|
Something sweet...คนอยู่เก่า(บทที่ 1)
Something sweet...คนอยู่เก่า
บางครั้งบุษบาก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหล่อนจึงไม่ปฏิเสธงานนี้เสีย แม้หล่อนจะตกงานแต่ยังพอมีเงินเก็บที่เลี้ยงตัวเองได้ งานที่ไร่อสัญนี้หนักและทุกคนก็กินจุ แต่นั่นไม่เท่าสายตาอยากรู้อยากเห็นและล้อเลียนของบรรดาหนุ่มๆในไร่ ต้นเหตุก็มาจากชื่อหล่อนบุษบา…และเขา ระเด่นมนตรี…
“ แตร่ง แตรง แตร๊ง มาจะกล่าวบทไป ถึงนางบุษบายาใจ ลมวายุหอบ น้องนางมาถึงวงอสัญแดหวา มาเป็นแก้วตาดวงใจขององค์ระเด่นมนตรี แตร่ง แตรง แตร๊ง ” เสียงคนงานแก่ๆร้องลิเกเมื่อยามแอลกอฮอล์ใสสีตาตั๊กแตนเข้าปาก หญิงสาวอายจนเลิกที่จะอายแล้ว ความบังเอิญอันร้ายกาจ ณสถานที่นี้ ผิดเสียแต่ว่าหล่อนไม่ได้สวยขนาดมีคนเผาเมืองแย่งชิงเช่นนางบุษบา และก็เช่นกันอีกคนเขาก็ช่างเย็นชา ปากเสีย และไม่ได้ชายตามองหล่อนสักกะผีก
“ ทำกับข้าวที่นี่ไม่ต้องประณีตนักก็ได้ ที่นี่คนงานทุกคนเป็นกรรมกร กินอะไรก็ได้ให้หนักท้องไว้ก่อน ” คนหัวโล้นบอกหล่อนตอนที่หญิงสาวเอารายการอาหารแต่ละสัปดาห์ไปให้ดูเพื่อเงินเบิกมาซื้อของ “ รายการอาหารของคุณอย่างกับอาหารโรงแรม พวกผมมันลิ้นจระเข้ไม่รู้รสอะไรหรอก ” ระเด่นมนตรีโยนกระดาษรายการอาหารโครมคืนให้หล่อน
บุษบาโมโหฉิวแล่นเป็นริ้วๆ งานเป็นกรรมกรหล่อนไม่ว่า แต่ท่าทางนิสัยเจ้าของไร่จะเป็นกรรมกรด้วยนี่สิ น่าจะมีปัญหา
“ รายการอาหารที่ดิฉันจัดมาให้เป็นรายการอาหารปรกติที่คนธรรมดาทานได้ค่ะ ครบทั้งห้าหมู่ ใช้เวลาทำไม่นานแล้วก็ยืดหยุ่นตามวัตถุดิบที่มี” บุษบาอธิบายแบบอดกลั้นอารมณ์เต็มที่หล่อนรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าคนตรงหน้านี้ไม่ชอบหล่อนเอาเสียเลย ส่วนสาเหตุนั้นหล่อนยังเดาไม่ออก
“ ลองดูก่อนสินายระเด่น ให้คุณบุษบาเขาลองทำอาหารตามตารางนี้ก่อนสักอาทิตย์แล้วค่อยมาดูผลกัน ” คนผมดกตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังคนหัวโล้นคลี่คลายสถานการณ์ยิ้มๆ หล่อนเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาชื่อวิทยากร ระเด่นมนตรีหน้ามุ่ยก่อนที่จะพยักหน้าแบบเสียไม่ได้ หนุ่มผมดกจึงพาหล่อนออกมาดูไร่ วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่หล่อนมาอยู่ณไร่อสัญแห่งนี้ แน่นอนคำถามแรกที่หล่อนต้องถามก็คือชื่อ
“ เราตั้งชื่อไร่เอาเคล็ดน่ะครับ” คนนำชมไร่หัวเราะหึๆท่าทางเขาคงจะชินกับคำถามนี้ “ ทีแรกไร่นี้เป็นไร่ร้าง ดินไม่ดี ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ไม่ว่าจะทำยังไง จนนายระเด่นร่ำๆจะขายไร่ทิ้ง แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ทักเลยพากันไปหาพระท่าน พระก็เลยให้เปลี่ยนชื่อไร่เอาเคล็ด อสัญแปลว่าล่วงผ่าน ให้ความทุกข์ยากล่วงผ่านไปยังไงละครับ” วิทยากรยิ้มตาหยี
“ แล้วชื่อเดิมที่มีอาถรรพ์จนต้องเปลี่ยนละคะชื่ออะไร” คนตัวสูงอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงรื่นเริง “ ชื่อระเด่นมนตรีครับ ชื่อนายระเด่นเองนั่นแหละ” บุษบาถึงบางอ้อ เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อไร่ด้วยทุกประการ เพราะขนาดเจ้าชื่อยังเปล่งรัศมีเฮี้ยนๆ ทำให้ไม่อยากเข้าใกล้ขนาดนี้ เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นนั่นแหละน่าจะดีแล้ว
วิทยากรพาหล่อนขึ้นรถจี๊ปชมไร่ ชายหนุ่มเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีอธิบายหลายอย่างให้ฟัง เช่น ไร่แห่งนี้แบ่งเป็นหลายส่วน ทั้งส่วนที่เลี้ยงวัว และส่วนที่ปลูกพืชต่างๆ โดยเฉพาะองุ่น ที่นี่มีโรงทำไวน์ของตนเอง “ นายระเด่นชอบดื่มไวน์ครับ ” หล่อนนึกค่อนแคะอยู่ในใจ คนหน้าเหี้ยม หัวโล้น พูดจาไม่ได้เรื่องพรรค์นั้นน่ะหรือที่นิยมชมชอบไวน์สุดโก้หรู
“ เรามีไวน์เป็นตราของไร่เราเอง แต่โดยมากจะเป็นการสั่งผลิตจากร้านอาหารฝรั่งครับ” ชายหนุ่มอธิบายไปเรื่อยๆ หล่อนจึงได้รู้ว่าไร่แห่งนี้มีคนงานมากกว่าที่หล่อนเห็นเมื่อช่วงทานอาหาร แต่เป็นคนงานที่อยู่ในละแวกนี้ ส่วนที่เหลือเป็นคนต่างถิ่น และไร่นี้คนงานเกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย “ นายระเด่นบอกว่าคุ้นเคย คุมง่าย” วิทยากรให้คำตอบเพียงแค่นี้ บุษบายิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ หล่อนรู้สึกราวกับว่ามาเป็นครูในโรงเรียนชายล้วนซึ่งแม้แต่เจ้าของเฮี้ยนไม่แพ้นักเรียน
งานแม่ครัวจำเป็นของหล่อนเป็นไปด้วยดี บางทีสาเหตุที่หล่อนไม่ลาออกไปจากงานพี่เลี้ยงเด็กพ่วงตำแหน่งแม่ครัวอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะอาหารก็ได้ หล่อนสุขใจที่ได้ทำอาหาร ครัวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แห่งชีวิต ครัวเป็นสถานที่ๆยังบ่งบอกว่าคนในบ้านนั้นยังมีชีวิต ต้องการอาหารเพื่อต่อลมหายใจ
สมาชิกในครัวของหล่อนเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำตัวผอมเกร็งชื่อเปรม เด็กหนุ่มเล่าว่าจบมัธยมศึกษาปีที่สามจากจังหวัดหนึ่งในอิสาน เขาเคยทำงานโรงงานแต่แพ้สารเคมีจึงจะมีทำงานในไร่แต่ร่างกายก็ไม่ไหว นายระเด่นจึงให้มาช่วยในครัว “ คุณบุษบาเรียนจบโรงเรียนทำอาหารมาจากเมืองนอกเหรอ” เปรมถามเสียงร่าเริง หล่อนได้แต่ยิ้มๆ
“ งั้นคุณบุษบาก็ทำอาหารเก่งน่ะสิ ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ไร่อสัญนี่ล่ะครับ ไกลจะตาย “ “ ฉันก็มีเหตุผลบางอย่างเหมือนกับเปรมนั่นแหละจ้ะ” หล่อนตอบพลางใช้ทัพพีตักแกงป่าใส่ถ้วยเล็กชิม “ แต่คงไม่ใช่เหตุผลเพราะจน มาหางานทำเหมือนผมใช่ไหมครับคุณบุษบา ” เด็กหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ พลอยทำให้หล่อนหัวเราะครื้นเครงไปด้วย ความจริงแล้วหญิงสาวอยากจะบอกเปรมเหลือเกินว่าหล่อนมาที่นี่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับเขานั่นแหละ
อาหารเย็นวันนี้เป็นแกงป่า ผัดผักรวม หมูก้อนชุบแป้งทอด และยำยอดกระถินอ่อน อย่างหลังนี่หล่อนคิดได้สดๆตอนที่ไปดูไร่กับวิทยากรแล้วเห็นต้นกระถินแตกยอดอ่อน หญิงสาวนึกใจใจว่าถ้าท่านเจ้าของไร่วิจารณ์เรื่องรายการอาหารของหล่อนมากนัก หล่อนก็จะเอาของในไร่นี่แหละมาทำอาหารให้กิน ดีไม่ดีจะเชือดฝูงวัวในไร่มาทำลาบน้ำตกให้กินเสียเลย
“ อู๊ย! กับข้าววันนี้อลังการเลยเว้ย” หลายเสียงพึมพำเมื่อเห็นอาหารวางอยู่บนโต๊ะ “ เป็นบุญจริงๆที่ได้กินอาหารฝีมือกุ๊กโรงแรมอย่างคุณบุษบา อยู่กับเรานานๆนะคร๊าบ” เสียงล้อเลียนดังมาอย่างครื้นเครง
บุษบาทำหูทวนลมแบบไม่รู้ไม่ชี้เสีย คิดเสียว่าอยู่ในโรงเรียนชายล้วน เด็กเซี้ยวๆมักจะชอบแหย่ชอบแซว ถ้าแสดงอาการอะไรออกไปตอนนี้ล่ะก็หล่อนจะโดนแซวไม่รู้จบ “ เอารีบๆแดก อย่าเห่ามาก เดี๋ยวก็ไม่ให้กินเสียเลยนี่ ไอ้พวกนี้” ชายสูงวัยที่วิทยากรกับเปรมเล่าให้ฟังทีหลังว่าชื่อลุงสุขปรามบรรดาหนุ่มๆเสียงจึงเงียบลงได้ สักพักหนึ่งระเด่นมนตรีกับวิทยากรก็เข้ามาสมทบ
“ คุณบุษบามาทานด้วยกันสิครับ” วิทยากรเรียกหล่อนไว้ตอนที่เห็นหญิงสาวหันหลังจะกลับเข้าครัว “ ไม่ต้องหรอกค่ะ ทานกันไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันไปดูอาหารในครัวก่อนดีกว่า” หล่อนปฏิเสธตามมารยาท ใจจริงนั้นไม่ค่อยอยากจะร่วมโต๊ะกับคนหน้าตูมอย่างท่านเจ้าของไร่มากกว่า “ ไม่เป็นไรหรอกครับคุณบุษบา ทานด้วยกันเถอะ” วิทยากรยังคะยั้นคะยอไม่เลิก
“ ไม่หรอกค่ะดิฉันเกรงใจ ดิฉันไปดูในครัวดีกว่าเผื่อขาดเหลืออะไร” หล่อนก็ยังปฏิเสธอยู่ดี “ พอเถอะวิท ฉันรำคาญ” เสียงตัดบทของระเด่นมนตรีทำเอาห้องโถงนั้นเงียบกริบ เขาช่างเสียมารยาทอย่างที่สุด
“ คุณบุษบา คุณควรจะรู้กฎของที่นี่อย่างหนึ่งนะ ที่ไร่นี้เราทำงานกันเป็นทีม การมีส่วนร่วมเป็นเรื่องจำเป็น อย่างแรกของการมีส่วนร่วมก็คือการทานอาหาร” เขาส่งสายตาตำหนิหล่อนออกมาเต็มที่ บุษบาเม้มปากจ้องเขาเช่นกัน
“ ใช่ค่ะ การทำงานต้องเป็นทีม วันนี้งานของคุณเสร็จแล้ว ทีมของคุณได้พักผ่อน แต่งานของฉันยังไม่เสร็จ ขออนุญาตไปทำงานในครัวก่อนนะคะทีมของฉันอยู่ที่นั่น ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่กฎแต่เป็นมารยาทที่ดีในการทำงานค่ะ” หญิงสาวเดินหันหลังเข้าครัวไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าหนุ่มๆ
“ เด็ดๆ ไม่มีใครต่อปากต่อคำกับนายระเด่นมานานแล้ว” “ สมกันจริงๆ” “ นายระเด่นล่ะก็ อยากให้คุณบุษบามานั่งด้วยก็บอกดีๆก็ได้ ” เสียงแซวดังเจี้ยวจ๊าวแต่พอจอสายตาคมวับของระเด่นมนตรีเสียงต่างๆก็เงียบลงในบัดดล คงไว้แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มและอาการหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“ กับข้าวอร่อยดีนะครับนายระเด่น” ลุงสุขเอ่ยชมเบาๆอย่างไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะอารมณ์คุกกรุ่นเพียงใด “ ฝีมือดี ไม่เป็นกับแกล้มเหล้าเหมือนของไอ้ทอง” ชายสูงวัยหมายถึงพ่อครัวตัวจริงของที่นี่ที่ลายาวกลับบ้านเกิด
วิทยากรยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย “ กระถินนี่ คุณบุษบาเธอไปเก็บเองกับมือเลยนะครับ เธอยังถามผมเลยว่าในไร่มีอะไรที่ให้ทำอาหารได้บ้าง เธอว่าจะได้ช่วยลดค่าใช้จ่าย ” คนถูกแขวะนิ่วหน้าไปทางคนพูด แต่วิทยากรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ผู้หญิงนะผู้หญิงอยู่ที่ไหนวุ่นที่นั่น เขาอุตส่าห์พูดดีด้วยก็พาลประชดเขาอีกแน่ะ ความจริงฝีมือทำอาหารของเจ้าหล่อนก็ไม่เลว จัดว่าอร่อยเลยเชียวล่ะ แต่ท่าทางบอบบางอย่างนั้น การตอบรับข้อเสนอมาง่ายๆเขาสังหรณ์ใจว่าจะมีเบื้องหลัง เขาไม่ใช่คนขี้ระแวง แต่ลางสังหรณ์เรื่องผู้หญิงเขามักแม่นอย่างประหลาด
“ ไร่นี่มันอะไรกันน่ะ พิณ ” บุษบาโทรศัพท์ไปโอดครวญให้พิณสุดาเพื่อนฝ่ายบุคคลสาวของโรงแรมฟัง “ มีแต่ผู้ชาย กินจุ แถมเจ้าของไร่ก็ยังปากเสีย น่ากลัว ” พิณสุดาหัวเราะมาตามสาย ก็เพื่อนหล่อนคนนี้นี่แหละที่หยิบยื่นงานนี้มาให้ “ ก็เพราะอย่างนี้ไง งานมันถึงเงินดี คนที่ไปอยู่ที่นั่นไม่กี่วันก็เผ่น เขาถึงต้องรับคนใหม่ไง ”
บุษบาเบ้หน้าเมื่อนึกถึงสาเหตุ…เจ้าของไร่หน้าเหี้ยมหัวโล้น “ อยู่ไหวหรือเปล่าล่ะ ” คำถามนี้ปลายสายถามด้วยความห่วงใย แต่บุษบาไม่อยากยอมแพ้เพราะถ้าไม่เช่นนั้นหล่อนก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ในโรงแรมต่างจังหวัด หล่อนขอทำงานที่นี่เพื่อพักสมองดีกว่า แม้ว่าจะมีนายจ้างที่ไม่ค่อยเป็นมิตรอย่างเขา แต่คนอื่นก็ยังพอไหว
ระเด่นมนตรีจัดให้หล่อนนอนห้องปีกซ้ายของบ้าน ส่วนเขานอนปีกขวา วันแรกที่หล่อนรู้เล่นเอาหล่อนตาเหลือก “ เพื่อความปลอดภัยครับคุณบุษบา ไร่นี้มีแต่ผู้ชาย ถ้าคุณอยู่ใกล้นายระเด่นเอาไว้จะไม่มีใครทำอะไรคุณ” ลุงสุขบอกอย่างอ่อนโยนและก็ต้องยืนยันอีกรอบเมื่อเห็นหล่อนทำหน้าเหมือนจะหนี “ นายระเด่นกับคุณวิทยากรไว้ใจได้ครับ ทั้งสองคนเป็นสุภาพบุรุษ แล้วก็นี่” ชายสูงวัยยื่นบางอย่างเป็นแท่งยาวให้หล่อน มีด!
“ เอาไว้ป้องกันตัวครับ กันเหนียว” หญิงสาวกลืนน้ำลายดังเอื๊อกหล่อนหวังเหลือเกินว่าอย่าต้องใช้เจ้าสิ่งนี้เมื่อยามนิทราเลย
สองสามวันต่อมาเจ้าของครัวตัวจริงก็กลับมา ลุงทองเป็นชายร่างเล็กผอมเกร็งมองหล่อนอย่างหมิ่นๆ พูดจาเสียงดังเอะอะโวยวาย “ ลุงทองแกฉุนน่ะครับคุณบุษบา ที่ใครๆก็ชมอาหารฝีมือคุณบุษบา เพราะลุงทองแกชอบทำกับข้าวเผ็ดๆ ให้พวกขี้เหล้ากินกัน” เปรมแอบมากระซิบเมื่อหล่อนเข้ามาในครัว หญิงสาวจึงยิ้มหวานใช้วิชาการเข้าหาผู้ใหญ่ที่ฝึกมาจากในครัวโรงแรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลุงทอง
“ เมืองไทยมันเป็นเมืองร้อนนะคุณบุษบา คนไทยถึงต้องกินอาหารเผ็ดๆยังไงล่ะขับเหงื่อได้ดี อีกอย่างถ้าทำของจืดๆแล้วล่ะก็เหลือบาน นายระเด่นด่าตาย” ลุงทองให้เหตุว่าเข้าไปโน่น หล่อนได้แต่รับฟังอย่างนอบน้อม การที่มีลุงทองเข้ามาช่วยทำให้หล่อนมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น จนได้มีโอกาสเดินสำรวจบ้านและพบกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ เตาอบขนม! เป็นเตาอบขนาดที่ใช้ในร้านเบเกอรี่เล็กๆ เตาอบซ่อนอยู่ในโรงเก็บของท่ามกลางเครื่องมือช่างต่างๆ
“ ลุงทองคะเตาอบขนมที่โรงเก็บของนั่นของใครเหรอคะ” ชายสูงวัยชะงัก มีสีหน้าลำบากใจ “ ของนายระเด่นน่ะคุณบุษบา” หญิงสาวอ้าปากเหวอ ของอีตาระเด่นหัวโล้นใสแจ๋วนั่นหรือ “ คุณบุษบาอย่าไปยุ่งเลย” ลุงทองเตือนเบาๆด้วยความเป็นห่วง
แต่เหมือนกับอาถรรพ์คืนนั้นหล่อนฝันว่าตนเองทำขนมจากเตาอบอันนั้น มันพูดคุยกับหล่อนเหมือนคนรู้จักกันมานาน คงจะจริงอย่างที่เขาว่า เมื่อใครได้เป็นพ่อครัวแล้วก็จะต้องเป็นพ่อครัวตลอดไป บุษบาจึงลองเลียบเคียงถามระเด่นมนตรีในเช้าวันต่อมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มหน้าตึงอย่างไม่ทราบสาเหตุ บอกหล่อนแต่เพียงว่า
“ คุณจะใช้ก็ได้ แต่อย่าเอาเข้ามาในบ้านใหญ่” แล้วเขาก็ปึงปังออกไป หล่อนมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ “ เตาอบนั่นเป็นของคุณจินตหรา เธอเป็นแม่ของน้องเดียร์ที่คุณต้องดูแลครับ” วิทยากรไขข้อข้องใจ น้ำเสียงของเขากดลึกอย่างประหลาด
“ แล้วคุณจินตหราไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ” หญิงสาวยังถามต่อ ดวงตาของชายหนุ่มผมดกดำทอดไปไกล “ คุณจินตหราเธอเสียไปแล้วครับ” เขาตอบพลางยิ้มบางๆหลังจากนั้นจึงขึ้นรถจี๊ปขับไปอีกคน
“ คุณจินตหราน่ะเป็นเมียนายระเด่นครับ” เปรมตอบตอบทันทีเมื่อหล่อนถาม “ ส่วนคุณเดียร์เป็นลูกชายครับ อีกไม่กี่วันคุณบุษบาก็จะได้เห็น แล้วก็ทางที่ดีอย่าพูดเรื่องคุณจินตหรากับนายระเด่นดีกว่า นายเขาไม่ชอบ” เด็กหนุ่มยกตระกร้าฝักข้าวโพดอ่อนเดินหลบไปอีกทาง บุษบาจึงยิ่งงงเข้าไปใหญ่ นี่มันอะไรกันนะไร่นี้…
++++++++++++++
Create Date : 10 เมษายน 2552 |
Last Update : 10 เมษายน 2552 16:11:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 299 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|