Group Blog
 
 
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 1》 一, 二


สารบัญ | ตอนที่ ๑ | ตอนที่ ๒ | ตอนถัดไป


เกริ่นนำ

ที่เชิงบันไดด้านล่างในเขตพระราชฐาน หวงตี้(皇帝 หรือ ฮ่องเต้)พระองค์หนึ่ง กำลังย่างพระบาทก้าวดำเนินขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปอย่างช้าๆ พร้อมๆกับรำพันครุ่นคิด นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา

“นับเป็นเวลาหลายปีแล้วสินะ หลายปีแห่งการต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง หลายปีแห่งชัยชนะจากการทำศึกบนหลังม้า พวกชนเผ่าซุงหนู(匈奴)ต่างก็ล่าถอยหนีร่นกลับเข้าไปยังดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือหมดแล้ว ทุกย่อมหญ้าในตอนนี้ล้วนแล้วมีแต่ความสงบสุข แต่ทว่า ตัวเจิ้น(朕 - สรรพนามเรียกตนเองของหวงตี้)เอง ในตอนนี้ก็อายุมากแล้ว บรรดาเหล่าสหายพี่น้องร่วมสาบานของเจิ้น ทั้ง จางทัง(张汤) หลี่หลิง(李陵) ก้วนฟู(灌夫) และ กัวเส่อเหริน(郭舍人) ไม่เว้นแม้แต่กุนซือที่วิเศษอย่างเจ้า..ตงฟางซั่ว(东方朔) ตอนนี้พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน พวกเจ้าแต่ละคนล้วนทิ้งเจิ้นไป เหลือเพียงแต่ เจิ้น ตาแก่คนนี้อยู่เพียงผู้เดียว...”

หลังจากก้าวเดินไปได้สักครึ่งทาง หวงตี้พระองค์นี้ก็ทรุดพระวรกายลงนั่งที่ขั้นบันได(คงจะพักเหนื่อยมั๊ง) ย้อนรำลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ได้เกิดขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อน



จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๑ - ตอนที่ ๑ จากวังหลวงไปเยี่ยนชื่อ

ตีพิมพ์ครั้งแรก : ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๘ / แก้ไขครั้งล่าสุด : ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐


๑-๑



ชายหนุ่มวัยละอ่อนกลุ่มหนึ่งได้ปรากฎกายขึ้นที่บริเวณชายป่านอกเขตตัวเมืองเยี่ยนชื่อ(厌次) เมืองในมณฑลซันตง(山东)

“เร็วๆเข้าพวกเรา” กัวเส่อเหรินหันมา้เอ่ยกับพรรคพวกด้วยความตื่นเต้น

หลี่หลิงหันไปทางชายหนุ่มรูปร่างสง่างามผู้หนึ่งแล้วกราบทูล “ไท่จื่อ(太子 - องค์รัชทายาท)ทรงทอดพระเนตรข้างหน้าโน่นสิ พะย่ะค่ะ”

“พวกเราก็มาถึงจนได้เน๊อะ” ก้วนฟูเอ่ยขึ้นบ้าง

“ใช่ๆ” กัวเส่อเหรินรีบส่งเสียงสนับสนุนแล้วหันไปทางไท่จื่อ “ไท่จื่อ ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงเมืองเยี่ยนชื่อแล้ว พะย่ะค่ะ”



๑-๒



ที่พระตำหนักของไท่โห้วโต้ว(窦太后 หรือ ไทเฮาโต้ว โต้วเป็นแซ่ของไท่โห้ว) อ๋องเหลียง(梁王)บุตรชายคนโปรดและมีศักดิ์เป็นอาของไท่จื่อหลิวเช่อ(刘彻)กำลังถวายรายงานข่าวคราวของหลานชายให้ไท่โห้วโต้วได้ทรงทราบ

“ทูลเสด็จแม่ หลานเช่อแอบหนีออกจากวังหลวงไปอย่างลับๆ ตอนนี้ได้เดินทางไปถึงเมืองเยี่ยนชื่อแล้ว พระเจ้าค่ะ”

ไท่โห้วโต้วได้ยินเข้าก็รู้สึกแปลกพระทัย เยี่ยนชื่อ เป็นสถานที่อะไร? มีทิวทัศน์สวยงาม มีสาวงาม หรืออย่างไร?”

“ทูลเสด็จแม่ เยี่ยนชื่อมีประเพณีที่ที่อื่นไม่มี พระเจ้าค่ะ”

“ประเพณีอะไร”

“จับกระต่าย พระเจ้าค่ะ”

“จับกระต่าย อย่างงั้นรึ?”



๑-๓


“เทศกาลจับกระต่ายอย่างนั้นรึ?” ไท่จื่อเอ่ยถามอย่างสนพระทัย

กัวเส่อเหรินอธิบายให้ทรงทราบ “ใช่แล้ว พะย่ะค่ะ เทศกาลจับกระต่าย เล่ากันว่าในสมัยก่อนมีปีศาจกระต่าย(兔子精)อยู่ตนหนึ่ง ทุกๆวันมักจะออกมาเขย่าขวัญทำร้ายชาวเยี่ยนชื่อให้หวาดกลัว มันชอบที่จะแฝงตัวแอบย่องไปยังเตียงนอนของบรรดาสาวๆเพื่อที่จะข่มขืน ผลสุดท้ายนะหรือ ท้องของหญิงสาวเหล่านั้นก็ค่อยๆใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็คลอดลูกออกมาเป็นกระต่าย”

จางทังได้ฟังแล้วอดไม่ได้ “เหลวไหล ไร้สาระ”

แต่กัวเส่อเหรินไม่ได้สนใจคำพูดของจางทัง ได้แต่พูดต่อไปว่า “ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีประเพณีจับกระต่ายขึ้นมา ชาวเยี่ยนชื่อก็ได้สืบทอดประเพณีนี้ต่อๆกันมา ในแต่ละปีเมื่อถึงช่วงเวลานี้ ทุกครอบครัวต่างหยิบไม้ช่วยกันตีวงล้อมรอบเพื่อล่าเจ้ากระต่าย พวกชาวบ้านไม่เพียงแต่จับมันเท่านั้น ยังเอามันมาเผาไฟและก็ย่างมันอีกด้วย จากนั้นนะ พวกชาวบ้านก็เอามากินกัน เค้าว่ากันว่าใครที่จับอ๋องกระต่าย(兔子王)ได้ เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อมีรางวัลให้ด้วยล่ะ”

ได้ยินที่กัวเส่อเหรินบรรยาย ก้วนฟูถึงกับน้ำลายศอ “อื้อ เนื้อกระต่ายแกล้มเหล้า รสชาติท่าจะไม่เลวนะ”

กัวเส่อเหรินพูดต่อ “เทศกาลจับกระต่ายนี่จัดขึ้นทั้งหมดสามวัน วันนี้เป็นวันแรก พะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อกล่าวอย่างดีใจ “เยี่ยมไปเลย พวกเรามาได้จังหวะพอดี”

“หม่อมฉัน จะจับอ๋องกระต่ายนำมาถวายให้พระองค์ได้อย่างแน่นอน พะย่ะค่ะ” หลี่หลิงเสนอตัวเป็นคนแรก

ก้วนฟูรีบพูดข่ม หลี่หลิง เจ้านะเหรอ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถจับอ๋องกระต่ายได้หรอก”

ไท่จื่อรีบเอ่ย “ถ้าไม่ลองดูก็จะยังไม่รู้ว่าใครมีความสามารถ เอาอย่างก็นี้แล้วกัน พวกเจ้าใครที่สามารถจับอ๋องกระต่ายได้ ไม่ต้องไปรับรางวัลจากเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อหรอก หยกห้อยเอวของข้าชิ้นนี้จะมอบป็นรางวัลสำหรับคนผู้นั้นทันที”

ก้วนฟู หลี่หลิง และกัวเส่อเหริน ต่างส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน “ขอบพระทัย พะย่ะค่ะ”

หลี่หลิงรีบยื่นมือออกมาหมายจะไปหยิบหยกห้อยเอวชิ้นนั้นจากมือไท่จื่อ ก้วนฟูและกัวเส่อเหรินเห็นก็รีบรั้งตัวเอาไว้ทันที “เฮ้ย! หลี่หลิง เจ้าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ”

จางทังรีบเข้ามาห้าม “พวกเจ้าไม่ต้องส่งเสียงทะเลาะกัน ไท่จื่อขอเชิญเสด็จไปทางนั้นกับข้าพระองค์หน่อย พะย่ะค่ะ”

เมื่อไท่จื่อเดินตามมาแล้ว จางทังก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้พวกเราออกจากวังหลวงมาอย่างลับๆ ไม่มีผู้ใดรู้ไม่มีผู้ใดเห็น เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรที่จะเปิดเผยฐานะของพระองค์หรือแสดงตนให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาด พะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อทรงเห็นด้วยกับคำพูดของจางทัง จึงหันมาบอกกับทั้งสามคนว่า ก้วนฟู หลี่หลิง กัวเส่อเหริน

“พะย่ะค่ะ” ทั้งสามส่งเสียงขานรับ

“ที่เราออกจากวังมาข้างนอกในครั้งนี้ ห้ามเรียกเราว่า ไท่จื่อ และห้ามเรียกแทนตัวพวกเจ้าว่า หม่อมฉัน

หลี่หลิงรู้สึกสงสัยจึงได้เอ่ยถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นจะให้พวกเราเรียกพระองค์ว่าอะไรล่ะ พะย่ะค่ะ”

“เรียกเราว่า จิ่วเกอ(九哥 หมายถึงพี่ชายคนที่เก้า)” ไท่จื่อตรัสบอก




๑-๔



“คนที่ติดตามไท่จื่อไปมีใครบ้าง?” ไท่โห้วโต้วตรัสถามบุตรชาย

“ทูลเสด็จแม่ คนที่ติดตามไท่จื่อไปเหล่านั้นล้วนเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือของไท่จื่อ พระเจ้าค่ะ หนึ่งในนั้นมีจางทัง

จางทังเป็นคนที่ศึกษาทางด้านกฎหมาย แต่เหตุไฉนจึงกล้าที่จะทำผิดกฎเสียเอง กล้าที่จะพาไท่จื่อออกจากวัง อีกทั้งไปยังที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตัวจางทังเองไม่รู้หรือว่าตนเองจะต้องได้รับโทษ แล้วยังมีใครอีก?”

กัวเส่อเหรินกับก้วนฟู พระเจ้าค่ะ”

“คนหนึ่งก็ช่างประจบสอพลอ อีกคนก็ใจร้อนหุนหันพลันแล่น ดูแล้วคงจะต้องมีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นจริงๆซะแล้วสิ”

“ทูลเสด็จแม่ ยังมีหลานชายของนายพลหลีก่าน(李敢)ที่ชื่อหลี่หลิงอีกคน พระเจ้าค่ะ”

ทันทีที่ได้ยิน ไท่โห้วโต้วก็ทรงพระสรวลอย่างพอพระทัยยิ่งนัก “เรื่องนี้ดูๆไปท่าทางจะน่าสนุกยิ่งนัก หลีก่านเป็นถึงนายพลของกองทหารรักษาพระนคร การที่หลานของหลีก่านติดตามไท่จื่อออกจากวังไป เป็นไปได้หรือที่ตัวหลีก่านเองจะไม่ทราบเรื่อง”

“ดูเหมือนว่าไท่จื่อเองก็คงจะปิดบังไม่บอกให้หลีก่านทราบ พระเจ้าค่ะ”

“เจ้าหลานชายคนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนแล้วจริงๆ”

ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงาน “กราบทูลไท่โห้ว นายพลหลีก่านแห่งกองทหารรักษาพระนคร ขอเข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ”

ไท่โห้วโต้วตรัสถาม “นายพลต้องการขอเข้าเฝ้าไท่โห้ว ที่ผ่านมาเคยมีประเพณีเช่นนี้หรือไม่?”

ขันทีทูล “ท่านนายพลบอกว่าเป็นเรื่องด่วน พะย่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เค้าเข้ามา”

“พะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำแล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ทรงมีรับสั่งให้นายพลหลีก่านเข้าเฝ้าได้”

หลีก่านเดินเข้ามาอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์แล้วกราบทูลขึ้นว่า “ข้าพระองค์หลีก่าน มาขอรับพระอาญา พะย่ะค่ะ”

“เจ้าทำความผิดอะไร? ถึงจะมารับโทษ” ไท่โห้วโต้วตรัสถามด้วยความสงสัย

“เป็นเพราะข้าพระองค์ไม่ระมัดระวัง บกพร่องต่อหน้าที่ ข้าพระองค์เพิ่งจะทราบข่าวมาว่า ไท่จื่อเสด็จหนีออกจากวังไปอย่างลับๆ พะย่ะค่ะ”

“อ้อ เรื่องนี้เอง” ไท่โห้วโต้วตรัสต่อว่า

ไท่จื่อทรงเป็นองค์รัชทายาทที่จะทรงขึ้นครองราชย์ต่อไปในวันข้างหน้า ทรงมีความสำคัญต่อผืนแผ่นดิน ถ้าหากมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นกับองค์รัชทายาทแล้วล่ะก็ต่อให้เจ้าตายสักหมื่นครั้งก็ยังชดใช้ไม่หมดเลย”

“ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงมาขอพระราชานุญาตจากไท่โห้ว เพื่อขอออกติดตามนำตัวองค์รัชทายาทเดินทางกลับมายังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ด้วยตัวของข้าพระองค์เอง พะย่ะค่ะ”

ไท่โห้วโต้วทรงเกรงว่าหากอนุญาตให้หลีก่านออกติดตามไท่จื่อ ตัวหลีก่านเองอาจจะไปแล้วไปลับไม่กลับเข้าวังอีกจึงมีรับสั่ง “ทหาร! จับตัวหลีก่านไว้”

หลีก่านตกใจ “ไท่โห้ว”

“คนที่ออกจากวังไปพร้อมกับไท่จื่อก็คือหลี่หลิงหลานชายของเจ้า ดังนั้น เจ้าจะบกพร่องต่อหน้าที่ หรือว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดดี ทหาร! จงนำตัวหลีก่านไปคุมขังรอการไต่สวน”

เจ้าหน้าที่สองนายเดินเข้ามาคุมตัวหลีก่านออกไป หลีก่านได้แต่ร้องเรียก “ไท่โห้ว ไท่โห้ว”

หลังจากที่หลีก่านถูกคุมตัวออกไปแล้ว อ๋องเหลียงจึงทูลถามมารดา “เสด็จแม่ ทำไมไม่ทรงอนุญาตให้หลีก่านออกติดตามตัวไท่จื่อล่ะ? พระเจ้าค่ะ”

“จะให้หลีก่านออกติดตามตัวไท่จื่อ เพื่ออะไรกัน?” ไท่โห้วโต้วทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสแบบมีแผนการณ์ในใจว่า “ในเมื่อนกที่ถูกขังในกรงมานาน คิดอยากจะบิน ก็จงปล่อยให้บินไป รอคอยให้นกตัวนั้นบินจากไปพร้อมกับความโชคร้ายที่กำลังเข้ามาเยือนจะดีกว่า ถึงแม้ว่าเจ้านกตัวนั้นเกิดเปลี่ยนใจ คิดอยากจะบินย้อนกลับมาก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว”





จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๑ - ตอนที่ ๒ เจอคนชื่อตงฟางซั่ว

ตีพิมพ์ครั้งแรก : ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ / แก้ไขครั้งล่าสุด : ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐


๒-๑


“หม่อมฉัน ไม่เข้าใจความนัยของเสด็จแม่” อ๋องเหลียงทูลถามด้วยความสงสัย

“เจ้าลองคิดดูดีดี ตอนนี้หวงตี้องค์ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้า ถ้าหากว่าทรงเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าคิดว่า หวงตี้องค์ใหม่ควรจะตกเป็นของลูกชายของเค้า(ไท่จื่อ) หรือว่าควรจะตกเป็นของลูกชายของแม่(อ๋องเหลียง)กันแน่”

อ๋องเหลียงรู้สึกตกใจ “เสด็จแม่!”

“ถ้าไม่คิดที่จะกำจัด มีหรือที่เจ้าจะได้ขึ้นครองราชย์ เจ้ารีบส่งคนไปหาเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อโดยเร็ว แล้วบอกเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อด้วยว่า โอกาสดีๆเช่นนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ให้รีบจัดการให้เรียบร้อย”

อ๋องเหลียงยิ้มรับคำสั่งอย่างดีใจ



๒-๒


ในช่วงเทศกาลจับกระต่าย ภายในตัวเมืองเยี่ยนชื่อ มีการออกร้านขายของต่างๆมากมาย คณะเดินทางของไท่จื่อต่างให้ความสนใจแวะดูโน่นดูนี่ตลอดสองข้างทาง ที่กลางลานแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เห็นมีชาวบ้านกำลังมุงดูอะไรสักอย่างหนึ่งกันอย่างเนืองแน่น จึงเกิดความสงสัยใคร่อยากรู้ รีบแวะเข้าไปดูทันที แล้วก็ถึงบางอ้อที่แท้ชาวบ้านต่างพากันมามุงดูการแสดงเชิดสิงโตนั่นเอง

ระหว่างที่ชมการแสดงอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น บุรุษลึกลับคนสนิทของอ๋องเหลียงก็ได้ปรากฎกายขึ้นที่ทางด้านหลังของไท่จื่อ สายตาของบุรุษลึกลับจับจ้องไปที่ไท่จื่อ พร้อมๆกับครุ่นคิดถึงแผนการณ์อะไรบางอย่าง เมื่อคิดได้แล้ว บุรุษลึกลับก็หลบฉากหายตัวไปจากฝูงชน



๒-๓


ขณะที่ชาวบ้าน และคณะเดินทางของไท่จื่อกำลังชมการแสดงเชิดสิงโตอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ที่คอกม้าแห่งหนึ่ง บุรุษลึกลับได้ใช้มือตบเข้าไปที่หลังม้า ทำให้ม้าตัวนั้นเกิดความตกใจ วิ่งเตลิดหนีออกมา วิ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มของชาวบ้านที่ยืนดูการแสดง เหล่าผู้ชมการแสดงต่างพากันแตกตื่นตกใจรีบวิ่งหลบหลีกหนีเข้าสองข้างทางโดยพลัน แต่ทว่าที่ด้านหน้าของม้าตัวนั้นมีร่างของชายวัยห้าสิบคนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆว่าตนเองกำลังจะได้รับอันตราย ไท่จื่อเห็นว่าชายคนนี้ต้องถูกม้าวิ่งเข้าชนแน่ๆ จึงรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือด้วยการดึงร่างชายผู้นี้ให้พ้นออกมาจากรัศมีการวิ่งเข้าชนของม้าได้อย่างเฉียดฉิว

ทางด้านก้วนฟูรีบใช้วิชาตัวเบาวิ่งกระโดดไปขวางทางม้า แล้วใช้ขาเตะมันหมายจะให้มันล้มลง แต่ผิดคาดปรากฎว่าม้าตัวนั้นเกิดอาการตกใจวิ่งย้อนกลับมาทางเดิม บุรุษลึกลับเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงเข้ามาผลักไท่จื่อให้ล้มลง แล้วตนเองก็รีบวิ่งหนีไป หลี่หลิงเห็นว่าไท่จื่อคงจะหลบม้าไม่พ้นเป็นแน่จึงรีบกระโดดเข้าไปช่วย ด้วยการเอาตัวเองเป็นเกราะกำบังคุ้มครองไท่จื่อ

ขณะที่ม้ากำลังวิ่งเข้ามาจวนจะถึงตัวคนทั้งสองนั้นก็ปรากฎร่างของชายหนุ่มที่มีผ้าคาดที่ศรีษะคนหนึ่งกระโดดลอยตัวมานั่งอยู่บนหลังม้าและบังคับม้าจนเกิดอาการสงบ จากนั้นก็ได้ถามขึ้นว่า “ใครเป็นเจ้าของม้าตัวนี้ ถ้าเกิดวิ่งชนคนขึ้นมาจะว่าอย่างไร”

“ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ให้การช่วยเหลือ” ไท่จื่อลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยคำขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” ชายคนที่ช่วยเหลือกล่าว

“ไม่ทราบว่า ท่านผู้กล้ามีนามว่าอะไร”

ชายหนุ่มไม่เพียงจะไม่ตอบคำถามของไท่จื่อเท่านั้น ยังบังคับม้าให้วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที ไท่จื่อเห็นดังนั้นจึงสั่งให้หลี่หลิงรีบติดตามไปทันที



๒-๔


หลี่หลิงขี่ม้าตามไปติดๆจนถึงบริเวณชายป่า แต่ก็ยังตามไม่ทันจึงได้ร้องตะโกน “หยุดก่อน หยุดก่อนได้ไหม”

ชายหนุ่มจึงหยุดม้าแล้วหันมาถาม “ทำไมเจ้าต้องตามข้ามาด้วย”

“ข้าแค่อยากทราบชื่อแซ่ของเจ้า”

“ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย”

“ข้าดูแล้วอายุของเจ้าก็ยังไม่มาก รูปร่างของเจ้าก็ใช่ว่าจะใหญ่โตมากนัก ไม่น่าที่จะมีพละกำลังที่แข็งแรงสักเท่าไร อีกทั้งท่าทางการเคลื่อนไหวของเจ้าดูแล้วก็ช่างอ้อนแอ้นเฉกเช่นนกนางแอ่น แต่เจ้ากลับสามารถสยบม้าที่กำลังตื่นตกใจให้สงบลงได้ ข้าเลยอยากจะได้เจ้ามาเป็นเพื่อนของข้า”

“แล้วทำไมเจ้าจึงอยากให้ข้าเป็นเพื่อนของเจ้าล่ะ”

“บอกเจ้าตามตรงก็ได้ ข้าเกิดในตระกูลที่รับราชการทหาร อากับปู่ของข้าเป็นถึงนายพลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง”

“แล้วตัวเจ้าล่ะ เป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียง หรือว่าเป็นแค่คนธรรมดา”

“ข้าน่ะเป็นเสือหนุ่มของกองทหารเชียวนะ ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่ข้าอายุเจ็ดขวบ จนตอนนี้ข้าอายุสิบเจ็ดปีแล้ว”

ชายหนุ่มได้ยินเข้าก็หัวเราะอย่างไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดของหลี่หลิงสักเท่าไร “ที่แท้เจ้าก็คือนายพลหนุ่มนั่นเอง ขอโทษ ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ทราบมาก่อน”

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้าพอจะบอกชื่อของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือยังล่ะ”

“จะบอกหรือไม่นั้น ข้าคงต้องขอดูความสามารถของเจ้าก่อน” ชายหนุ่มพูดจบก็ขี่ม้าหนีไปทันที

หลี่หลิงเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าไล่ตามพร้อมตะโกนเรียก “หยุดก่อน หยุดก่อน” แต่ก็ยังไล่ตามไม่ทัน หลี่หลิงตัดสินใจใช้กำลังภายในกระโดดจากหลังม้าของตนเองเหาะไปนั่งอยู่ข้างหลังของชายหนุ่มพร้อมกับเอื้อมมือของตนเองไปจับบังเหียนหมายจะบังคับม้าให้หยุดวิ่งแล้วเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าจะต้องหนีด้วยล่ะ”

ชายหนุ่มรู้สึกตกใจมากที่เห็นหลี่หลิงมานั่งอยู่ข้างหลังตน แถมยังบังอาจมาโอบกอดตนเองจากทางด้านหลังอีก จึงสะบัดตัวหนีและผลักหลี่หลิงให้หล่นลงไปจากม้า ก่อนที่ร่างของหลี่หลิงจะตกจากหลังม้านั้น มือของเขาได้คว้าผ้าที่คาดบนศรีษะของชายหนุ่มไว้ติดมือมาด้วย ทำให้ผมของชายหนุ่มที่เคยถูกรวบรัดด้วยผ้าคาดศรีษะไว้เป็นอย่างดี มาบัดนี้ได้สยายตกลงมาเปิดเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหญิงสาวปลอมตัวมานั่นเอง หลี่หลิงจ้องมองอย่างตกตะลึงในความงาม ฝ่ายหญิงสาวรู้สึกเขินอายจึงรีบขี่ม้าหนี หลี่หลิงเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าตามไป



2-5


ย้อนกลับมาในที่เกิดเหตุ ชายวัยห้าสิบคนที่ไท่จื่อได้ช่วยไว้นั้นแท้จริงแล้วกำลังอุ้มลูกชายอยู่จึงไม่ได้สังเกตว่าจะมีม้าวิ่งมาชนตน ตอนนี้ลูกชายของชายวัยห้าสิบป่วยไม่ได้สติอยู่ท่ามกลางการมุงดูของพวกชาวบ้านและคณะของไท่จื่อ

ชายวัยห้าสิบเอ่ยขึ้น “เจ้าเสือน้อยลูกพ่อ เจ้าช่วยลืมตามองพ่อหน่อยสิ”

ไท่จื่อเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง ชายวัยห้าสิบจึงพูดกับไท่จื่อว่า “ลูกข้าป่วยเป็นไข้มาหลายวันแล้ว ข้ากำลังจะพาลูกไปหาหมอ ไม่คิดว่าจะมีม้าวิ่งมาชนข้า ปีนี้ข้าก็อายุห้าสิบสามแล้ว ข้าช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ท่านได้โปรดช่วยเจ้าเสือน้อยของข้าด้วย”

ทันใดนั้นก็มีชาวบ้านที่ยืนดูอยู่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าดูนั่นสิ ซินแสตงฟางมาแล้ว”

ชายวัยห้าสิบพอได้เห็นซินแสตงฟางกำลังเปิดร้านอยู่ จึงรีบอุ้มลูกชายเดินไปหาทันทีโดยหวังว่าซินแสตงฟางจะรักษาอาการป่วยของลูกตนเองได้ พวกชาวบ้านรวมทั้งคณะเดินทางของไท่จื่อต่างพากันเคลื่อนย้ายเดินตามชายวัยห้าสิบไปเพื่อร่วมสังเกตุการณ์ในฐานะจีนมุง

“ท่านซินแส ท่านช่วยดูอาการของลูกชายข้าที ข้าขอร้องท่านล่ะ ได้โปรดช่วยเจ้าเสือน้อย ลูกของข้าด้วยเถอะ”

ตงฟางซั่วเอ่ย “ใจเย็นๆ ขอข้าดูอาการลูกเจ้าสักหน่อยนะ”

หลังจากที่ตรวจดูอาการของเสือน้อยแล้ว ตงฟางซั่วก็เอ่ยขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก แถมอนาคตข้างหน้ายังจะได้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย”

“เด็กคนนี้จะได้เป็นใหญ่หรือไม่ เจ้ารู้ได้อย่างไร” ก้วนฟูเอ่ยถาม

“ข้านะไม่เก่งกาจเพียงนั้นหรอก แต่ที่ทำให้ข้ารู้ได้น่ะ ก็คือเจ้านี่ต่างหาก แค่อักษรเพียงหนึ่งตัวก็สามารถทำนายถึงอนาคตได้”

“งั้นข้าขอเขียนตัวอักษร ให้เจ้าทำนายให้เด็กคนนี้ละกัน”

ตงฟางซั่วถามก้วนฟูกลับ “เจ้าเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเค้าหรือเปล่า”

“เปล่า”

“ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ได้ เพราะเจ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใดๆกับเค้า ” จากนั้นตงฟางซั่วก็หันมาทางชายวัยห้าสิบ “เจ้าเขียนตัวอักษรก็แล้วกัน”

“ตัวอักษรอะไรดีล่ะท่านซินแส ตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออก”

“ถ้าอย่างงั้นเจ้าแซ่อะไร”

“ข้าแซ่ฮั่ว(霍)”

“งั้นใช้แซ่ของเจ้าในการทำนายละกัน”

“ดี ดี ดี”

ตงฟางซั่วจัดการเขียนแซ่ของชายวัยกลางคนลงบนกระดาษไม้ พร้อมกับอธิบาย “คำว่า ฮั่ว(霍) ข้างบนมีตัวอักษร อี่ว์(雨 แปลว่า ฝน) ข้างล่างมีตัวอักษร เจีย(佳 แปลว่า ดี) เจีย(佳)ตัวนี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดความโชคดี เมื่อพิจารณาตามตัวอักษรตัวแล้ว อาการของลูกเจ้าไม่มีอะไรที่น่าวิตก คอยให้พ้นช่วงฤดูฝนนี้ไป ข้าคิดว่าบางทีลูกเจ้าอาจจะหายจากอาการเจ็บป่วยทั้งหมด”

“ขอบคุณท่านซินแส แต่ว่าถ้าไม่ดีขึ้นล่ะ”

“เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ถ้าหากภายในสามวันหลังจากนี้ไป อาการของลูกเจ้าไม่ดีขึ้นแล้วล่ะก็ เจ้ามาเอาชีวิตข้าไปก็แล้วกัน”

“ขอบคุณท่านซินแส แต่ว่าท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าจะจ่ายเงินให้ท่าน”

“เจ้ายังไม่ต้องจ่ายเงินค่าทำนายให้ข้าในตอนนี้หรอก ไว้ให้ลูกเจ้าหายดีแล้ว เจ้าค่อยเอามาจ่ายข้าละกัน นี่เป็นหลักการของข้า แต่ว่าข้ายังมีคำพูดที่อยากจะบอกกับเจ้า”

“ท่านซินแส ได้โปรดชี้แนะ”

“ถึงแม้ว่าลูกชายของเจ้าครั้งนี้จะไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่ทว่าเคราะห์ของลูกเจ้าก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นไปซะทีเดียว มันจะยังคงส่งผลให้ลูกของเจ้าได้รับความเดือดร้อนอยู่อีก ในวันข้างหน้าลูกชายของเจ้าจะมีทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง และเงินทอง แต่ทว่าตำแหน่งยิ่งสูงอายุกลับยิ่งสั้น”

“ท่านซินแส มีวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาหรือไม่”

“เด็กคนนี้มีชื่อว่าอะไร”

“มีชื่อเล่นว่า เสือน้อย ส่วนชื่อจริงข้ายังไม่ได้ตั้ง”

“งั้นข้าจะตั้งชื่อให้แทนก็แล้วกัน”

ตงฟางซั่วนั่งนึกอยู่สักครู่ ก็เอ่ยออกมาว่า ชี่ว์(去) ชี่ว์ปิ้ง(去病) ฮั่วชี่ว์ปิ้ง(霍去病 คนแซ่ฮั่วที่ไม่มีวันเจ็บป่วย)ก็แล้วกันนะ”

ฮั่วชี่ว์ปิ้ง?”

“ใช่ ภายในยี่สิบปีจากนี้ ชื่อนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองลูกเจ้าให้แคล้วคลาดจากเคราะห์ภัยต่างๆ จะไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ชีวิตมีแต่ความราบรื่น”

“แล้วหลังจากยี่สิบปีผ่านไปล่ะ ท่านซินแส”

“หลังจากยี่สิบปีผ่านไป ลูกของเจ้าจะต้องเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่เป็นคนที่มีความคับแค้นในใจ ลักษณะเช่นนี้จึงจะช่วยลูกเจ้าได้”

“ข้าจะจำเอาไว้”

ก้วนฟูอดรนทนไม่ไหวรีบเอ่ย “ไม่ต้องพูดให้มากคามหรอกท่านซินแส เด็กคนนี้ข้าดูแล้วยังไงก็ยังไม่รู้สึกตัว การหายใจก็ยังช้าอยู่ ไม่เป็นปกติดี แล้วจะหายได้อย่างไร”

“คุณชายท่านนี้ ลองหันกลับไปดูเด็กน้อย ฮั่วชี่ว์ปิ้ง อีกทีก็แล้วกัน”

เมื่อก้วนฟูหันหน้าไปดู ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมากที่จู่ๆเด็กน้อยฮั่วชี่ว์ปิ้งก็สามารถลืมตาฟื้นขึ้นมาได้ ชายวัยห้าสิบรู้สึกดีใจเป็นอันมากที่ลูกชายของตนเองฟื้น จึงระล่ำระลักกล่าวคำขอบคุณตงฟางซั่วเสียยกใหญ่ แต่ทว่าก้วนฟูกลับรู้สึกหน้าแตกยับชนิดที่ซินแสตงฟางก็ไม่รับเย็บ





 

Create Date : 27 ธันวาคม 2548
0 comments
Last Update : 24 กันยายน 2551 9:34:36 น.
Counter : 14062 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.