จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๑ - ตอนที่ ๒ เจอคนชื่อตงฟางซั่ว
ตีพิมพ์ครั้งแรก : ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ / แก้ไขครั้งล่าสุด : ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
๒-๑
“หม่อมฉัน ไม่เข้าใจความนัยของเสด็จแม่” อ๋องเหลียงทูลถามด้วยความสงสัย “เจ้าลองคิดดูดีดี ตอนนี้หวงตี้องค์ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้า ถ้าหากว่าทรงเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าคิดว่า หวงตี้องค์ใหม่ควรจะตกเป็นของลูกชายของเค้า(ไท่จื่อ) หรือว่าควรจะตกเป็นของลูกชายของแม่(อ๋องเหลียง)กันแน่” อ๋องเหลียงรู้สึกตกใจ “เสด็จแม่!” “ถ้าไม่คิดที่จะกำจัด มีหรือที่เจ้าจะได้ขึ้นครองราชย์ เจ้ารีบส่งคนไปหาเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อโดยเร็ว แล้วบอกเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อด้วยว่า โอกาสดีๆเช่นนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ให้รีบจัดการให้เรียบร้อย” อ๋องเหลียงยิ้มรับคำสั่งอย่างดีใจ
๒-๒
ในช่วงเทศกาลจับกระต่าย ภายในตัวเมืองเยี่ยนชื่อ มีการออกร้านขายของต่างๆมากมาย คณะเดินทางของไท่จื่อต่างให้ความสนใจแวะดูโน่นดูนี่ตลอดสองข้างทาง ที่กลางลานแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เห็นมีชาวบ้านกำลังมุงดูอะไรสักอย่างหนึ่งกันอย่างเนืองแน่น จึงเกิดความสงสัยใคร่อยากรู้ รีบแวะเข้าไปดูทันที แล้วก็ถึงบางอ้อที่แท้ชาวบ้านต่างพากันมามุงดูการแสดงเชิดสิงโตนั่นเอง ระหว่างที่ชมการแสดงอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น บุรุษลึกลับคนสนิทของอ๋องเหลียงก็ได้ปรากฎกายขึ้นที่ทางด้านหลังของไท่จื่อ สายตาของบุรุษลึกลับจับจ้องไปที่ไท่จื่อ พร้อมๆกับครุ่นคิดถึงแผนการณ์อะไรบางอย่าง เมื่อคิดได้แล้ว บุรุษลึกลับก็หลบฉากหายตัวไปจากฝูงชน
๒-๓
ขณะที่ชาวบ้าน และคณะเดินทางของไท่จื่อกำลังชมการแสดงเชิดสิงโตอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ที่คอกม้าแห่งหนึ่ง บุรุษลึกลับได้ใช้มือตบเข้าไปที่หลังม้า ทำให้ม้าตัวนั้นเกิดความตกใจ วิ่งเตลิดหนีออกมา วิ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มของชาวบ้านที่ยืนดูการแสดง เหล่าผู้ชมการแสดงต่างพากันแตกตื่นตกใจรีบวิ่งหลบหลีกหนีเข้าสองข้างทางโดยพลัน แต่ทว่าที่ด้านหน้าของม้าตัวนั้นมีร่างของชายวัยห้าสิบคนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆว่าตนเองกำลังจะได้รับอันตราย ไท่จื่อเห็นว่าชายคนนี้ต้องถูกม้าวิ่งเข้าชนแน่ๆ จึงรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือด้วยการดึงร่างชายผู้นี้ให้พ้นออกมาจากรัศมีการวิ่งเข้าชนของม้าได้อย่างเฉียดฉิว ทางด้านก้วนฟูรีบใช้วิชาตัวเบาวิ่งกระโดดไปขวางทางม้า แล้วใช้ขาเตะมันหมายจะให้มันล้มลง แต่ผิดคาดปรากฎว่าม้าตัวนั้นเกิดอาการตกใจวิ่งย้อนกลับมาทางเดิม บุรุษลึกลับเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะจึงเข้ามาผลักไท่จื่อให้ล้มลง แล้วตนเองก็รีบวิ่งหนีไป หลี่หลิงเห็นว่าไท่จื่อคงจะหลบม้าไม่พ้นเป็นแน่จึงรีบกระโดดเข้าไปช่วย ด้วยการเอาตัวเองเป็นเกราะกำบังคุ้มครองไท่จื่อ ขณะที่ม้ากำลังวิ่งเข้ามาจวนจะถึงตัวคนทั้งสองนั้นก็ปรากฎร่างของชายหนุ่มที่มีผ้าคาดที่ศรีษะคนหนึ่งกระโดดลอยตัวมานั่งอยู่บนหลังม้าและบังคับม้าจนเกิดอาการสงบ จากนั้นก็ได้ถามขึ้นว่า “ใครเป็นเจ้าของม้าตัวนี้ ถ้าเกิดวิ่งชนคนขึ้นมาจะว่าอย่างไร” “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ให้การช่วยเหลือ” ไท่จื่อลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยคำขอบคุณ “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” ชายคนที่ช่วยเหลือกล่าว “ไม่ทราบว่า ท่านผู้กล้ามีนามว่าอะไร” ชายหนุ่มไม่เพียงจะไม่ตอบคำถามของไท่จื่อเท่านั้น ยังบังคับม้าให้วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที ไท่จื่อเห็นดังนั้นจึงสั่งให้หลี่หลิงรีบติดตามไปทันที
๒-๔
หลี่หลิงขี่ม้าตามไปติดๆจนถึงบริเวณชายป่า แต่ก็ยังตามไม่ทันจึงได้ร้องตะโกน “หยุดก่อน หยุดก่อนได้ไหม” ชายหนุ่มจึงหยุดม้าแล้วหันมาถาม “ทำไมเจ้าต้องตามข้ามาด้วย” “ข้าแค่อยากทราบชื่อแซ่ของเจ้า” “ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย” “ข้าดูแล้วอายุของเจ้าก็ยังไม่มาก รูปร่างของเจ้าก็ใช่ว่าจะใหญ่โตมากนัก ไม่น่าที่จะมีพละกำลังที่แข็งแรงสักเท่าไร อีกทั้งท่าทางการเคลื่อนไหวของเจ้าดูแล้วก็ช่างอ้อนแอ้นเฉกเช่นนกนางแอ่น แต่เจ้ากลับสามารถสยบม้าที่กำลังตื่นตกใจให้สงบลงได้ ข้าเลยอยากจะได้เจ้ามาเป็นเพื่อนของข้า” “แล้วทำไมเจ้าจึงอยากให้ข้าเป็นเพื่อนของเจ้าล่ะ” “บอกเจ้าตามตรงก็ได้ ข้าเกิดในตระกูลที่รับราชการทหาร อากับปู่ของข้าเป็นถึงนายพลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง” “แล้วตัวเจ้าล่ะ เป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียง หรือว่าเป็นแค่คนธรรมดา” “ข้าน่ะเป็นเสือหนุ่มของกองทหารเชียวนะ ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่ข้าอายุเจ็ดขวบ จนตอนนี้ข้าอายุสิบเจ็ดปีแล้ว” ชายหนุ่มได้ยินเข้าก็หัวเราะอย่างไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดของหลี่หลิงสักเท่าไร “ที่แท้เจ้าก็คือนายพลหนุ่มนั่นเอง ขอโทษ ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ทราบมาก่อน” “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้าพอจะบอกชื่อของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือยังล่ะ” “จะบอกหรือไม่นั้น ข้าคงต้องขอดูความสามารถของเจ้าก่อน” ชายหนุ่มพูดจบก็ขี่ม้าหนีไปทันที หลี่หลิงเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าไล่ตามพร้อมตะโกนเรียก “หยุดก่อน หยุดก่อน” แต่ก็ยังไล่ตามไม่ทัน หลี่หลิงตัดสินใจใช้กำลังภายในกระโดดจากหลังม้าของตนเองเหาะไปนั่งอยู่ข้างหลังของชายหนุ่มพร้อมกับเอื้อมมือของตนเองไปจับบังเหียนหมายจะบังคับม้าให้หยุดวิ่งแล้วเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าจะต้องหนีด้วยล่ะ” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจมากที่เห็นหลี่หลิงมานั่งอยู่ข้างหลังตน แถมยังบังอาจมาโอบกอดตนเองจากทางด้านหลังอีก จึงสะบัดตัวหนีและผลักหลี่หลิงให้หล่นลงไปจากม้า ก่อนที่ร่างของหลี่หลิงจะตกจากหลังม้านั้น มือของเขาได้คว้าผ้าที่คาดบนศรีษะของชายหนุ่มไว้ติดมือมาด้วย ทำให้ผมของชายหนุ่มที่เคยถูกรวบรัดด้วยผ้าคาดศรีษะไว้เป็นอย่างดี มาบัดนี้ได้สยายตกลงมาเปิดเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหญิงสาวปลอมตัวมานั่นเอง หลี่หลิงจ้องมองอย่างตกตะลึงในความงาม ฝ่ายหญิงสาวรู้สึกเขินอายจึงรีบขี่ม้าหนี หลี่หลิงเห็นดังนั้นจึงรีบขี่ม้าตามไป
2-5
ย้อนกลับมาในที่เกิดเหตุ ชายวัยห้าสิบคนที่ไท่จื่อได้ช่วยไว้นั้นแท้จริงแล้วกำลังอุ้มลูกชายอยู่จึงไม่ได้สังเกตว่าจะมีม้าวิ่งมาชนตน ตอนนี้ลูกชายของชายวัยห้าสิบป่วยไม่ได้สติอยู่ท่ามกลางการมุงดูของพวกชาวบ้านและคณะของไท่จื่อ ชายวัยห้าสิบเอ่ยขึ้น “เจ้าเสือน้อยลูกพ่อ เจ้าช่วยลืมตามองพ่อหน่อยสิ” ไท่จื่อเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง ชายวัยห้าสิบจึงพูดกับไท่จื่อว่า “ลูกข้าป่วยเป็นไข้มาหลายวันแล้ว ข้ากำลังจะพาลูกไปหาหมอ ไม่คิดว่าจะมีม้าวิ่งมาชนข้า ปีนี้ข้าก็อายุห้าสิบสามแล้ว ข้าช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ท่านได้โปรดช่วยเจ้าเสือน้อยของข้าด้วย” ทันใดนั้นก็มีชาวบ้านที่ยืนดูอยู่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าดูนั่นสิ ซินแสตงฟางมาแล้ว” ชายวัยห้าสิบพอได้เห็นซินแสตงฟางกำลังเปิดร้านอยู่ จึงรีบอุ้มลูกชายเดินไปหาทันทีโดยหวังว่าซินแสตงฟางจะรักษาอาการป่วยของลูกตนเองได้ พวกชาวบ้านรวมทั้งคณะเดินทางของไท่จื่อต่างพากันเคลื่อนย้ายเดินตามชายวัยห้าสิบไปเพื่อร่วมสังเกตุการณ์ในฐานะจีนมุง “ท่านซินแส ท่านช่วยดูอาการของลูกชายข้าที ข้าขอร้องท่านล่ะ ได้โปรดช่วยเจ้าเสือน้อย ลูกของข้าด้วยเถอะ” ตงฟางซั่วเอ่ย “ใจเย็นๆ ขอข้าดูอาการลูกเจ้าสักหน่อยนะ” หลังจากที่ตรวจดูอาการของเสือน้อยแล้ว ตงฟางซั่วก็เอ่ยขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก แถมอนาคตข้างหน้ายังจะได้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย” “เด็กคนนี้จะได้เป็นใหญ่หรือไม่ เจ้ารู้ได้อย่างไร” ก้วนฟูเอ่ยถาม “ข้านะไม่เก่งกาจเพียงนั้นหรอก แต่ที่ทำให้ข้ารู้ได้น่ะ ก็คือเจ้านี่ต่างหาก แค่อักษรเพียงหนึ่งตัวก็สามารถทำนายถึงอนาคตได้” “งั้นข้าขอเขียนตัวอักษร ให้เจ้าทำนายให้เด็กคนนี้ละกัน” ตงฟางซั่วถามก้วนฟูกลับ “เจ้าเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเค้าหรือเปล่า” “เปล่า” “ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ได้ เพราะเจ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใดๆกับเค้า ” จากนั้นตงฟางซั่วก็หันมาทางชายวัยห้าสิบ “เจ้าเขียนตัวอักษรก็แล้วกัน” “ตัวอักษรอะไรดีล่ะท่านซินแส ตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออก” “ถ้าอย่างงั้นเจ้าแซ่อะไร” “ข้าแซ่ฮั่ว(霍)” “งั้นใช้แซ่ของเจ้าในการทำนายละกัน” “ดี ดี ดี” ตงฟางซั่วจัดการเขียนแซ่ของชายวัยกลางคนลงบนกระดาษไม้ พร้อมกับอธิบาย “คำว่า ฮั่ว(霍) ข้างบนมีตัวอักษร อี่ว์(雨 แปลว่า ฝน) ข้างล่างมีตัวอักษร เจีย(佳 แปลว่า ดี) เจีย(佳)ตัวนี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดความโชคดี เมื่อพิจารณาตามตัวอักษรตัวแล้ว อาการของลูกเจ้าไม่มีอะไรที่น่าวิตก คอยให้พ้นช่วงฤดูฝนนี้ไป ข้าคิดว่าบางทีลูกเจ้าอาจจะหายจากอาการเจ็บป่วยทั้งหมด” “ขอบคุณท่านซินแส แต่ว่าถ้าไม่ดีขึ้นล่ะ” “เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ถ้าหากภายในสามวันหลังจากนี้ไป อาการของลูกเจ้าไม่ดีขึ้นแล้วล่ะก็ เจ้ามาเอาชีวิตข้าไปก็แล้วกัน” “ขอบคุณท่านซินแส แต่ว่าท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าจะจ่ายเงินให้ท่าน” “เจ้ายังไม่ต้องจ่ายเงินค่าทำนายให้ข้าในตอนนี้หรอก ไว้ให้ลูกเจ้าหายดีแล้ว เจ้าค่อยเอามาจ่ายข้าละกัน นี่เป็นหลักการของข้า แต่ว่าข้ายังมีคำพูดที่อยากจะบอกกับเจ้า” “ท่านซินแส ได้โปรดชี้แนะ” “ถึงแม้ว่าลูกชายของเจ้าครั้งนี้จะไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่ทว่าเคราะห์ของลูกเจ้าก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นไปซะทีเดียว มันจะยังคงส่งผลให้ลูกของเจ้าได้รับความเดือดร้อนอยู่อีก ในวันข้างหน้าลูกชายของเจ้าจะมีทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง และเงินทอง แต่ทว่าตำแหน่งยิ่งสูงอายุกลับยิ่งสั้น” “ท่านซินแส มีวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาหรือไม่” “เด็กคนนี้มีชื่อว่าอะไร” “มีชื่อเล่นว่า เสือน้อย ส่วนชื่อจริงข้ายังไม่ได้ตั้ง” “งั้นข้าจะตั้งชื่อให้แทนก็แล้วกัน” ตงฟางซั่วนั่งนึกอยู่สักครู่ ก็เอ่ยออกมาว่า “ชี่ว์(去) ชี่ว์ปิ้ง(去病) ฮั่วชี่ว์ปิ้ง(霍去病 คนแซ่ฮั่วที่ไม่มีวันเจ็บป่วย)ก็แล้วกันนะ” “ฮั่วชี่ว์ปิ้ง?” “ใช่ ภายในยี่สิบปีจากนี้ ชื่อนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองลูกเจ้าให้แคล้วคลาดจากเคราะห์ภัยต่างๆ จะไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ชีวิตมีแต่ความราบรื่น” “แล้วหลังจากยี่สิบปีผ่านไปล่ะ ท่านซินแส” “หลังจากยี่สิบปีผ่านไป ลูกของเจ้าจะต้องเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่เป็นคนที่มีความคับแค้นในใจ ลักษณะเช่นนี้จึงจะช่วยลูกเจ้าได้” “ข้าจะจำเอาไว้” ก้วนฟูอดรนทนไม่ไหวรีบเอ่ย “ไม่ต้องพูดให้มากคามหรอกท่านซินแส เด็กคนนี้ข้าดูแล้วยังไงก็ยังไม่รู้สึกตัว การหายใจก็ยังช้าอยู่ ไม่เป็นปกติดี แล้วจะหายได้อย่างไร” “คุณชายท่านนี้ ลองหันกลับไปดูเด็กน้อย ฮั่วชี่ว์ปิ้ง อีกทีก็แล้วกัน” เมื่อก้วนฟูหันหน้าไปดู ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมากที่จู่ๆเด็กน้อยฮั่วชี่ว์ปิ้งก็สามารถลืมตาฟื้นขึ้นมาได้ ชายวัยห้าสิบรู้สึกดีใจเป็นอันมากที่ลูกชายของตนเองฟื้น จึงระล่ำระลักกล่าวคำขอบคุณตงฟางซั่วเสียยกใหญ่ แต่ทว่าก้วนฟูกลับรู้สึกหน้าแตกยับชนิดที่ซินแสตงฟางก็ไม่รับเย็บ
|