแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
แต่นั่นยังไม่น่าสยองขวัญเท่า ...ดวงตาที่ส่งประกายด้วยแรงโทสะของคนตัวสูง
“คุณบุษบา!”


++++++++++++จบบทที่18





 

Create Date : 16 มิถุนายน 2552
0 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2552 8:56:43 น.
Counter : 315 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.