บทที่ 1 ลางร้าย
ชลธิชาหรี่ตามองหนทางเบื้องหน้าที่มืดมนด้วยไอหมอกสีเทาหนาทึบ ความเย็นยะเยือกแผ่ซึมเข้าสู่อณูขุมขน ร่างบอบบางกำลังประคองตัวเองบนเรือลำเล็กที่ลอยคว้างอยู่บนผืนน้ำสีดำทะมึน

แผ่นไม้ที่นำมาประกอบจนเป็นพาหนะมุ่งหน้าต่อไปด้วยแรงผลักของกระแสน้ำ กระทั่งมันพาหญิงสาวเข้ามาชนกับกอบัวขนาดใหญ่ ผืนหมอกสีเทาหนาเข้มค่อยๆ จางหายออกเผยให้เห็นศตบงกชมากมายที่ออกดอกชูช่อแข่งกัน แต่ทว่า...ดอกบัวสีขาวเหล่านี้กลับหมองคล้ำชวนให้ผู้พบเห็นสลดหดหู่ใจตามไปด้วย กลิ่นสาปชวนคลื่นเหียนลอยคละคลุ้งในอากาศอันอึมครึม ในขณะที่เสียงพรายน้ำแตกกระจายดังอยู่ทางโค้งน้ำอีกฟากฝั่ง

ไอหมอกสีเทาเหล่านั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนหมด ผืนน้ำสีดำดุจน้ำหมึกสะท้อนกับแสงจันทร์บนฟากฟ้าที่ไร้ซึ่งหมู่ดาว หญิงสาวรู้สึกประหนึ่งว่าหัวใจได้หลุดออกมาจากอกและหล่นฮวบลงผืนน้ำเบื้องล่าง สองตากลมโตเบิกกว้าง ร่างอรชรสั่นสะท้านด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ร่างมนุษย์มากมายลอยอืดอยู่บนผืนน้ำอันสงบเงียบ กระแสน้ำที่ผลักเรือลำเล็กให้ล่องลอยหยุดนิ่ง... หญิงสาวหันซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนก ศพหญิงชายเหล่านั้นลอยล่องไม่ต่างอะไรกับปูปลาที่ถูกฆ่า กลิ่นเหม็นจากซากศพที่ขึ้นอืดลอยคละคลุ้งตลบอบอวล ชลธิชายิ่งใจเต้นถี่ยิบเมื่อมีศพกำลังลอยตรงมายังเธอ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกไปให้สุดเสียงแต่ทว่าริมฝีปากกลับหนักอึ้งจนมิอาจเปล่งเสียงใดๆ ดวงตากลมใสหรี่เล็กลงพลางน้ำตารินไหล ศพที่เริ่มเน่าเฟะลอยใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา... แต่ทว่า...พลันนั้นเอง ร่างไร้ชีวิตตรงหน้าก็ลอยคว้างขึ้นสู่ห้วงเวหาอันดำมืดก่อนที่สัตว์ขนาดใหญ่ลำตัวยาวเฟื้อยจะพุ่งเข้าฉีกร่างที่ลอยอยู่บนเวหาให้แหลกออกเป็นชิ้นๆ

หญิงสาวจ้องมองพรายน้ำแตกกระจายเป็นฟูฟ่องเมื่อสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์หล่นฮวบลงสู่ผืนน้ำพร้อมกับเศษเนื้อหนังที่ชวนคลื่นเหียน ตอนนี้ชลธิชารู้สึกว่าต้องรีบเอาตัวรอด อันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาหาในอีกไม่ช้านี้แล้ว

เรือลำเล็กหันลำกลับไปยังที่ๆ ลอยจากมาด้วยสองมือของหญิงสาวที่ใช้กวักสายน้ำหันหัวเรือ แต่เมื่อหันกลับมาหงอนสีน้ำตาลแดงที่โผล่พ้นน้ำได้แหวกม่านธาราจนเป็นริ้วสีขาว มันกำลังตรงดิ่งมายังเธอ...

“ชล...ทางนี้...” เสียงแหบห้าวที่ตะโกนเรียกทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนได้อาบน้ำฝนอันชุ่มฉ่ำ ดวงตาที่เครือไปด้วยหยดน้ำใสสอดส่ายหาที่มาของเสียงนั้น

“ทางนี้...” หญิงสาวหรี่ตามองท่ามกลางหมอกที่เริ่มลงมาปกคลุมผืนน้ำอีกครั้ง ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนโบกมืออยู่ที่ริมฝั่ง... ศรัณย์

“ฉันอยู่ตรงนี้ศรัณย์...” เรือลำเล็กที่ถูกชนอย่างแรงได้สะบัดร่างบางให้กระแทกลงผืนน้ำดำมืด หญิงสาวรู้สึกหนาวจับใจ สองมือปัดป่ายสายธารเพื่อเอาชีวิตรอด

ภายใต้หนองน้ำอันขุ่นมัวเบื้องล่าง สองตากลมใสพยายามเบิกมองสภาพรอบกายขณะตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดก่อนจะแลไปเห็นสตรีผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทกำลังแหวกว่ายสายน้ำตรงมายังเธอ

ศรัณย์... ชลธิชาเรียกหาเขาในใจก่อนที่แขนแข็งแกร่งจะโอบเอวเธอไว้และพาขึ้นสู่ผืนน้ำเบื้องบน

“ศรัณย์...” หญิงสาวหอบหายใจ จ้องมองรูปหน้าคมคายพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา รีบโผเข้ากอดเขาไว้แน่น

“ไม่เป็นไรแล้วนะ...ฉันมาช่วยเธอแล้ว” เสียงนุ่มกระซิบที่ข้างหู

“พาฉันกลับเข้าฝั่งเร็ว มีบางอย่างอยู่ใต้หนองน้ำนี่...เราต้องรีบกลับเข้าฝั่ง” ชลธิชาสั่งเสียงรัวเร็วด้วยความตื่นกลัว ร่างหนาประคองเธอไว้บนหลังก่อนจะรีบกวักกว่ายพาเธอตรงสู่ริมตลิ่ง

ชลธิชาตีขาเพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น แต่เมื่อหันกลับไปมองด้านหลัง หงอนสีน้ำตาลแดงที่ชูขึ้นสูงเสียดฟ้าก็แทบจะทำให้ร่างแบบบางนิ่งค้างราวกับไร้ชีวิต ดวงตาสีแดงสด ฟันที่ลดหลั่นคล้ายใบเลื่อย รูปลักษณ์ไม่ผิดแผกแตกต่างจากรูปสลักพญานาคที่เธอเคยเห็นเลยสักนิด แต่ทว่า...มันกลับน่ากลัวมากกว่าหลายร้อยเท่านัก

“ศรัณย์...” ชลธิชาบอกเสียงกระซิบก่อนที่คนรักจะหันหลังมามอง ร่างแบบบางหล่นฮวบลงสู่ผืนน้ำเย็นจัดอีกครั้งในขณะที่ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งจ้องมองผู้มากฤทธิ์กว่าตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

ดวงตาแดงก่ำค่อยๆ คืนกลับเป็นสีดำสนิทแทน สองตามันวาวของผู้เป็นใหญ่แห่งงูประสานกันกับสองเนตรเขียวคล้ำของชายหนุ่ม เจ้าแห่งงูผู้มากฤทธิ์มิเคยกริ่งเกรงมนุษย์ผู้ต่ำต้อย แต่ทว่าสายเลือดแห่งเอราปถในกายของชายหนุ่มยังคงเข้มข้นมิเสื่อมคลาย เผ่าพันธุ์เดียวกัน...ย่อมไม่รู้จักเกรงกลัวกันเป็นแน่

ชลธิชาตีน้ำเพื่อพยุงร่างกายก่อนที่เธอจะหอบหายใจเพราะร่างคนรักที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร่างงูยักษ์สีเขียวเข้ม ชูหงอนสีชมพูสดเพื่อต่อกรกับนาคาแห่งกัณหาโคตมะเบื้องหน้า


เปลือกตาหนักอึ้งเผยอขึ้นมองฝ้าเพดานสีฟ้าอ่อน เสียงแอร์คอนดิชันยังคงทำงานตามปกติ อาจจะเพราะอุณหภูมิของห้องเย็นฉ่ำมากไปจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ แต่ภาพในความฝันเมื่อครู่นี้ก็ยังติดตาชลธิชาจนเธอคิดว่ามันได้เกิดขึ้นจริง มากกว่าจะเป็นแค่ภาพในความฝัน...

ร่างบางในชุดนอนสีขาวเบาบางลุกจากเตียงก่อนควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งอยู่บนโซฟา รีบกดหาคนรักอย่างร้อนใจ

“ครับ...” เสียงปลายสายเอ่ยทักมาอย่างงัวเงีย บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขกับนิทราอันแสนยาวนาน

“ศรัณย์ นี่ชลน่ะ มาหาชลหน่อยสิ เดี๋ยวนี้เลย”

“ชล...มีอะไรเหรอครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูคล้ายกับว่าได้ตื่นจากนิทราแล้ว ชลธิชาก้าวขาตรงไปยังหัวมุมของห้องก่อนกดเปิดสวิตซ์ไฟ

“ไม่ต้องถามได้มั้ย มาเดี๋ยวนี้...เข้าใจมั้ยศรัณย์” ย้ำเสียงหนักก่อนกดวางสาย ทิ้งร่างลงยังพื้นห้องเย็นเฉียบ ดวงหน้างอนงามขมวดมุ่นก่อนพริ้มตาหลับ ภาพสัตว์ร้ายในหนองน้ำอันดำมืดอันสุดสะพรึงยังไม่ทำให้หญิงสาวกริ่งเกรงเท่าภาพที่ชายคนรักกลายร่างเป็นงูยักษ์ตัวนั้น...

ไม่จริง... มันก็แค่ความฝัน... บอกกับตัวเองเสียงสั่นเครือ จู่ๆ หยดน้ำตาก็รินไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง แต่ถ้าหากว่าสิ่งที่เธอได้เห็นในฝันเมื่อครู่กลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาเล่า ศรัณย์ ผู้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยที่แท้แล้วก็คือปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ หากว่าเขาไม่ใช่คนล่ะ... เธอจะทำอย่างไรชลธิชา

เสียงกริ่งที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก รีบตะลีตะลานตรงไปยังประตูห้องและเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำใดร่างบางก็ถลันเข้าสวมกอดเขาไว้แน่น ศรัณย์ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงงงัน เรือนหน้านวลเนียนซบอยู่ที่บ่าซ้ายพร้อมกับเสียงร้องไห้กระซิกทำให้ชายหนุ่มยิ่งฉงนใจ มือหนาค่อยๆ ประคองร่างบางมายังโซฟาตัวเขื่องที่ตั้งอยู่กลางห้องพัก

“เกิดอะไรขึ้นชล” กระซิบถามเสียงเบาพร้อมกับยกนิ้วขึ้นปาดหยดน้ำตาออกจากพวงแก้มนวลเนียนที่ซีดเผือด

ชลธิชาหลุบตาลงต่ำพร้อมกับถอนหายใจยาว “ฉัน...เอ่อ...คือว่าชลฝันร้ายน่ะ” จบคำร่างหนาก็เกือบหลุดหัวเราะแต่เพราะยังเห็นสีหน้าไม่สบายใจของหญิงสาวศรัณย์จึงได้แต่อมยิ้มไว้แทน

“ฝันว่ายังไง ไหนลองเล่าให้ผมฟังซิ” ยกมือซ้ายขึ้นลูบศีรษะมนเบาๆ หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองดวงตาอันอบอุ่นของเขาก่อนเอาใบหน้าซบกับหน้าอกแข็งแกร่งไว้

“ฉันนั่งอยู่บนเรือลำเล็กๆ มันพาฉันล่องลอยไปบนผืนน้ำที่ดำมืด อากาศรอบด้านอึมครึม เมื่อไอหมอกสีเทาหนาทึบจางลง ฉันก็ได้เห็นศพมากมายลอยอืดอยู่บนน้ำ” หญิงสาวสูดหายใจลึกในขณะที่คนฟังเริ่มฉายแววไม่สบายใจที่ใบหน้า

“จากนั้นก็มีงู...ไม่สิ มันคือพญานาค มีพญานาคตนหนึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำ มันตรงมายังฉันแต่ว่า...นายก็มาช่วยไว้ได้ทัน”

“ผมเหรอ...” ย่นคิ้วหนาเข้าหากันจนแทบชิดแต่ก็ยังคงตั้งใจฟังหญิงสาวเล่าต่อไป

“นายเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัว” น้ำเสียงของชลธิชาฟังดูฮึกเหิมขึ้นมาก่อนที่เธอจะนิ่งค้างไปพักใหญ่และยอมปริปากพูดสิ่งที่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น “แต่ว่าต่อจากนั้น นายก็กลายร่างเป็น...เป็น...” ดวงตากลมใสเหม่อมองอากาศธาตุอันเบาหวิวเบื้องหน้า รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ

หญิงสาวผละใบหน้าออกจากอกหนา เงยหน้าขึ้นประสานกับดวงเนตรสีเขียวคล้ำของชายหนุ่ม “ศรัณย์กลายร่างเป็นพญานาค เป็นนาคสีเขียวร่างใหญ่โต... ชลกลัวเหลือเกินศรัณย์ มันเหมือนความจริงมาก”

“โถ...ไม่เอาน่า มันก็แค่ความฝัน” ชายหนุ่มแกล้งปลอบให้อีกฝ่ายคลายกังวลแต่ทว่ารูปหน้าคร้ามคมกลับเครียดขรึมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ก่อนหน้านี้ชลก็ฝันเห็นแต่ศพ คนตาย หรือไม่ก็ภูตผีปีศาจ...ชลกลัวว่ามันจะเป็นลางร้าย มันอาจจะกำลังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเราก็ได้”

“ไม่เอาแล้ว...มันก็แค่ความฝันนะครับ” ศรัณย์ยกสองมือขึ้นจับไหล่บางเอาไว้ “เอาอย่างนี้ดีมั้ย วันนี้เรามาใส่บาตรเพื่อแก้เคล็ด นี่มันก็ใกล้จะตีห้าแล้วด้วย” ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังนาฬิกาบานใหญ่ที่ติดไว้ที่ผนังห้อง หญิงสาวนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่จึงยืนขึ้นและตรงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ว่า...ยิ่งเธอพยายามจะลบภาพในความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นมาสักเท่าไร ภาพอันความน่าพรั่นพรึงมันก็ยังคงติดตาชลธิชาทุกครั้งที่พริ้มหลับตาลง หญิงสาวได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเธอและศรัณย์เลย


“ฉันอยากไปไหว้พระหรือสะเดาะเคราะห์ก็ได้ เสาร์นี้พวกเธอสองคนว่างมั้ย?” คนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาเอาหลอดเขี่ยกับขอบแก้วน้ำส้มคั้นยังคงก้มหน้านิ่ง สองเพื่อนสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามหันมาสบสายตากันเลิ่กลั่ก เมื่อวานชลธิชาก็ยังดูปกติดี แต่ทำไมวันนี้ดูเงียบๆ แถมยังบอกว่าอยากจะเข้าวัดเข้าวาอีกต่างหาก

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอชล” ญาดาวีเอ่ยถาม ผมสั้นซอยที่เพิ่งตัดมาใหม่ทำให้ดวงหน้ากลมเกลี้ยงดูโดดเด่นไม่ใช่น้อย

ชลธิชาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเก็จลดาที่ยังคงจ้องเธอเขม็ง “ฉันฝันเห็นพญานาคน่ะ...” จู่ๆ ลมเย็นหวีดหวิวก็พัดผ่านแผ่นหลังของหญิงสาวผู้มีดวงตาดำขลับเป็นเอกลักษณ์ ปอยผมที่ปล่อยสยายจนถึงสะโพกพลิ้วไหว

“ก็ดีไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะไปทำบุญทำไมล่ะ” ญาดาวีแทรกขึ้นก่อนหันไปหาเก็จลดาที่นิ่งเงียบ

“ไม่รู้สิ...ฉันแค่อยากไปทำบุญบ้างก็เท่านั้น” คนที่เริ่มเรื่องบอกเสียงค่อย ต่อมาอีกครึ่งชั่วโมงทั้งหมดจึงได้ข้อสรุปว่าจะออกไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งโดยการนำของญาดาวี

ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว เมื่อจบการศึกษาจึงเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งศรัณย์ ชายหนุ่มที่ชลธิชาเริ่มคบหาเป็นแฟนหลังจากที่ดูใจกันอยู่หลายเดือน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอจึงรู้สึกเคลือบแคลงในฝันประหลาดเมื่อคืนนี้ แต่เมื่อหลับตาลงภาพดวงเนตรสีดำเข้มของนาคาตนนั้นมันดูน่าเกรงขามเฉกเช่นดวงตาของเก็จลดายังไงพิกล... บางที เธอก็อาจจะแค่คิดไปเองก็ได้


“เสาร์นี้ฉันจะกลับบ้านคุณป้าพอดี ที่นั่นมีวัดป่าและมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่องค์นึง ถ้าเธอได้ไปกราบคงจะเป็นบุญไม่น้อยเลยแหละชล...อ้อ ฉันจะขอให้หลวงพ่อรดน้ำมนตร์ให้เธอด้วย เอาอย่างนี้เป็นไง” ญาดาวีเสนอขึ้นหลังจากที่โทร.ปรึกษากับญาติผู้ใหญ่อยู่นานสองนาน ทั้งสามกำลังเดินลงจากอาคารเรียนหลังจากหมดคาบสุดท้าย เก็จลดาที่หอบหนังสือเยอะกว่าใครเพื่อนหันมาถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

“แล้วบ้านคุณป้าเธออยู่ที่ไหนย่ะ แล้ววัดที่ว่าน่ะ...ชื่ออะไร”

คนที่ถูกถามเลิกคิ้วทีนึงก่อนหันไปยิ้มให้สองสาวที่เดินเคียงข้าง “อยู่ต่างจังหวัดน่ะ แต่ไม่ไกลจากบ้านของนายศรัณย์เท่าไหร่หรอกนะ ส่วนวัดที่ฉันจะพาไปน่ะเหรอ ชื่อวัดมณีนิล...”

“วัดมณีนิล...” สองสาวที่ประกบข้างต่างลดฝีเท้าลงพร้อมกัน คล้ายว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง...

“วัดมณีนิลเนี่ยนะ มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อหลวงพ่อมณีนิลประดิษฐานอยู่ คุณป้าฉันเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนองค์พระได้แตกออกเป็นสองเสี่ยงเพราะฤทธิ์เดชของนาคและครุฑ แต่ว่าชาวบ้านก็นำท่านมาหล่อขึ้นใหม่อีกครั้ง” คราวนี้เก็จลดาและชลธิชาหยุดปลายเท้าลงพร้อมกันก่อนหันมามองญาดาวีเป็นตาเดียว

“เป็นอะไรกันไปน่ะ?” หญิงสาวที่กระโปรงสั้นเหมือนทรงผมยิ้มแหย มองเพื่อนทั้งสองสลับไปมา

“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะวี พระพุทธรูปแตกออกเพราะฤทธิ์เดชของนาคและครุฑงั้นเหรอ” เก็จลดาทวนถามประโยคเมื่อครู่น้ำเสียงเครียดเคร่ง ชลธิชาตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจัง

“ใช่...” คนเล่าไม่คาดคิดว่าจะได้รับความสนใจมากถึงเพียงนี้ “ก็คุณป้าเล่าให้ฟังว่าคนสมัยโน้นเขาลือกันว่า สองเผ่าพันธุ์นี้ต้องการมณีนาคสวาทที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในองค์พระพุทธรูปน่ะสิ ฝ่ายครุฑน่าจะต้องการแย่งเพื่อนำไปทำลาย แต่สุดท้ายฝ่ายนาคก็ได้ไป” จบประโยคเก็จลดาก็คลายยิ้มเรียบคล้ายพอใจแต่ทว่าชลธิชายังคงขมวดคิ้วมุ่น เหตุไฉนช่วงนี้เธอถึงต้องได้พานพบแต่เรื่องของนาคาด้วยนะ

“แต่อย่าพึ่งเชื่อเป็นตุเป็นตะนะ มันก็แค่เรื่องเล่าเฉยๆ” คนพูดเสริมท้ายแต่ทว่าเก็จลดากลับเชิดหน้ายิ้มอย่างไม่สนใจ ต่อให้เป็นแค่เรื่องเล่าเธอก็รู้สึกพอใจที่อย่างน้อยนาคก็ไม่พ่ายแพ้แก่ศัตรูอย่างครุฑ

“ถ้าอย่างนั้นจากกันตรงนี้เลยนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้จ้ะ” ญาดาวีบอกลา หันมายิ้มให้ชลธิชาก่อนจะเอนสายตาไปหาเก็จลดาที่ปั้นหน้าส่งยิ้มให้ไม่เหมือนทุกคราที่บอกลากัน

สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกหนัก... ญาดาวีส่งยิ้มตอบผู้เป็นเพื่อนที่ท่าทางดูแปลกๆ กันทั้งคู่ก่อนที่รถยนต์สีดำคันงามของบิดาจะหายลับไปกับท้องถนนอันคราครั่ง



Create Date : 01 เมษายน 2554
Last Update : 1 เมษายน 2554 16:10:27 น.
Counter : 725 Pageviews.

4 comments
  
โห รอติดตามตลอดเลยนะคะ เก็บเอาไปฝันเลย
คิดถึงกลิ่นจันทร์ เลยเข้ามาอ่านรอบ 2
ไม่นึกว่าจะได้อ่านเรื่องนี้ ยังไงอัพไวไวนะคะ รอติดตามอยู่
โดย: จีจี้ IP: 118.174.50.79 วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:15:17:44 น.
  
อันนี้คือภาค 3 ใช่ไหมนี่ ดีๆ แต่งไปเรื่อยๆนะ สงคราม
ระหว่าง 2 เผ่าพันธุ์ กำลังเริ่มขึ้นอีกแล้ว
คิดถึงตรัสวินจัง ฮือๆ ไม่น่าตายเลย
โดย: จีจี้ IP: 118.174.50.79 วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:15:33:50 น.
  
แวะมาส่งความสุขในชวงสงกรานต์ค่ะ

Beautiful graphic comments


โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:12:00:21 น.
  
มาแปะไว้ก่อนค่ะ ช่วงนี้ไม่มีเน็ทใช้ หากมีก็เป็นช่วงสั้นๆ สั้นจริงๆ T^T
ไว้อาทิตย์หน้ากลับเมกาแล้วจะอ่านให้จุใจเลยค่ะ
ช่วงนี้สองจิตสองใจ อยากกลับ แล้วก็ไม่อยากกลับ เอ๊ะ ยังไง
โดย: pearzilla IP: 124.122.75.246 วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:0:42:06 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
เมษายน 2554

 
 
 
 
 
2
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
1 เมษายน 2554
MY VIP Friend