บทที่ 4 ดวงตาของเก็จลดา
บทที่ 4 ดวงตาของเก็จลดา

ภายหลังจากได้กราบพระทั้งเก็จลดาและญาดาวีต่างก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษมีเพียงชลธิชาเท่านั้นที่ยังคงหน้าซีดเซียวอยู่เหมือนเดิม ญาดาวีเองก็สังเกตเห็นเพียงแต่ขอให้กลับถึงบ้านก่อนแล้วค่อยซักถามเพื่อนสาวก็ยังไม่สาย

สารถีสาวเลี้ยวรถออกมาจากเขตของวัดป่า มุ่งหน้ากลับบ้านพักของนางพิมพ์ดาวที่อยู่ห่างออกไปอีกร่วมสิบกิโลเมตร แต่เมื่อขับออกได้ราวครึ่งทางหางตาก็พลันเหลือบไปเห็นยอดหลังคาสีแดงที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาเตี้ยๆ โดดเด่นเป็นสง่า เคยได้ยินคุณป้าพิมพ์ดาวเล่าว่านั่นคือคฤหาสน์รักตปักษ์ที่เจ้าของตัดสินใจขายทิ้ง

“ก่อนกลับเราแวะไปดูคฤหาสน์มหาเศรษฐีของแถบนี้ก่อนมั้ย...” ญาดาวีเสนอขึ้น เก็จลดาที่ทรุดนั่งอยู่เบาะหลังยื่นหน้ามาหา

“คฤหาสน์ที่ไหนอีกล่ะ ยัยชลยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วยนะ” คนที่ถูกเอ็ดชำเลืองตามาทางหญิงสาวข้างๆ

“ไม่เป็นไรหรอกวี ไปดูแป๊ปเดียวก็ได้...ได้มาต่างจังหวัดทั้งทีแล้วก็น่าจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นบ้าง” ชลธิชาปั้นยิ้มส่งให้ ญาดาวีได้ใจคลี่ยิ้มกว้างก่อนเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์รักตปักษ์อันเลื่องชื่อ

รถยนต์คันงามวิ่งฝ่ากระแสลมแรงขึ้นสู่เนินเขา ยิ่งเข้าใกล้คฤหาสน์หลังงามมากขึ้นเท่าไหร่เก็จลดาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น คล้ายกับว่าอากาศในรถมันเหลือน้อยลงที ความกระปรี้กระเปร่าที่มีก็เหมือนหลุดหายไปไหนก็ไม่รู้

ชลธิชารู้สึกปวดขมับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหลับตาลงภาพนกตัวใหญ่ที่มีปีกสีแดงฉานก็ฉายวาบขึ้นในห้วงคำนึง นกสีแดงขนาดใหญ่บินลงมาจากฟากฟ้าก่อนที่มันจะร่อนลงสู่ลานกว้างของคฤหาสน์หลังใหญ่และค่อยๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงาม ชายหนุ่มผู้ที่ยอมกรีดเลือดให้รินรดหลวงพ่อมณีนิลคนนั้น...

“ถึงแล้ว...” ญาดาวีร้องบอกเสียงดัง แต่เมื่อหันมาด้านข้างก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ชลธิชาหอบหายใจเหมือนจะเป็นลมอีกครั้งส่วนเก็จลดาก็เอามือกุมขมับเหมือนคนกำลังปวดหัวอย่างแรง

“เป็นอะไรรึเปล่า...” สารถีสาวสะบัดหน้าไปมาก่อนที่เก็จลดาจะพรวดพราดลงจากรถ ดวงตาสีดำสนิทแหงนมองฟากฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม พลันนั้นนกตัวใหญ่ก็บินผ่านศีรษะไปอย่างฉิวเฉียด

“ไอ้นกบ้า...” กำมือแน่นอย่างขุ่นเคือง ชลธิชาพยายามประคองตัวเองลงมาจากรถ ภาพเหตุการณ์ในอดีตแล่นเข้าสู่มโนจิตของเธออีกครั้ง

กลิ่นจันทร์เดินเคียงคู่กับชายหนุ่มผู้กลายร่างมาจากนกสีแดงตัวใหญ่ เขายิ้มให้เธอและเธอก็ยิ้มให้เขา ทั้งสองเดินเล่นกันไปในสวนของคฤหาสน์หลังงามอันมีนามว่า...รักตปักษ์

ญาดาวีเดินนำสองสาวไปยังประตูที่เปิดแง้มไว้ คิดว่าช่วงนี้คงมีมหาเศรษฐีหลายคนคอยเทียวมาเชยชมคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ผู้ดูแลวัยหนุ่มอนุญาตให้สามสาวได้ล่วงผ่านอาณาเขตอันกว้างใหญ่เข้าไป ก่อนที่กลิ่นสาปบางอย่างจะลอยผ่านเข้ามาปะทะจมูกของเก็จลดาจนต้องทำหน้าเหย

“เหม็นหืนยังไงไม่รู้ กลิ่นเหมือนพวกนก...” บุ้ยปากว่าขณะที่ญาดาวีเอาแต่มองส่วนนั้นส่วนนี้ของคฤหาสน์ พลันนั้นชลธิชาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวรูปร่างสง่างามยืนเด่นอยู่ทางด้านซ้ายของบ้านหลังใหญ่ ชุดสีชมพูอ่อนพลิ้วไหวตามสายลมเย็นๆ ที่ลอยพัด ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ทำให้เธอดูทั้งสวยและสง่างาม

“ศราวิน...” ชื่อที่ได้ยินทำให้เก็จลดาต้องหันขวับมาอย่างตาโต อดีตเพื่อนสาวคู่อริสมัยมัธยมปลายผู้ที่เธอไม่เคยลืมผินดวงหน้ามาสบสายตาเช่นกัน สองร่างที่อยู่ห่างกันเกือบร้อยเมตรยืนจ้องมองกันแน่นิ่งก่อนที่ญาดาวีจะเหลือบมาเห็นและเอ่ยทักอีกฝ่าย

“นั่นศราวินนี่...” หลุดปากเรียกเสียงดังก่อนหันมาทำคอย่นใส่เก็จลดา หญิงสาวผู้สง่างามสาวเท้าเข้ามาหาในขณะที่เก็จลดาเดินพุ่งเข้าใส่เช่นกัน

“ไม่นึกว่าจะได้เจอเธอที่นี่...โลกมันช่างกลมเสียจริงนะ” เก็จลดาทักก่อน ดวงตาดำขลับยังคงแฝงประกายแห่งความขุ่นเคืองเอาไว้ เธอไม่มีวันที่จะญาติดีกับแม่หงส์ฟ้าผู้ทระนงตนคนนี้แน่ นางหงส์ที่ใจดำอำมหิตขอบรังแกงู...

“ฉันเองก็เหมือนกัน ตอนก้าวขาลงจากรถก็เห็นงูเลื้อยผ่านหน้า สุดท้ายก็ได้พบกับเก็จลดาจริงๆ ด้วย” ศราวินคลายยิ้มราบเรียบในขณะที่เก็จลดายืนกำมือแน่น

“ชลกับวีสบายดีเหรอ?” เชิดหน้าไปหาสองสาวด้านหลังก่อนที่ทั้งสองจะส่งยิ้มกลับมา ดวงตาคมกริบของศราวินผินมายังดวงหน้าคมคายของเก็จลดาอีกครั้งก่อนจะผิวปากและแหงนหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้าเบื้องบน

ไม่นานนักนกหงส์หยกตัวน้อยก็บินหลาลงมาเกาะไหล่ศราวินไว้ สองตาของมันจับจ้องไปยังเก็จลดาที่ยืนประจันหน้ากับผู้เป็นนาย

“พอดีว่าฉันมาดูคฤหาสน์ที่นี่น่ะ กะว่าจะซื้อไว้เผื่อได้มาพักร้อนหรือพักผ่อนช่วงปิดเทอม” ศราวินว่าขึ้นในขณะที่งูเห่าสีดำสนิทตัวนึงค่อยๆ เลื้อยออกมาจากพงหญ้ารกทึบข้างทาง

“เหรอจ้ะ...บ้านคุณป้าฉันก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน” ญาดาวีตอบกลับไป ในขณะที่ชลธิชาเริ่มสังเกตเห็นอสรพิษตัวใหญ่ที่เลื้อยออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีดำสนิทของมันประสานเข้ากับดวงเนตรของเก็จลดา หญิงสาวผู้มีสัญชาติแห่งอสรพิษจ้องลึกลงไปยังดวงตาของงูเห่าร้ายในขณะที่ชลธิชาเอื้อมมือไปสะกิดญาดาวีให้หันไปมอง

“กัดมัน...” ดวงตาสีดำสนิทตวัดมาทางร่างระหงของศราวิน งูเห่าร้ายเลื้อยเข้าไปใส่หญิงสาวก่อนแผ่พังพานหมายจะฉกกัดแต่ทว่านกหงส์หยกตัวน้อยกลับทะยานลงมาต่อกรกับงูร้ายเบื้องล่างอย่างไม่เกรงกลัว

ศราวินผงะออกด้วยความตกใจ นกตัวน้อยอ้าปากจิกลงไปยังเนื้อหนังของอสรพิษร้ายแต่สุดท้ายก็พลาดท่า คมเขี้ยวงับร่างวิหกน้อยที่ได้แต่กรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนแดดิ้นสิ้นใจไปต่อหน้าของผู้เป็นเจ้าของ... เก็จลดายิ้มเหยียดมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจในขณะที่ศราวินหันหลังไปหยิบเอาก้อนหินใหญ่มาไว้ในมือก่อนจะทุ่มมันลงใส่หัวของงูใหญ่อย่างสุดแรง...

สายลมเย็นพัดหวีดหวิวแรงขึ้น ใบไม้แห้งกรังปลิดปลิวลงจากต้นจนเกลื่อนกล่นลานหน้าคฤหาสน์รักตปักษ์ เสียงฟ้าร้องดังครืนๆ อยู่ทางทิศตะวันตก กลิ่นคาวเลือดของสกุณาและอสรพิษสองชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

ทันทีที่ถึงบ้านสามสาวก็แยกจากกันทันที ญาดาวีรีบเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายเพราะกลัวว่าไฟฟ้าจะดับ ชลธิชานอนพักอยู่ในห้องหลังจากเหนื่อยอ่อนมาทั้งวันส่วนเก็จลดานั่งเหม่อมองสายฝนที่ซัดสาดอยู่ริมระเบียงกว้าง...

“ไม่อาบน้ำเหรอชล เดี๋ยวไฟดับนะจ้ะ” ญาดาวีเปิดประตูห้องเข้ามาในสภาพชุดนอนสีขาวพลิ้วบาง ชลธิชาหยัดกายลุกขึ้นก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากหัวเตียง

“ว่าจะคุยกับศรัณย์ก่อนน่ะ แล้วค่อยอาบ...”

“อ๋อ...งั้นฉันไม่กวนแล้วจ้ะ” เจ้าของห้องคลายยิ้มก่อนปิดประตูไว้ดังเดิม ญาดาวีเดินตรงมายังส่วนกลางของบ้านที่เป็นห้องนั่งเล่นเห็นนางพิมพ์ดาวนั่งถักผ้าพันคอพร้อมกับสองหลานสาวที่นั่งทำการบ้านกันอย่างขะมักเขม้น

“คุณป้าเห็นยัยดามั้ยคะ” นางพิมพ์ดาวถอดแว่นออกช้าก่อนที่เพียงเดือนจะอ้าปากตอบแทน

“เห็นนั่งอยู่ที่ริมระเบียงน่ะค่ะ” จบคำพวงดาวที่นั่งข้างกันก็แทรกขึ้นบ้าง

“สงสัยคงนั่งเหม่อคิดถึงแฟนมั้งคะ” คำแซวของพวงดาวไม่ทำให้คนเป็นพี่หัวเราะเลยแม้แต่นิด อาจจะคงเพราะเรื่องที่จะเจรากับเพื่อนสาวนั้นเคร่งเครียดจนยิ้มไม่ออก

ญาดาวีเดินไปที่ริมระเบียง สายฝนซัดสาดเข้าเกือบจนถึงร่างหญิงสาวที่นั่งเหม่อมองสายฝนอยู่คนเดียว เก็จลดายื่นมือออกไปรับเม็ดฝนเย็นฉ่ำ ดวงตาสีดำสนิทเลื่อนลอยออกไปไกลแสนไกล...

“ทำไมแกต้องใช้ให้งูตัวนั้นเลื้อยไปกัดศราวินด้วย...” คำถามที่ได้ยินแทบจะทำให้สายฝนเย็นฉ่ำเดือดพล่านขึ้นมา ร่างปราดเปรียวหยัดกายลุกขึ้น เสื้อยืดสีเขียวคล้ำเปียกชุ่มเพราะละอองฝน

“ฉันไม่รู้ว่าแกมีความสามารถอะไรนะดา แต่ถ้าสิ่งที่แกมีแล้วมันทำให้แกเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตฉันก็รับไม่ได้เหมือนกัน”

“นี่...ญาดาวี” เก็จลดากระอึกกระอักในลำคอ กำลังจะอ้าปากเถียงกลับแต่ก็ไม่พูดอะไรไม่ออก

“เรื่องที่แกสามารถสื่อสารกับงูได้นั้น ฉันกับชลรู้มานานแล้ว...แต่ขอร้องเถอะนะ ถึงเธอจะไม่ชอบศราวินแต่ก็ไม่ควรทำแบบนั้น”

“ถ้าเธอมาเป็นฉันแล้วเธอจะรู้วี...”

“รู้อะไร บอกฉันมาสิเก็จลดา เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ...” ญาดาวีก้าวขาเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เก็จลดาสะบัดหน้าหนี สายฝนซัดกระหน่ำแรงขึ้น

“ฉันไม่รู้... รู้แค่ว่าฉันเกลียด เกลียดศราวินตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแล้ว ถ้าฉันไม่เล่นงานมัน มันก็จะหาทางเล่นงานฉัน”

“เล่นงานอะไรกันดา...เธอมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะ”

“ไม่หรอก” เก็จลดาบอกเสียงดังก่อนผินหน้ากลับมาหาญาดาวี ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเครียดเคร่งและอ่อนแรงในคราเดียวกัน

“ซักวัน...เธอจะเข้าใจ”


“ชลก็ไม่เข้าใจเหมือนกันศรัณย์ว่าทำไมพักนี้ถึงมีอาการเหนื่อยหอบบ่อยๆ” ชลธิชาลุกจากเตียงนอนก่อนเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง สายฝนได้หอบเอาไอเย็นพัดมาปะทะดวงหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นบ้าง

“ทำไมถึงไม่ไปหาหมอล่ะชล ถ้ากลับมาชลต้องให้ผมพาไปตรวจร่างกายนะครับ” ชายหนุ่มปลายสายกำชับเสียงขรึม ชลธิชาคลี่ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะเม้มแน่นชิดกันอีกครั้งเมื่อนึกถึงภาพที่เห็นในชั่วขณะที่สติดับวูบ ภาพการปรากฎขึ้นของมณีนาคสวาทและภาพของกลิ่นจันทร์กับชายหนุ่มนามว่าตรัศวินแห่งคฤหาสน์รักตปักษ์...

“ศรัณย์...” หญิงสาวเรียกชื่อคนรักแผ่วเบา ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจร้อนรุ่มออกมาทีละนิด

“ชลมีเรื่องอยากถามหน่อย” คนปลายสายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจทีนึงก่อนตอบกลับไป

“ครับ” ชลธิชาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“คือว่า...เราอยากรู้ว่าก่อนที่คุณน้ากลิ่นจันทร์จะมาสร้างบ้านที่ริมโขงน่ะ ท่านเคยอาศัยอยู่ที่อื่นก่อนมั้ย” คำถามแปลกๆ ที่ได้ฟังทำให้ศรัณย์ต้องหรี่ดวงตาเขียวคล้ำครุ่นคิด

“ก็...ไม่ทราบสิครับ ผมเองก็ไม่เคยถามคุณแม่เหมือนกัน ว่าแต่ทำไมชลถึงถามแบบนั้นล่ะครับ”

“คือ...” หญิงสาวกระอึกกระอัก รู้สึกเหมือนมีก้อนตะกั่วติดค้างอยู่ลำคอ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พอดีว่าคุณป้าของวีน่ะ ท่านเคยบอกว่ามีเพื่อนคนนึงชื่อกลิ่นจันทร์...ชลก็เลยคิดว่า...”

“คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของผม...” ศรัณย์ตอบแทนเสียงหวาน

“ใช่” ชลธิชาหลุบตาลงต่ำ เหม่อมองพื้นดินที่เริ่มเจิ่งนองเพราะเม็ดฝน

“เอาเป็นว่าถ้ากลับบ้านคราวหน้าผมจะถามให้นะครับ” ชายหนุ่มให้สัญญา ชลธิชารู้สึกสบายใจขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่ได้รู้ความจริงในวันนี้ว่าภาพที่เธอเห็นมันเป็นจริงรึเปล่า แต่อีกไม่นานหรอก... เธอก็จะรู้เสียทีว่าสิ่งที่เห็นมันก็เป็นเพียงแค่ภาพหลอนชั่วพริบตาเท่านั้นเอง

“นอนหลับฝันดีนะครับ...” ชายหนุ่มบอกเสียงหวานก่อนวางสายไป ร่างสูงใหญ่เดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายก่อนสวมชุดนอนตรงสู่เตียงสีขาวนุ่มนิ่มในที่สุด


ดวงตาสีเขียวคล้ำของศรัณย์เบิกโพลงขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาล กลิ่นของสายนทีทำให้ดวงใจที่โหยหาบ้านเกิดเต้นแรงขึ้น ปลายเท้ารู้สึกถึงความเย็นจากผืนดิน ร่างหนาค่อยๆ ก้าวผ่านแมกไม้รกทึบไปอย่างช้าๆ

สัญชาติญาณได้นำพาเขาไปจนพบกับแม่น้ำใหญ่ แสงจันทร์นวลใสเป็นดังโคมไฟที่ประดับโดดเด่นบนผืนโพยม สายลมอ่อนๆ ยามดึกสงัดพัดเอาไอเย็นจากลำน้ำโขงปะทะร่างแข็งแกร่งที่ยืนผายยิ้มด้วยความเบิกบานหัวใจ

นับแต่เข้ามาใช้ชีวิตนักศึกษาที่เมืองหลวงอันวุ่นวายหัวใจของชายหนุ่มก็เฝ้าถวิลหาความสุขสงบจากที่นี่เป็นที่สุด หวังว่าสักวันจะได้กลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนดังเช่นกลิ่นจันทร์และภุชคินทร์ผู้เป็นบิดาและมารดาที่แสนดี หวังว่าจะได้นอนดูพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นเหนือลำน้ำโขงเคียงข้างกับชลธิชาคนรัก...

ชล... ชายหนุ่มเรียกชื่อหญิงสาวผู้เป็นดั่งยอดดวงใจเบาๆ ดวงตาสีนิลพริ้มหลับลงพร้อมกับสูดเอาอากาศเย็นชื้นเข้าปอด พลันนั้นหัวใจของศรัณย์ก็ต้องเต้นตึงตังขึ้นมา กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของชลธิชาลอยมาตามอากาศยามดึก

ชายหนุ่มหันซ้ายขวา พยายามจับที่มาของกลิ่นนั้นก่อนเดินตามไปเรื่อยๆ ก่อนที่สองเนตรเขียวเข้มจะทอดมองไปยังหนุ่มสาวสองคนที่นอนคลอเคลียกันริมฝั่งโขงในสภาพเปลือยเปล่า

โครงหน้าคมเข้มไม่ต่างจากเขาในวันนี้ที่ได้พบชายหนุ่มยังจำได้ติดตา ดวงตาสีนิลอันแฝงไปด้วยพลังอำนาจลึกลับผินมายังศรัณย์ที่ยืนตัวแข็งทื่อก่อนหันไปพรมจูบซอกคอนวลเนียนของหญิงสาวผู้ทอดกายอยู่เบื้องล่างด้วยความสุขสม

ริมฝีปากอันเร่าร้อนโลมไล้ไปทั่วผิวขาวเนียนของชลธิชา หญิงสาวครวญครางด้วยความซาบซ่าน ก่อนสอดประสานสองมือไว้บนต้นคอของอีกฝ่าย สองร่างแนบชิดติดกันจนแทบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวบนผืนทรายอย่างไม่อายฟ้าดิน ได้ยินแต่เสียงครวญครางของชายหนุ่มและหญิงสาวดังแว่วอยู่ริมฝั่งโขงอันเงียบสงัด...

แววตาอันเย้ยหยันที่ปรากฏในดวงตาสีเขียวคล้ำของชายหนุ่มปริศนาผู้กระชากเขาลงสระน้ำในวันนี้หันมาจ้องดวงหน้าที่เดือดดาลของศรัณย์อีกครั้ง เบื้องล่างของเขาคือหญิงสาวแสนงดงามผู้ที่ศรัณย์หมายจะครอบครองทั้งกายและใจ แต่เหตุไฉน...เธอจึงยอมมีอะไรกันกับ...


ศรัณย์ลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด... สองมือยังคงกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น เหงื่อแตกพลั่กทั่วร่างที่เครียดเกร็ง ภาพที่เห็นเมื่อครู่ยังติดตาจนยากจะลบเลือน พยายามผ่อนลมหายใจออกแต่มันก็ไม่เป็นผล ดวงตาเขียวคล้ำพลันได้แดงซ่านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว... หญิงสาวผู้เป็นดังยอดดวงใจ ไม่มีแม้แต่ชายใดที่เขาจะยอมให้แตะต้องกายเธอ แต่ในความฝันบ้านั่น เธอกับร้องอย่างสุขสมกับชายแปลกหน้าคนนั้น...

“ไม่จริง...มันก็แค่ความฝัน” ยกสองมือขึ้นกุมขมับพร้อมกับพริ้มตาหลับลง ค่อยๆ หายใจออกช้าๆ

ชายหนุ่มเบิกตาขึ้นอีกครั้งก่อนหันไปกดสวิตซ์ไฟที่หัวเตียงพลันนั้นสองตาก็เหลือบไปเห็นรูปถ่ายใบเล็กที่ตั้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน

หญิงสาวเรือนร่างอรชรยืนเด่นอยู่เคียงข้างกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เขาและเธอต่างยิ้มให้กัน มันช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก... จะไม่มีอะไรมาสั่นคลอนความรักของเราทั้งสองได้... ศรัณย์กระซิบบอกตัวเองเบาๆ


เก็จลดาเพ่งมองงูเขียวตัวน้อยที่เลื้อยขึ้นไปบนเตียงนอนของชลธิชาด้วยความฉงนฉงาย เธอพยายามเพ่งสายตาไปยังมันแต่ทว่าอสรพิษน้อยกลับไม่สนใจ

หรือว่างูตนนี้จะไม่ใช่งูธรรมดา เธอจึงมิอาจบังคับหรือสื่อสารกับมันได้... หญิงสาวคิดกับตัวเองขณะพยายามขยับกายลุกขึ้นก่อนที่เสียงแหบห้าวจะดังก้องในโสตประสาท

“อย่ามายุ่ง...” ดวงตาสีเขียวเข้มของงูน้อยประสานเข้ากับสองตาดำขลับของเก็จลดา หญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่ออย่างไม่รู้ตัวในขณะที่ญาดาวีกำลังรู้สึกตัวตื่น

เจ้าของห้องสาวเบิกตากว้างเมื่อเหลือบไปเห็นงูเขียวตัวยาวร่วมฟุตกำลังเลื้อยออกมาจากผ้าห่มของชลธิชาที่นอนเคียงข้าง เมื่อหันไปหาเก็จลดาก็ต้องตกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง

ญาดาวีหันขวับมาอีกครั้ง งูตัวนั้นเลื้อยเข้ามาหาเธอก่อนที่มันจะฉกเข้าที่ข้อเท้า

“โอ้ย...” ร้องครางเสียงหลงก่อนดีดตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ ชลธิชาสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที รีบหันซ้ายขวาก่อนที่เก็จลดาจะวิ่งเข้าไปจับแขนไว้

“ระวังนะ...มีงูอยู่ในห้อง” ญาดาวีร้องบอกพร้อมกับกวาดสายตาควานหาอสรพิษ เก็จลดาจับผ้าห่มสะบัดขึ้นแต่ก็ไม่พบงูน้อย แต่สัญชาติก็บอกเธอว่ามันยังอยู่ในห้องนี้...

ญาดาวีก้มลงมองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากแผลที่เป็นรอยเขี้ยวบนข้อเท้า ความเจ็บแปลบยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกเจ็บใจ มือเรียวคว้าได้หนังสือเล่มหนามาถือไว้ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นปลายหางของผู้บุกรุกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ตู้ใกล้กับประตูห้อง

ร่างเพรียวบางพุ่งตรงไปอย่างเดือดดาล ก่อนผลักเก็จลดาที่ปราดเข้ามาขวางให้ออกห่าง มือซ้ายผลักตู้ใบเล็กให้ล้มไปอีกทาง ทายาทนาคาที่อยู่ในร่างงูเขียวตัวน้อยแหงนหน้าจ้องมองมนุษย์สาวผู้ต่ำต้อย พิษร้ายแผ่ซ่านออกมาทางสายตาแต่ทว่ามันกลับไร้ผลก่อนที่อีกฝ่ายจะฟาดหนังสือเล่มใหญ่ลงใส่ร่างที่กำลังตวัดกายเลื้อยหนี

เก็จลดาเข้าไปยื้อเพื่อนสาวที่มองหาของหนักเตรียมฟาดใส่งูน้อยอีกครั้ง อสรพิษผู้บุกรุกเลื้อยออกจากห้องไปด้วยความเจ็บปวด พอญาดาวีสะบัดตัวพ้นก็ไม่พบกับมันอีกแล้ว

“แกทำบ้าอะไรของแกดา...” หันมาตวาดใส่เก็จลดาที่ยืนหน้าเสียอยู่ด้านหลัง ชลธิชารีบปราดเข้าไปประคองญาดาวีอย่างหน้าเสีย

“เจ็บมากมั้ยวี...หาเศษผ้าให้หน่อยสิดา” ร้องใส่เก็จลดาที่ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาดำขลับมิอาจสบสายตาอันเกรี้ยวกราดของญาดาวีได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปจะถูกหรือผิด...แต่สิ่งที่รู้คือเธอไม่อยากเห็นงูตัวไหนต้องมาตายไปต่อหน้าต่อตา...

ญาดาวีรู้สึกว่าความอดทนที่กลั้นไว้กำลังจะหมดลงในอีกไม่ช้า หญิงสาวปลดมือชลธิชาออกเบาๆ ก่อนสะบัดกายเดินออกจากห้องตรงสู่ห้องพระที่อยู่อีกฟากของเรือนใหญ่

ชลธิชาถอนหายใจเบาหวิว... จ้องมองเก็จลดาด้วยความสงสัย ทั้งเรื่องความฝันเมื่อครู่นั่นอีก ฝันว่าตัวเองกำลังมีอะไรกันกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ค่อยๆ กลายร่างเป็นงูใหญ่... เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องได้พบกับงูในห้องนอนอย่างคาดไม่ถึง ตกลงว่านี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเธอกันแน่นะ...


นิทราตรงเข้ามาประคองร่างคนรักที่เดินขากะเผลกออกมาจากบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ของนางพิมพ์ดาว โครงหน้าคมเข้มได้แต่ขบกรามแน่นอย่างโกรธขึ้ง ขนาดกัดเข้าไปอย่างเต็มแรงแต่พิษที่เข้าสู่ร่างกายแม่มนุษย์สาวนั่นกลับไม่ทำให้หล่อนสิ้นใจตายในทันที ถึงขนาดที่พิษที่ลอยผ่านออกมาทางสายตายังทำให้อะไรแม่นั่นไม่ได้... มันน่าเจ็บใจนัก

“ฉันเตือนนายแล้วไงปริตร แค่นายให้ฉันเล่นงานพวกนั้นในความฝันก็น่าจะพอ ถ้านายเป็นอะไรไปมากกว่านี้จะไม่แย่หรอกเหรอ” นิทราเตือนคนรักด้วยความห่วงใย แต่ทว่านาคาสาวกลับได้รอยยิ้มเหยียดหยันกลับมาแทน

“แค่นี้ไม่เรียกว่าแย่หรอก ฉันก็แค่เสียทีนังมนุษย์นั่นเท่านั้นเอง คอยดูนะฉันจะเล่นงานให้มันเป็นอัมพาตไปเลย”

“อย่าไปทำอะไรคนอื่นที่เค้าไม่เกี่ยวข้องกับนิลนาคเลยนะปริตร แค่นายให้ฉันใช้อิทธิฤทธิ์เพื่อเนรมิตภาพขณะนายกับชลธิชากำลัง...”

“ทำไม... เธอช่วยฉันแค่นี้ไม่ได้รึไงนิทรา” ปริตรกระชากเสียงใส่นาคสาวที่ยืนตรงหน้า ดวงตาสีดำขลับของนิทราหรี่ลงด้วยความน้อยใจ

“ฉันรักนายนะปริตร ไม่อยากเห็นนายนอนกอดกับหญิงอื่นแบบนั้น ถึงแม้มันจะเป็นแค่ภาพในความฝันที่เนรมิตขึ้นมาก็เถอะ...” กัณหาโคตมะสาวตัดพ้อเสียงเครือ เธอยอมทำเพื่อเขาทุกอย่างแต่เมื่อถึงคราวนี้เธอกลับทำใจให้ยอมรับไม่ได้จริงๆ

ปริตรสูดลมหายใจฟึดฟัดก่อนสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากนิทราเพื่อแก้แค้นศรัณย์ นิลนาค ฉะนั้น...การที่จะรักไมตรีระหว่างเขากับเธอไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

“ฉันขอโทษ...” นาคหนุ่มผู้สืบทอดดูแลมณีนาคสวาทแห่งตระกูลนิลนาคหันมาหานาคาสาว มือหนาคว้าเอาร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น...



Create Date : 18 เมษายน 2554
Last Update : 18 เมษายน 2554 11:13:25 น.
Counter : 618 Pageviews.

4 comments
  
เรื่องราวกำลังเข้มข้น นึกอยู่แล้วว่าปริตร ต้องเป็นลูกฃองปาณาลีแน่ๆ แต่ทำไมเป็นญาติกัน มาทำร้ายกันเองล่ะ หรือโกรธที่กลิ่นจันทร์แม่ของศรันต์เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด

ยังไงก็อัพไวไวนะจ๊ะ จะเข้ามาดูทุกวันค่ะ
โดย: จีจี้ IP: 125.25.114.230 วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:12:22:04 น.
  
ต้องขอโทษด้วยนะครับทีบางครั้งอาจจะนานไปนิดนึง พอดีช่วงนี้ยุ่งกับเรื่องงานอยู่นะครับ แต่ไงก็ขอบคุณนะครับที่ติดตาม....
โดย: mint IP: 115.67.55.205 วันที่: 24 เมษายน 2554 เวลา:1:42:52 น.
  
อิๆ อ่านรวดเดียว 5 ตอนเลย จุใจมากๆจ้า
แอบสงสัยว่า ใครหนอเล่าเรื่องความแค้นเก่าให้หนุ่มน้อยปริตน
เพราะพ่อก็ตายตั้งแต่อยู่ในท้อง แม่ก็ตายตอนหนูยังไม่รู้ความ
คาดว่าอีกไม่กี่บท คุณมิ้นท์คงจะเฉลยให้ฟัง
สู้ๆนะคะ จะมารออ่านต่อค่ะ
โดย: Pearzilla IP: 68.118.158.49 วันที่: 25 เมษายน 2554 เวลา:18:21:02 น.
  
ขอโทษทีนะครับ พอดีช่วงนี้กำลังยุ่งเรื่องงานใหม่ เพิ่งเร่ิมานใหม่น่ะคับ อะไรหลายอย่างเลยยังไม่เข้าที่

พอมันเหนื่อยเลยไม่มีเวลาปั่นนิยาย...แต่สัญญาว่าอาทิตย์นี้จะอัพตอนต่อไปแน่นอนครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:46:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
เมษายน 2554

 
 
 
 
 
2
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
MY VIP Friend