บทที่ 15 การกลับมาของเก็จลดา
บทที่ 15 การกลับมาของเก็จลดา

ห้องขนาดใหญ่ที่มีเพียงแสงเทียนไม่กี่เล่มให้แสงสว่างนั้นทำให้เก็จลดารู้สึกกลัวขึ้นมา ร่างสมส่วนทรุดนั่งอยู่บนพื้นที่ปูด้วยพรมสีดำ รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ คล้ายกลิ่นเทียนหอมผสมกับพืชใต้น้ำที่อยู่สุดลึก ตรงหน้าเธอเป็นบัลลังก์ขนาดใหญ่ก่อนที่แสงไฟทั่วทั้งห้องจะสว่างวาบขึ้นด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นตามแรงกำหนดของอสุนี

หญิงสาวหันซ้ายขวาด้วยความตกใจในขณะที่ประตูของห้องทำพิธีถูกเปิดออกกว้าง นาคาทั้งสามตนผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทค่อยๆ ก้าวเข้ามาอย่างเนิบนาบ

“ขอต้อนรับสู่นาคเสน...เก็จลดา” อำภุชพูดพร้อมจุดยิ้ม เก็จลดายันกายลุกขึ้นยืน จ้องมองบุคคลทั้งสามตรงหน้า อำภุชนั้นเธอรู้จักดี แต่ชายร่างสูงใหญ่และหญิงสาวร่างซูบตอบสองคนนี้เธอไม่รู้จัก

วาสิตาเพ่งมองดวงหน้าคมคายของสตรีตรงหน้า สองตาสีดำสนิทประสานกันแน่นิ่งก่อนที่องครักษ์อันดับหนึ่งแห่งนาคเสนจะคล้ายยิ้ม

“เธอพร้อมรึยังที่จะเป็นสาวกของนาคเสน” น้ำเสียงเย็นเยียบที่เอ่ยถามออกไปทำให้เก็จลดาต้องย่นคิ้ว อำภุชก้าวขาออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว

“เป็นเหมือนพวกเราไงล่ะเก็จลดา เธออยากเป็นไม่ใช่เหรอ?...” จบคำ ร่างสูงใหญ่ก็ถอยห่างจากคนข้างกายทั้งสองก่อนคลายๆ กลายร่างเป็นนาคสีดำยาวใหญ่น่ากริ่งเกรง เก็จลดาจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา ความร้อนแล่นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หัวใจเต้นโครมครามแทบจะหลุดออกมาจากอก นั่นคือตัวตนของเธอ...มันคือตัวเธอ...

วาสิตาคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ย “ไปนำตัวเธอเข้ามาได้แล้วอสุนี” จบคำร่างสูงใหญ่ของอสุนีก็เลือนหายออกไปจากห้องทำพิธีก่อนที่เก็จลดาจะได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของหญิงสาวดังเข้ามาใกล้ อำภุชค่อยๆ คืนร่างเดินเข้าหาเธอ

“มาทางนี้” นาคหนุ่มร่างยักษ์บอกพร้อมกับดึงตัวเก็จลดามาทางซ้ายของห้องโถงใหญ่ วาสิตาเดินละลิ่วตรงสู่บัลลังก์ตรงหน้า ร่างเพรียวผอมทรุดนั่งลงอย่างองอาจ ดวงตาสีดำอันทรงอำนาจเพ่งมองประตูบานหนาที่ค่อยๆ เปิดออก อสุนีเอามือจับท้ายทอยของนาคสาวผู้ทำผิดกฎของนาคเสนไว้ก่อนโยนเธอลงกลางพื้นห้อง

นิทราหอบหายใจแทบพรมสีดำ ดวงเนตรสีดำไหวระริกด้วยความหวาดกลัวกับชะตากรรมที่ตัวเองจะได้รับ สองตาเพ่งมองมายังเก็จลดาที่ยืนจ้องเธอไม่วางตา ความเคียดแค้นชิงชังในดวงเนตรของนิทราทำให้เก็จลดาต้องขนลุกซู่

“มีอะไรจะพูดมั้ย?” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ร้องถามก่อนที่จำเลยจะค่อยๆ เบือนหน้าไปมองเธอ

“ท่านจะทำอะไรข้า...ข้าก็แค่ไปช่วย...”

“ไปช่วยพวกนาคสีเขียวให้ทำลายกันเอง มันใช่เรื่องของนาคเสนเหรอ?” วาสิตาแทรกเสียงห้วน อีกฝ่ายได้แต่กัดฟันอย่างขมขื่น “รีบจัดการเถอะอำภุช อสุนี จะได้หมดๆ เรื่องไป” จบคำนาคสีดำร่างใหญ่ทั้งสองก็ตรงเข้ายึดร่างของนิทราไว้แน่น นาคสาวพยายามขัดขืนสุดชีวิตแต่ก็มิอาจต้านทานเรี่ยวแรงอันมหาศาลของนาคองครักษ์ทั้งสองได้

วาสิตาลุกจากบัลลังก์และสืบเท้าเข้าไปใกล้ในขณะที่นิทราแหงนมองดวงหน้าของผู้เป็นนาย เรียวมือเนียนขาวยกขึ้นเหนือหัวผู้เป็นจำเลยก่อนที่นิทราจะรู้สึกถึงอ่อนแรงประหนึ่งพลังชีวิตกำลังถูกดูดออกจากร่างกาย ไอสีดำลอยอยู่เหนือศีรษะเธอใต้มือของวาสิตาจากก้อนเล็กๆ ค่อยๆ หลอมรวมเป็นก้อนใหญ่จนกระทั่งพลังชีวิตถูกดูดออกมาจนหมดนาคสาวก็ล้มฟุบอ่อนระทวยสิ้นใจไป

เก็จลดาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออย่างไม่ขยับเขยื้อนในขณะที่อำภุชตรงดิ่งไปยังเธอและพาร่างให้มาประจันหน้ากับวาสิตา

นาคสาวผู้ทรงฤทธานุภาพชูพลังชีวิตที่ดูดออกมาจากร่างนิทราขึ้นสูงก่อนจะดันมันเข้าใส่กระหม่อมของเก็จลดา...


แม้จะรู้สึกไม่สบายใจแต่กลิ่นจันทร์ก็จำต้องปล่อยให้ศรัณย์กลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ต่ออย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มพาชลธิชาโดยสารรถทัวร์มุ่งสู่เมืองหลวงในยามเย็นโดยที่ภุชคินทร์บอกว่าจะให้สมุนของอรวินทร์ตามไปคอยรักขาแต่ทว่าก็เกิดอุปสรรคขึ้นจนได้

ภายหลังที่รู้ว่านิทราหายไปปริตรก็กระวนกระวายอยู่พักใหญ่จนเมื่อได้รู้จากนาคคนสนิทว่าเธอถูกพวกองครักษ์แห่งนาคเสนเอาตัวกลับไปยังดินแดนอีสานเหนือ

เมื่อนาคหนุ่มปราศจากคนที่คอยอยู่เคียงข้างและเป็นหูเป็นตาชั้นดีอย่างเช่นนิทรา เขาก็เหมือนหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต ปริตรกลับมายังบ้านริมโขงของกลิ่นจันทร์อีกครั้ง แต่ที่นั่นก็มีภุชคินทร์และนาคอีกจำนวนหนึ่งคอยอารักขา เขาจึงไม่อาจเข้าไปต่อกรกับอีกฝ่ายได้ และไม่แน่อรวินทร์อาจจะมอบมณีนาคสวาทให้ภุชคินทร์ถือไว้ป้องกันตัวก็เป็นได้

แต่สิ่งที่ทำให้ความหวังในการทำลายล้างศัตรูร้ายของเขานั่นก็คือ... ศรัณย์และชลธิชาได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว

เมื่อทัวร์คันใหญ่ผ่านเขตมณีนิลได้ไม่ถึงห้าสิบเมตรเครื่องยนต์ก็เกิดดับลงกระทันหัน ศรัณย์หันมองซ้ายขวาขณะที่จับมือชลธิชาไว้แน่น

“ไม่เป็นไรนะศรัณย์...ก็แค่รถดับเท่านั้นเอง” หญิงสาวบอกกับเขาเสียงค่อยแต่ทว่าชายหนุ่มกลับย่นหัวคิ้วจนแทบจรดกัน เขาได้กลิ่นของนาคาชัดเจนเสียจนรู้สึกกลัว... พวกมันตามเขามา

ทันใดนั้นเองผู้โดยสารคนหนึ่งก็กรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นงูใหญ่ยักษ์เลื้อยผ่านหน้ารถหายเข้าชายป่าข้างทางไป คนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในอาการตื่นกลัว ชายหนุ่มยึดแขนของหญิงสาวไว้แน่น ต้องรีบพาชลธิชาออกจากรถคันนี้ให้เร็วที่สุด

ญาดาวีกดรับสายโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นชลธิชา “ว่าไงชล...” เอ่ยทักเสียงหวานแต่ทว่าอีกคนกลับตอบกลับมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ

“วี...ชั้นกำลังจะไปที่มณีนิล ตอนนี้เธออยู่ที่มณีนิลรึเปล่า?”

“อยู่...อ้าว เธอกลับกรุงเทพฯกับศรัณย์วันนี้นี่” ญาดาวีร้องถามอย่างสับสน

“คือว่า...พวกนั้นมันตามเรามาน่ะ ศรัณย์กำลังพาชั้นเข้าไปที่มณีนิล...”

“พวกนั้น... นาคพวกนั้นน่ะเหรอชล...ฮัลโหล ชล.. ฮัลโหล...” เมื่อปลายสายถูกตัดไปญาดาวีก็ผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวสาวเท้าลงจากบ้านตรงไปยังรถยนต์พร้อมกับโทร.หาวายุ


ศรัณย์รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่เบื้องหลังของบางอย่างที่ใกล้เค้าเข้ามาเรื่อยๆ มือหนายังคงกุมเรียวมือคนรักไว้แน่น กระทั่งมาถึงขอบฝั่งหนองน้ำใหญ่ในที่สุด ภาพบางอย่างแล่นปราดเข้าสู่มโนจิตของชลธิชาอีกครั้ง

นาคสีเขียวร่างสูงทะมึนแผ่ผังพานสูงเสียดฟ้า ดวงตาแดงก่ำน่ากลัว คมเขี้ยวลดหลั่นกันคล้ายใบเลื่อย...

ทันใดนั้นเองนาคสีเขียวตนหนึ่งก็พุ่งกายใส่ร่างศรัณย์จนชายหนุ่มกระเด็นล้มตกสู่หนองน้ำที่เย็นเฉียบ ชลธิชาหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ นาคตนนั้นกระโจนลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

ศรัณย์พยายามตั้งสติให้มั่น เมื่อร่างกายได้สัมผัสไอเย็นของธาราก็เหมือนกับว่าพลังบางอย่างได้ซึมซับเข้าสู่ร่างกาย ดวงตาที่มองเห็นพร่าเลือนค่อยๆ แลเห็นทุกอย่างใต้น้ำชัดเจนขึ้น และนั่น...นาคตนหนึ่งกำลังตรงดิ่งมาหาเขา
ร่างแข็งแกร่งเบี่ยงตัวหลบได้ทันก่อนจะเอาทั้งร่างโอบคอของปริตรในร่างนาคาไว้ มีอหนากดลงไปที่ซอกคอในขณะที่อีกฝ่ายใช้หางฟาดมนุษย์หนุ่มด้วยความเจ็บปวด


“ตาได้กลิ่นนาคค่ะ...” ศรุตาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ขณะนั่งชมดาวบนระเบียงกว้างแห่งวิมานรักตปักษ์ ศราวินหันมามองครุฑสาวด้วยความตกใจในขณะที่ตรีดาวเดินออกไปสูดอากาศเย็นที่ลอยมาปะทะ

กลิ่นนาคจริงๆ ด้วย... “อยู่ที่หนองมณีนิล” ประมุขแห่งรักตปักษ์รำพึงเสียงค่อย เอี้ยวตัวหันกลับมาหาผู้เป็นสมุน “ไปดูกันว่ามันเป็นใคร?” จบคำปีกสีแดงฉานก็ค่อยๆ งอกออกมาจากแผ่นหลังแบบบาง ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้นหันไปหาศราวินที่ยืนอยู่อีกฟาก “ดูแลที่นี่ให้ดีนะศราวิน เดี๋ยวพวกเรากลับมา” จบคำ ปักษาสีแดงร่างสูงใหญ่สองตนก็กระโจนลงจากระเบียงกว้าง กวักปีกบินสู่หนองมณีนิลด้วยความเร็วสูง

ศรัณย์เหวี่ยงร่างนาคหนุ่มจนกระเด็นไปยังอีกฟากของโค้งน้ำก่อนที่เขาจะรีบกระเสือกกระสนว่ายน้ำเข้าฝั่งมาหาคนรักที่ยืนรออยู่อย่างใจเต้น “ไปกันเถอะ...” ชลธิชาประคองร่างคนรักไว้ รีบสาวเท้ากลับไปยังทางเดิมที่จากมา แสงไฟของบ้านคนส่องสว่างอยู่อีกไม่ไกล แต่ทว่าพลันนั้นเองเสียงกรีดร้องของปักษาสองตนก็ทำให้ศรัณย์ต้องแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กรงเล็บแหลมคมจิกลงยังบ่าของเขาอย่างแรงพร้อมกับพาทั้งร่างขึ้นสู่ห้วงเวหาในขณะที่ชลธิชาก็ถูกศรุตาผู้อยู่ในร่างนางครุฑโฉบขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน

“ศรัณย์...” หญิงสาวกรีดร้องเรียกหาชายหนุ่มด้วยความตกใจแต่ก็ได้รับเสียงร้องโอดครวญของเขากลับมาแทน ดวงตาสีแดงก่ำ จะงอยปากอันแหลมคมและปีกสีแดงที่แผ่ออกกว้างไกลหลายสิบเมตรทำให้ทั้งคู่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้แค่ว่าตอนนี้อยู่สูงเหนือผืนดินและนกยักษ์ทั้งสองตนนี้กำลังพาตนไปที่ไหนสักแห่ง


“เรามาช้าไป...” วายุอุทานอย่างเสียดายก่อนกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ
“พวกรักตปักษ์จับพวกเขาไปแล้ว”

“รักตปักษ์...พวกครุฑน่ะเหรอคะ?” ญาดาวีลากเสียงอย่างตกใจ “แล้วพวกเขาพาศรัณย์กับชลไปที่ไหน?” คำถามนั้นทำให้วายุต้องหันมายกยิ้มมุมั่น

“คฤหาสน์รักตปักษ์ไงครับ...เราต้องรีบไปที่ไหนก่อนที่ตรีดาวจะเอาตัวสองคนนั้นไปขังไว้ที่อื่น” จบคำร่างสูงก็สตาร์ทรถมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์หลังงามอันคุ้นเคยโดยมีญาดาวีนั่งเคียงข้าง แต่เมื่อมาถึงเธอและเขาต่างก็ต้องแปลกใจเพราะมีรถยนต์สีดำคุ้นตาคันนึงจอดอยู่หน้าบ้าน

“นี่มันรถยัยดานี่...” อุทานเสียงเบาขณะสาวเท้าลงจากรถพร้อมกับวายุ แต่ทว่าชายหนุ่มในชุดสีดำกลับหยุดกึกก่อนสูดไอเย็นเข้าปอดช้าๆ

“ผมได้กลิ่นกัณหาโคตมะ...”

“อะไรนะคะ?” ญาดาวีหันหลังกลับมาหาชายหนุ่ม จ้องหน้าเขาจริงจัง

“มีนาคสีดำมาที่นี่...และกำลังอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น” คำตอบที่ได้ยินทำเอาญาดาวีเบิกตากว้าง “รีบเข้าไปกันเถอะ” เขาบอกเสียงขรึมก่อนกระชับมือหญิงสาวไว้แน่น รีบตรงสู่ประตูคฤหาสน์บานใหญ่ที่เปิดแง้มไว้โดยผู้บุกรุกคนก่อน

“ศราวิน...” ชลธิชาจ้องมองสตรีที่ยืนเด่นอยู่หน้าเธอด้วยความตกใจ ศรุตาจัดการมัดเธอกับคนรักไว้กับต้นเสาในห้องลับแห่งคฤหาสน์หลังงามที่ไม่มีใครล่วงรู้

หญิงสาวที่อยู่ในชุดคลุมสีแดงฉานเหมือนนางครุฑทั้งสองก้มมองผู้เป็นสหายเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ชลธิชา... ศรัณย์”

“นี่เธอรู้จักสองคนนี้ด้วยเหรอ? มันกำลังจะถูกนาคตนนึงทำร้าย” ศรุตาหันไปหาศราวินที่ยืนหน้าถอดสีก่อนหันมาหาชายหนุ่มและหญิงสาวที่ถูกพวกตนมัดไว้ “ทำไมนาคตนนั้นจะต้องทำร้ายพวกแกด้วย...” ครุฑสาวลากเสียงก่อนจะได้คำตอบเมื่อดวงตาเขียวคล้ำเบิกมองขึ้นสบสายตาตน...

“แกเป็นใคร...” ตรีดาวเดินปรี่เข้าไปหาก่อนทรุดนั่งลงต่อหน้าศรัณย์ มือเรียวหากแต่แข็งแกร่งจับโครงหน้าขมเข้มพร้อมกับจิกปลายเล็บลงยังผิวหน้าเบาๆ

“เขาชื่อศรัณย์...บ้านอยู่โขงเจียม พ่อชื่อภุชคินทร์ ส่วนแม่...ชื่อกลิ่นจันทร์” ศราวินเอ่ยบอกผู้เป็นนาย นามที่ได้ยินทำให้ดวงตาสีน้ำตาลแดงของประมุขแห่งรักตปักษ์ต้องเบิกโพลง

“ลูกชายของนังกลิ่นจันทร์งั้นเหรอ?” ตรีดาวแสยะยิ้มเยือกเย็น พวกมันมาให้ฆ่าถึงที่แบบนี้เธอก็จะได้ไม่ต้องเสียแรงออกไปตามหาให้เหนื่อยเปล่า ปักษาสาวในคราบอาภรณ์สีแดงหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนหันไปสั่งศรุตา

“ไปปล่อยข่าวว่าเราจับลูกชายของภุชคินทร์ไว้ได้ ถ้าพวกนิลนาคอยากได้ตัวทายาทคืนก็ให้ส่งตัวนางกลิ่นจันทร์พร้อมกับมณีนาคสวาทมาแลก” ศรุตารีบรับคำก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นมาในทันใด

“มีผู้บุกรุก...” หันไปหาศราวินก่อนที่อีกฝ่ายจะถอยกายออกจากห้องลับไปเพื่อจัดการกับผู้ที่อาจหาญบุกรุกเข้ามาในวิมานรักตปักษ์แห่งนี้


ศราวินก้าวเดินออกจากห้องสู่โถงใหญ่อย่างระมัดระวัง ทั่วทั้งบริเวณมืดสนิทจนอีกฝ่ายมิอาจมองเห็นบริเวณได้โดยเป็นจังหวะที่มือเย็นยะเยือกจะตรงเข้าบีบรัดลำคอเธอจากด้านหลัง

หญิงสาวดิ้นพรวดพราดสุดชีวิตในขณะที่ปลายมือแข็งแกร่งนั้นบีบคอหอยไว้แน่น ดวงตาสีดำสนิทของเก็จลดาดุดันคล้ายมัจจุราช กระแสพิษที่ไหลผ่านปลายนิ้วตรงเข้าสู่ร่างกายของศราวินทีละนิด

กระทั่งอีกฝ่ายสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด ศราวินหันมองซ้ายขวาด้วยความตื่นกลัว คงเห็นแต่เพียงความมืดมิดเช่นเดิม ร่างกายเริ่มรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาเพราะพิษที่ได้รับ

“อีกไม่นาน...เธอก็จะรู้สึกร้อนไปทั้งตัว” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของร่างระหงที่ก้าวออกมาจากความมืดทำให้ศราวินต้องเบิกตาโพลง หญิงสาวในอาภรณ์สีดำสนิทตรงหน้าทำให้เธอต้องขบกรามแน่น

“แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก พิษที่เข้าไปอยู่ในร่างกายเธอจะหายไปเอง แต่มันจะฝากแผลเป็นไว้เตือนใจเธอ...”

“แกต้องการอะไรเก็จลดา มาที่นี่ทำไม?” ศราวินถอยหลังหนึ่งก้าว ทั้งร่างเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวราวถูกไฟสุม

“แล้วพวกแกจับตัวศรัณย์มาทำไม ต้องการอะไรจากตัวเค้า” หญิงสาวผู้ได้รับพลังชีวิตของนิทราเข้าไปอย่างเต็มที่เชิดมอง พละกำลังที่เพิ่มขึ้นทำให้เก็จลดาไม่เคยคิดจะกริ่งเกรงพวกครุฑอีกต่อไป

“มันเป็นเรื่องระหว่างรักตปักษ์กับนิลนาค เธออย่ามายุ่งดีกว่า...”

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ถอยไปสิ เพราะนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอเหมือนกัน” สายฟ้าที่แลบแปลบด้านสะท้อนให้เห็นสตรีสองร่างที่ยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างไม่มีฝ่ายไหนจะยอมแพ้กันอย่างง่ายๆ

“ชั้นเป็นส่วนหนึ่งในรักตปักษ์แล้ว...” ศราวินสูดหายใจฮึดฮัด กรงเล็บสีแดงเข้มนั้นพร้อมที่จะฉีกร่างเก็จลดาออกเป็นชิ้นๆ

กัณหาโคตมะที่ทรงอำนาจจ้องมองศัตรูเบื้องหน้าก่อนนึกไปถึงความทรงจำของนิทราที่เธอได้เห็นเมื่อครั้งอดีตกาล ดวงตาสีดำอำมหิตจ้องหน้าศราวินก่อนแสยะยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเธอก็เป็นศัตรูชั้นเหมือนกัน เพราะชั้นก็คือส่วนหนึ่งของนาคเสน กัณหาโคตมะที่เคยฆ่าประมุขแห่งรักตปักษ์จนสิ้นชีวิตมาแล้ว...”



Create Date : 24 กันยายน 2554
Last Update : 24 กันยายน 2554 12:08:52 น.
Counter : 454 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
กันยายน 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
21
22
23
25
26
28
29
30
 
 
MY VIP Friend