หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
5 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

Something sweet(17)...เพราะฤทธิ์ไวน์หรือฤทธิ์รัก



พี่พฤกษ์ของหล่อนยังเจ้าเสน่ห์เนี๊ยบไปทั้งตัว เขาเปิดประตูลงจากรถบีเอ็มดับบิลสปอร์ตราคาหลายล้าน
“เป็นยังไงบ้างจ้ะบุษบา ไม่ส่งข่าวมาเลย พี่คิดถึง”
เสียงพี่พฤกษ์ทุ้มนุ่มชวนใจละลาย ยามเขาเดินเข้ามาใกล้
บุษบาได้กลิ่นน้ำหอมแดนวิดรอฟ...คูลวอเตอร์ฟอร์เม็น ที่เขาชอบ


“พี่พฤกษ์มีอะไรหรือเปล่าคะถึงได้มาที่นี่ได้ น่าจะโทรมาบอกกันก่อน”
หากเป็นเมื่อครั้งยังอยู่ที่โรงแรม บุษบาคงใจพองโตและเก็บไปฝันดี
ยามพฤกษ์แสดงความห่วงใย เพราะเขานั้นทั้งอ่อนโยน ใจดี ฉลาด มีอารมณ์ขันและเข้าใจหล่อนทุกอย่าง ผู้มีพระคุณของหล่อนมีลูกชายสองคน คนแรกคือพฤกษ์หรือพี่พฤกษ์ คนที่สองคือเผ่าพงษ์หรือพี่เผ่า สองพี่น้องนิสัยและลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิงเผ่าพงษ์เก็บตัว อ้วน หนา ใส่แว่นตา ขณะที่พฤกษ์เจ้าเสน่ห์เนี๊ยบ


“พี่ขอโทษจ้ะ คือมีเรื่องสำคัญบางอย่าง พี่ขอคุยกับเราส่วนตัวได้ไหม”
ชายหนุ่มสำอางเหลือบแลไปในตัวบ้าน เขารู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรหลายคู่จับจ้องมา
“เรื่องสำคัญเกี่ยวกับโรงแรม”


ระเด่นมนตรีเม้มริมฝีปากอย่างขัดเคือง เมื่อสายลับตัวน้อยเริ่มแปรพักตร์
“เดียร์จะไปดูวัวกับแบรนดอนฮะแด๊ดดี้ จะไปด้วยกันไหมฮะ”
ลูกชายบอกตาใสแจ๋ว
“ชวนคุณบุษบาไปด้วยสิลูก”


“ไม่ต้องหรอกเดียร์ตอนนี้เบ๊ตตี้กำลังมีแขก อย่าไปกวนเขาเลยเสียมารยาท”
แบรนดอนขัดขึ้น ดันหลังคนตัวเล็กออกไปพร้อมกับโน้มตัวมากระซิบคนหัวโล้น
“ถ้าอยากรู้มากว่าใครมาหาเบ๊ตตี้ ก็ไปถามเขาตรงๆเลยสิอย่ามัวแต่ใช้เดียร์”
คุณพ่อทั้งสองแม้จะสงบศึกกันชั่วคราวเรื่องเดียร์ แต่ใช่ว่าจะญาติดีกันได้อย่างสนิทใจ ยังฮึมฮัมใส่กันอยู่หน่อยๆ


แบรนดอนเดาไม่ผิด ระเด่นมนตรีพึงใจพี่เลี้ยงเด็กคนนี้จริงๆด้วย หล่อนไม่สวยจัดจนขนาดให้คลั่งไคล้ใหลหลง
แต่เสน่ห์อย่างอื่นก็มาเติมเต็มจนเขายังชอบใจ อย่างหนึ่งล่ะคือความใจเย็น มีเหตุผล คิดอะไรเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าเขาทั้งสองเสียอีก


“เบ๊ตตี้นี่ชื่อใครเหรอฮะแบรนดอน”
เสียงเดียร์ถามมาแว่วๆระคนกับเสียงหัวเราะลั่นของหนุ่มผมทองจากหน้าบ้าน ระเด่นมนตรีหันมองคนที่ยังเหลืออยู่ในห้องหนังสือ ลุงสุข สังฆา และวิทยากร
“เดี๋ยวผมพาแบรนดอนกับเดียร์ไปดูลูกวัวก่อนนะครับ”
หนุ่มผมดกยิ้มแล้วเดินตัวปลิวจากไป


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไปด้วยดีกว่า จบเรื่องแล้ว”
ลุงสุขเดินหนีไปอีกคน สังฆาก็ทำเป็นนั่งอ่านหนังสือไม่รู้ไม่ชี้ สักพักหนึ่งบอดี้การ์ดก็เอาโน้ตบุคมาให้
“คนนั่นน่ะเขาชื่อพฤกษ์ ลูกชายของเจ้าของโรงแรมดาราที่เลี้ยงดูคุณบุษบามา”
อับดุลใส่เฝือกเปรยขึ้นลอยๆ
“ตอนนี้บริหารโรงแรมอยู่”


“ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรือยังไง”
พี่ชายหัวโล้นอดที่จะถามต่อไม่ได้ สังฆาหัวเราะหึๆ
“ถ้าอยากจะรู้กระทั่งไซซ์กางเกงในละก็รออีกสองวันรู้ผล”
“เรื่องไซซ์กางเกงในฉันไม่อยากได้ ฉันอยากรู้แค่ว่าเขาเป็นอะไรกัน”
ระเด่นมนตรีตอบอ้อมแอ้ม เสียฟอร์มชะมัด จะจีบผู้หญิงยังต้องพึ่งคนอื่น
นี่เสน่ห์ของเขาตกไปแล้วหรืออย่างไร


โต๊ะอาหารกลางวันวันนี้ดูเหมือนเจ้านายทุกคนจะกลับมากินอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง อาจจะเป็นเพราะหยาดฝนที่โปรยปรายในไร่ด้วยกระมังทำให้ทุกคนรีบกลับ
“พี่พฤกษ์รอให้ฝนหยุดก่อนก็ได้ค่ะค่อยไป ไม่อย่างนั้นฝนตกทางลื่น ไม่คุ้นทางกลัวจะเกิดอุบัติเหตุค่ะ”
เสียงบุษบาดังมาแว่วๆจากระเบียง ระเด่นมนตรีที่อยู่ในห้องนั่งเล่นหูผึ่งขึ้นทันใด
“จ้ะบุษบา ว่าแต่พี่มาคุยกับเราตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้ทักทายเจ้านายเธอเลย พี่นี่เสียมารยาทจริง”


สักพักระเด่นมนตรีและเจ้านายผู้ชายทั้งหลายจึงได้รู้จักกับพี่พฤกษ์
“ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าบุษบาเขามาทำความลำบากให้พวกคุณ เขาน่ะเก่งแต่เรื่องทำอาหาร อย่างอื่นป้ำๆเป๋อๆตลอด”
พฤกษ์แซวอย่างอารมณ์ดี บุษบาอ้าปากค้างที่โดนเผากลางอากาศ แล้วสาวร่างโย่งก็กลับมาค้อนประหลับประเหลือก กริยานั้นระเด่นมนตรีบันทึกไว้ทุกอย่าง เวลาอยู่กับเขาหล่อนชอบทำหน้านิ่ง ...เวลาอยู่กับพี่ชายนอกไส้ หนุ่มเจ้าสำอางกลับทำหน้าหลากหลาย ทั้งงอน หัวเราะคิกคัก แววตาที่มองชายมาใหม่นั้นเป็นประกายสดใส


‘เขาเป็นอะไรของคุณกันแน่บุษบา’
ระเด่นมนตรีคร่ำครวญในใจ อาหารกลางวันที่ลุงทองทิ้งไว้ให้ก่อนจะไปตลาดเป็นแกงเทโพ และปลาหลดทอด แบรนดอนกินแล้วก็เผ็ดเครื่องแกงเหงื่อแตกตามประสาชาวต่างชาติ แต่อีกหนึ่งคนที่เป็นไปด้วยคือพฤกษ์ บุษบาไม่น่าลืมไปเลยว่าเขาไม่ชอบกินเผ็ด


“ตายจริง เผ็ดเหรอคะ ขอโทษค่ะ ลืมไปเลยว่าพี่พฤกษ์กับแบรนดอนไม่คุ้นกับอาหารเผ็ด”
“เบ๊ตตี้เผ็ดจังเลย ผมกินไม่ไหวแล้ว”
แบรนดอนบ่นพลางดื่มน้ำอึกใหญ่จากแก้ว ขณะพฤกษ์ใช้ผ้าเช็ดหน้าอย่างดีซับเหงื่อที่ผุดตามใบหน้า


“เบ๊ตตี้ทำอะไรให้ผมกับพี่ชายคุณกินหน่อยสิ วันนี้ผมขอฝากท้องหน่อย”
นักร้องหนุ่มผมทองแกล้งครวญคราง เพราะรู้ดีว่าเจ้าของไร่หัวโล้นกำลังจับจ้องอาการระหว่างพี่เลี้ยงสาวและหนุ่มผู้มาใหม่


“นั่นสิครับคุณบุษบา ทำอะไรง่ายๆให้คนกินเผ็ดไม่ได้กินหน่อยเถอะครับ”
สังฆาคะยั้นคะยอยิ้มๆพี่ชายหัวโล้นหันมามองคนพูดตาวาวๆ แต่น้องชายใส่เฝือกก็ไม่สนใจ บุษบาจึงเดินเข้าครัวไปทำอาหารง่ายๆมาให้
หนุ่มๆจึงอยู่กันตามลำพัง สังฆาและวิทยากรผลัดกันตะล่อมถามถึงสาเหตุการมาที่นี่ของพฤกษ์
“ผมมาเยี่ยมบุษบาน่ะครับ แล้วก็มีข่าวในครอบครัวมาบอกนิดหน่อย”
พฤกษ์ฉลาดพอที่จะเลี่ยงตอบคำถาม


กว่าที่ฝนจะหยุดตกก็เป็นเวลาช่วงบ่าย พฤกษ์กลับไปพร้อมกับแบรนดอน หนุ่มๆเข้าไปในไร่ เดียร์นอนกลางวัน
บุษบากลับเข้าไปในห้องปิดประตูเงียบ
“ไง บุษบามีอะไรหรือเปล่าโทรมาแต่วันเลย”
เสียงพิณสุดาแจ้วๆมาผ่านมือถือ
“โทษทีนะพิณที่โทรมากวน มีเรื่องจะถามหน่อยเกี่ยวกับเรื่องโรงแรม”
ปลายสายนิ่งอย่างอึดอัด


“เล่าความจริงมาให้ฉันฟังหน่อยเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรงแรม ไม่ต้องปิดบังหรอก”
แม้เสียงบุษบาเงียบสงบแต่มือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นระงับอารมณ์และน้ำตาที่พาลจะรินไหล
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยพิณ!”


อาหารเย็นวันนี้ไร้เงาของบุษบา หญิงสาวเลี่ยงโดยบอกเพียงว่าไม่สบายปวดหัว สถานการณ์ของโรงแรมแย่กว่าที่คิด นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่สถานการณ์ในครอบครัวของผู้มีพระคุณนี่สิ


‘เผ่าพงษ์ถูกจับ’
พี่เผ่าของหล่อนถูกจับเพราะไปแอบถ่ายใต้กระโปรงของลูกสาวผู้มีอิทธิพลในห้างสรรพสินค้า คราวนี้ฝ่ายผู้เสียหายไม่ยอมความแม้จะวิ่งเต้นสักเท่าใด
ข่าวการจับเผ่าพงษ์แม้ไม่ได้ออกโทรทัศน์แต่ก็เป็นที่รู้กันทั้งวงสังคม ผู้มีพระคุณอับอายเสียชื่อเสียง พลอยกระทบมาถึงโรงแรมด้วยโดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจเฉกเช่นนี้


‘คุณพนากับคุณผกาล้มป่วยด้วย ตรอมใจเพราะลูก แถมโรงแรมเจอวิกฤตเศรษฐกิจกับการเมืองในประเทศอีกอีก’
เพื่อนเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
‘ยังไม่ถึงขั้นปลดคนงาน แต่ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนกันทีเดียว ถ้าฉันตกงานเมื่อไหร่ เธอช่วยถามนายระเด่นให้หน่อยนะบุษบาว่าต้องการแผนกบุคคลของไร่ไหม ฉันจะไปสมัคร’
พิณสุดาพูดติดตลกหัวเราะร่าเริงตามนิสัย


‘อาจจะเป็นการเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยที่พี่มาพูดเรื่องนี้กับบุษบา’
หญิงสาวนึกถึงเสียงพฤกษ์ที่แสนแผ่วเบาเมื่อยามบ่าย
‘กลับไปที่โรงแรมของเราเถอะจ้ะ เวลานี้เป็นเวลาวิกฤติ พี่อยากให้บุษบากับไปเป็นแรงสำคัญของโรงแรมเรา’
‘พี่พฤกษ์คะแต่ฉันเอ่อ...’
บุษบาใจกระหวัดถึงสาเหตุที่หล่อนต้องมาอยู่ณไร่อสัญแห่งนี้ ปฏิเสธงานแต่ง ปฏิเสธความตั้งใจของผู้มีพระคุณ


‘อกตัญญู’
หญิงสาวยังจำได้ถึงคำปรามาสของคุณผกา สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มเมตตาเปลี่ยนไปเป็นเกรี้ยวกราด ขณะที่คุณพนาผู้เป็นสามีก็มีสีหน้าเรียบเฉย
หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าท่านทั้งสองจะตัดหล่อนทิ้งทันทีเมื่อท่านขัดใจ จะว่าไปตั้งแต่เล็กจนโตบุษบาก็ไม่เคยขัดผู้มีพระคุณสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ท่านจะให้เรียนต่อคณะคหกรรมในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่พฤกษ์โน้มน้าวท่านทั้งสองจนบุษบาได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ ตั้งแต่กระนั้นมาพฤกษ์ก็กลายเป็นผู้ชายที่อยู่ในความฝันมาตลอด


‘อย่าไปถือเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ท่านเคยพูดกับบุษบาเลย เรื่องนายเผ่า ท่านเอาแต่ห่วงนายเผ่า ตามใจจนเกิดเรื่อง คราวนี้ถ้าท่านยังพูดอะไรเดิมๆอีก เดี๋ยวพี่จะจัดการให้’
ชายหนุ่มรับปากอย่างเป็นมั่นเหมาะแต่กระนั้นบุษบาก็ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้อยู่ดี ในใจตีกันให้วุ่น


‘พี่ไม่บังคับใจบุษบาหรอกนะ’
หนุ่มสำอางมองเห็นความลังเลในแววตาของคนที่เปรียบเสมือนน้องสาว
‘พี่อยากให้เธอลองคิดดูนะบุษบา พี่ว่าที่นี่...’
พฤกษ์กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้าน เลยไปจนถึงไร่เขียวขจี


‘ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ บุษบาของพี่ชอบทำขนม พี่เห็นเธอยิ้มทุกครั้งที่ขนมเสร็จ เธอสวยที่สุดเวลาใส่ชุดขาวของเชฟ บุษบาของพี่ชอบเถียงเอาเป็นเอาตายเวลาประชุมแล้วเขาให้ลดค่าวัตถุดิบ’
ปลายเสียงนั้นเจืออารมณ์ขันจนบุษบาพลอยยิ้มไปด้วย
‘โรงแรมดาราของเราต้องการเธอนะบุษบา’


หญิงสาวทิ้งตัวลงกับหมอน คิดทบทวนคำพูดของพฤกษ์และพิณสุดา สถานการณ์โรงแรมดาราคงจะหนักกว่าที่คิด
โรงแรมห้าดาวที่ต้องคงไว้ซึ่งคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ค่าใช้จ่ายในแต่วันแม้ยามไม่มีแขกก็ยังสูงอยู่ดี พฤกษ์คงรับหน้าที่มาง้อให้หล่อนกลับ
เขาพูดจาอ่อนหวานไม่พูดลำเลิกบุญคุณเหมือนพ่อแม่เขา
นี่หล่อนจะต้องกลับไปอยู่ใต้ปีกของผู้มีพระคุณอีกครั้งแล้วหรืออย่างไร
บทเขาต้องการก็เรียกใช้ หากทำอะไรไม่ถูกใจก็ถีบหัวส่ง
คำว่า‘บุญคุณ’นี่ช่างมีอานุภาพเหลือ คำที่มัดหล่อนไว้ทั้งชีวิต


เสียงหริ่งหรีดเรไรยามหัวค่ำแว่วมา ท้องของบุษบาครวญคราง หล่อนยังไม่ได้กินอาหารเย็นเลยนี่ ร่างโปร่งเดินลงมาจากบันไดเข้าไปในครัว
ไม่ว่าห้องครัวบ้านใดก็ตามมักมีชีวิต มีกลิ่นที่บ่งบอกถึงอุปนิสัยของคนในบ้านหลังนั้นๆ ห้องครัวของบ้านระเด่นมนตรีเป็นครัวใหญ่
มีตู้เย็นสองตู้ ตู้หนึ่งเป็นตู้เย็นทึบสีขาวสองประตูเอาไว้แช่น้ำและอาหารของบรรดาเจ้านาย
ตู้ที่สองเป็นตู้อลูมิเนียมมีกระจกใสด้านหน้าเหมือนกับตู้แช่เครื่องดื่มในร้านค้า
ตู้นี้เอาไว้ใส่เนื้อสัตว์ ผักผลไม้สำหรับทำอาหารเลี้ยงคนทั้งไร่ ตู้เย็นที่เหมือนกับในโรงแรมของหล่อน


บุษบาออกจากห้องครัวไปที่โรงเก็บของ เพราะเหตุการณ์วุ่นๆหล่อนจึงไม่ค่อยได้ทำขนมเลยพักนี้ เตาอบมีฝุ่นจับเล็กน้อย บุษบาไล้มือไปตามขอบโลหะสีเงิน กลิ่นแป้งอบและเนยถูกความร้อนยังติดอยู่จางๆ ...กลิ่นอันคุ้นเคยยามหล่อนอยู่ในโรงแรม อากาศอบอ้าวของห้องอบขนม กลิ่นหวานๆของน้ำตาลและวานิลา ทุกอณู ทุกสัมผัส หล่อนจำได้ดี บุษบาน้ำตารินอาบแก้ม ...ทุกอย่างในโรงแรมดารายังอยู่ในความทรงจำมิเสื่อมคลาย ความรู้สึกโหยหาแล่นเข้ามาจับใจ ที่ของหล่อนมีเพียงที่นั่นจริงๆหรือ แล้วที่นี่ล่ะ...


ระเด่นมนตรีนิ่งเงียบยืนมองหญิงสาวปาดน้ำตาอยู่ในโรงเก็บของ บุษบาดูเศร้าและอ่อนแอมาก เมื่อหัวค่ำเขาตั้งใจจะไปเคาะประตูเรียกหล่อนแล้ว อยากจะถามสาเหตุว่าทำไมไม่มากินข้าว ไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่า... แต่ลุงสุขห้ามไว้ก่อน
‘คุณบุษบาคงมีเหตุผลส่วนตัวของเธอ นายระเด่นอย่าเพิ่งไปเร่งเร้าอะไรเธอเลยครับ’
ผู้สูงวัยตักเตือนจากประสบการณ์ที่มากกว่า
‘อย่าใจร้อนสิครับนายระเด่น’
ว่าแล้วคนเตือนก็หัวเราะหึๆ


ระเด่นมนตรีไม่สนใจแล้วว่าใครจะรู้ความในใจว่าเขาคิดอย่างไรกับพี่เลี้ยงร่างโย่ง
ขอแค่ให้หล่อนบอกเขามาสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ไหล่ของเขา อกของเขา ...ก็พร้อมรับใช้ให้หล่อนพิงได้เสมอ
อย่างเช่นที่เขาแอบเห็นหล่อนยืนนิ่งคิดอะไรในห้องครัวจนมาถึงโรงเก็บของ


“แกร๊ก”
บุษบาเช็ดน้ำตาแล้วหันมาตามเสียง ระเด่นมนตรียืนหน้าเก้ออยู่เขาเผลอเหยียบถุงพลาสติกอาหารสัตว์จนเกิดเสียง
“นายระเด่นมีอะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้นิ่งที่สุด เขาจะเห็นหรือเปล่านะว่าหล่อนกำลังร้องไห้
“เปล่าครับ ผมแค่เห็นว่าประตูโรงเก็บของมันเปิดอยู่”
ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋าแก้เขิน


“ขอโทษค่ะ ฉันแค่นอนไม่หลับ เดี๋ยวฉันจะไปแล้วค่ะ”
“เมื่อเย็นคุณไม่ได้มาทานข้าวไม่สบายหรือเปล่า ทานอะไรแล้วหรือยัง”
คำถามที่แสดงความห่วงใยจากระเด่นมนตรีทำให้ใจของบุษบาเต้นระรัว เขาเป็นห่วงหล่อน ...แต่ในฐานะอะไรหรือ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ค่อยหิว”
ว่าแล้วหล่อนก็เดินเลี่ยงกายจากเขากลับขึ้นบนบ้านไปเสีย


คนเราทุกคนอ่อนแอได้ทั้งนั้น อ่อนแอน้ำตาไหล ...แต่บุษบาเลือกที่จะไม่ให้ใครเห็น
ประสบการณ์ไร้รากทำให้หล่อนชอบจะเก็บทุกอย่างไว้ตามลำพัง
การเป็นเด็กกำพร้าก็ดีไปอย่างทำให้หล่อนเข้มแข็งรู้จักวิธีรับมือกับปัญหาต่างๆได้ดี
...แม้เรื่องของโรงแรมจะติดค้างอยู่ในใจมากเหลือเกินก็ตาม


เช้าวันต่อมาแบรนดอนเข้ามาในไร่แต่เช้าตรู่ เขาบอกว่ากำลังจะกลับอเมริกาและจะบินกลับมาเยี่ยมเดียร์บ่อยๆ
“ผมต้องไปทำงานอีกอย่างจะได้จัดการเรื่องบ้านเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย”
หนุ่มผมทองเคยเล่าให้บุษบาและเดียร์ฟังเรื่องซื้อฟาร์ม เขาคงตั้งใจทำจริงๆ
บุษบาขอลายเซ็นต์เขาโดยให้เขียนว่า ‘สำหรับพิณสุดา‘เป็นภาษาอังกฤษ
ตอนที่แบรนดอนเซ็นต์ลายเซ็นให้นั้นเขาหันมามองเจ้าของไร่ศรีษะโล้นพร้อมยิ้มแปลกๆ

วันนี้ทั้งวันเงียบสงบเพราะหนุ่มๆเกือบทั้งหมดไปจัดการคุมการเก็บมะม่วงที่สวน เว้นเสียแต่สังฆาที่ยังใส่เฝือกอยู่
เดียร์จะไปด้วยแต่ระเด่นมนตรีให้อยู่บ้านเพราะใกล้เปิดโรงเรียนแล้ว เริ่มเข้าฤดูฝน เจ้าของไร่หนุ่มกลัวว่าลูกชายตัวน้อยจะตะลอนๆเที่ยวเล่นจนเป็นหวัด เด็กชายบ่นนิดหน่อยแต่ก็ยอมอยู่บ้านเพราะวันนี้บุษบาจะสอนวาดรูป


ขณะวาดรูปกันอยู่สองคนนั้น บุษบาเห็นหลังของสังฆาไหวๆหนุ่มแว่นพร้อมบอดี้การ์ดออกจากบ้านขึ้นรถไปไหนสักที่หนึ่ง สักพักฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เดียร์เลิกวาดรูปแล้วแต่หันไปนอนกลางวันแทน บุษบาจึงนั่งมองสายฝนจากหน้าต่าง ฝนตก ฟ้ามืดมัว ราวกับโลกจะดับสูญ ทุกครั้งที่เห็นสายฝนตกกระหน่ำบุษบาจะเจ็บแปลบในใจ

เพราะสายฝนมิใช่หรือ...ที่คร่าครอบครัวหล่อนไปด้วยอุบัติเหตุ ฝนอาจแทนความชุ่มฉ่ำ แต่สำหรับหล่อนแล้วคือความเศร้าเหลือประมาณ ราวกับเป็นโชคชะตาเมื่อวานพฤกษ์มาหาพร้อมกับบอกวิกฤติของโรงแรม เขามาพร้อมสายฝน ...ฝนที่ทำให้หล่อนเศร้ากับชะตาชีวิตของตัวเองเหลือเกิน


“วันนี้ลุงทองแกจะทำพล่าเนื้อครับคุณบุษบาหรือคุณบุษบาอยากจะกินอาหารฝรั่งพวกบาร์บีคิวไหม”
เปรมเดินยิ้มแป้นเข้ามาบอก
“พวกที่โรงเลี้ยงวัวบอกว่ามีวัวตัวหนึ่งตกรถขน ขาเลยหัก นายระเด่นก็เลยสั่งให้ล้ม เดี๋ยวพอแกกลับมาจากสวนมะม่วงแล้วจะมากินกัน”
“แต่ฝนตกอย่างนี้จะเก็บมะม่วงได้เหรอ”
หญิงสาวนิ่วบุ้ยปากไปยังสายฝนด้านนอก


“นายระเด่นแกสั่งให้เก็บแต่ลูกที่กำลังจะสุกไว้แล้วครับ ถ้าคุณบุษบาอยากได้เนื้อไว้ทำอะไรเดินไปบอกผมกับลุงทองนะครับ”
หล่อนเพียงยิ้มๆบางๆให้เด็กหนุ่มแล้วหันกลับไปสนใจที่สายฝนต่อ เสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านระคนกับเสียงใสๆโวยวาย บุษบาคุ้นเสียงนั้นอย่างไรพิกลจึงลุกออกไปดู


“พี่บุษบา”
โรสเรียกอย่างดีใจแทบจะพุ่งมาหาแต่ติดอยู่ที่ว่าร่างบางกำลังพยุงคนใส่เฝือกอยู่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณโรส”
บุษบามองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ โรสเสื้อผ้ามอมแมมไปด้วยน้ำสีเหลืองคล้ำและมีหญ้าแห้งติดเสื้อผ้า สังฆาก็พลอยมอมแมมไปด้วย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือท่ามกลางบอดี้การ์ดที่ยืนล้อมรอบ ทำไมโรสจึงต้องพยุงสังฆา?


“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”
สาวผมสีน้ำตาลอ่อนยิ้มเจื่อนๆ
“เอ้า!คุณสังข์ฉันพาคุณมาถึงบ้านแล้วนะ ให้คนของคุณพาไปทำแผลได้แล้ว”
โรสดันมือที่โอบไหล่ของหล่อนออก ย่นจมูกอย่างหมั่นไส้คนขาเจ็บขณะที่เจ้าตัวเพียงยิ้มกริ่ม บรรดาบอดี้การ์ดมารับหน้าที่พยุงเจ้านายต่อ
“เสื้อผ้าคุณโรสเลอะหมดเลย งั้นอาบน้ำก่อนดีไหมคะ มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนไหมคะ ถ้าไม่มีใช้ของฉันก็ได้”
สาวร่างโย่งอารีทำให้คนฟังยิ้มร่า


“ขอบคุณค่ะ พี่บุษบา”
มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ยังไงหล่อนก็มีเรื่องมาคุยกับบุษบาจนได้ แม้จะมีคำพูดแปลกๆของสังฆามากวนให้ขุ่นอารมณ์ในตอนแรกก็ตาม
“แล้วมาได้ยังไงคะเนี่ย ไม่เห็นได้ยินเสียงวอรายงานจากยามหน้าบริษัทเลย”
บุษบาคุยระหว่างที่พาร่างบางขึ้นไปห้องตัวเอง โรสไม่อยากบอกว่าตั้งใจจะมาตั้งแต่เกิดข่าวแบรนดอนแล้ว แต่ยามหน้าไร่ปฏิเสธแข็งขัน พอวันนี้ลองมาดูอีกครั้ง ยามหน้าไร่กลับให้เข้ามาอย่างง่ายดาย เพื่อที่จะได้มาเจอกับคนที่หล่อนไม่อยากเจอ...สังฆา


‘ทุกคนในไร่ตอนนี้อยู่ที่สวนมะม่วง บังเอิญผมก็จะตามไปพอดี นายระเด่นจะเก็บมะม่วงก่อนฝนตก’
ตอนที่ฟังเขาบอกโรสไม่เชื่อเขาอีกแล้ว ใครจะยอมหลงกลลูกไม้เดิมถึงสองครั้ง
‘จริงครับ ไม่เชื่อคุณถามยามหน้าไร่ได้หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ขับรถคุณตามพวกผมไป ถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่นคุณก็ขับรถกลับดีไหมครับ’
สังฆาส่งรอยยิ้มอบอุ่น แต่โรสไม่สนใจเพราะยังเข็ดกลับฤทธิ์ของการรอคอยบุษบากับเขาในสวนมะม่วงครั้งที่แล้ว เมื่อขับรถตามไปได้สักพักรถของสังฆาก็หยุดลง


‘รถผมเสียเดี๋ยวคนของผมจะไปตามช่างมาซ่อม ขออาศัยรถคุณไปหน่อย’
พอหล่อนโวยวายเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มมาอยู่ใกล้เขาก็ว่า
‘นิดหน่อยน่าคุณ คุณจะปล่อยให้คนขาเจ็บอย่างผมอยู่ข้างถนนเหรอ’
สังฆาขอความเห็นใจ โรสย่นจมูก เขาพูดเหมือนน่าสงสารมาก
...พูดท่ามกลางมาดเจ้าพ่อขาเจ็บ โดยมีบอดี้การ์ดข้างหลังเป็นแบ๊คกราวด์


‘คุณบุษบาบอกว่าจะมาเลือกมะม่วงเอง คราวนี้จะทำพายมะม่วงด้วย’
ชายหนุ่มเอาบุษบามาล่อซึ่งหญิงสาวก็ตกหลุมพราง เขากับหล่อนนั่งกันไปเพียงลำพังในรถด้วยเหตุผล
‘รถคุณเล็ก นั่งสองคนก็เต็มแล้ว อีกอย่างไร่นี่เป็นของพี่ผม ไม่มีใครกล้าทำอะไรผมได้ เราไปกันดีกว่า’
โรสจำใจเป็นสารถีให้เขาระหว่างทางฝนก็ตกหนัก นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าปรากฏการณ์บางอย่างที่มาพร้อมกับสายฝน


‘เปรี้ยง!’
ร่างบางเหยียบเบรกกะทันหันทำเอาคนที่นั่งมาด้วยศรีษะแทบคะมำ


‘เปรี้ยง!’
ครั้งที่สองพร้อมประกายฟ้าแล่บแปลบปลาบ รถมินิคูเปอร์นิ่งสนิทไม่ขยับ
‘คุณกลัวฟ้าร้อง’
คนใส่แว่นตัวสูงนั่งข้างเปรย


‘ใช่!แล้วทำไม’
คนขับร่างเล็กยอมรับแบบกระแทกเสียง ถ้าขับรถยามฝนฟ้าคะนองท่ามกลางเมืองหลวงที่มีแต่ตึกต่างๆนั้นหล่อนสบายมาก แต่กลางไร่อสัญที่โล่งโจ้งนี่สิ...มีสิทธิ์โดนฟ้าผ่าสูง
‘นั่นสิเดือนที่แล้วนายระเด่นก็บอกว่าฟ้าผ่าวัวไปตัวหนึ่งด้วย’
คนนั่งข้างไซโค โรสหันขวับมามองเขา ไม่ว่าจะพูดจริงหรือโกหกแต่ข่าวเรื่องฟ้าผ่าทั้งคนทั้งวัวตายนี่มีอยู่จริง โดยมากจะเกิดในสถานที่คล้ายๆอย่างนี้


‘เปรี้ยง!’
ครั้งที่สาม ใบหน้าคนขับซีดลงอย่างเห็นได้ชัด สังฆาหัวเราะหึๆ
‘เอาอย่างนี้ไหมครับ ใกล้ๆกันนี่เป็นโรงเลี้ยงวัวไปหลบที่นั่นสักพักให้ฝนหยุดก่อน อยู่ในรถที่โล่งแจ้งอย่างนี้เปอร์เซ็นต์โดนฟ้าผ่ามีสูง’
โรสขับรถไปตามทางที่เขาบอกไปในบัดดล พอจอดรถลงที่โรงเลี้ยงวัว ร่างบางๆของคนผมสีน้ำตาลรีบเปิดประตูรถวิ่งเข้าไปในโรงเลี้ยงวัว
‘อย่าวิ่งนะคุณ พื้นโดนฝนสาดมันลื่น’
สังฆาเตือนพลางเปิดประตูรถอีกข้างหนึ่ง


‘เปรี้ยง!’
ครั้งที่สี่ซึงดังผิดกับสามครั้งแรกพร้อมกับต้นไม้หน้าโรงเลี้ยงวัวโดนฟ้าฝ่าดำเป็นตอตะโกควันขึ้นกรุ่นๆ
‘ว๊าย!’
โรสวิ่งหนีไปคิดชีวิตเข้าไปในโรงเลี้ยงวัว อารามตกใจจึงวิ่งไปสะดุดพื้นแถวนั้นและล้มโครมลงในฟางข้าวอัดก้อนที่ใช้เลี้ยงวัว ฟางข้าวเหล่านั้นเป็นฟางที่จะใช้เลี้ยงวัววันนี้จึงไม่มีการขนย้ายทำให้ชุ่มน้ำฝนที่สาดมานิดหน่อย สังฆากลั้นหัวเราะจนตัวสั่น


‘คุณจงใจแกล้งฉันใช่ไหม!’
ร่างบางแวดอย่างเหลืออด หล่อนหลงกลเขาอีกแล้ว
‘ผมเปล่าสักหน่อย อุตส่าห์หวังดีว่าคุณกลัวฟ้าร้องเลยจะพามาหลบ ไม่คิดว่าคุณจะกอดฟางเข้าเต็มรัก’
หนุ่มแว่นใช้ไม้ค้ำเขยกเข้ามาหา
‘อย่าใจร้อนสิคุณ’
แววตาหลังเลนน์นั้นเต้นระยิบขบขันเต็มที่


‘เอ้า!ลุกขึ้นได้แล้ว’
มือใหญ่ขาวสะอาดยื่นมาตรงหน้า โรสเม้มริมฝีปากอย่างขัดเคือง
‘เร็วสิครับ เดี๋ยวละอองฟางก็ยิ่งทำให้คันหรอก’
สาวผมน้ำตาลจึงวางมือบางบนมือเขาแต่ทว่าหล่อนกลับฉุดเขานั้นล้มลงมาจมฟางด้วย
‘ดี! สมน้ำหน้าคุณชอบหลอกฉันนัก’
โรสดีดตัวลุกขึ้นแล้วยิ้มยียวน สังฆาปัดฟางออกจากร่างกายตัวเองแล้วก็เข่นเขี้ยวกับการโดนตลบหลัง


“เสื้อผ้าฉันวางไว้ให้ตรงนี้นะคะคุณโรส”
บุษบาร้องบอกจากนอกห้องน้ำ โรสจึงตื่นจากภวังค์หันมาสนใจกับการชำระล้างร่างกายต่อ แต่กระนั้นใจก็หวนกระหวัดถึงบทสนทนาหลังจากฝนตกขณะขับรถมายังบ้านแห่งนี้


‘คุณมาที่ไร่นี้มาหาแต่คุณบุษบาอย่างเดียวเลยหรือยังไงครับ’
‘ทำไมล่ะ ก็ฉันชอบคุยกับพี่บุษบา พี่บุษบาทำกับข้าวเก่งแถมยังน่ารักด้วย’
เมื่อพูดถึงคนที่หล่อนปลื้มโรสจึงค่อยมีน้ำเสียงรื่นเริงขึ้นหน่อย
‘ไม่แปลกอะไรที่ฉันจะชอบเขา’
ร่างบางเน้นคำว่าชอบอย่างไม่หยี่ระ ไม่สนใจว่าเขาจะมองว่าผิดปรกติที่พึงใจในผู้หญิงด้วยกัน
‘พูดอย่างนี้เหมือนกับคุณจะบอกว่าไม่ชอบผู้ชาย’


‘ไม่ใช่ ไม่ชอบค่ะ’
คนขับรถอยู่หันมายิ้มหยัน
‘ฉันเกลียดเลยล่ะค่ะ ผู้ชายเป็นเพศที่อ่อนไหวต่อการนอกใจมากที่สุด’
หล่อนคิดว่าอย่างนั้น...แม้แฟนทอมคนล่าสุดที่เพิ่งเลิกกันไปจะมีสาเหตุมาจากมีคนใหม่ก็ตาม นั่นไม่นับเพราะถือว่ามีจิตใจเป็นผู้ชายเหมือนกัน
‘คุณพูดเหมือนกับไปเจออะไรมา’
เสียงเขาเปรยทุ้มนุ่ม โรสรู้สึกว่าเขาชักจะละลาบละล้วงเรื่องของหล่อนมากเกินไปเสียแล้ว


‘มันเรื่องของฉันค่ะ ว่าแต่คุณเถอะจะมายุ่งอะไรเรื่องของฉัน หรือคุณชอบพี่บุษบา’
‘เปล่า ไม่ใช่หรอกครับ ผมชอบใครคุณก็น่าจะรู้’
สายตาคนพูดเต้นระยับยามโรสหันไปมอง
‘เพราะชอบ เราจึงอยากรู้เรื่องของคนๆนั้นยังไงละครับ’
หญิงสาวอยากให้ระยะทางจากโรงเลี้ยงวัวกับบ้านระเด่นมนตรี ใกล้กันมากกว่านี้เหลือเกิน จะได้ยุติบทสนทนาชวนจั๊กจี้หัวใจเสียที


‘นี่ก็อีกข้อที่ฉันไม่ชอบจากผู้ชายอย่างพวกคุณ จีบคนอื่นไปทั่ว’
โรสแขวะ แล้วรีบหลบสายตาจากคนนั่งข้างหันไปสนใจกับถนนข้างหน้า
‘คุณรู้ได้ยังไงครับ การตีความไปเองอย่างนี้บางทีก็เข้าข่ายกล่าวหานะครับ’
เขาคราง โรสไม่คิดว่าเป็นคำกล่าวหาสักนิด...เรื่องจริงต่างหาก


‘ตัวเหม็นเจ้าชู้ งี่เง่า ชอบผู้หญิงแต่งตัวโป๊แต่พอแฟนตัวเองใส่เสื้อสายเดี่ยวกลับโกรธ นี่แหละค่ะนิยามของผู้ชายสมัยนี้ หรือคุณเถียง’
‘ผู้ชายบางคนไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปนี่ครับ’
สังฆายังค้านอยู่ดี
‘ไม่มีเสียล่ะ ถ้ามีจริงคุณช่วยยกตัวอย่างหน่อยสิ’
โรสได้ทีจึงเหน็บเขา


‘มีสิครับ แต่นั่นมันก็สุดแท้แต่ว่า...’
ดวงตาคนพูดแพรวพราวไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
‘คุณพร้อมจะพิสูจน์หรือเปล่าครับ’
หล่อนคิดว่าใบหน้าของตัวเองยามฟังเขาพูดประโยคนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็เรียกอาการคันหัวใจและหน้าร้อนผ่าวอยู่ได้ทุกทีไป
นี่แหละเป็นความสามรถพิเศษของผู้ชายเจ้าชู้ทั้งหลาย โรสบอกตัวเองในใจ


คนที่ไปเก็บมะม่วงกลับมาแล้ว ลุงทองทำพล่าเนื้อและอาหารอีสานสองสามอย่าง ระเด่นมนตรีสั่งเหล้ามาจากร้านขายส่งเหล้าในอำเภอ ให้ดื่มกันไม่อั้น
“นี่มันงานเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ”
บุษบาอดไม่ได้ที่จะแอบกระซิบถามวิทยากร


“นายระเด่นแกเลี้ยงคนงานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจครับ พักนี้ไร่มีแต่เรื่องวุ่นๆ แล้ววันนี้เพิ่งเก็บมะม่วงล็อตใหญ่เสร็จ ล็อตนี้ญี่ปุ่นกับยุโรปแย่งกันซื้อเลยละครับ แกเลยยิ่งอารมณ์ดี”
ใบหน้าของเจ้าของไร่ยามคุยกับกับลูกน้องนั้นสดใส หัวเราะเฮฮาตลอดเวลา บุษบามองภาพนั้นแล้วก็พลอยยินดีไปด้วย ช่วงสองสามวันมานี้ระเด่นมนตรีเผชิญปัญหาหนักแต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โรสอยู่ทานอาหารเย็นที่ไร่ด้วยแล้วหญิงสาวผมสีน้ำตาลก็กลับไปเมื่อหัวค่ำ คนงานในไร่ยังสังสรรค์กันไม่เลิก บุษบาจึงพาเดียร์ไปเข้านอนเด็กชายบ่นว่าอยากทานสเต๊กเพราะมีเนื้อวัวเหลือเยอะ หล่อนจึงสัญญาว่าจะทำสเต๊กเนื้อชิ้นกับมันฝรั่งทอดให้


คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงบุษบานั่งมองดวงจันทร์จากทางหน้าต่าง ฟ้ากระจ่างดาวดวงจันทร์ทอแสงอร่ามกระจ่างใส ฟ้าหลังฝนไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนสดใสเสมอ นานแล้วที่หล่อนไม่ได้นั่งชมจันทร์ทอดอารมณ์สบายๆเช่นนี้ หน้าที่การงานและชีวิตในเมืองหลวงแย่งสิ่งเหล่านี้ไปเสียหมด
“ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ ระเด่นมนตรียืนอยู่หน้าห้อง


“ดื่มไวน์หน่อยไหมครับคุณบุษบา ดื่มไวน์ชมจันทร์”
เขาบุ้ยปากไปทางโต๊ะที่ระเบียง มี*ดีแคนเตอร์และแก้วไวน์สองใบวางอยู่
“คืนนี้อากาศดีนะ ถ้ารีบนอนละก็น่าเสียดายแย่”
บุษบาตอบรับอย่างง่ายดายเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียคืนนี้หล่อนก็คงนอนไม่ค่อยหลับ ...เรื่องวิกฤติของโรงแรมยังรบกวนจิตใจ


“ไวน์แดงนี่เป็นไวน์แดงปีเกิดของเดียร์”
ระเด่นมนตรีหมายถึงธรรมเนียมตะวันตกที่จะซื้อไวน์ที่ผลิตในปีเกิดของตนเองมายกลังแล้วเปิดดื่มในวันครบรอบวันเกิดของตนเองทุกปี
“แล้วมันจะดีเหรอคะที่เอาไวน์สำคัญของลูกชายคุณมาให้ฉันดื่ม”
บุษบาท้วงเมื่อไวน์สีแดงถูกรินลงใส่แก้วตรงหน้า


“เจ้าวิทมันไม่ได้เล่าให้ฟังหรือยังไงว่าผมเป็นใคร ผมเป็นเจ้าของไร่องุ่นนะ เรื่องไวน์ของลูกชายตัวเองนี่ผมมีสำรองไว้หลายลังทีเดียว”
ระเด่นมนตรีโอ่พลางยกแก้วที่เขาถือเป็นสัญญานการชนแก้ว


บุษบายิ้มบางๆแล้วยกไวน์ขึ้นจิบโดยไม่รู้เลยว่าระเด่นมนตรีลอบมองกริยานั้นอย่างพึงพอใจ หล่อนดูสดชื่นขึ้นแล้ว ระเด่นมนตรีคิด บุษบาดูซึมๆเงียบๆไปตั้งแต่ผู้ชายที่ชื่อพฤกษ์มา หล่อนนิ่งเงียบและดูครุ่นคิดแปลกๆจนระเด่นมนตรีใจหาย คนที่มานั่นหรือเปล่าที่เป็นสาเหตุทำให้หล่อนมาที่ไร่อสัญแห่งนี้


เสียงสรวญเฮฮาดังมาจากด้านล่างของตัวบ้าน คนงานหลายคนยังนั่งร่ำสุรากันต่อโดยไม่มีท่าทีจะกลับ
“น่าจะชวนคุณวิทกับคุณสังข์มาดื่มด้วยนะคะ”
บุษบาเปรยเบาๆใจเต้นรัวนิดๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เพิ่งดื่มไป
“วิทอยู่กับคนงานข้างล่าง ส่วนเจ้าสังข์นอนแล้ว เห็นว่าออกไปนอกบ้านแล้วตัวมอมกลับมา”
หญิงสาวรู้เลยว่านั่นเป็นคงเป็นตอนที่หนุ่มแว่นกลับมาพร้อมกับโรส


“เป็นยังไงไวน์ของไร่ผม พอจะสู้ไวน์จากฝรั่งเศสได้ไหม”
เขาเย้าเพราะรู้จากประวัติการสมัครงานของบุษบาว่าหล่อนจบจากฝรั่งเศส
“ค่ะเป็น**เฮ้าท์ไวน์ที่ใช้ได้เลยค่ะ”
บุษบานั้นแม้ชีวิตจะอยู่ในแวดวงอาหาร ไวน์นั้นถือว่าเป็นเครื่องดื่มและเครื่องปรุงอันยอดเยี่ยม แต่หล่อนก็มิใช่นักดื่มที่นิยมไวน์มากนัก


สุราแม้จะเปลี่ยนชื่อให้สวยหรูอย่างไรก็คือสุรา ...อาชีพเชฟหากดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่มากไปสิ่งเหล่านั้นจะทำลายความสามารถสำคัญซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานสู่มนุษย์ ความสามารถทางชิวหา...ลิ้นชั้นยอดในการสัมผัสรส เพราะมีความสามารถนี้มนุษย์จึงสร้างสรรค์เมนูอาหารหลากหลาย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ร้อนแรง รสพื้นฐานที่ปรุงแต่งอาหารได้เป็นร้อยเป็นพัน
การทำอาหารเป็นศิลปะทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น


“ก่อนที่ผมจะทำไวน์ได้อย่างนี้ ผมเคยเทไวน์ทิ้งเป็นถังๆเลยนะครับ ช่วงนั้นลองผิดลองถูกไปเรื่อย ชิมกันจนวิทมันบ่นเบื่อไวน์ไปเลย”
หญิงสาวหัวเราะกิ๊กเมื่อนึกถึงหนุ่มผมดกหน้าหล่อ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่หล่อนยังไม่เคยเห็นเขาบ่นหรือว่าใครร้ายเลย


“เพราะนายระเด่นชอบไวน์หรือเปล่าคะ ถึงได้มาทำไร่องุ่น”
การพูดคุยเป็นไปอย่างสบายมากขึ้น กับแกล้มใดเล่าจะมีรสดีเท่าการสนทนาที่ออกรส
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ผมปลูกพืชไว้หลายอย่างเลยนะแต่ไวน์นี่เป็นผลผลิตที่ออกมาดีที่สุด ปากช่องอากาศดีพื้นที่ในการเหมาะสมที่จะปลูกไวน์ อาจจะไม่ดีเท่า***บอร์โดหรือ****เบอร์กันดี แต่รสชาติใช้ได้ ในร้านอาหารฝรั่งนะคุณใช่ว่ามีแต่ไวน์แพงๆที่ขายได้ ไวน์พื้นๆหรือไวน์พื้นเมืองลูกค้าบางคนก็ชอบ”


“ค่ะจริงด้วยสิคะ สมัยเรียนเพื่อนฉันชอบเอาไวน์โฮมเมดที่บ้านเขาทำเองมาให้บ่อยๆไวน์พวกนั้นทำขนมอร่อยเสียด้วย”
“ถ้าคุณอยากได้ไวน์มาทำขนมเดี๋ยวผมจะให้คนไปเอามาให้”
คนหัวโล้นพูดพร้อมกับส่งสายตาระยิบระยับ บุษบารำพึงอยู่ในใจว่าเพราะฤทธิ์มึนเมาของไวน์หรือเปล่าที่คืนนี้ระเด่นมนตรีดูกรุ่มกริ่มผิดปรกติ
“ถ้าคุณอยากได้ผมจะหามาให้”
เขาย้ำคำด้วยเสียงทุ้มนุ่มจนคงฟังใจไหว


“แล้วเพราะอะไรนายระเด่นถึงมาทำไร่ที่นี่ละคะ นายระเด่นเป็นคนกรุงเทพฯไม่ใช่เหรอคะ”
หล่อนเสไปเรื่องอื่นปกปิดอาการหน้าร้อนผ่าวของตนเอง เขาหัวเราะๆพลางรินไวน์เติมให้อีก
“ทีแรก ผมก็คิดจะซื้อเอาไว้พักผ่อนเท่านั้น แต่มีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้ผมอยากหาที่สงบๆเพื่อใช้ชีวิตเรียบง่าย”
บุษบาเดาได้ทันทีว่าเรื่องหลายอย่างที่เขาว่า...หนึ่งในนั้นจะต้องมีเรื่องจินตะหราอยู่ด้วย


“แต่พอได้ทำงาน ได้สัมผัสกับดิน สัมผัสต้นไม้ใบหญ้า มันทำให้ผมรู้ตัว ว่านี่แหละสิ่งที่ผมต้องการ ไร่อสัญนี่คือสถานที่ๆผมหามานาน ชีวิตเรียบง่ายเป็นนายของตัวเองไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร ผมรักที่นี่”
เสียงยามที่เขาพูดถึงไร่อสัญเต็มไปด้วยความภูมิใจ
“ผมมีความสุขกับงานที่ผมรัก แม้ว่าจะอยู่กลางแดดจ้า ไม่ได้ใส่สูทผูกไทน์ในตึกหรูก็ตาม”
ความสุขกับงาน...คงจะเป็นจริงดังเขาว่าเพราะประกายตาของระเด่นมนตรีทอประกายสดใสยามอยู่ในไร่


“คุณคิดว่าชีวิตอย่างนี้น่ารังเกียจไหมล่ะ”
เขายื่นหน้ามาใกล้จนบุษบาผงะไปเล็กน้อย
“คุณคิดว่ายังไงครับคุณบุษบา”


“ฉันก็คิดว่าคุณน่าจะมีความสุขนะคะ”
ใจเจ้าเอ๋ย...เต้นเป็นรัวกลอง จนบุษบากลัวว่าจนตรงหน้าจะพลอยได้ยินเสียงหัวใจหล่อนไปด้วย
“แล้วคุณคิดว่าถ้าคุณอยู่ที่ไร่นี้ต่อไปคุณจะมีความสุขไหมครับคุณบุษบา”
ไม่มีคำตอบจากบุษบาเพราะริมฝีปากบางถูกทาบทับด้วยปากเขา เนิ่นนาน...และอบอุ่น


“นายระเด่น!”
บุษบาผลักเขาออก มือขาวลออแตะริมฝีปากตนเองอย่างตะลึงงัน
“คุณทำอย่างนี้ทำไม! หมายความว่ายังไง!”
สาวตัวโย่งเสียงสั่น ขณะที่คนจาบจ้วงริมฝีปากหล่อนเมื่อครู่ ยืนหายใจแรงเหมือนอดกลั้นอะไรสักอย่าง


“ผมก็หมายถึงตามความหมายของจูบเมื่อกี้นั่นแหละ คุณจะไม่รู้เลยเหรอว่าผมหมายถึงอะไร”
ดวงตาเขาวาวท่ามกลางแสงจันทร์
“ผมจะไม่ขอโทษด้วย เพราะผมทำจากความรู้สึกในใจ”


บุษบาไม่ฟังเขาเสียแล้ว หล่อนวิ่งกลับเข้าไปในห้องปิดประตูดังปัง ความร้อนติดอยู่ริมฝีปากเป็นดังเหล็กร้อนในความรู้สึก
ความหมายของจุมพิตระหว่างชายหญิง
ไม่ใช่ญาติพี่น้อง
ไม่ใช่เพื่อน
ไม่ใช่คนรัก
ถ้าเช่นนั้นจะหมายถึงอะไรเล่า ...หากมิใช่ความหมายเกี่ยวกับคำว่ารัก
ผู้ชายจุมพิตผู้หญิงก่อนนั่นอาจจะหมายถึง...ผมรักคุณ!
บุษบาครุ่นคิดเกี่ยวกับการจาบจ้วงของเจ้าของไร่หัวโล้นจนลืมสังเกตว่าโทรศัพท์มือถือของตนมีข้อความสายไม่ได้รับจากพฤษ์สิบห้าข้อความ


ระเด่นมนตรีกุมศรีษะนึกเข่นเขี้ยวความใจร้อนของตัวเองที่เผลอจูบบุษบาเสียได้ พระจันทร์มีอาถรรพ์ต่อความรู้สึก เขาเพิ่งจะเชื่อวันนี้นี่เอง
คืนนี้บุษบาดูสวยน่าทนุถนอม หล่อนนั่งฟังเขาเล่าเรื่องไร่อสัญอย่างภาคภูมิใจ เพราะฤทธิ์ของไวน์ทำให้ใบหน้านวลมีสีชมพูระเรื่อ
ริมฝีปากแดงอิ่มเพราะซับสีของไวน์จนเขาพลั้งเผลอ

***** Wine comes in at the mouth
And love comes in at the eye;
That's all we shall know for truth
Before we grow old and die.
I lift the glass to my mouth,
I look at you, and I sigh.


แต่ก็ดีเหมือนกันที่หล่อนรู้ความรู้สึกเขา ระเด่นมนตรีจะได้ทำอะไรได้สะดวกขึ้น ผู้ชายที่ตกอยู่ในห้วงความรักนี่ช่างอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน


เดียร์แอบมองผู้เป็นพ่อเก็บอุปกรณ์การดื่มไวน์ออกจากโต๊ะที่ระเบียง เด็กชายเห็นตอนระเด่นมนตรีจูบบุษบาด้วย คนตัวเล็กนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองและแบรนดอนยามลับตาบุษบา
‘เดียร์ เบ๊ตตี้เขาใครกันแน่’
‘ก็พี่เลี้ยงของเดียร์ยังไงละครับ’
เดียร์ตอบเสียงใสแจ๋ว


‘ไม่ใช่’
นักร้องหนุ่มทำหน้ายุ่ง
‘ฉันหมายถึงแล้วสำหรับพ่อเธอล่ะ’
‘หมายถึงอะไรฮะเดียร์ไม่เข้าใจ’
เด็กชายทำหน้างง
‘เดียร์รู้แต่ว่าเดียร์ชอบพี่บุษบา แด๊ดดี้ก็ชอบด้วย ทำไมฮะความชอบมีการแบ่งชั้นด้วยเหรอ’


แบรนดอนส่ายศรีษะแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
‘ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเดียร์ ตอนนี้เดียร์ยังเป็นเด็กไว้เมื่อไหร่กลายเป็นบิ๊กกาย(Big guy)เมื่อไหร่ก็จะเข้าใจ’
จริงสินะ...เดียร์ยังเด็กอยู่จึงไม่รู้สาเหตุว่าทำไมแด๊ดดี้จูบพี่บุษบาแล้วอารมณ์ แต่ตัวคนโดนจูบวิ่งหนีเข้าห้องปิดประตูเงียบ


******จบบทที่ 17

__________________________________

1.ดีีีีแคนเตอร์(Decanter)ขวดทรงกลมคอยาวใช้สำหรับเปลี่ยนถ่ายไวน์แดงที่มีอายุการเก็บรักษานาน
2. เฮ้าท์ไวน์(House Wine) เป็นชื่อเรียกไวน์ที่มีคุณลักษณะไกล้เคียงกับไวน์ที่ผลิตจากพื้นที่ๆมีชื่อเสียงของประเทศต่างๆเช่น แบบเบอร์กันดี(Burgundy)ของฝรั่งเศส แบบไรน์ไวน์(Rhine Wine)ไวน์ขาวเขตลุ่มน้ำไรน์ในเยอรมันนี โดยกฏหมายของประเทศที่ตั้งชื่อไวน์ในลักษณะนี้กำหนดด้วยว่าจะต้องแจ้งเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ผลิตและชื่อของไวน์ที่ไม่ซ้ำกับไวน์ที่มีชื่อเสียงนั้นด้วย
3. บอร์โด(Bordeaux)แคว้นบอร์โดของฝรั่งเศสมีชื่อเสียงในเรื่องการทำไวน์
4. เบอร์กันดี(Burgundy)แคว้นเบอร์กันของฝรั่งเศสมีชื่อเสียงในเรื่องการทำไวน์
5.A DRINKING SONG แต่งโดย W.B. Yeats





 

Create Date : 05 มิถุนายน 2552
3 comments
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 19:02:51 น.
Counter : 375 Pageviews.

 

กลับมาเสียทีคุณระเด่นมนตรี หายไปเสียนาน

 

โดย: candy IP: 119.46.61.233 5 มิถุนายน 2552 20:25:49 น.  

 

แวะมาทักทาย

ส่วนใหญ่ตามอ่านใน sirinda อยู่จ้า

มีความสุขทุกวันนะจ๊ะ

 

โดย: มังกรเขียวหัวยุ่ง (cruduslife ) 6 มิถุนายน 2552 2:11:03 น.  

 

อ่านทันแ้ล้วครับ เย้

นายระเด่น ใจร้อนจนได้เรื่องทุกที สมควรที่จะโดนบุษบาโกรธจริงๆ
อยู่ดีๆ ไปจูจุ๊บเขาซะงั้น แถมไม่ขอโทษอีก อิๆ

ช่วงเดียร์คุยกับแบรนดอน ผมอ่านแล้วงงๆ หลายประโยคครับ คำไหนตกหล่น
ไปหรือเปล่าเอ่ย เช่น

‘เดียร์ เบ๊ตตี้เขาใครกันแน่’
‘ก็พี่เลี้ยงของเดียร์ยังไงละครับ’
เดียร์ตอบเสียงใสแจ๋ว

‘ไม่ใช่’
นักร้องหนุ่มทำหน้ายุ่ง
‘ฉันหมายถึงแล้วสำหรับพ่อเธอล่ะ’
‘หมายถึงอะไรฮะเดียร์ไม่เข้าใจ’
เด็กชายทำหน้างง
‘เดียร์รู้แต่ว่าเดียร์ชอบพี่บุษบา แด๊ดดี้ก็ชอบด้วย
ทำไมฮะความชอบมีการแบ่งชั้นด้วยเหรอ’

กับตรงนี้

ทำไมแด๊ดดี้จูบพี่บุษบาแล้วอารมณ์ แต่ตัวคนโดนจูบวิ่งหนีเข้าห้อง

อารมณ์?

ช่วยเก็บตัวสะกด ลายเซ็น ไม่มี ต์ กับ (เน็ค)ไท ไม่มี น์ ครับ

ไม่แน่ใจตรงเฮาส์ไวน์นิดหน่อยครับ แถวบ้านผมนี่ เฮาส์ไวน์จะเป็นไวน์ที่อยู่ใน
เมนูของร้านอาหาร (หรือบางทีก็เป็นร้านเครื่องดื่ม) แต่จะราคาถูกกว่ารายการ
อื่นๆ คือไม่ใช่ระดับหรูหรา เป็นระดับกลางๆ ที่ทางร้านเขาเลือกมาแล้วว่ารส
ชาติใช้ได้ ราคาไม่แพง บางทีแต่ละวันอาจจะเป็นคนละยี่ห้อ คนละขวดกัน
ก็ได้ครับ

ค้นใน //www.answers.com/topic/house-wine ก็ได้ข้อมูลคล้ายกัน
เลยเก็บมาฝากครับ

ป.ล. ชอบตอนที่บุษบาอธิบายเหตุผลให้แบรนดอนฟังมากๆ
//ดาว


 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 7 มิถุนายน 2552 17:40:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.