บทที่ 3 ศัตรูตัวร้าย
บทที่ 3 ศัตรูตัวร้าย

ญาดาวีขับรถไปตามแผนที่ที่นางพิมพ์ดาววาดไว้ให้ ให้สังเกตหนองน้ำใหญ่เป็นหลัก จากนั้นก็ขับเลียบไปเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านมณีนิล ขับรถตรงเข้าไปภายในหมู่บ้าน วัดจะตั้งอยู่ส่วนกลางของชุมชน

ไม่นานนักรถยนต์สีดำคันงามก็พาทั้งสามมาถึงวัดมณีนิลอันเงียบสงัด ต้นโพธิ์อายุราวร้อยปีตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้ากุฏิหลังใหญ่ที่มีเพียงหลังเดียว ถัดมาเป็นอุโบสถที่ออกแบบอย่างประณีตและงดงาม

“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ คือดิฉันอยากจะมากราบหลวงพ่อมณีนิล...” ญาดาวีทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับพนมมือ เพื่อนอีกสองคนรีบทำตาม

พระสงฆ์วัยสี่สิบกระพริบตามองหญิงทั้งสามก่อนคลี่ยิ้มเรียบ “คงมาจากที่อื่นล่ะสิท่า...” ว่าเพียงเท่านั้นสามสาวก็ต้องหันไปสบสายตากัน

“หลวงพ่อมณีนิลไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก แต่อยู่ที่วัดป่าต่างหาก”

“วัดป่า...” ญาดาวีลากเสียง

“ใช่...ถ้าสีกาต้องการไปกราบหลวงพ่อมณีนิลก็ต้องเดินทางไปที่วัดป่าบนเขาโน่น”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ญาดาวีค้อมศีรษะลงเล็กน้อยจากนั้นจึงหันมาหาเพื่อนสาวทั้งสองที่คอยท่าอยู่ พระสงฆ์ผู้ดูแลวัดเดินจากไปอย่างเงียบๆ

“แล้วเธอรู้จักวัดป่านั่นรึเปล่าวี” เก็จลดาถามเสียงขรึม มวลอากาศเย็นลอยแผ่ลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนในขณะที่ชลธิชาค่อยๆ พริ้มตาหลับคล้ายตกอยู่ในภวังค์ของบางอย่าง

จากมณีนิลไปอีกราวสามกิโลเมตร เดินทางเลียบหนองมณีนิลไปเรื่อยๆ ก็จะพบเนินเขาเตี้ยๆ เดินขึ้นบันไดไปจะพบศาลาไม้หลังเก่าตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้รกทึบ และในนั้นมีพระพุทธปางสมาธินาคปรกประดิษฐานอยู่...

“ชล...” ญาดาวีสะกิดคนเป็นเพื่อนจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง ดวงหน้าเนียนละเอียดซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรรึเปล่าชลดูสีหน้าไม่ค่อยดี” เก็จลดาเดินเข้ามาจับต้นแขนนุ่มนิ่มที่เย็นชืดของเพื่อนสนิท

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ก็แค่หน้ามืดนิดหน่อย...” สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ญาดาวีอดใจเสียไม่ได้ ที่มานี่ก็เพราะชลธิชาฝันไม่ดีแถมยังรู้สึกไม่สบายใจ ตกลงว่านี่เพื่อนสาวคนสวยของเธอกำลังมีเคราะห์อยู่ใช่รึเปล่าเนี่ย

“แล้วจะเอายังไงต่อยัยวี” เก็จลดายื่นหน้าถามญาดาวีอีกครั้งหลังจากมองซ้ายขวาหาพระคุณเจ้าที่สนทนาไปเมื่อครู่ “ก็คงต้องกลับไปหาคุณป้าพิมพ์น่ะ หรือไม่ก็ต้องถามทางจากคนแถวนี้ดู”

“นี่ก็ยังไม่ค่ำ พวกชาวบ้านเขายังไม่กลับมาจากการทำไร่ทำนาหรอกจ้ะ” เก็จลดาทำจมูกฟุดฟิดก่อนสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง

“ฉันพอจะรู้ทางอยู่บ้างวี...ให้ฉันพาไปก็ได้” จบประโยคเก็จลดาก็ต้องหันมาจ้องหน้าญาดาวีก่อนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่พร้อมกัน

“ถะ...เธอแน่ใจเหรอชล ถ้ารู้ทางแล้วทำไมถึง...” ญาดาวีกระอึกอักมองตาเก็จลดาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“เอาเถอะ...ถ้าชลรู้ทางก็ให้นำไป เดี๋ยวฝนจะตกซะก่อน” คนที่จ้องมองเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจเช่นกันเสนอขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ พักหลังมานี้ชลธิชาแปลกไปอย่างมาก บางคราวก็นั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียว จากแววตาที่เคยสดใสกลับเป็นขุ่นมัวเหมือนมีบางอย่างค้างคาใจ

ญาดาวีสตาร์ทรถก่อนที่ชลธิชาจะชี้บอกเส้นทางที่เห็นในช่วงที่พริ้มตาหลับเพียงไม่กี่นาที หญิงสาวเริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเอง แปลกใจว่าทำไมถึงเห็นภาพเหล่านั้นได้ ยิ่งรถเคลื่อนใกล้หนองมณีนิลมากเท่าไหร่ ภาพในความฝันที่เธอนั่งบนเรือที่ลอยล่องอยู่บนหนองน้ำใหญ่ก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น...


ป้ามีเพื่อนอยู่คนนึง เธอผูกพันกับตระกูลที่พวกชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพญานาค พวกเขาปลูกบ้านริมน้ำอยู่ติดหนองมณีนิล และเพื่อนคนนั้นของป้าก็รักกันกับหลานชายคนเล็กของตระกูลนั้น แต่ระหว่างนั้นเอง...ก็มีทายาทแห่งคฤหาสน์รักตปักษ์อันยิ่งใหญ่ที่ห่างจากมณีนิลไปไม่ไกลนักเข้ามาพัวพันกับเพื่อนของป้า รักสามเศร้าจึงเกิดขึ้น

กลิ่นจันทร์... คือผู้หญิงที่ป้าแอบอิจฉา เธอสวยมาก ทั้งภุชคินทร์ นิลนาคและตรัศวิน รักตปักษ์หลงรักเธอ แต่ว่า...เธอกลับต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมายอย่างคาดไม่ถึง

ภุชคินทร์ นิลนาค ทายาทแห่งตระกูลเก่าแก่ของมณีนิลได้หายสาบสูญไปพร้อมกับกลิ่นจันทร์หลังจากที่กลุ่มชาวบ้านบุกเข้าไปยังบ้านริมน้ำและได้เห็นพี่สาวของเขากลายร่างเป็นพญานาค แต่เรื่องนี้ป้าก็มิอาจบอกได้ว่าเป็นความจริงเพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงคำพูดที่เล่ากันมาปากต่อปาก แต่ว่าจากนั้นมาบ้านหลังนั้นก็ถูกทิ้งร้างเพราะสมาชิกทั้งหมดหายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมกับกลิ่นจันทร์...

แต่ทว่า...ต่อมากลับพบเธอที่หนองคาย เธอความจำเสื่อม แต่ก็ยังพอจำญาติๆ ได้ และสิ่งที่ป้าไม่คาดคิดก็คือ... เธอมีคนรักใหม่โดยลืมเรื่องราวระหว่างเธอกับภุชคินทร์ไปอย่างหมดสิ้น แต่ว่าจากนั้นไม่นาน...เธอก็หายไป

“ชล เธอจำเรื่องที่ป้าพิมพ์เล่าให้พวกเราฟังเมื่อวานได้มั้ย...” ญาดาวีเอ่ยถามขณะเลี้ยวรถเข้าสู่เขตอารามที่รกทึบ เก็จลดาปรับกระจกรถลงทีละนิด เสียงจิ้งหรีดเรไรดังก้องอยู่ทั่วทั้งป่า

“อืมม์...ยังจำได้” หญิงสาวบอกเสียงค่อย ไม่รู้ทำไมเธอถึงเก็บเอาเรื่องนี้มาจินตนาการจนเห็นภาพเด่นชัด ราวกับว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้ชมเส้นทางชีวิตของหญิงสาวคนนั้นที่ต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับพญานาค

“จะว่าไป คุณแม่ของศรัณย์ก็ชื่อกลิ่นจันทร์ใช่รึเปล่า...แต่ว่า...ก็คงไม่ใช่เพื่อนคุณป้าพิมพ์ดาวคนนั้นหรอกเน่าะ” ญาดาวีหัวเราะแห้งๆ ในขณะที่ดับเครื่องรถ เก็จลดาเปิดประตูรถไปก่อนใครเพื่อน ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อนสาวทั้งสองรีบเดินตามมาสมทบ สายตาทั้งสามคู่หันไปจ้องมองบันไดหินนับร้อยขั้นที่ทอดตัวยาวสู่เขตอารามแห่งวัดป่ามณีนิล ที่ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกที่ชลธิชานิมิตเห็น


การแข่งขันกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยใกล้จะมาถึงแล้ว แม้ศรัณย์จะยังรู้สึกกังวลกับการเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านคุณป้าญาดาวีของชลธิชา คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ซักถามแฟนสาวให้มากความ ให้เธอไปพักผ่อนกับเพื่อนๆ ตามประสาหญิงสาวทั่วไปเสียบ้าง

วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาจะต้องมาซ้อมเพียงคนเดียวโดยไม่มีชลธิชามาคอยนั่งให้กำลังใจริมขอบสระ ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก่อนเดินมาริมสระ กวักเอาน้ำสาดใส่ร่างกายก่อนจะโดดลงซ้อม แต่ทว่าพลันนั้นเองทั้งร่างก็ถูกบางอย่างดึงรั้งจนหล่นฮวบลงสระว่ายน้ำอย่างแรง

ในขณะที่ศรัณย์กระเสือกกระสนเอาศีรษะขึ้นสูดอากาศบนผิวน้ำแต่ในขณะเดียวกันสองตาก็เบิกมองผืนน้ำใต้สระ ผิวสีเขียวมันเลื่อมที่มีเกล็ดวาววับเรียงซ้อนกันอย่างปราณีตบรรจงเลื้อยผ่านไปต่อหน้าก่อนที่ศีรษะชายหนุ่มจะโผล่ขึ้นพ้นผิวน้ำ

เขาหอบหายใจเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอด รอบสระไร้ซึ่งผู้คน ความรู้สึกหนาวยะเยือกแผ่ซ่านเข้าสู่ผิวกายคร้ามแดด

“กลัวเหรอ...” น้ำเสียงเย้ยหยันของใครบางคนดังขึ้น รูปหน้าคร้ามคมสะบัดมองซ้ายขวาก่อนจะได้พบกับชายปริศนาที่ยืนตัวเปียกอยู่ริมสระ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง มีรูปหน้าคมเข้มคล้ายคลึงกันสาวเท้าเข้ามาใกล้ เสื้อเชิ้ตสีเขียวแก่และกางเกงสีดำที่สวมใส่เปียกชุ่มด้วยหยดน้ำ ศรัณย์รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาทันทีที่ได้สบกับสายตาตรงหน้า

ดวงตาสีเขียวมรกตของปริตรจ้องลึกลงไปยังสองตาเขียวคล้ำของศรัณย์... ความเกลียดชังและเคียดแค้นได้นำพาให้เขาขึ้นมาจากบาดาลจนได้พบลูกชายของภุชคินทร์ นิลนาคในที่สุด

“นายต้องการอะไร” คนที่อยู่ในน้ำเอ่ยถามก่อนขบกรามแน่น

“ขอโทษด้วยที่เมื่อกี้เล่นแรงไปหน่อย” ปริตรหัวเราะเสียงพลิ้ว ก่อนจิกสายตาคมกริบมายังศรัณย์อีกครั้ง

“แต่ว่าต่อจากนี้ไปนายจะต้องได้เจอกับสิ่งที่มันรุนแรงกว่านี้อีกแน่”

“นายพูดเรื่องอะไร แล้วเมื่อกี้เป็นฝีมือนายงั้นเหรอ” ศรัณย์ลากเสียงค้าง ปริตรยกยิ้มอย่างพอใจก่อนยื่นมือเย็นเฉียบมาจับหัวไหล่ของศรัณย์ไว้

นิ้วมืออันแข็งแกร่งกดลงไปยังผิวเนื้อจนชายหนุ่มปวดร้าวไปถึงกระดูกแต่ก็ไม่ยอมปริปากร้องสักคำ ดวงตาสีเขียวมรกตอันทรงอำนาจของอีกฝ่ายทำให้ร่างกายเขาด้านชาคล้ายเป็นอัมพาต

“ไว้เจอกันคราวหน้า...นายศรัณย์”


เก็จลดาค่อยๆ พริ้มตาหลับลงทีละนิด คล้ายว่าสายลมเย็นจากป่าทึบแห่งนี้ได้หอบเอาพลังอำนาจบางอย่างแก่เธอ หญิงสาวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดด้วยความฮึกเหิมก่อนเบิกสองตาขึ้นจ้องมองหนทางเบื้องหน้าที่สองเพื่อนสาวกำลังนำหน้าไป

ชลธิชาจับแขนญาดาวีไว้แน่นขณะสาวเท้าขึ้นบันไดที่มีตะไคร่น้ำเกาะกรัง ศีรษะรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ภาพอารามอันเก่าแก่ที่กำลังจะไปถึงพร่าเลือนลงทีละนิด เสียงหอบหายใจเธอดังจนน่าตกใจ ญาดาวีหันมาชำเลืองมองดวงหน้านวลเนียนที่ซีดเผือดเป็นระยะในขณะที่ชลธิชากัดฟันก้าวขาข้ามพ้นบันไดขั้นสุดท้ายจนสำเร็จ

สภาพอากาศในยามนี้ช่างอึมครึมน่าอึดอัดเป็นที่สุด แสงแดดที่คอยส่องสว่างกลับถูกแทนที่ด้วยหมู่เมฆหมอกสีดำหนาทึบ ชลธิชารู้สึกใจเสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ลานวัดหน้าศาลาหลังเก่าแห่งวัดป่ามณีนิลช่างวังเวงหดหู่ หญิงสาวพริ้มตาหลับลงก่อนจะเบิกมองสภาพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนมากมาย

ข้างกายคือหญิงสาวคุ้นหน้า ยืนจับมือชายหนุ่มผู้เป็นคนรัก...ใบหน้าละม้ายคล้ายศรัณย์ ถัดมาเป็นหญิงสาวรูปร่างปราดเปรียวและชายหญิงวัยสี่สิบสองคน และสุดท้ายเป็นหญิงสาวที่ยืนเม้มปากแน่นคล้ายกำลังโกรธเคืองบางอย่าง

ชลธิชาละสายตาจากกลุ่มบุคคลที่มีดวงตาสีเขียวคล้ำเป็นเอกลักษณ์ ยกเว้นหญิงสาวที่เธอยืนอยู่ใกล้ๆ ดวงตากลมใสหันไปยังฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งยืนเด่นเป็นสง่า ก่อนที่สตรีผู้สง่างามจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหาพร้อมกับปีกสีแดงสดที่ค่อยๆ หดหายเข้าไปในแผ่นหลังบอบบาง

ทั้งหมดต่างจดจ้องไปที่พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกที่พวกเขาห้อมล้อมไว้อยู่เป็นตาเดียว...

“จะไม่มีครุฑตนไหนยอมกรีดเลือดรินรดพระพุทธรูปองค์นี้เพื่อจะทำให้มณีนาคสวาทปรากฏหรอกนะ...ถ้าอยากได้เลือดครุฑนักล่ะก็ เก่งจริงก็มาเอาเลือดฉันสิ” หญิงสาวผู้มีดวงตาสีน้ำตาลแดงเชิดหน้าว่าด้วยสีหน้าโกรธเคืองสุดขีด กลุ่มบุคคลที่อยู่ฝั่งชลธิชาต่างยืนนิ่งไม่ไหวติง

“ฉันจะยอมกรีดเลือดรินรดพระพุทธรูปนี่ก็ได้ แต่นิลนาคต้องสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับกลิ่นจันทร์อีก...” ชายหนุ่มที่รูปงามดุจเทพบุตรเอ่ยขึ้น ชลธิชาจ้องมองรูปหน้าขาวสะอาดตรงหน้า เขามีดวงตาสีน้ำตาลแดงไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวคนเมื่อครู่

แต่ว่า...เมื่อกี้เขาเรียกชื่อกลิ่นจันทร์นี่...

ชลธิชาหันขวับมาทางซ้าย หญิงสาวนามว่ากลิ่นจันทร์ยืนหน้าซีดอยู่ ใช่แล้ว...เธอก็คือกลิ่นจันทร์ คุณแม่ของศรัณย์นั่นเอง และถัดไปก็เป็น...

“อย่านะภุช...” กลิ่นจันทร์ร้องเตือน แต่ทว่าชายหนุ่มข้างกายเธอกลับเดินออกห่าง คนที่อ้างว่าจะยอมกรีดเลือดเดินเข้าไปหาพระพุทธรูปก่อนที่หญิงสาวด้านหลังของเขาจะก้าวเข้ามาหาและฉุดรั้งไว้

“แกจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะตรัศวิน รักตปักษ์” รูปหน้าขาวสะอาดที่เรียบนิ่งหันมาหาคนเป็นพี่สาวก่อนยกสองมือขึ้นจับหัวไหล่เธอไว้

“ผมขอโทษนะครับพี่ดาว” ตรีดาวถูกน้องชายเหวี่ยงออกจากบริเวณนั้นก่อนที่ร่างจะกระทบเข้ากับโคนต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มตรงดิ่งเข้าไปหาพระพุทธรูป ดวงตาสีน้ำตาลแดงจ้องมองสองตาของกลิ่นจันทร์แน่นิ่ง เล็บอันแหลมคมกรีดลงยังข้อมือตัวเอง โลหิตสีแดงสดรินไหลลงแปดเปื้อนพระพุทธรูปในที่สุด...

ทั้งหมดถูกผลักออกด้วยลำแสงสีเขียวมรกต ตรัศวินหยัดกายขึ้น มองหากลิ่นจันทร์แต่ก็ไม่พบก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นภุชคินทร์กำลังจับมือหญิงสาววิ่งหายไปด้านหลังวัด

ครุฑหนุ่มลุกขึ้นแต่ไม่ทันจะก้าวขาก็ถูกตรีดาวเข้ารวบร่างไว้พร้อมกับเวนไตยและวายุผู้เป็นสมุน กลุ่มนิลนาคต่างหันมาที่มณีนาคสวาทสีเขียวมรกตที่ปรากฏด้วยความยินดี มีเพียงอรวินทร์คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลียวมองตามหลังสองหนุ่มสาวอย่างเป็นห่วง


“ชล...เป็นอะไรรึเปล่า” ญาดาวีตบหน้าคนที่จู่ๆ ก็เป็นลมเบาๆ ชลธิชาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นทีละนิด สายลมอ่อนๆ พัดจากยอดทิวไม้ใหญ่ลงมาปะทะร่างกายที่เย็นชืด เก็จลดาที่เดินเข้าไปหายาดมวิ่งโทงๆ ลงมาจากศาลาการเปรียญพร้อมกับผู้ดูแลวัดป่า

“อ้าว...ฟื้นแล้วเหรอ” เก็จลดาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนเข้าไปดูอาการเพื่อนสาว ชลธิชาหยัดกายลุกขึ้น พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ยังติดตาเธออยู่ ภาพที่พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกองค์นั้นแตกออกจากกัน พร้อมกับการปรากฏของอัญมณีสีเขียวมรกต

“ว่าไงชล...รู้สึกยังไงบ้าง” ญาดาวีกระซิบถามอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้วหละ” ชลธิชาตอบอ้อมแอ้ม เก็จลดาหันมาหาผู้ดูแลวัดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ

“รบกวนคุณลุงช่วยนำพวกเราไปนมัสการหลวงพ่อมณีนิลหน่อยค่ะ เดี๋ยวถ้ายัยชลเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะยุ่ง” ญาดาวีหันมาทำหน้าค้อนใส่หญิงสาวข้างหน้า เก็จลดาเดินดุ่มๆ ตามผู้ดูแลวัดวัยห้าสิบเข้าไปภายในศาลา

ภายในศาลาการเปรียญหลังเก่าสว่างไสวด้วยแสงเทียนเล่มใหญ่ที่ถูกใช้จวนจะหมด พระประธานขนาดสูงเกินสองเมตรตั้งเด่นเป็นสง่า ก่อนที่สองตาของชลธิชาจะพบกับพระพุทธรูปปางสมาธินาคปรกที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ภาพนิมิตขณะที่กลุ่มคนสองพวกกำลังประจันหน้ากันฉายวาบขึ้นมาอีกครั้ง

เก็จลดาก้มลงกราบพระพุทธรูปพร้อมกับญาดาวี ชลธิชาถอนหายใจก่อนเบือนหน้าหันไปหาสองเพื่อนสาวด้านข้าง แต่ทว่าหญิงสาวกลับต้องยกสองมือขึ้นปิดปาก

นาคาสองตนกำลังขนดกายอยู่ด้านหน้าพระประธาน ตัวนึงมีเกล็ดสีทองเหลืองอร่ามส่วนอีกตัวมีลำตัวสีดำมันมะเลื่อมน่ากริ่งเกรง

“ยัยชลเป็นอะไรน่ะ” เก็จลดาร้องขึ้นเมื่อเห็นท่าทางตกใจกลัวของชลธิชา

“ชล...เป็นอะไรไป” ญาดาวีโผเข้าหาแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับถอยหลังหนีด้วยความตื่นกลัวก่อนจะตั้งสติได้ สองตาเพ่งมองเพื่อนสาวทั้งสองอีกครั้ง ยังคงเป็นเก็จลดาและญาดาวีไม่เปลี่ยนแปลง

“รีบๆ กราบพระเร็วเข้า” ญาดาวีสั่งเสียงเข้ม คงเพราะสิ่งชั่วร้ายยังคอยรังควานชลธิชาจนถึงวินาทีสุดท้าย เลยทำให้เธอมีอาการแบบนี้

หญิงสาวรีบตั้งสมาธิก่อนก้มลงกราบหลวงพ่อมณีนิลสามรอบ ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้เรื่องร้ายๆ อย่าได้เข้ามากล้ำกรายเธอและศรัณย์เลย ขออย่าให้เธอได้เห็นภาพที่เกี่ยวข้องกับเหล่านาคาอีก...




Create Date : 10 เมษายน 2554
Last Update : 10 เมษายน 2554 10:13:30 น.
Counter : 558 Pageviews.

2 comments
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

สวัสดียามสายยยยยยย อิอิอิ

ยังไม่ได้เดินทางไปไหนค่ะ รออยู่ 5555 :)
โดย: สาวสะตอใต้ วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:13:21:33 น.
  
ศรัตรูตัวร้ายน่าจะเป็นลูกของปาณารี แน่ๆ
โดย: จีจี้ IP: 125.25.114.230 วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:11:54:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
เมษายน 2554

 
 
 
 
 
2
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
MY VIP Friend